อาลีบาบา ใช้ AI รับมือความท้าทายใหญ่ ๆ ของโลก และสร้างสังคมคุณภาพ

Alibaba Taps AI to Advance Social Good

อาลีบาบา ใช้ AI รับมือความท้าทายใหญ่ ๆ ของโลก และสร้างสังคมคุณภาพ

นวัตกรรมด้าน AI ของอาลีบาบา มุ่งสร้างผลเชิงบวก ให้กับภาคส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการพยากรณ์อากาศ การดูแลสุขภาพ การเกษตร การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ การศึกษา ฯลฯ

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยืนหยัดเป็นนวัตกรรมโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง เป็นเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงปฏิรูปทั้งต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ความเร่งด่วนในการแก้ปัญหาความท้าทายต่าง ๆ ของโลกที่เราทุกคนต้องเผชิญในปีนี้มีมากขึ้นเป็นประวัติการณ์ ไม่ว่าจะเป็นภัยคุกคามจากสภาพภูมิอากาศและความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ขยายวงกว้างมากขึ้น ไปจนถึงความต้องการด้านการดูแลสุขภาพ และข้อกังวลเรื่องความมั่นคงทางอาหาร อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีและโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมและปรับขนาดได้ สามารถแก้ไขความท้าทายเหล่านี้ได้

AI มีความสามารถโดดเด่นโดยเฉพาะความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลและการปรับกระบวนการต่าง ๆ ให้เหมาะสม จึงเป็นเครื่องมือที่สามารถจัดการกับปัญหาเร่งด่วนเหล่านี้และสร้างประโยชน์ที่ยั่งยืนให้สังคมได้ ตลอดปีที่ผ่านมามีการใช้ศักยภาพของ AI รับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นการปฏิวัติด้านการดูแลสุขภาพและการเกษตร ตลอดถึงการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและการพัฒนาภาคการศึกษา อาลีบาบา คลาวด์ ในฐานะผู้นำทางเทคโนโลยีระดับโลก มุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการใช้ AI เพื่อประโยชน์ต่อสังคมและรับมือกับความท้าทายใหญ่ ๆ ระดับโลก (AI for social good) พร้อมส่งเสริมแนวทางที่จะตอบสนองความต้องการเร่งด่วนที่สุดของมนุษยชาติให้ได้ในวงกว้างมากขึ้น

นายจิงเหริน โซว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของอาลีบาบา คลาวด์ กล่าวว่า “ภารกิจของอาลีบาบา คลาวด์ ไม่เพียงแต่ค้นหาว่าจะใช้ AI กับแง่มุมใดได้บ้างเท่านั้น แต่เรายังมีภารกิจที่ต้องทำให้แน่ใจว่าจะมีการนำศักยภาพของ AI ไปใช้เพื่อประโยชน์ที่ดียิ่งขึ้น อาลีบาบา คลาวด์ มุ่งมั่นนำประโยชน์จาก AI ไปใช้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ส่งผลกระทบเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อหาวิธีจัดการกับความท้าทายที่ซับซ้อนของปี 2568 ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ ไปจนถึงความต้องการเข้าถึงการดูแลสุขภาพและการศึกษาอย่างเท่าเทียมกันที่เพิ่มขึ้น เราหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน เข้าถึงได้ และเท่าเทียมกันมากขึ้น ด้วยการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานให้กับแนวทางการใช้ AI เป็นพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก”

โครงการสำคัญบางส่วนของอาลีบาบา ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และมีเป้าหมายเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

  1. เพิ่มประสิทธิภาพการพยากรณ์อากาศและการผลิตพลังงาน

สภาพอากาศรุนแรงสุดขั้วในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงน้ำท่วมครั้งใหญ่ในสเปน ดินถล่มในเนปาล และพายุโซนร้อนที่ส่งผลกระทบต่อชาวฟิลิปปินส์หลายล้านคน ตอกย้ำว่าภัยคุกคามที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากสภาพภูมิอากาศ อาลีบาบา พัฒนาโมเดลชื่อปากวน (Baguan) เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ดังกล่าว ปากวนเป็นโมเดลพยากรณ์อากาศที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่ทันสมัย และมีการคาดการณ์ที่แม่นยำ

ปากวนอัปเดตข้อมูลเป็นรายชั่วโมง ด้วยความละเอียดเชิงพื้นที่สูงในระดับหนึ่งกิโลเมตรกริด และสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ 10 วัน ช่วยให้ธุรกิจทุกอุตสาหกรรมพร้อมรับมือสภาพอากาศที่ไม่สามารถคาดเดาได้ มีการนำความแม่นยำของปากวนไปใช้ในวงกว้าง โดยเฉพาะด้านพลังงานหมุนเวียนที่ต้องการการพยากรณ์อากาศที่แม่นยำซึ่งมีผลต่อประสิทธิภาพการผลิตพลังงานและการบริหารจัดการโครงข่ายไฟฟ้า โมเดลนี้มีส่วนช่วยให้การกระจายพลังงานมีเสถียรภาพและมีประสิทธิภาพ เพื่อเป้าหมายในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและลดค่าใช้จ่าย

  1. วินิจฉัยโรคมะเร็งได้เร็วและคุ้มค่าใช้จ่ายมากขึ้น

PANDA เครื่องมือ AI ล้ำสมัยที่ปฏิวัติการวินิจฉัยโรงมะเร็งของอาลีบาบา ได้รับการจัดให้อยู่ในลิสต์ Fortune’s Change the World ทั้งนี้ PANDA ได้รับการออกแบบมาเพื่อตรวจจับสัญญาณเริ่มต้นของมะเร็งท่อน้ำดีในตับอ่อน ซึ่งเป็นมะเร็งที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบครึ่งล้านรายต่อปีได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้สามารถตรวจคัดกรองมะเร็งได้ทั่วถึงมากขึ้น

โรงพยาบาลสองแห่งในมณฑลเจ้อเจียงใช้ PANDA และพบว่าเครื่องมือนี้มีความไวอันน่าทึ่ง และยังสามารถระบุความผิดปกติได้แม่นยำกว่านักรังสีวิทยาถึง 34.1% ทั้งนี้ ตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปี 2566 มีการขยายการใช้งาน PANDA ไปใช้ตรวจหามะเร็งอื่น ๆ รวมถึงเนื้องอกในตับ หลอดอาหาร และลำไส้ใหญ่ นวัตกรรมนี้ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการตรวจวินิจฉัย และช่วยให้ตรวจพบแต่เนิ่น ๆ นับเป็นการย้ำให้เห็นถึงศักยภาพของ AI ที่ช่วยยกระดับความก้าวหน้าในการวินิจฉัยทางการแพทย์

  1. การเปิดเผยแหล่งข้อมูลสำหรับการปรับปรุงพันธุ์พืชอัจฉริยะ

อาลีบาบา ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง และ สถาบันวิทยาศาสตร์การเกษตรของจีน (Chinese Academy of Agricultural Sciences: CAAS) บุกเบิกการวิจัยที่ใช้ AI เร่งการปรับปรุงพืชผล การศึกษานี้ตีพิมพ์ใน Cell Research ซึ่งเป็นวารสารที่มีชื่อเสียงฉบับหนึ่งในจำนวนผลงานของ Nature โดยย้ำให้เห็นวิธีการว่า DNA methylation data ช่วยปรับปรุงเทคนิคการปลูกพืชได้อย่างไร

จากการวิเคราะห์ methylomes, transcriptomes และ genomes คุณภาพสูงจากเส้นใยพืช รายงานได้ค้นพบ single methylation polymorphisms (SMPs) มากกว่า 287 ล้านชุด ซึ่งเป็นชุดข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในประเภทนี้ นอกจากนี้ นักวิจัยยังได้สามารถระบุยีน 43 รายการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเส้นใย ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่ล้ำค่าสำหรับโครงการปรับปรุงพันธุ์พืชในอนาคต ความก้าวหน้าครั้งสำคัญนี้เป็นแนวทางให้กับการทำการเกษตรที่ชาญฉลาดและยั่งยืนมากขึ้น

  1. จุดประกายความก้าวหน้าในการค้นพบไวรัส RNA

อาลีบาบา คลาวด์, มหาวิทยาลัยซุนยัดเซ็น และ มหาวิทยาลัยซิดนีย์ ร่วมเขียนงานวิจัยสมัยใหม่ตีพิมพ์ใน Cell การวิจัยได้แนะนำ LucaProt ซึ่งเป็นอัลกอริธึม deep-learning ที่ใช้ AI ออกแบบมาเพื่อตรวจจับไวรัส RNA ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคต่าง  ๆ มากมายและเป็นความท้าทายทางสาธารณสุขที่สำคัญ

ในการวิเคราะห์ลำดับโปรตีนและคุณลักษณะทางโครงสร้าง LucaProt ช่วยให้ค้นพบไวรัส RNA ที่มีศักยภาพ 160,000 ชนิด และกลุ่มซุปเปอร์ไวรัส RNA จำนวน 180 กลุ่ม ซึ่งเป็นชุดข้อมูลการค้นพบไวรัสที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการเผยแพร่มา ความก้าวหน้านี้ไม่เพียงช่วยให้เราเข้าใจวิวัฒนาการของไวรัสมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์มีเครื่องมือทรงประสิทธิภาพที่จะใช้ต่อสู้กับโรคติดเชื้ออีกด้วย

  1. สร้างหนังสือภาพเป็นการเฉพาะให้กับเด็กออทิสติก

อาลีบาบาพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ AI เพื่อสร้างหนังสือภาพเฉพาะให้กับเด็กที่เป็นโรคออทิสติก (ASD) โดยมอบแพลตฟอร์มที่สร้างสรรค์ให้เด็กเหล่านั้นใช้เป็นที่แสดงออกและมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมโลก ข้อมูลขององค์การอนามัยโลกระบุว่า ASD ส่งผลกระทบต่อเด็กประมาณหนึ่งในร้อยคนทั่วโลก ดังนั้นทรัพยากรทางการศึกษาที่ทันสมัยจึงมีความสำคัญอย่างมาก

ความสามารถหลายรูปแบบของโมเดลด้านภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) ที่พัฒนาโดยอาลีบาบา คลาวด์ จะช่วยเปลี่ยนบทสรุปพล็อตประโยคเดียว ให้กลายเป็นหนังสือภาพที่น่าสนใจ พร้อมกราฟิกสดใส เสียงบรรยาย และข้อความประกอบ นอกจากนี้ อาลีบาบา คลาวด์ ยังใช้ ModelScope Agent ซึ่งเป็นเฟรมเวิร์กมัลติ เอเจนต์ของบริษัทฯ ทำงานร่วมกับ LLMs เหล่านี้ และเครื่องมือ AI ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการทำงานโดยอัตโนมัติ โดยมีการแทรกแซงของคนน้อยที่สุด เครื่องมือนี้เปิดตัวเมื่อเดือนมิถุนายน มีการนำไปใช้แล้วเกือบ 200,000 ครั้ง เป็นการเสริมศักยภาพให้นักการศึกษาหลายหมื่นคนในประเทศจีน ให้สามารถสร้างสื่อการเรียนรู้ที่ออกแบบมาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษโดยเฉพาะ

Alibaba Cloud Releases Qwen2.5-Omni-7B: An End-to-end Multimodal AI Model

อาลีบาบา คลาวด์ ปล่อย Qwen2.5-Omni-7B โมเดล Multimodal AI ครบวงจร

Alibaba Cloud Releases Qwen2.5-Omni-7B: An End-to-end Multimodal AI Model

Alibaba Cloud has launched Qwen2.5-Omni-7B, a unified end-to-end multimodal model in the Qwen series. Uniquely designed for comprehensive multimodal perception, it can process diverse inputs, including text, images, audio, and videos, while generating real-time text and natural speech responses. This sets a new standard for optimal deployable multimodal AI for edge devices like mobile phones and laptops.

Despite its compact 7B-parameter design, Qwen2.5-Omni-7B delivers uncompromised performance and powerful multimodal capabilities. This unique combination makes it the perfect foundation for developing agile, cost-effective AI agents that deliver tangible value, especially intelligent voice applications. For example, the model could be leveraged to transform lives by helping visually impaired users navigate environments through real-time audio descriptions, offering step-by-step cooking guidance by analyzing video ingredients, or powering intelligent customer service dialogues that really understand customer needs.

The model is now open-sourced on Hugging Face and GitHub, with additional access via Qwen Chat and Alibaba Cloud’s open-source community ModelScope. Over the past years, Alibaba Cloud has made over 200 generative AI models open-source.

High Performance Driven by Innovative Architecture

Qwen2.5-Omni-7B delivers remarkable performance across all modalities, rivaling specialized single-modality models of comparable size. Notably, it sets a new benchmark in real-time voice interaction, natural and robust speech generation, and end-to-end speech instruction following.

Its efficiency and high performance stem from its innovative architecture, including Thinker-Talker Architecture, which separates text generation (through Thinker) and speech synthesis  (through Talker) to minimize interference among different modalities for high-quality output; TMRoPE (Time-aligned Multimodal RoPE), a position embedding technique to better synchronize the video inputs with audio for coherent content generation; and Block-wise Streaming Processing, which enables low-latency audio responses for seamless voice interactions.

Qwen2.5-Omni-7B was pre-trained on a vast, diverse dataset, including image-text, video-text, video-audio, audio-text, and text data, ensuring robust performance across tasks.

With the innovative architecture and high-quality pre-trained dataset, the model excels in following voice command, achieving performance levels comparable to pure text input. For tasks that involve integrating multiple modalities, such as those evaluated in OmniBench – a benchmark that assesses models’ ability to recognize, interpret, and reason across visual, acoustic, and textual inputs – Qwen2.5-Omni achieves state-of-the-art performance.

Qwen2.5-Omni-7B also demonstrates high performance on robust speech understanding and generation capabilities through in-context learning (ICL). Additionally, after reinforcement learning (RL) optimization, Qwen2.5-Omni-7B showed significant improvements in generation stability, with marked reductions in attention misalignment, pronunciation errors, and inappropriate pauses during speech response.

Alibaba Cloud unveils Qwen2.5 last September and released Qwen2.5-Max in January, which was ranked 7th on Chatbot Arena, matching other top proprietary LLMs and demonstrates exceptional capabilities. Alibaba Cloud also open-sourced Qwen2.5-VL and Qwen2.5-1M for enhanced visual understanding and long context input handling.

อาลีบาบา คลาวด์ ปล่อย Qwen2.5-Omni-7B โมเดล Multimodal AI ครบวงจร

อาลีบาบา คลาวด์ ปล่อย Qwen2.5-Omni-7B โมเดล Multimodal AI ครบวงจร

อาลีบาบา คลาวด์ ปล่อย Qwen2.5-Omni-7B โมเดล Multimodal AI ครบวงจร

 อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว Qwen2.5-Omni-7B โมเดลมัลติโหมด (multimodal model) ครบวงจรเป็นส่วนหนึ่งใน Qwen series โมเดลนี้ออกแบบมาโดยเน้นความสามารถในการเข้าใจประเภทของข้อมูลได้หลายรูปแบบและครอบคลุม สามารถประมวลผลอินพุตหลากหลาย รวมถึงข้อความ รูปภาพ เสียง และ วิดีโอ สามารถสร้างการตอบสนองด้วยข้อความและคำพูดที่เป็นธรรมชาติได้แบบเรียลไทม์ นับเป็นการตั้งมาตรฐานใหม่ให้กับ multimodal AI ที่สามารถปรับใช้กับอุปกรณ์ปลายทาง (edge devices) เช่น โทรศัพท์มือถือ และแล็ปท็อปได้อย่างเหมาะสม

โมเดลนี้มอบประสิทธิภาพที่ไม่มีแผ่ว และมอบความสามารถแบบมัลติโหมดที่ทรงพลัง แม้ว่าจะมีพารามิเตอร์ขนาดกะทัดรัดเพียง 7B เท่านั้น จึงเป็นการผสมผสานรากฐานที่สมบูรณ์แบบเข้ากับการพัฒนา AI agents ที่คล่องตัวและคุ้มค่า มอบคุณประโยชน์ที่จับต้องได้ โดยเฉพาะกับแอปพลิเคชันเสียงอัจฉริยะต่าง ๆ เช่น โมเดลนี้ช่วยเปลี่ยนให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น โดยการช่วยนำทางผู้มีความบกพร่องทางการมองเห็น ผ่านคำอธิบายเสียงเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมแบบเรียลไทม์ หรือ ให้คำแนะนำในการทำอาหารทีละขั้นตอนด้วยการวิเคราะห์ส่วนผสมจากวิดีโอ หรือ ขับเคลื่อนให้บริการลูกค้าอัจริยะสามารถใช้บทสนทนาที่เข้าใจความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าได้

ปัจจุบันโมเดลนี้เปิดเป็นโอเพ่นซอร์สบน Hugging Face และ GitHub และสามารถเข้าใช้ผ่าน Qwen Chat และ ModelScope ซึ่งเป็นชุมชนโอเพ่นซอร์สของอาลีบาบา คลาวด์ ทั้งนี้ในหลายปีที่ผ่านมา อาลีบาบา คลาวด์ ได้เปิดให้โมเดล generative AI มากกว่า 200 โมเดลเป็นโอเพ่นซอร์ส

นวัตกรรมด้านสถาปัตยกรรม ขับเคลื่อนให้โมเดลมีประสิทธิภาพสูง

Qwen2.5-Omni-7B มอบประสิทธิภาพโดดเด่นให้กับโหมดทุกประเภท ได้ทัดเทียมกับโมเดลเฉพาะแบบโหมดเดียวต่าง ๆ (single-modality models) ที่มีขนาดใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โมเดลนี้ได้ตั้งมาตรฐานใหม่ด้านการปฏิสัมพันธ์ด้วยเสียงแบบเรียลไทม์ การสร้างเสียงพูดที่เป็นธรรมชาติและชัดเจน และการทำตามคำสั่งเสียงอย่างครบวงจรจากต้นจนจบ

ประสิทธิภาพและสมรรถนะที่สูงของโมเดลนี้มาจากการใช้สถาปัตยกรรมล้ำสมัย ซึ่งรวมถึง Thinker-Talker Architecture ที่แยกการสร้างข้อความ (ด้วย Thinker) และการสังเคราะห์เสียง (ด้วย Talker) ออกจากกัน เพื่อลดสัญญาณรบกวนจากโหมดต่าง ๆ ให้เหลือน้อยที่สุดเพื่อให้ได้เอาต์พุตคุณภาพสูง, TMRoPE (Time-aligned Multimodal RoPE) ซึ่งเป็นเทคนิคการฝังตำแหน่งเพื่อให้ซิงโครไนซ์อินพุตวิดีโอด้วยเสียงเพื่อสร้างเนื้อหาที่สอดคล้องกันได้ดีขึ้น, และ Block-wise Streaming Processing ที่ช่วยให้สามารถตอบสนองเสียงด้วยความรวดเร็วมีความหน่วงต่ำ ส่งผลให้การโต้ตอบด้วยเสียงเป็นไปอย่างราบรื่น

Qwen2.5-Omni-7B ได้รับการเทรนล่วงหน้าด้วยชุดข้อมูลที่หลากหลายและกว้างขวาง ซึ่งรวมถึง การเปลี่ยนภาพเป็นข้อความ, วิดีโอเป็นข้อความ, วิดีโอเป็นเสียง, ตัวอักษรเป็นข้อมูล เพื่อให้มั่นใจได้ว่าโมเดลจะสามารถทำงานได้ทุกแบบด้วยประสิทธิภาพสูง

สถาปัตยกรรมที่ล้ำสมัยและการเทรนล่วงหน้าด้วยชุดข้อมูลคุณภาพสูง ทำให้โมเดลนี้มีความเป็นเลิศด้านการทำตามคำสั่งเสียง และมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการป้อนเป็นตัวอักษรข้อความล้วน ๆ สำหรับงานที่เกี่ยวข้องกับมัลติโหมด เช่น โมเดลที่ได้รับการประเมินผ่าน OmniBench ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่ประเมินความสามารถของโมเดลต่าง ๆ ด้านการจดจำ การตีความ และการให้เหตุผล จากอินพุตที่เป็นภาพ เสียงและข้อความ จึงกล่าวได้ว่า Qwen2.5-Omni มีสมรรถนะล้ำสมัยที่สุดในปัจจุบัน

Qwen2.5-Omni-7B ยังแสดงให้เห็นว่ามีสมรรถนะในการทำความเข้าใจและการสร้างคำพูดที่ดีเยี่ยม และมีความสามารถในการสร้างคำพูดผ่านการเรียนรู้ลงลึกในเชิงบริบท (in-context learning: ICL) นอกจากนี้ หลังจากเสริมประสิทธิภาพด้วยการเรียนรู้แบบเสริมกำลัง (reinforcement learning: RL) หรือการเรียนรู้จากปฏิสัมพันธ์แบบลองผิดลองถูกที่เกิดขึ้นระหว่างทางของการเรียนรู้แล้ว Qwen2.5-Omni-7B ได้แสดงให้เห็นว่ามีความเสถียรในการสร้างคำพูดเพิ่มขึ้นอย่างมาก ลดความคลาดเคลื่อนในการให้ความสนใจ, ลดข้อผิดพลาดในการออกเสียง และลดการสะดุดหยุดลงระหว่างการตอบสนองด้วยคำพูดได้อย่างเห็นได้ชัด

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว Qwen2.5 เมื่อเดือนกันยายนปี 2567 และปล่อย Qwen2.5-Max สู่ตลาดในเดือนมกราคมปี 2568 และได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 7 บน Chatbot Arena ซึ่งเทียบชั้นได้กับ LLM ชั้นนำทั้งหลายที่มีกรรมสิทธิ์ และยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่โดดเด่นด้านต่าง ๆ  อาลีบาบา คลาวด์ยังได้เปิดโอเพ่นซอร์ส Qwen2.5-VL และ Qwen2.5-1M ตอบโจทย์การทำความเข้าใจภาพที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และจัดการกับอินพุตบริบทที่ยาว ๆ ได้ดีขึ้น

A Majority of Businesses Intrigued by the Potential of AI in Achieving Sustainability Goals Whilst Energy Consumption Concerns Persist

A Majority of Businesses Intrigued by the Potential of AI in Achieving Sustainability Goals Whilst Energy Consumption Concerns Persist

A Majority of Businesses Intrigued by the Potential of AI in Achieving Sustainability Goals Whilst Energy Consumption Concerns Persist

  • More than one in two organizations acknowledge gap in understanding how digital technology can facilitate achieving sustainability goal.
  • Asian markets are leading the way in interest in adopting AI, cloud computing, and digital technologies to drive sustainability, with Thailand emerging among the top, showcasing strong enthusiasm.

Over three quarters of businesses (76%) across Asia, Europe and the Middle East are intrigued by the potential of digital technologies, including AI and cloud computing in driving sustainable development, according to the latest survey report titled “Tech-Driven Sustainability Trends and Index 2024”, commissioned by Alibaba Cloud, the digital technology and intelligence backbone of Alibaba Group. However, the substantial energy consumption associated with these technologies is still reflecting a key barrier to broader adoption, as 61% of respondents still express concerns over the matter. 

This interest in the potential of AI, cloud computing and other advanced digital technologies to support sustainable development varies across regions, with emerging Asian markets leading the way (83%), followed closely by the Middle East (78%), Europe (74%), and developed Asian markets (72%). Notably, the Philippines (91%), Singapore (84%), Indonesia (81%), and Thailand (81%), demonstrate particularly high interest. 

The survey also found that on average 80% of respondents have set sustainability goals, with Thailand surpassing this at 82%.

Regional Variations in AI Adoption and Sustainability Efforts

Despite this optimism, 59% businesses acknowledge gap in understanding how digital technology can assist in achieving sustainability goals with Asia leading at 63%, followed by Europe at 61% and the Middle East at 45%. Among all markets, Thailand ranked third with 70%, following Singapore (83%) and Hong Kong SAR (75%). 

Around two thirds (62%) of executives believe their organizations are lagging in adopting cloud computing and AI to accelerate progress towards sustainability goals. This concern is particularly noted in Singapore (80%), the Philippines (77%), and Japan (75%) and Hong Kong SAR (75%), indicating a pressing need for organizations to accelerate their technological adoption to advance sustainability. 

Overall, 82% of businesses agree that sustainable development in technology is paramount for their companies, with markets like Singapore (93%), the Philippines (91%), and Indonesia (89%) leading the charge. Companies increasingly recognize the multifaceted benefits of adopting digital technologies for sustainability including cost savings, improved operational efficiencies, and enhanced compliance with Environmental, Social, and Governance (ESG) regulations. For Thailand, 80% of respondents agreed on this matter.

AI and machine learning are viewed as the most crucial digital technologies for advancing corporate sustainability, with businesses in the Middle East (52%) placing greater emphasis on their importance compared to Europe (41%), emerging Asian markets (40%) and developed Asian markets (36%). In Thai market, respondents identified both AI/Machine Learning and cloud computing as the most important digital technologies with 34% of respondents favoring each. Meanwhile, 81% of businesses feel human oversight is needed in guiding the development of digital technologies, including AI tools with the Middle East feel the strongest at 91%, followed by emerging Asian markets at 83%, Europe at 82% and developed Asian markets at 74%. 

However, the survey reveals a notable concern: 61% of respondents fear that the high energy consumption associated with digital technologies may hinder widespread AI adoption. This concern is even higher in Singapore (85%), the Philippines (77%) and Hong Kong SAR (75%). 65% of Thai respondents share these energy concerns. Furthermore, 71% of businesses believe that the substantial energy consumption of digital technologies such as powering AI may outweigh its benefits with the highest concerns from Singapore (86%), the Philippines (84%) and Malaysia (81%). 

The report also highlights the importance of selecting technology providers that prioritize sustainability. When selecting a “green” cloud provider, approximately half of businesses prioritize those that use renewable energy (51%), maintain energy-efficient data centers (46%), and implement carbon footprint reduction initiatives (42%). Thai respondents ranked energy-efficient data center providers at the top of their list (51%), followed by providers with ‘future commitments on innovative or sustainable products and services’ (41%) and providers using renewable energy to power data centers (38%).

Commitment to Green AI and Open-source Innovation

“With feedback from decision-makers across 13 markets, the survey report sheds light on the current attitudes and challenges businesses face in adopting AI and cloud computing for sustainability,” said Selina Yuan, President of International Business, Alibaba Cloud Intelligence. “At Alibaba Cloud, we are committed to supporting businesses on their sustainability journeys with scalable and sustainable solutions. By pledging to use 100% clean energy by 2030 and improving the energy efficiency at our global data centers, as well as optimizing Generative AI capabilities such as large language models (LLMs) performance, AI can be a powerful tool to improve efficiency and optimize energy consumption.”

Alibaba Cloud has made notable progress in its green cloud initiatives. In the fiscal year ending March 31, 2024, the average power usage effectiveness (PUE) of the company’s self-built data centers improved to 1.200 from 1.215 the year before, with 56% of the electricity consumed coming from clean sources. Additionally, Alibaba’s green computing infrastructure has enabled clients to reduce their emissions by 9.884 million tons, a remarkable increase of 44% year-on-year.

In addition, Alibaba Cloud is at the forefront of democratizing AI through its open-source initiatives, making advanced AI technologies accessible and affordable for businesses of all sizes. By releasing cutting-edge open-source models from its proprietary large language model Qwen family, including Qwen2.5-VL and Qwen2.5-1M and its video foundation model Tongyi Wanxiang (Wan), Alibaba Cloud empowers developers to create task-specific AI applications that are both efficient and cost-effective. These open-source models have already inspired over 100,000 derivative models on Hugging Face, showcasing their global adoption and versatility. By promoting smaller parameter models, Alibaba Cloud reduces the cost and energy consumption of AI training and deployment, fostering a collaborative ecosystem that drives energy-efficient innovation.

Surveying 1,300 decision-makers across 13 markets, “Tech-Driven Sustainability Trends and Index 2024” aims to provide valuable insights into the evolving landscape of corporate sustainability. The survey report underscores the essential role of technology in driving impactful change, while highlighting the need for businesses to adopt AI and cloud computing responsibly to address energy consumption concerns and bridge the gap in sustainability efforts.

ผลสำรวจพบธุรกิจส่วนใหญ่ทึ่งในศักยภาพของ AI ที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน แต่ยังกังวลเรื่องการใช้พลังงาน

ผลสำรวจพบธุรกิจส่วนใหญ่ทึ่งในศักยภาพของ AI ที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน แต่ยังกังวลเรื่องการใช้พลังงาน

ผลสำรวจพบธุรกิจส่วนใหญ่ทึ่งในศักยภาพของ AI ที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน แต่ยังกังวลเรื่องการใช้พลังงาน

  • องค์กรมากกว่าหนึ่งในสองยอมรับว่ามีช่องว่างของความเข้าใจว่าเทคโนโลยีดิจิทัลจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนได้อย่างไร
  • ตลาดเอเชียเป็นตลาดนำในการใช้ AI คลาวด์คอมพิวติ้ง และใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีขับเคลื่อนความยั่งยืน โดยผลสำรวจพบประเทศไทยอยู่ในลำดับต้น ๆ ในการใช้ AI และคลาวด์คอมพิวติ้ง

อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป เผยรายงาน “แนวโน้มและดัชนีความยั่งยืนที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีประจำปี 2024” (Tech-Driven Sustainability Trends and Index 2024) พบว่าธุรกิจมากกว่าสามในสี่ (76%) ในเอเชีย ยุโรป และตะวันออกกลางตระหนักว่าเทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ รวมถึงปัญญาประดิษฐ์ (AI) และคลาวด์คอมพิวติ้ง มีศักยภาพสูงในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน อย่างไรก็ตาม 61% ของผู้ตอบแบบสอบถามยังคงกังวลว่าการที่เทคโนโลยีเหล่านี้ใช้พลังงานมากจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการนำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้อย่างแพร่หลาย 

การให้ความสำคัญกับการนำศักยภาพของ AI คลาวด์คอมพิวติ้ง และเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูงอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนในภูมิภาคต่าง ๆ นั้นแตกต่างกัน ผลสำรวจพบว่า ตลาดเกิดใหม่ในเอเชียเป็นผู้นำในเรื่องนี้ (83%) ตามติดด้วยตลาดตะวันออกกลาง (78%) ยุโรป (74%) และตลาดที่พัฒนาแล้วในเอเชีย (72%) หากลงรายละเอียดระดับประเทศ ตลาดที่ให้ความสนใจและให้ความสำคัญด้านนี้มากที่สุดคือฟิลิปปินส์ (91%) สิงคโปร์ (84%) อินโดนีเซีย (81%) และไทย (81%) 

นอกจากนี้ผู้ตอบแบบสำรวจโดยเฉลี่ย 80% ได้กำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืนไว้แล้ว โดยประเทศไทยสูงกว่าผลเฉลี่ยเล็กน้อยอยู่ที่ 82%

ความแตกต่างในการใช้ AI และความพยายามด้านความยั่งยืนของแต่ละภูมิภาค

แม้การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้จะเป็นไปในเชิงบวก แต่ธุรกิจ 59% ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเทคโนโลยีดิจิทัลจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนได้อย่างไร โดยตลาดเอเชียมีช่องว่างด้านนี้มากที่สุดที่ 63% ตามด้วยยุโรป 61% และตะวันออกกลาง 45% ในเอเชียประเทศไทยอยู่ในลำดับที่สาม (70%) รองจากสิงคโปร์ (83%) และเขตบริหารพิเศษฮ่องกง (75%) 

นอกจากนี้ผู้ตอบแบบสำรวจประมาณสองในสาม (62%) เชื่อว่าองค์กรของตนยังล้าหลังในการนำคลาวด์คอมพิวติ้งและ AI มาปรับใช้เพื่อเร่งให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนได้เร็วขึ้น ข้อกังวลนี้มีเปอร์เซ็นที่สูงในประเทศสิงคโปร์ (80%) ฟิลิปปินส์ (77%) ญี่ปุ่น (75%) และเขตบริหารพิเศษฮ่องกง (75%) ซึ่งบ่งชี้ถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่องค์กรต่างต้องเร่งนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาความยั่งยืน

โดยภาพรวม ธุรกิจ 82% เห็นตรงกันว่าการพัฒนาเทคโนโลยีที่ยั่งยืน เป็นสิ่งสำคัญต่อบริษัทของตน โดยสิงคโปร์ (93%) ฟิลิปปินส์ (91%) และอินโดนีเซีย (89%) เป็นสามประเทศที่มีสัดส่วนสูง คุณประโยชน์หลากหลายของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อความยั่งยืนที่องค์กรที่ตอบแบบสำรวจตระหนักมากที่สุด เช่น ประหยัดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และสามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ได้ดีขึ้น สำหรับประเทศไทย ผู้ตอบแบบสอบถาม 80% เห็นด้วยกับเรื่องนี้ 

52% ของธุรกิจในตะวันออกกลางมองว่า AI และ ML (แมชชีนเลิร์นนิ่ง) เป็นเทคโนโลยีดิจิทัลที่สำคัญที่สุดสำหรับการพัฒนาความยั่งยืนขององค์กร ในขณะที่ยุโรปให้ความสำคัญเรื่องนี้รองลงมาที่ 41% ตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย 40% และตลาดที่พัฒนาแล้วในเอเชีย 36% ผู้ตอบแบบสำรวจในไทยระบุว่าทั้ง AI/ML และคลาวด์คอมพิวติ้งเป็นเทคโนโลยีดิจิทัลที่สำคัญที่สุด (34%) ในขณะเดียวกัน 81% ของธุรกิจที่ตอบแบบสำรวจรู้สึกว่ายังจำเป็นต้องใช้คนควบคุมและชี้แนะการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลและเครื่องมือด้าน AI ต่าง ๆ โดยตลาดตะวันออกกลาง (91%) มีแนวคิดด้านนี้สูงสุด ตามด้วยตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย (83%) ยุโรป (82%) และตลาดพัฒนาแล้วในเอเชีย (74%)

อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบแบบสำรวจ 61% กังวลว่าการที่เทคโนโลยีดิจิทัลใช้พลังงานปริมาณมากจะเป็นอุปสรรคต่อการนำ AI ไปใช้ในวงกว้าง โดยสิงคโปร์มีความกังวลสูงสุดที่ 85% ฟิลิปปินส์ 77% เขตบริหารพิเศษฮ่องกง 75% และไทย 65% นอกจากนี้ธุรกิจ 71% ยังเชื่อว่าการใช้พลังงานปริมาณมากของเทคโนโลยีดิจิทัลเช่น AI จะไม่คุ้มกับประโยชน์ที่จะได้รับ โดย 3 ตลาดที่กังวลเรื่องนี้สูงสุดคือสิงคโปร์ 86% ฟิลิปปินส์ 84% และมาเลเซีย 81%

รายงานฉบับนี้ยังเน้นให้เห็นความสำคัญของการเลือกผู้ให้บริการทางเทคโนโลยีที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ในมุมของการเลือกผู้ให้บริการคลาวด์ที่ “เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ธุรกิจประมาณครึ่งหนึ่งให้ความสำคัญกับผู้ให้บริการคลาวด์ที่ใช้พลังงานทดแทน (51%) ตามด้วยผู้ให้บริการที่คงไว้ซึ่งการดำเนินงานของดาต้าเซ็นเตอร์ที่ประหยัดพลังงาน (46%) และใช้แนวทางหรือมีโครงการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน (42%) ผู้ตอบแบบสำรวจในไทยให้ความสำคัญกับการเลือกผู้ให้บริการคลาวด์แตกต่างเล็กน้อย โดยจัดให้ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่ประหยัดพลังงานอยู่ในลำดับสูงสุด (51%) ตามด้วยผู้ให้บริการที่มีความมุ่งมั่นในอนาคตเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นนวัตกรรมหรือมีความยั่งยืน (41%) และผู้ให้บริการที่ใช้พลังงานทดแทนในการดำเนินงานดาต้าเซ็นเตอร์ (38%)

ความมุ่งมั่นต่อ AI ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมโอเพ่นซอร์ส

เซลิน่า หยวน ประธานฝ่ายธุรกิจระหว่างประเทศของอาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “การตอบแบบสำรวจของผู้มีอำนาจตัดสินใจจาก 13 ตลาด ทำให้รายงานการสำรวจนี้ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับทัศนคติ และความท้าทายในการใช้ AI และคลาวด์คอมพิวติ้งเพื่อความยั่งยืนที่ธุรกิจเผชิญในปัจจุบัน อาลีบาบา คลาวด์ มุ่งมั่นสนับสนุนการเดินบนเส้นทางแห่งความยั่งยืนของธุรกิจต่าง ๆ ด้วยโซลูชันที่ปรับขนาดการทำงานได้และยั่งยืน AI จะกลายเป็นเครื่องมือทรงพลังที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้เหมาะสม ด้วยคำมั่นของเราที่จะใช้พลังงานสะอาด 100% ภายในปี 2573 และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วโลกของเรา รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถให้กับ Generative AI เช่น ประสิทธิภาพของโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM)”

การดำเนินงานด้านคลาวด์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของอาลีบาบา คลาวด์ ประสบความสำเร็จอย่างสูง ข้อมูล ณ วันสิ้นสุดปีงบประมาณของบริษัทฯ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2567 เผยให้เห็นว่าการใช้พลังงานเฉลี่ย (PUE) ของดาต้าเซ็นเตอร์ที่บริษัทฯ สร้างเองมีประสิทธิภาพดีขึ้นเป็น 1.200 จาก 1.215 ในปีงบประมาณก่อนหน้า โดย 56% ของการใช้ไฟฟ้ามาจากแหล่งพลังงานสะอาด นอกจากนี้โครงสร้างพื้นฐานการประมวลผลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของอาลีบาบา ยังช่วยให้ลูกค้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 9.884 ล้านตัน ซึ่งลดได้เพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่งถึง 44% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ อาลีบาบา คลาวด์ ยังเป็นผู้นำในการช่วยให้การใช้ AI แพร่หลายมากขึ้น ผ่านการเปิดโอเพ่นซอร์สให้ธุรกิจทุกขนาดเข้าถึงเทคโนโลยี AI ขั้นสูงได้ด้วยค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม อาลีบาบา คลาวด์ เสริมแกร่งให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถสร้างแอปพลิเคชัน AI เฉพาะงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าใช้จ่าย ด้วยการเปิดโอเพ่นซอร์สโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่ล้ำสมัยของบริษัทฯ ในตระกูล Qwen ซึ่งรวมถึง Qwen2.5-VL และ Qwen2.5-1M และ Tongyi Wanxiang (Wan) ซึ่งเป็นโมเดลพื้นฐานด้านวิดีโอของ บริษัทฯ โมเดลโอเพ่นซอร์สเหล่านี้ ได้สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการสร้างโมเดลอนุพันธ์มากกว่า 100,000 โมเดล บน Hugging Face ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามารถรอบด้านของโมเดลเหล่านี้ และการนำไปใช้แพร่หลายทั่วโลก อาลีบาบา คลาวด์ สนับสนุนโมเดลที่มีขนาดพารามิเตอร์เล็กลง เพื่อลดค่าใช้จ่ายและลดการใช้พลังงานในการฝึกอบรมและปรับใช้ AI เป็นการส่งเสริมระบบนิเวศการทำงานร่วมกันที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมที่ประหยัดพลังงาน

รายงาน “Tech-Driven Sustainability Trends and Index 2024” ทำการสำรวจผู้มีอำนาจตัดสินใจ 1,300 รายใน 13 ตลาด มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณประโยชน์เกี่ยวกับภูมิทัศน์การพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์กร รายงานการสำรวจเน้นย้ำไปที่บทบาทสำคัญของเทคโนโลยีในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่สร้างผลกระทบสำคัญ และเน้นให้เห็นความจำเป็นที่ธุรกิจควรใช้ AI และคลาวด์คอมพิวติ้งอย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อขจัดความกังวลด้านการใช้พลังงานและลดช่องว่างของการทำงานด้านความยั่งยืน

เกี่ยวกับการสำรวจ

รายงาน “Tech-Driven Sustainability Trends and Index 2024” ของอาลีบาบา คลาวด์ จัดทำโดยอิสระโดย Yonder Consulting ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจ พร้อมด้วยการให้คำปรึกษา การออกแบบ และการวิเคราะห์จาก The Purpose Business ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน การสำรวจครั้งนี้เป็นการรวบรวมความคิดเห็นจากผู้นำธุรกิจและผู้บริหารระดับสูง 1,300 คนที่อยู่ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีและการสื่อสาร การเงิน โครงสร้างพื้นฐาน ทรัพยากรหมุนเวียน การดูแลสุขภาพ การขนส่ง ค้าปลีก และภาคการผลิต โดยทำการสำรวจจากวันที่ 10 พฤษภาคม ถึงวันที่ 19 มิถุนายน 2567

ผู้ตอบแบบสำรวจมาจากตลาด 13 แห่งในเอเชีย ยุโรป และ ตะวันออกกลาง ในเอเชียประกอบด้วย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ในยุโรปประกอบด้วย ฝรั่งเศส เยอรมนี และสหราชอาณาจักร และในตะวันออกกลางประกอบด้วย ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คำว่าตลาดที่พัฒนาแล้วในเอเชียหมายถึง เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ส่วนคำว่าตลาดเกิดใหม่ในเอเชียในที่นี้หมายถึง อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย