ดีดีพร็อพเพอร์ตี้คาดตลาดอสังหาฯ ปี 68 ยังคงเผชิญความท้าทายอีกครั้ง หวัง “เศรษฐกิจฟื้นตัว” ช่วยดันกำลังซื้อ สานฝันให้คนพร้อมมีบ้าน

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้คาดตลาดอสังหาฯ ปี 68 ยังคงเผชิญความท้าทายอีกครั้ง หวัง “เศรษฐกิจฟื้นตัว” ช่วยดันกำลังซื้อ สานฝันให้คนพร้อมมีบ้าน

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้คาดตลาดอสังหาฯ ปี 68 ยังคงเผชิญความท้าทายอีกครั้ง หวัง “เศรษฐกิจฟื้นตัว” ช่วยดันกำลังซื้อ สานฝันให้คนพร้อมมีบ้าน

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2567 ยังคงไม่ฟื้นตัวตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ เนื่องจากผู้บริโภคยังคงเผชิญกับความท้าทายทางการเงินที่มีต่อเนื่องมาจากปีก่อนหน้า แม้ภาครัฐจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ออกมาเพิ่มเติม แต่ก็ไม่แรงพอที่จะขับเคลื่อนการเติบโตอย่างชัดเจน แม้จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะดึงดูดใจผู้บริโภคที่ต้องเผชิญความท้าทายทางการเงินและแบกรับภาระหนี้มาอย่างยาวนาน ส่งผลให้กำลังซื้อในตลาดที่อยู่อาศัยยังคงชะลอตัวตามสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน 

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยรายงาน DDproperty Thailand Property Market Outlook 2568 รวบรวมข้อมูลเชิงวิเคราะห์และสรุปภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 พร้อมทั้งคาดการณ์แนวโน้มการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 เพื่อช่วยให้ผู้ซื้อ ผู้ขาย ผู้เช่า หรือนักลงทุนได้เข้าใจถึงสถานการณ์และความท้าทายในตลาดที่อยู่อาศัย และสามารถประเมินความพร้อมของสถานการณ์รอบด้าน รวมไปถึงตัดสินใจซื้อ/ขาย/เช่าและเดินบนเส้นทางอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

สรุปภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 67 ชะลอตัวตามกำลังซื้อ ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน  

ปี 2567 เป็นอีกปีที่ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงชะลออย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงไม่ฟื้นตัว ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อกำลังซื้อและความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดยเฉพาะในการซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงและมีระยะเวลาในการผ่อนชำระยาวนาน ผลกระทบทางเศรษฐกิจได้ทำให้ผู้บริโภคทั้งกลุ่มที่วางแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยไม่มีความพร้อมทางการเงินเพียงพอ และผู้ที่กำลังผ่อนบ้าน/คอนโดมิเนียมก็เริ่มประสบปัญหาในการผ่อนชำระเช่นกัน 

สอดคล้องกับรายงานของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือเครดิตบูโร พบว่า ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2567 หนี้ครัวเรือนในระบบเครดิตบูโร​อยู่ที่​13.6 ล้านล้านบาท (จากหนี้ครัวเรือนไทยทั้งหมด​ 16.3 ล้านล้านบาท) เติบโต​0.5% จากปีก่อนหน้า (YoY) โดยระดับหนี้เสีย (Non-Performing Loan: NPL) อยู่ที่ประมาณ​ 1.2 ล้านล้านบาท​ คิดเป็นสัดส่วน​8.8% ของ​หนี้รวม 13.6 ล้านล้านบาท​ เติบโต​3.4% จากไตรมาสก่อน (QoQ) และเติบโต 14.1% YoY ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (นับจากช่วงไตรมาส 4 ปี 2555) 

ด้วยเหตุนี้ ผู้บริโภคจึงเลือกเก็บออมเงินเพื่อเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ทุกเมื่อ แม้ในเดือนตุลาคม ปี 2567 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี ซึ่งถือเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี และเป็นปัจจัยบวกในการซื้อบ้านที่หลายคนรอคอย แต่เมื่อพิจารณาราคาที่อยู่อาศัยปัจจุบันที่ปรับเพิ่มขึ้นตามต้นทุนการก่อสร้าง พบว่าช่องว่างของราคาที่อยู่อาศัยกับความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงไม่สอดคล้องกันเท่าที่ควร ส่งผลให้ตลาดอสังหาฯ ในปีนี้ยังคงมีทิศทางชะลอตัว

ความต้องการซื้อ/เช่ายังโต กลายเป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ แต่การเงินคืออุปสรรคใหญ่ 

ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่า 50% ของผู้ตอบแบบสอบถามวางแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยในอีก 1 ปีข้างหน้า สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงมีความต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อพิจารณาความพร้อมทางการเงินพบว่ามีผู้บริโภคเพียง 33% เท่านั้นที่เก็บเงินเพียงพอที่จะซื้อบ้านแล้ว ขณะที่อีก 48% เก็บเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยได้เพียงครึ่งทาง และ 18% ยังไม่มีแผนเก็บเงินใด ๆ แสดงให้เห็นว่าการวางแผนทางการเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยอาจไม่ใช่เป้าหมายอันดับต้น ๆ อีกต่อไป

  • ดีมานด์ซื้อยังไม่แผ่ว ความสนใจคอนโดฯ ทั่วประเทศพุ่ง 19% แม้จะมีความท้าทายรอบด้าน แต่ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคในช่วงเดือนตุลาคม ปี 2567 จาก DataSense by PropertyGuru for Business ยังคงปรับเพิ่มขึ้นในทุกรูปแบบที่อยู่อาศัยเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (YoY) โดยเฉพาะคอนโดฯ มีความต้องการซื้อมากที่สุด เพิ่มขึ้น 19% YoY ตอบโจทย์เทรนด์การอยู่อาศัยปัจจุบันและมีราคาที่เอื้อมถึง รองลงมาคือที่อยู่อาศัยแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเท่ากันที่ 10% YoY

สำหรับระดับราคาที่อยู่อาศัยที่มีความต้องการซื้อมากที่สุดทั่วประเทศนั้น คอนโดฯ จะอยู่ที่ระดับราคา 1,000,001-2,000,000 บาท โดยเพิ่มขึ้น 7% YoY ทาวน์เฮ้าส์จะอยู่ที่ระดับราคา 1,000,001-2,000,000 บาทเช่นเดียวกัน เพิ่มขึ้น 11% YoY ขณะที่บ้านเดี่ยวอยู่ที่ระดับราคา 3,000,001-4,000,000 บาท เพิ่มขึ้นถึง 14% YoY ซึ่งเป็นระดับราคาที่อยู่ภายใต้มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์และตอบโจทย์กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ที่น่าสนใจคือบ้านเดี่ยวระดับราคา 10,000,001-20,000,000 บาท เพิ่มขึ้น 9% YoY สะท้อนให้เห็นว่าบ้านหรูยังมีทิศทางเติบโตเป็นบวก โดยมีดีมานด์มาจากกลุ่มผู้บริโภคระดับบนซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ 

เมื่อพิจารณาความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ พบว่ามีทิศทางสอดคล้องกับภาพรวมทั่วประเทศ โดยมีความสนใจซื้อเพิ่มขึ้นทุกรูปแบบที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะคอนโดฯ ที่ได้รับความสนใจมากที่สุด เพิ่มขึ้นถึง 16% YoY เนื่องจากเป็นรูปแบบที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยตามวิถีชีวิตของวัยเรียนและวัยทำงานที่กระจุกตัวอยู่ในเมืองหลวง รองลงมาคือบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ (เพิ่มขึ้น 9% YoY และ 6% YoY ตามลำดับ)

สำหรับระดับราคาที่อยู่อาศัยรูปแบบต่าง ๆ ที่มีความต้องการซื้อมากที่สุดในกรุงเทพฯ พบว่าระดับราคาบ้านเดี่ยวที่มีความต้องการซื้อมากที่สุดอยู่ที่10,000,001-20,000,000 บาท เพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง 11% YoY ตามมาด้วยคอนโดฯ อยู่ที่ระดับราคา 1,000,001-2,000,000 บาท เพิ่มขึ้น 1% YoY ส่วนทาวน์เฮ้าส์อยู่ที่ระดับราคา 2,000,001-3,000,000 บาท ทรงตัวจากปีก่อนหน้า 

อย่างไรก็ดี ข้อมูลจาก DataSense by PropertyGuru for Business พบว่า คอนโดฯ กลายมาเป็นรูปแบบที่อยู่อาศัยที่มีผู้ให้ความสนใจมากที่สุดในปี 2567 โดยมีสัดส่วนความต้องการซื้อ 44% ของรูปแบบที่อยู่อาศัยทั้งหมดทั่วประเทศ และครองสัดส่วนถึง 58% ของรูปแบบที่อยู่อาศัยทั้งหมดในกรุงเทพฯ แสดงให้เห็นถึงความนิยมที่อยู่อาศัยแนวดิ่งที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง เป็นโอกาสอันดีของผู้พัฒนาอสังหาฯ ในการที่จะเปิดตัวโครงการประเภทนี้เพิ่มเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่มีความต้องการแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค

  • ความต้องการเช่ายังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นคอนโดฯ ยืน 1 ครองใจคนเช่า สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวเป็นอีกปัจจัยที่ผลักดันให้ผู้บริโภคหันมาเช่าที่อยู่อาศัยแทน เพื่อลดผลกระทบทางด้านการเงิน ทำให้ตลาดเช่าที่อยู่อาศัยในปีนี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง สังเกตได้จากความต้องการเช่าทั่วประเทศเพิ่มขึ้นในทุกรูปแบบที่อยู่อาศัย แม้ว่าความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยแนวราบมีการเติบโตอย่างน่าสนใจ บ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้น 25% YoY รองลงมาคือทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 24% YoY และคอนโดฯ เพิ่มขึ้น 12% YoY

แต่หากพิจารณาจากสัดส่วนความต้องการเช่าตามรูปแบบที่อยู่อาศัยแล้วพบว่า คอนโดฯ มีสัดส่วนความต้องการเช่าสูงสุด สูงถึง 76% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมด รองลงมาคือบ้านเดี่ยว 15% และทาวน์เฮ้าส์ 9%

เมื่อแบ่งความต้องการเช่าทั่วประเทศตามระดับค่าเช่าที่ได้รับความนิยมมากที่สุด พบว่า คอนโดฯ ส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับค่าเช่า 7,501-10,000 บาท/เดือน ลดลง 12% YoY ขณะที่บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์อยู่ที่ระดับค่าเช่า 12,501-15,000 บาท/เดือนเช่นเดียวกัน โดยเพิ่มขึ้น 8% YoY และ 5% YoY ตามลำดับ ซึ่งถือเป็นระดับค่าเช่าที่สอดคล้องกับพื้นที่ใช้สอยที่ได้รับ

สำหรับตลาดเช่าที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ยังคงมีแนวโน้มเติบโตเช่นกัน โดยคอนโดฯ มีความต้องการเช่าเพิ่มขึ้น 10% YoY ขณะที่บ้านเดี่ยว เพิ่มขึ้น 30% YoY และทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น 23% YoY 

เช่นเดียวกับภาพรวมทั่วประเทศ คอนโดฯ ยังคงมีความสัดส่วนความต้องการเช่าสูงสุด สูงถึง 84% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมดในกรุงเทพฯ ส่วนบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ อยู่ที่ 8% เท่ากัน

สะท้อนให้เห็นเทรนด์การเช่าในเมืองหลวงที่ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี และยังสามารถโยกย้ายทำเลได้สะดวก สรุปได้ว่าเทรนด์การเช่านั้นเติบโตอย่างชัดเจนในทุกประเภทที่อยู่อาศัย

เมื่อแบ่งตามระดับค่าเช่าในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการเช่ามากที่สุด พบว่า คอนโดฯ ที่มีความต้องการเช่ามากที่สุดจะอยู่ที่ระดับค่าเช่า 7,501-10,000 บาท/เดือน ลดลง 18% YoY ด้านทาวน์เฮ้าส์อยู่ที่ระดับค่าเช่า 12,501-15,000 บาท/เดือน ลดลง 11% YoY ขณะที่บ้านเดี่ยวอยู่ที่ระดับค่าเช่า 100,001-200,000 บาท/เดือน เพิ่มขึ้น 38% YoY โดยนอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกและสไตล์การตกแต่งแล้ว การตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพยังเป็นอีกปัจจัยที่ผลักดันให้ระดับค่าเช่าบ้านเดี่ยวปรับสูงขึ้น ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้บริโภคระดับบนที่ไม่ต้องการย้ายถิ่นฐานถาวรหรือชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทย (Expat)

ตลาดอสังหาฯ ก้าวสู่ศักราชใหม่ปี 68 กับความท้าทายที่ต้องก้าวข้าม (อีกครั้ง) 

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้คาดการณ์ว่า ปัจจัยที่ต้องจับตามองและจะมีผลกับการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ปี 2568 ยังคงเป็นความท้าทายที่มาจากความไม่พร้อมทางด้านการเงินของผู้บริโภคเป็นหลัก อันเป็นผลต่อเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่แม้วิกฤติจะผ่านพ้นไปแล้วแต่ยังคงทิ้งร่องรอยไว้ ส่งผลให้เกิดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแบบรูปตัว K (K-Shaped Recovery) ซึ่งเป็นการฟื้นตัวเป็นแบบไม่เท่าเทียม โดยมีทั้งกลุ่มที่ฟื้นตัวได้ดีอย่างผู้บริโภคระดับบนซึ่งผลักดันให้ตลาดบ้านหรูยังคงเติบโต และกลุ่มที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างผู้บริโภคระดับล่าง-กลางที่ยังคงขาดสภาพคล่องทางการเงิน เมื่อยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยจึงผ่านการอนุมัติจากธนาคารได้ยาก ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) เผยว่า สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ 3 ไตรมาสแรกของปี 2567 มีมูลค่า 419,812 ล้านบาท ลดลง 16.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 ขณะเดียวกัน อัตราการปฏิเสธสินเชื่อ (Rejection Rate) ในปีนี้ยังอยู่ในระดับสูงกว่า 50% เช่นกัน

  • คนหาบ้านยังไม่หลุดพ้น “กับดักหนี้” ข้อมูลจากแบบสอบถามฯ Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่าแม้ว่าผู้บริโภคยังคงต้องการซื้อที่อยู่อาศัย แต่ยอมรับว่าอุปสรรคสำคัญในการขอสินเชื่อบ้านนั้นมาจากหน้าที่การงานที่ไม่มั่นคง (56%) และประวัติหนี้เสียในเครดิตบูโร (41%) ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่สะสมเป็นเวลานานจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และจะยังคงอยู่ในปี 2568 ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยยังคงทรงตัว 

 

ขณะเดียวกันข้อมูลของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่า ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2567 มีแนวโน้มการผิดชำระหนี้บ้านที่เร่งตัวขึ้น ทั้งการขยายตัวของมูลค่าหนี้เสียที่สูงถึง 23.2% จาก 18.2% ของไตรมาสก่อนหน้า และสัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นเป็น 4.34% จาก 3.98% ของไตรมาสก่อนหน้า โดยการผิดนัดชำระหนี้บ้านส่วนใหญ่จะเป็นที่อยู่อาศัยที่มีวงเงินสินเชื่อต่ำกว่า 3 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นการขาดสภาพคล่องทางการเงินในกลุ่มผู้บริโภคระดับล่างที่ยังคงฟื้นตัวได้ยาก เมื่อผู้บริโภคยังคงขาดความพร้อมทางการเงินในการกู้ซื้อที่อยู่อาศัย จะส่งผลให้จำนวนที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ มีแนวโน้มเหลือขายมากขึ้น โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบ ซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลาในการดูดซับพอสมควร

  • จับตาดีมานด์ที่อยู่อาศัย Upper Class ส่อแววชะลอตัว ที่อยู่อาศัยระดับ Upper Class ราคา 7-15 ล้านบาท อาจมีส่งสัญญาณน่าเป็นห่วงเนื่องจากจำนวนที่อยู่อาศัยมีจำนวนเพิ่มขึ้น สวนทางกับความต้องการซื้อที่เติบโตน้อยกว่า เช่น บ้านเดี่ยวระดับราคา 9,000,001-10,000,000 บาท (มีจำนวนเพิ่มขึ้น 24% YoY) และทาวน์เฮ้าส์ระดับราคา ตั้งแต่ 5,000,001-6,000,000 บาท (มีจำนวนเพิ่มขึ้น 17% YoY) เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการดูดซับอุปทานไปแล้วบางส่วน ประกอบกับการที่ผู้บริโภคบางส่วนยังคาดหวังว่าภาครัฐจะมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-Value: LTV) ออกมา จึงชะลอแผนการซื้อไว้ก่อน ส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยระดับนี้ไม่ได้เติบโตหวือหวาเท่าที่ควร
  • อนาคตตลาดเช่ายังสดใส คนหวังลดภาระทางการเงิน ด้านตลาดเช่าที่อยู่อาศัยยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในปี 2568 เนื่องจากผู้บริโภคยังเผชิญความท้าทายทางการเงินเมื่อต้องกู้ซื้อที่อยู่อาศัย จึงหันมาเลือกเช่าแทน หากพิจารณาในกรุงเทพฯ พบว่าความต้องการเช่ายังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะคอนโดฯ ดังนั้น คอนโดฯ ให้เช่าในเมืองหลวงจึงยังคงมีโอกาสเติบโตได้ดีกว่า
  • หวังภาครัฐผนึกแบงก์จัดมาตรการอสังหาฯ ที่ตรงจุด ช่วยดันตลาดฟื้นแรง อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 คาดว่า เศรษฐกิจจะขยายตัว 2.8-3% จากภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตเพิ่มขึ้น รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลง ปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณบวกที่ส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคและดึงดูดให้เกิดความเชื่อมั่นในการใช้จ่าย ซึ่งจะทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มฟื้นตัวตามไปด้วย นอกจากนี้ ปัจจัยที่จะมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ปี 2568 คือมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์จากภาครัฐที่ตอบโจทย์ได้ตรงจุด ซึ่งควรเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและสถาบันทางการเงินเพื่อจัดสรรมาตรการที่เหมาะสมกับสภาพตลาดในปัจจุบัน เนื่องจากหลายธนาคารยังคงมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่เข้มงวด จึงทำให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อ (Rejection Rate) อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่ไม่เอื้อให้ผู้บริโภคเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ตามที่หวัง 

ขณะเดียวกัน ภาครัฐควรพิจารณาจัดสรรมาตรการบรรเทาภาระหนี้ที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตให้กับผู้บริโภค เพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินและแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงให้ขยายตัวช้าลง ซึ่งหากผู้บริโภคได้รับมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ที่ตรงจุดและตอบโจทย์ทางการเงินเข้ามาช่วยสนับสนุนการซื้อบ้านในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว คาดว่าจะเป็นอีกฟันเฟืองสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ตลาดอสังหาฯ กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง

หมายเหตุ: DDproperty Thailand Property Market Outlook เป็นรายงานภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่วิเคราะห์และคาดการณ์ทิศทางตลาดอสังหาฯ จากการรวบรวมข้อมูลดัชนีความต้องการ (Demand  Index) และดัชนีอุปทาน (Supply Index) ของที่อยู่อาศัยประเภทต่าง ๆ ทั้งในตลาดซื้อ-ขาย และตลาดเช่า รวมไปถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (Consumer Sentiment) ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา นำมาวิเคราะห์ต่อยอด เพื่อช่วยให้ผู้ซื้อ ผู้ขาย ผู้เช่าอสังหาฯ หรือนักลงทุนได้เข้าใจถึงสถานการณ์ความเคลื่อนไหวในตลาดอสังหาฯ อีกทั้งยังช่วยให้สามารถวางแผนหรือตัดสินใจซื้อ-ขาย-เช่าได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

5 แนวทางเสริมเกราะป้องกันภัย เลือกซื้อบ้านอย่างไรให้ปลอดภัยจากมิจฉาชีพ

5 แนวทางเสริมเกราะป้องกันภัย เลือกซื้อบ้านอย่างไรให้ปลอดภัยจากมิจฉาชีพ

5 แนวทางเสริมเกราะป้องกันภัย เลือกซื้อบ้านอย่างไรให้ปลอดภัยจากมิจฉาชีพ

ปัจจุบันการประกาศขาย/ให้เช่าที่อยู่อาศัยสะดวกสบายมากขึ้นเนื่องจากมีหลากหลายช่องทางเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ ขณะที่ผู้บริโภคเองก็สามารถหาข้อมูลบ้าน/คอนโดฯ ที่ต้องการได้ง่ายขึ้นเช่นกันเพียงปลายนิ้วคลิก โดยสิ่งที่ทำให้การเลือกซื้อที่อยู่อาศัยต่างจากการซื้อขายสินค้าทั่วไปคืออสังหาริมทรัพย์ถือเป็นทรัพย์สินที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ ผู้สนใจซื้อจะสามารถเห็นสินค้าจริงและตัดสินใจได้ดีที่สุดเมื่อไปเยี่ยมชมที่โครงการด้วยตนเองเท่านั้น ดังนั้นการตัดสินใจซื้อ/เช่าจากการอ่านประกาศขายเพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ และกลายเป็นช่องโหว่ให้ผู้ไม่ประสงค์ดีใช้หลอกลวงผู้อื่นเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ได้เช่นกัน 

รายงานของ ACI Worldwide เรื่อง It’s Prime Time for Real-Time 2023 พบว่า ประเทศที่ใช้ระบบการเงินแบบโอนและรับเงินได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมง (Real-time payment) ในอัตราที่สูง มีแนวโน้มจะมีภัยการเงินสูงตามไปด้วย ซึ่งไทยมีอัตราการหลอกลวงเป็นอันดับ 6 ของโลกอยู่ที่ 25.7% เลยทีเดียว และการหลอกให้ซื้อขายสินค้าหรือบริการออนไลน์ คือ ประเภทคดีที่มีสถิติการแจ้งความออนไลน์สูงที่สุดในปี 2566 สะท้อนให้เห็นว่าภัยการหลอกลวงทางการเงินอยู่ใกล้ตัวกว่าที่เราคิดและมิจฉาชีพเหล่านี้ต่างพยายามสรรหากลลวงใหม่ ๆ ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่วงการซื้อ/ขายหรือให้เช่าอสังหาฯ ดังนั้นไม่ว่าผู้บริโภคจะทำธุรกรรมทางการเงินใด ๆ ก็ควรตระหนักและระมัดระวังเรื่องการโอนเงินและรับเงินไว้เสมอ

5 แนวทางเสริมเกราะป้องกันมิจฉาชีพ เช็กให้ชัวร์ไม่ตกเป็นเหยื่อเมื่อต้องการซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัย

เมื่ออยู่ในขั้นตอนการค้นหาที่อยู่อาศัย บางครั้งผู้วางแผนซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยไม่ได้มีข้อมูลยืนยันตัวตนมากเพียงพอให้นำไปตรวจสอบได้ ทำให้เกิดความกังวลเรื่องความน่าเชื่อถือหรือหวาดระแวงว่าจะตกหลุมพรางของมิจฉาชีพ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย ขอแนะนำ 5 แนวทางเสริมเกราะป้องกันมิจฉาชีพเมื่อเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัย มีประเด็นใดบ้างที่ผู้วางแผนซื้อ/เช่าอสังหาฯ ควรตรวจสอบก่อนทำธุรกรรม เพื่อปิดช่องโหว่ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อจนสูญเสียทรัพย์สินและข้อมูลส่วนตัวให้กับผู้ไม่ประสงค์ดี

  1. เช็กความน่าเชื่อถือของแหล่งประกาศขาย/ให้เช่า ปัจจุบันมีหลากหลายช่องทางในการลงประกาศขาย/ให้เช่าที่อยู่อาศัยทั้งในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ ซึ่งมีจุดเด่นที่แตกต่างกันเพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ดังนั้น ผู้บริโภคที่ต้องการค้นหาที่อยู่อาศัยจึงต้องพิจารณาความน่าเชื่อถือของแหล่งลงประกาศด้วยเช่นกัน หากเห็นป้ายโฆษณาตามที่สาธารณะควรถ่ายภาพเก็บไว้เพื่อนำมาค้นหาข้อมูลทางออนไลน์และเช็กรายละเอียดต่าง ๆ เช่น เปรียบเทียบราคาขาย/ให้เช่าในตลาด ตรวจสอบว่าทำเลที่ตั้งโครงการเป็นพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมขังหรือไม่ เช็กว่าโครงการนั้นเคยมีข้อพิพาทหรือมีคดีความที่ยังไม่สิ้นสุดกับชุมชนใกล้เคียงหรือหน่วยงานอื่น ๆ หรือไม่ รวมทั้งเช็กข่าวต่าง ๆ เกี่ยวกับโครงการในอดีตเพื่อประกอบการตัดสินใจ หรือไปที่โครงการเพื่อดูประกาศขาย/ให้เช่าเพิ่มเติมจากผู้อยู่อาศัยในโครงการนั้น ๆ โดยตรง

นอกจากนี้ การค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยผ่านช่องทางออนไลน์ยังเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุดของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เผยว่า 9 ใน 10 ของผู้บริโภคนิยมค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก เนื่องจากมีความสะดวกและสามารถเลือกช่องทางค้นหาที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ได้ ทั้งนี้ ผู้บริโภคควรเลือกค้นหาในช่องทางออนไลน์ที่น่าเชื่อถืออย่างเช่นเว็บไซต์โครงการโดยตรง หรือเว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้ซึ่งจะรวบรวมทั้งโครงการเปิดใหม่จากผู้พัฒนาอสังหาฯ และโครงการรีเซลหรือโครงการมือสองไว้ในที่เดียวกันอย่าง www.DDproperty.com ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจและช่วยประหยัดเวลาสำหรับการซื้อบ้านยุคดิจิทัลนี้ ลดเวลาที่ผู้บริโภคต้องค้นหาโครงการมากมายได้เป็นอย่างดี

  1. เช็กประวัติและผลงานก่อนเลือกใช้เอเจนต์อสังหาฯ หรือเลือกใช้เอเจนต์ที่ได้รับการยืนยันตัวตน (Agent Verification) การซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยต้องใช้เวลาในการดำเนินการต่าง ๆ พอสมควร ทำให้หลายคนเลือกใช้เอเจนต์อสังหาฯ มาเป็นผู้ช่วยเพื่อลดความยุ่งยากในการดำเนินการ ข้อมูลจากแบบสอบถามฯ DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่า ปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคกว่า 2 ใน 3 (69%) ใช้ในการพิจารณาเลือกเอเจนต์อสังหาฯ มาจากความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเป็นหลัก เนื่องจากช่วยสร้างความมั่นใจว่าจะได้รับบริการที่ตอบโจทย์ได้ตรงจุดมากขึ้น รองลงมาคือความยาวนานของประสบการณ์ 61% และชื่อเสียงของเอเจนต์ 55% นอกจากนี้ ความเชี่ยวชาญของเอเจนต์อสังหาฯ ที่ผู้บริโภคต้องการมากที่สุด ได้แก่ ทักษะการสื่อสาร 31% รองลงมาคือมีความรู้ด้านกฎหมาย 21% รวมทั้งมีทักษะทางการเงินและมีทักษะด้านการตลาด ในสัดส่วนเท่ากันที่ 16% ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่จะช่วยส่งเสริมให้การเจรจาต่อรองและทำธุรกรรมเป็นไปได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผู้บริโภคควรพิจารณาก่อนเลือกใช้เอเจนต์อสังหาฯ คือการนำข้อมูลเบื้องต้นของเอเจนต์มาตรวจสอบประวัติ ผลงานที่ผ่านมา รวมทั้งรีวิวจากลูกค้าท่านอื่นที่เคยใช้บริการ ก่อนจะติดต่อพูดคุยในเบื้องต้นเพื่อขอข้อมูลโครงการในทำเลที่เอเจนต์นั้น ๆ มีความเชี่ยวชาญหรือมีเครือข่ายเพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนเลือกใช้อีกครั้ง โดยสามารถเลือกใช้ “เอเจนต์ที่ได้รับการยืนยันตัวตน (Agent Verification)” บนเว็บไซต์ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ที่รวบรวมเอเจนต์อสังหาฯ ที่ผ่านการลงทะเบียนเรียบร้อย ซึ่งจะแสดงข้อมูลการติดต่อที่ชัดเจนและความเชี่ยวชาญเบื้องต้นของแต่ละเอเจนต์เป็นข้อมูลให้ผู้บริโภคได้พิจารณา โดยสามารถสังเกตได้จากป้ายสัญลักษณ์สีเขียว “ยืนยันตัวตน” หรือ “Verified” ถือเป็นอีกตัวเลือกที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจและคลายกังวลให้ผู้บริโภคที่มองหาเอเจนต์ 

  1. เช็กคุณภาพด้วยการเยี่ยมชมโครงการจริง การไปเยี่ยมชมโครงการจริงเพื่อสำรวจคุณภาพงานก่อสร้างและงานตกแต่งจะช่วยในการตัดสินใจได้ดีที่สุด โดยเมื่อผู้บริโภคได้สัมผัสบรรยากาศจริงของโครงการจะทำให้ประเมินความพึงพอใจควบคู่ไปกับราคาขาย/เช่าได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ได้เห็นสภาพแวดล้อมจริงและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ของโครงการว่าเหมาะสมกับค่าส่วนกลางที่ต้องจ่ายมากน้อยเพียงใด รวมทั้งยังได้เห็นสภาพแวดล้อมของชุมชมข้างเคียงเพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนทำสัญญาจะซื้อจะขายและวางเงินมัดจำ นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสดีที่จะได้พบตัวจริงของผู้ขายหรือเอเจนต์เพื่อพูดคุยและเจรจาต่อรองเรื่องราคาอีกด้วย
  2. เช็กเอกสารสิทธิ์และผู้ถือกรรมสิทธิ์ตัวจริง เมื่อได้ที่อยู่อาศัยที่ถูกใจแล้ว ผู้จะซื้อควรตกลงราคาขายและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ กับผู้จะขายหรือเอเจนต์ให้ชัดเจนก่อนตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขาย ซึ่งขั้นตอนนี้ถือเป็นโอกาสของผู้จะซื้อในการตรวจสอบเอกสารสิทธิ์เบื้องต้นจากเอกสารแสดงข้อมูลส่วนตัวที่ผู้จะขายแนบมาพร้อมกับสัญญาจะซื้อจะขาย ได้แก่ สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้จะขาย รวมทั้งเอกสารสิทธิ์ที่ดินหรือหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ต่าง ๆ ดังนี้
  • ตรวจสอบอสังหาริมทรัพย์ที่จะซื้อขาย ผู้จะซื้อควรตรวจสอบว่าอสังหาฯ ที่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อจะขายนั้นตรงกับที่ปรากฏในเอกสารสิทธิ์หรือไม่ โดยดูจากเลขที่ของเอกสารสิทธิ์ หากเป็นอสังหาริมทรัพย์แนวราบและที่ดินเปล่าให้ดูที่เลขที่โฉนด ซึ่งจะมีเลขที่ดินและที่ตั้งของที่ดินว่าอยู่บริเวณใด ในกรณีที่เป็นคอนโดมิเนียมให้เทียบกับหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุด (อ.ช.2) แทน โดยดูรายละเอียดของห้องชุดและที่ตั้งของโครงการว่าตรงกับยูนิตที่สนใจจะซื้อหรือไม่
  • ตรวจสอบผู้ถือกรรมสิทธิ์ว่าผู้จะขายนั้นเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่จะขายจริง เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ที่จะซื้อจะขายนั้น ๆ โดยตรวจสอบจากการเทียบความตรงกับชื่อผู้จะขาย เลขที่บัตรประชาชนให้ตรงกันทั้งที่ปรากฏบนสัญญาจะซื้อจะขาย บนสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และบนเอกสารสิทธิ์ นอกจากนี้ บนโฉนดที่ดินจะมีชื่อและที่อยู่ของผู้ถือกรรมสิทธิ์คนแรกอยู่ กรณีที่ผู้จะขายไม่ใช่ผู้จะถือกรรมสิทธิ์คนแรกก็จะต้องมีชื่อของผู้จะขายอยู่ในโฉนดที่ดินตัวจริง ซึ่งจะแสดงชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ทุกรายในอดีต และระบุวันที่ออกโฉนดเอาไว้ด้วย หากเช็กแล้วเกิดข้อสงสัย ควรไปที่สำนักงานที่ดินเพื่อขอสำเนาโฉนดที่ดินที่สำนักงานที่ดินเก็บไว้อีกฉบับมาเปรียบเทียบกันเพื่อตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง
  • ตรวจสอบรายละเอียดของอสังหาฯ ผู้จะซื้อสามารถตรวจสอบข้อมูลจากเอกสารสิทธิ์ที่ดินนั้นว่าตรงกับในประกาศขายหรือไม่ โดยเอกสารสิทธิ์ที่ดินจะแสดงข้อมูลขนาดและรายละเอียดต่าง ๆ ของที่ดิน รวมไปถึงแนวเขตของที่ดินซึ่งติดต่อกับที่ดินข้างเคียง และหมายเลขหลักเขตที่ดินอีกด้วย ส่วนห้องชุดควรตรวจสอบรายละเอียดต่าง ๆ ได้แก่ ขนาดพื้นที่ใช้สอย พื้นที่ในห้อง พื้นที่ระเบียง ผังของห้องชุด สัดส่วนกรรมสิทธิ์ของพื้นที่ห้องชุดต่อทรัพย์สินส่วนกลาง หากซื้อคอนโดฯ พร้อมพื้นที่จอดรถ ก็จะต้องแสดงพื้นที่จอดรถในเอกสารสิทธิ์ด้วย
  • ตรวจสอบภาระต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อีกหนึ่งประเด็นที่ควรตรวจสอบเพื่อป้องกันการถูกรอนสิทธิคือเรื่องภาระจำยอมที่ผูกพันอยู่กับที่ดิน เช่น เป็นทางสาธารณะที่ถูกใช้เป็นทางผ่านเป็นประจำ เป็นต้น ซึ่งมีระบุไว้ในเอกสารสิทธิ์ที่ดิน นอกจากนี้ควรตรวจสอบเรื่องทางเข้าออกว่าที่ดินนั้นติดถนนหรือทางสาธารณะจริงหรือไม่ รวมถึงตรวจสอบประวัติว่าที่ดินติดจำนองอยู่หรือไม่ โดยเอกสารสิทธิ์จะแสดงประวัติการจดนิติกรรมที่ผ่านมาไว้ทั้งหมด ในกรณีที่เป็นการซื้อทรัพย์สินรอการขาย (Non-Performing Asset หรือ NPA) ควรตรวจสอบว่าเจ้าของเดิมได้ย้ายออกไปเรียบร้อยแล้วหรือไม่ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจตามมาในภายหลัง
  1. เช็กรายละเอียดสัญญาให้รอบคอบก่อนทำธุรกรรม ผู้บริโภคควรใส่ใจอ่านรายละเอียดที่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อจะขายให้รอบคอบเนื่องจากจะมีผลผูกมัดและเกี่ยวเนื่องกับการทำธุรกรรมซื้อขายในอนาคต โดยในสัญญาจะซื้อจะขายต้องระบุรายละเอียดการจัดทำสัญญา รายละเอียดของคู่สัญญา รายละเอียดอสังหาฯ ที่ทำการซื้อ ราคาขายที่ตกลงกันและการชำระเงิน รายละเอียดการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และการส่งมอบอสังหาฯ รวมไปถึงเงื่อนไขต่าง ๆ หากผิดสัญญาหรือเกิดการระงับสัญญา

โดยในวันที่ทำสัญญาจะต้องมีผู้จะซื้อและผู้จะขายลงนามในสัญญา พร้อมทั้งพยานอีกฝ่ายละ 1 คนร่วมลงชื่อรับทราบ โดยสัญญาจะซื้อจะขายจะทำขึ้น 2 ฉบับ มีข้อความถูกต้องตรงกันและมอบให้คู่สัญญาเก็บไว้ฝ่ายละ 1 ฉบับ ซึ่งหากมีการผิดสัญญาเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นผู้จะซื้อหรือจะขาย จะได้รับผลทางกฎหมายตามเงื่อนไขในสัญญาที่ระบุไว้

สิ่งสำคัญที่ผู้บริโภคควรให้ความสำคัญคือการตรวจสอบข้อมูลและเอกสารสัญญากรรมสิทธิ์ต่าง ๆ ให้เรียบร้อยก่อนจะทำการวางมัดจำหรือชำระเงิน โดยควรตรวจสอบชื่อบัญชีที่จะโอนให้ตรงกับชื่อเจ้าของบ้าน/คอนโดฯ ตัวจริง โดยสอบถามจากนิติบุคคลหรือขอเช็กกับชื่อในเอกสารการไฟฟ้าหรือค่าส่วนกลางของนิติบุคคล หลีกเลี่ยงการจ่ายเป็นเงินสดเพื่อให้มีหลักฐานในการทำธุรกรรม และจ่ายตรงให้กับเจ้าของอสังหาฯ หรือผู้ถือกรรมสิทธิ์ตัวจริงเท่านั้น ไม่ผ่านคนกลางหรือเอเจนต์เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาตามมาในภายหลัง 

“รอบคอบ – ไม่ประมาท” คาถาศักดิ์สิทธิ์ปิดช่องโหว่กันภัยหลอกลวงเมื่อเป็นผู้ขาย

อย่างไรก็ดี ในมุมของผู้ขาย/ให้เช่านั้นก็ไม่ควรละเลยการปิดช่องโหว่เพื่อป้องกันไม่ไห้ตกเป็นเป้าของมิจฉาชีพเช่นกัน โดยควรเลือกประกาศขาย/ให้เช่าอสังหาฯ ในเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่นิยมในหมู่คนหาบ้านเพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มากขึ้น และเพิ่มความรอบคอบในทุกขั้นตอน ดังนี้

  • อ่านนโยบายอย่างละเอียดก่อนลงประกาศ ก่อนตัดสินใจลงทะเบียนประกาศขาย/ให้เช่าในเว็บไซต์ใด ๆ ควรอ่านนโยบายความเป็นส่วนตัวให้เข้าใจชัดเจนก่อนว่าเว็บไซต์นั้นจะนำข้อมูลส่วนตัวที่กรอกไปใช้ทำอะไรบ้าง โดยเว็บไซต์นั้นไม่ควรนำข้อมูลของคุณไปให้แก่บุคคลอื่นใดโดยเด็ดขาด เพื่อปิดความเสี่ยงที่ข้อมูลนั้นจะถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม 
  • ลงประกาศโดยระบุข้อมูลพื้นฐานของอสังหาฯ นั้นเป็นหลัก เช่น ราคาขาย สถานที่ตั้งโครงการ สภาพแวดล้อม ส่วนกลาง เป็นต้น พร้อมทั้งบอกจุดเด่นที่ดึงดูดความสนใจ อาทิ แถมเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือออกแบบและตกแต่งใหม่ด้วยเฟอร์นิเจอร์บิลท์อิน (Built-in) ฯลฯ โดยลงรายละเอียดของผู้ประกาศและช่องทางติดต่อให้ชัดเจน และควรลงรูปภาพบ้าน/คอนโดฯ ที่ถ่ายเองโดยใส่ลายน้ำและข้อมูลการติดต่อไว้เพื่อป้องกันการโดนผู้อื่นนำไปแอบอ้าง หรือหากมีการนำภาพของโครงการมาใช้ประกอบก็ควรระบุรายละเอียดของแหล่งที่มาให้ครบถ้วนเช่นกัน
  • ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป ผู้ประกาศไม่ควรเปิดเผยรายละเอียดข้อมูลส่วนตัวจนมากเกินไป เนื่องจากมิจฉาชีพอาจนำไปใช้สร้างบัญชีโซเชียลมีเดียปลอมเพื่อหลอกลวงคนอื่นต่อได้ รวมทั้งไม่ควรเผยแพร่ข้อมูลเอกสารสำคัญและเอกสารทางราชการโดยเด็ดขาด เช่น สัญญาและโฉนดที่ดิน 
  • ติดตามประกาศอัปเดตจากเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการใช้งานหรือนโยบายของเว็บไซต์นั้น ๆ หากเจอลิงก์ไปยังหน้าเว็บไซต์แปลก ๆ หรือลิงก์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ ให้รายงานไปยังแพลตฟอร์มและบล็อกการติดต่อทันที 
  • หลีกเลี่ยงการฝากกุญแจไว้กับเอเจนต์ที่ไม่มีข้อมูลยืนยันตัวตนที่ชัดเจน ผู้ประกาศขาย/ให้เช่าไม่ควรฝากกุญแจหรือคีย์การ์ดบ้าน/คอนโดฯ ไว้กับเอเจนต์อสังหาฯ ที่ไม่มีข้อมูลยืนยันตัวตนที่ชัดเจนหรือไม่มีสังกัดรับรอง เนื่องจากมิจฉาชีพบางคนได้ใช้กลโกงแอบอ้างเป็นเอเจนต์อสังหาฯ มาเสนอตัวเพื่อติดต่อหาผู้ซื้อ/ผู้เช่าให้ เมื่อเก็บกุญแจหรือคีย์การ์ดไว้กับตัวเองก็แอบเข้าพักอาศัยในบ้าน/คอนโดฯ ที่ประกาศขาย/ให้เช่าโดยที่เจ้าของไม่ทราบ และบางครั้งก็ขโมยสิ่งของภายในที่พักนั้น ๆ ก่อนหลบหนีไป ดังนั้น ผู้ขาย/ให้เช่าจึงไม่ควรฝากกุญแจหรือคีย์การ์ดไว้ที่เอเจนต์นานจนเกินไป รวมทั้งควรเข้าไปตรวจสอบความเรียบร้อยของอสังหาฯ ที่ประกาศขาย/ให้เช่าอย่างสม่ำเสมอ หรือหมั่นตรวจสอบบิลค่าน้ำและค่าไฟว่าสูงผิดปกติจากเดือนอื่นหรือไม่ หรือเปลี่ยนมาใช้กลอนประตูดิจิตอล (Digital Door Lock) และตั้งค่ารหัสผ่านใหม่ทุกครั้งหลังจากเอเจนต์พาผู้สนใจมาขอดูห้อง

ทั้งนี้ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แหล่งรวบรวมข้อมูลประกาศซื้อ/ขาย/ให้เช่าที่อยู่อาศัยในหลากหลายทำเลศักยภาพทั่วประเทศ ให้ความสำคัญกับนโยบายความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานและดำเนินงานภายใต้กฎหมายความเป็นส่วนตัวในประเทศในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล ผู้ใช้งานทุกคนสามารถมั่นใจได้ว่าทุกเส้นทางการค้นหาที่อยู่อาศัยบนเว็บไซต์จะได้รับความคุ้มครองอยู่เสมอ 

สำหรับการลงประกาศขาย/ให้เช่ากับทางดีดีพร็อพเพอร์ตี้ ผู้ที่สนใจจะต้องกรอกแบบฟอร์มผ่านแพลตฟอร์มของดีดีพร็อพเพอร์ตี้หรือติดต่อทางโทรศัพท์ผ่านเบอร์ 0 2-204-9555 เพื่อแจ้งความประสงค์ในการใช้งาน โดยเจ้าหน้าที่ของดีดีพร็อพเพอร์ตี้จะติดต่อกลับผ่านเบอร์โทรศัพท์ดังกล่าวเท่านั้น หากจำเป็นต้องมีการส่งข้อความ SMS จะแสดงชื่อผู้ส่งในนาม DDproperty เสมอ ทั้งนี้ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ไม่มีนโยบายให้พนักงานติดต่อเพื่อเรียกเก็บเงินจากการใช้งานที่เกิดขึ้นผ่านช่องทางอื่นนอกเหนือจากช่องทางที่กล่าวมาข้างต้น

และในกรณีที่เป็นผู้ที่สนใจจะซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยจะดำเนินการซื้อ-ขายโดยติดต่อกับเจ้าของประกาศอสังหาฯ โดยตรงเท่านั้น จะไม่มีเจ้าหน้าที่จากดีดีพร็อพเพอร์ตี้ดำเนินการในส่วนนี้แต่อย่างใด หากพบผู้แอบอ้างเรียกเก็บเงินเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินการดังกล่าวหรือเรียกรับผลประโยชน์อื่นใด ผู้ใช้ไม่ต้องดำเนินการใด ๆ ตามที่มิจฉาชีพแจ้งโดยเด็ดขาด สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ support@ddproperty.com 

เจาะลึกหัวใจคนโสดยุค “Solo Economy” กับการวางแผนที่อยู่อาศัยในฝัน

เจาะลึกหัวใจคนโสดยุค “Solo Economy” กับการวางแผนที่อยู่อาศัยในฝัน

เจาะลึกหัวใจคนโสดยุค “Solo Economy” กับการวางแผนที่อยู่อาศัยในฝัน

ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Aged Society) โดยประชากรเกิดใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง  ด้วยความท้าทายหลายด้านจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว จึงทำให้เกิดความกังวลในการสร้างครอบครัว หลายคนเลือกจะครองตัวเป็นโสดมากขึ้นส่งผลกระทบต่อมิติเศรษฐกิจในอนาคต ข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (SES) ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2566 พบว่า 1 ใน 5 ของคนไทยเป็นโสด โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 23.9% และหากพิจารณาเฉพาะช่วงวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 15-49 ปี) พบว่า มีคนโสดอยู่ที่ 40.5% สูงกว่าภาพรวมประเทศเกือบเท่าตัว โดยกรุงเทพฯ มีสัดส่วนคนโสดต่อประชากรในพื้นที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ ถึง 50.4% 

ขณะเดียวกัน สัดส่วนการแต่งงานในปัจจุบันก็มีแนวโน้มลดลง ข้อมูลจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยพบว่าสถิติการจดทะเบียนสมรสลดลงและการหย่าร้างมากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าความท้าทายในการใช้ชีวิตคู่เป็นอีกปัจจัยที่ผลักดันให้ Solo Economy หรือเศรษฐกิจของครัวเรือนที่อาศัยอยู่คนเดียว (Single person household) มีการขยายตัวมากขึ้นและมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในไทย โดยคนโสดเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงเนื่องจากมีภาระทางการเงินน้อยกว่ากลุ่มมีครอบครัวหรือมีบุตร และมีอิสระในการใช้จ่ายเพื่อความสุขมากกว่า จึงกลายเป็นโอกาสของหลายธุรกิจในการปรับตัวเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายนี้

เกาะติดเทรนด์ที่อยู่อาศัยวิถีชาว Solo Economy 

การขยายตัวของ Solo Economy ในไทยส่งผลให้วิถีชีวิตผู้บริโภคปรับเปลี่ยนตามไปด้วยในหลายมิติ ซึ่งรวมทั้งเทรนด์การค้นหาที่อยู่อาศัย หลังจากก่อนหน้านี้วัยทำงานมักเริ่มวางแผนซื้อบ้านเมื่อต้องการสร้างครอบครัวเป็นอันดับต้น ๆ อย่างไรก็ดี คนโสดยังคงต้องการบ้านในฝันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เช่นกัน ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยเทรนด์ที่อยู่อาศัยตอบโจทย์คนโสดหรือผู้ที่อาศัยอยู่คนเดียว ปัจจัยใดบ้างที่ผู้บริโภคกลุ่มนี้ควรพิจารณาเมื่อเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยเพื่อให้มาเติมเต็มไลฟ์สไตล์ที่เน้นดูแลตัวเองได้อย่างเต็มที่

  • การเช่าตอบโจทย์ ลดภาระในอนาคต ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุดของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) พบว่า ผู้ทำแบบสอบถามที่มีสถานะโสดวางแผนจะเช่าที่อยู่อาศัยใน 1 ปีข้างหน้า 14% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของผู้บริโภคทั่วไป (สัดส่วน 10%) และสูงกว่าผู้บริโภคในสถานภาพสมรสอื่น ๆ สะท้อนให้เห็นว่า เทรนด์การเช่าบ้าน/คอนโดฯ ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนโสดมากกว่า เนื่องจากไม่ต้องการแบกรับภาระหนี้จากการซื้อที่อยู่อาศัยที่มีระยะเวลาผ่อนชำระยาวนาน และมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการบำรุงรักษาตามมามากกว่าการเช่า ขณะที่ปัจจุบันธนาคารมีเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อลดการเกิดหนี้เสีย ทำให้หลายคนเลือกใช้วิธีกู้ร่วมกับคนรักเพื่อให้ได้วงเงินที่สูงขึ้นและครอบคลุมราคาบ้านที่ต้องการแทน

อย่างไรก็ดี แม้คนโสดจะสามารถกู้ซื้อบ้านร่วมกับคนในครอบครัวได้ แต่หลายคนมักให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินในระยะยาว และเน้นใช้ชีวิตให้มีความสุขมากกว่าต้องมากังวลกับภาระหนี้ การซื้อบ้านจึงอาจไม่ใช่เป้าหมายสำคัญอันดับต้น ๆ เนื่องจากยังสามารถเลือกการเช่าแทนได้และยังช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน อีกทั้งยังสะดวกในการโยกย้ายหากต้องการเปลี่ยนงานหรือย้ายทำเลมากกว่า นอกจากนี้ คนโสดยังไม่ต้องการพื้นที่ใช้สอยที่มากเกินความจำเป็น ทำให้มักจะเลือกที่อยู่อาศัยที่มีขนาดเหมาะสมกับการอยู่อาศัยจริงที่ค่าเช่าไม่สูงจนเกินไป

  • ระบบรักษาความปลอดภัยต้องรัดกุม ที่อยู่อาศัยในฝันของหลายคนคือโครงการที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมและมีการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มายกระดับความปลอดภัยให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อผู้อยู่อาศัยทุกคนโดยเฉพาะคนที่อยู่เพียงลำพัง โดยผู้บริโภคสามารถสอบถามนิติบุคคลถึงระบบรักษาความปลอดภัยที่โครงการมีให้ เช่น มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมงและมีการเดินตรวจตราครอบคลุมทุกพื้นที่ มีกล้องวงจรปิดทั่วทั้งโครงการ ใช้ระบบลิฟต์ล็อกชั้นสำหรับคอนโดฯ ผู้อยู่อาศัยเข้า-ออกโครงการด้วยระบบคีย์การ์ด มีการตรวจสอบ/คัดกรองบุคคลที่มาติดต่อในโครงการอย่างเคร่งครัด และมีมาตรฐานการเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้พักอาศัยให้สามารถเข้าถึงได้เฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น

นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังสามารถเพิ่มความปลอดภัยได้ด้วยการติดตั้งกลอนประตูดิจิตอล (Digital Door Lock) ที่สามารถปรับรูปแบบการปลดล็อกได้ด้วยตนเอง รวมทั้งหาข้อมูลเกี่ยวกับประกันภัยสำหรับที่อยู่อาศัยว่าแต่ละประเภทมีความคุ้มครองแบบใดบ้าง โดยเฉพาะผู้ที่อยู่คอนโดฯ อาจพิจารณาซื้อประกันภัยเพิ่มเติมจากประกันภัยส่วนกลางเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินส่วนตัวภายในห้อง ช่วยเพิ่มความมั่นใจและป้องกันความเสียหายหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น น้ำรั่วซึมหรือไฟไหม้ 

  • โครงการเลี้ยงสัตว์ได้ช่วยคลายเหงา การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanization) เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่กำลังมาแรงและเติบโตอย่างต่อเนื่องในหมู่คนโสดและผู้ที่แต่งงานแล้วแต่ไม่มีลูก ส่งผลให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างปรับตัวเพื่อเจาะตลาดนี้เช่นกัน ข้อมูลจากผลสำรวจของบริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด พบว่า ณ สิ้นปี 2566 มีจำนวนอาคารชุดประเภทที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล จำนวน 23,031 หน่วย เพิ่มขึ้น 4,600% เมื่อเทียบกับปี 2554

สอดคล้องกับแบบสอบถามฯ DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study พบว่า 33% ของคนโสดต้องการฟิลเตอร์ช่วยคัดกรองโครงการเลี้ยงสัตว์ได้ (Pet-Friendly) เมื่อค้นหาที่อยู่อาศัยออนไลน์ ซึ่งจะช่วยให้สามารถค้นหาที่อยู่อาศัยที่ออกแบบเพื่อรองรับการอยู่อาศัยของสัตวเลี้ยงโดยเฉพาะ และได้อยู่ท่ามกลางคอมมูนิตี้ของคนรักสัตว์เหมือนกัน ซึ่งส่งผลต่อความเป็นอยู่ที่ดีในระยะยาว นอกจากนี้ โครงการเลี้ยงสัตว์ได้ (Pet-Friendly) ยังติดอันดับ 1 ใน 5 ปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยของคนโสดอีกด้วย

  • พื้นที่ส่วนกลางเสริมสุขภาพกายและใจ พื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลในการตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัย เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ผู้พักอาศัยสามารถใช้เวลาพักผ่อนตามไลฟ์สไตล์ที่ตนชื่นชอบได้ โดยคนโสดส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองจึงต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับสายรักสุขภาพอย่างพื้นที่ออกกำลังกาย เช่น สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องโยคะ เลนปั่นจักรยาน หรือสนามกีฬาประเภทต่าง ๆ นอกจากนี้การดูแลสุขภาพจิตใจให้สมดุลก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โครงการจึงควรมีพื้นที่ส่วนกลางที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสวนพักผ่อนหรือสวนลอยฟ้ารองรับการพักผ่อนพร้อมชมวิว พื้นที่ Co-Working Space ห้องดูหนัง หรือห้องเล่นเกม ซึ่งรองรับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของคนโสดให้สามารถทำกิจกรรมที่หลากหลายได้ภายในโครงการ โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางออกไปข้างนอก  
  • ทำเลต้องปัง เดินทางสะดวก การเดินทางเป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงาน ดังนั้นโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่มีระบบสาธารณูปโภคครบครันและมีความเจริญในพื้นที่จะตอบโจทย์การอยู่อาศัยระยะยาวของคนโสดได้มากกว่า เช่น อยู่ใกล้สถานพยาบาล ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ นอกจากนี้ไลฟ์สไตล์ยังมีความสำคัญกับการเลือกทำเลโครงการเช่นกัน หากเป็นคนโสดที่ชื่นชอบการสังสรรค์ อาจพิจารณาโครงการที่อยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวและสถานบันเทิง เพื่อช่วยลดเวลาในการเดินทางลง โดยมีหัวใจสำคัญในการเลือกคือโครงการควรตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางได้สะดวกทั้งในการไปทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวัน ไม่อยู่ในซอยเปลี่ยว ควรตั้งอยู่ใกล้ถนนสายหลักที่เข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้ง่าย หรือใกล้ทางด่วน หรือใกล้รถไฟฟ้า BTS/MRT ซึ่งจะช่วยให้สามารถเดินทางรวดเร็วยิ่งขึ้นในชั่วโมงเร่งด่วน เพิ่มความคล่องตัวในการเดินทางของคนโสด อีกทั้งยังลดการปล่อยมลพิษจากการใช้รถยนต์ส่วนตัวเมื่อเดินทางเพียงลำพังได้อีกด้วย

แม้เทรนด์การเติบโตของ Solo Economy จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคม แต่เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในปัจจุบันได้ช่วยลดช่องว่างของการอยู่คนเดียวลง คนโสดจึงกลายเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีศักยภาพและน่าจับตามอง มีความพร้อมในการใช้จ่ายเพื่อความสุขและเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง ส่งผลให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ ได้นำเสนอโครงการที่มีจุดเด่นหลากหลายตอบโจทย์ทั้งด้านราคาให้คนโสดหรือผู้ที่อาศัยคนเดียว ได้เป็นเจ้าของบ้านในฝันตามความต้องการที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงวัย ทั้งนี้ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ได้รวบรวมบทความน่ารู้และข่าวสารในแวดวงอสังหาฯ ที่น่าสนใจ เพื่อเป็นแหล่งความรู้สำหรับคนที่มองหาบ้านในฝัน พร้อมทั้งรวบรวมข้อมูลประกาศซื้อ/ขาย/ให้เช่าโครงการบ้าน/คอนโดฯ ในหลากหลายทำเลทั่วประเทศ ช่วยให้คนที่อยากมีบ้านในทุกสถานะหรือผู้ที่ต้องการขยับขยายไปสู่บ้านหลังใหม่สามารถค้นหาและเตรียมความพร้อมก่อนเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในฝันได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

เปิดเช็กลิสต์เตรียมพร้อมสำหรับมือใหม่ อัปสเต็ปความมั่นใจเมื่อคิดซื้อบ้านหลังแรก

เปิดเช็กลิสต์เตรียมพร้อมสำหรับมือใหม่ อัปสเต็ปความมั่นใจเมื่อคิดซื้อบ้านหลังแรก

เปิดเช็กลิสต์เตรียมพร้อมสำหรับมือใหม่ อัปสเต็ปความมั่นใจเมื่อคิดซื้อบ้านหลังแรก

แม้ปัจจัยแวดล้อมจะสั่นคลอนแผนการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคบางส่วน แต่ความต้องการซื้อยังคงมีอยู่ ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุดของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย พบว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามฯ (50%) วางแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยในอีก 1 ปีข้างหน้า เพิ่มขึ้นจากในรอบก่อนหน้าที่มีเพียง 44% โดยได้รับแรงกระตุ้นมาจากมาตรการลดค่าจดทะเบียนโอนและค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาฯ ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2567 นี้ ประกอบกับการที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างจัดโปรโมชั่นอย่างดุเดือดหวังกระตุ้นยอดขายช่วงโค้งสุดท้ายของปี จึงถือเป็นโอกาสทองของผู้ที่มีความพร้อมทางการเงินหรือมีเงินเก็บที่จะซื้อบ้าน/คอนโดมิเนียมเช่นกัน

ขณะที่จำนวนอุปทานในตลาดอสังหาฯ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผลการสำรวจภาวะภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยทั้งโครงการแนวราบและอาคารชุด ในพื้นที่กรุงเทพฯ และ 5 จังหวัดปริมณฑล ในไตรมาส 2 ปี 2567 ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) พบว่า อุปทานที่อยู่อาศัยเสนอขายในตลาดที่อยู่อาศัยรวม (บ้านจัดสรรและอาคารชุด) มีจำนวน 229,528 หน่วย มูลค่ารวม 1,350,586 ล้านบาท ซึ่งขยายตัว 11% และ 30.3% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนหนึ่งมาจากโครงการที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่จำนวน 17,197 หน่วย มูลค่ารวม 128,440 บาท สะท้อนให้เห็นว่าอุปทานที่อยู่อาศัยยังคงมีจำนวนเพียงพอที่จะรองรับความต้องการของผู้ซื้อในเวลานี้

เทรนด์หาบ้านออนไลน์โตต่อเนื่อง คนสนใจบ้านมือหนึ่งเพราะอยากได้บ้านใหม่แกะกล่อง

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เผยว่า จำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ระหว่างเดือนมกราคม – กันยายน 2567 เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าในช่วงเวลาเดียวกัน สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังคงมีอยู่แม้จะไม่ได้คึกคักเท่าที่ผ่านมา โดยช่องทางออนไลน์ยังครองใจคนหาบ้านและเป็นผู้ช่วยอำนวยความสะดวกในการค้นหาได้เป็นอย่างดี ข้อมูลจากแบบสอบถามฯ DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study เผยว่า ช่องทางยอดนิยมที่ผู้บริโภคใช้ค้นหาข้อมูลเมื่อซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยนั้น 62% นิยมใช้เว็บไซต์โครงการมากที่สุด รองลงมาคือ Google ในสัดส่วนไล่เลี่ยที่ 60% และกลุ่มอสังหาฯ ในโซเชียลมีเดีย 51% ขณะที่แพลตฟอร์มวิดีโอออนไลน์อย่าง YouTube (39%) และ TikTok (20%) ยังเป็นอีกช่องทางที่คนหาบ้านให้ความสนใจ โดยมีสัดส่วนที่สูงขึ้นในกลุ่มอายุ 22-29 ปี เนื่องจากสามารถถ่ายทอดบรรยากาศจริงของโครงการได้ดีกว่าและมีรูปแบบการนำเสนอเนื้อหาที่หลากหลาย ตอบโจทย์เทรนด์การเสพสื่อในยุคนี้ 

สำหรับฟิลเตอร์หรือตัวเลือกในการค้นหาที่อยู่อาศัยที่ผู้บริโภคต้องการมากที่สุด กว่า 2 ใน 3 (67%) ต้องการฟิลเตอร์ค้นหาจากทำเลที่ตั้ง รองลงมาคือฟิลเตอร์ค้นหาตามขนาดที่อยู่อาศัย 62% และฟิลเตอร์ที่ช่วยแยกระหว่างที่อยู่อาศัยโครงการใหม่และมือสอง 58% โดยมีสัดส่วนที่สูงขึ้นในกลุ่มผู้ที่มีรายได้สูง (71%) ซึ่งช่วยคัดกรองบ้าน/คอนโดฯ ที่ต้องการได้ในเบื้องต้นและมีผลเกี่ยวเนื่องไปยังการวางแผนค่าใช้จ่ายตามไปด้วย เนื่องจากโครงการเปิดใหม่จะมีข้อเสนอที่ดึงดูดใจมากกว่า ผู้พัฒนาอสังหาฯ มักจัดโปรโมชั่นร้อนแรงกระตุ้นยอดขายในช่วงเปิดตัวโครงการใหม่อย่างเต็มที่ และเมื่อกู้ซื้อบ้านมือหนึ่งยังมีโอกาสได้วงเงินที่สูงกว่าการกู้ซื้อบ้านมือสองอีกด้วย

นอกจากนี้ ผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) ในปี 2567 นี้ พบว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคเลือกซื้อบ้าน/คอนโดฯ มือหนึ่งนั้น กว่า 4 ใน 5 (83%) เลือกเพราะอยากได้ที่อยู่อาศัยในสภาพใหม่ ไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน ไม่ต้องกังวลว่าบ้านจะทรุดโทรมหรือเจ้าของเดิมจะแอบซ่อนความเสียหายไว้ รองลงมา 67% ต้องการตกแต่งบ้านตามสไตล์ที่ชื่นชอบ ขณะที่ 66% มองว่าบ้านมือหนึ่งมีโปรโมชั่นต่าง ๆ มากกว่า ตอบโจทย์ในการวางแผนค่าใช้จ่าย ส่วน 59% มองว่ารูปแบบบ้าน/ห้องของโครงการเปิดใหม่มีความทันสมัยมากกว่า และ 56% มองว่าไม่มีประวัติหรือเหตุการณ์ร้าย/น่ากลัว ทำให้อุ่นใจและลดความกังวลไปได้ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นจุดเด่นของบ้านมือหนึ่งได้เป็นอย่างดี 

สอดคล้องกับความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของชาวอาเซียนที่ให้บ้านมือหนึ่งเป็นตัวเลือกอันดับแรกเมื่อคิดซื้อที่อยู่อาศัย ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคในอาเซียนจากเว็บไซต์ในเครือพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป (NYSE: PGRU) พบว่า ชาวมาเลเซีย 72% และชาวเวียดนาม 52% สนใจที่จะซื้อที่อยู่อาศัยมือหนึ่งมากที่สุด โดยมีแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ของภาครัฐ ประกอบกับเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ความพึงพอใจในสภาพตลาดที่อยู่อาศัยของ 2 ประเทศนี้มีทิศทางเป็นบวกตามไปด้วยเช่นกัน

เปิดเช็กลิสต์เลือกซื้อบ้านใหม่อย่างไรให้ตรงปก ตรงใจ คลายกังวลสำหรับมือใหม่

การซื้อที่อยู่อาศัยถือเป็นการลงทุนครั้งสำคัญในชีวิต เนื่องจากบ้าน/คอนโดฯ มีราคาสูงจึงต้องใช้เวลาผ่อนชำระที่ยาวนาน การลงหลักปักฐานแต่ละครั้งจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ หากมือใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ในแวดวงอสังหาฯ มาก่อนอาจเกิดความกังวลใจได้ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แนะนำเช็กลิสต์ในการเลือกซื้อบ้านมือหนึ่งสำหรับคนหาบ้านมือใหม่ ให้เริ่มต้นวางแผนการซื้อบ้านได้อย่างรอบคอบ พร้อมศึกษาปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนซื้อ เพื่อให้ผู้บริโภคที่ไม่เคยซื้อบ้านมาก่อนสามารถก้าวสู่เส้นทางการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้อย่างราบรื่นและมั่นใจยิ่งขึ้น

  • สำรวจความพร้อมทางการเงิน คำนวณราคาบ้านที่กู้ได้ ปัจจัยสำคัญในการซื้อบ้าน/คอนโดฯ อันดับแรกคือต้องรู้ความสามารถในการกู้ซื้อที่อยู่อาศัย เพื่อช่วยวางแผนการเงินและกำหนดราคาบ้าน/คอนโดฯ ที่เหมาะกับงบได้ โดยสามารถคำนวณราคาที่อยู่อาศัยคร่าว ๆ ด้วยการใช้สูตร “(รายได้ต่อเดือน) X (60 เท่าของรายได้) = ราคาบ้านที่กู้ซื้อได้” เช่น รายได้ 30,000 บาท/เดือน x 60 = 1,800,000 บาท ซึ่งเป็นการคำนวณเบื้องต้นเพื่อให้ทราบวงเงินขั้นต่ำที่จะกู้ได้ ทั้งนี้ บางธนาคารอาจจะปรับจำนวนเท่าของรายได้ขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์พิจารณาของแต่ละสถาบัน ซึ่งจะต้องประเมินความสามารถทางการเงินควบคู่ไปกับประมาณการหนี้สินของผู้กู้อีกครั้ง เมื่อผู้บริโภคทราบวงเงินกู้คร่าว ๆ แล้วจะสามารถใช้เป็นราคาตั้งต้นในการค้นหาบ้าน/คอนโดฯ ที่สนใจ จากนั้นจึงเริ่มวางแผนเก็บเงินเพื่อใช้เป็นเงินดาวน์ประมาณ 10-20% ของราคาที่อยู่อาศัย 
  • เลือกประเภทที่อยู่อาศัยให้ตอบโจทย์ ที่อยู่อาศัยแต่ละประเภทมีจุดเด่นและข้อควรพิจารณาที่แตกต่างกันออกไป ผู้บริโภคควรพิจารณาว่าสมาชิกที่จะอาศัยด้วยมีใครบ้าง มีความต้องการในชีวิตประจำวันและมีไลฟ์สไตล์อย่างไร เช่น ต้องการสวนหย่อมเพื่อพักผ่อน ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง หรือเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นประจำ รวมทั้งผู้บริโภคมีแผนจะขยายครอบครัวในอนาคตหรือไม่ ซึ่งทำให้อาจต้องการพื้นที่มากขึ้นตามไปด้วย จากนั้นนำความต้องการที่มีมาเปรียบเทียบกับคุณสมบัติของบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ หรือคอนโดฯ ว่าประเภทไหนที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตมากที่สุด
  • เปรียบเทียบความคุ้มค่าของคุณภาพวัสดุที่ใช้ ผู้บริโภคควรศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างหรือตกแต่ง ซึ่งวัสดุแต่ละประเภทจะมีคุณสมบัติและราคาแตกต่างกัน รวมไปถึงความคงทนในการใช้งาน เช่น วัสดุในห้องครัวแบบไหนที่ทนทาน ผนังเก็บเสียงได้ดีหรือไม่ หรือไม่ใช้พื้นลามิเนตในโซนที่เปียกน้ำบ่อยเพราะอาจบวมได้ง่าย ฯลฯ โดยผู้บริโภคสามารถสอบถามสเปกวัสดุต่าง ๆ กับพนักงานขายได้เมื่อเยี่ยมชมโครงการจริง และนำมาพิจารณาความคุ้มค่าด้านราคากับวัสดุที่ได้ ควบคู่ไปกับเรื่องความสวยงามว่าผลงานการก่อสร้างและตกแต่งที่โครงการมอบให้นั้นตอบโจทย์ตามที่คาดหวังหรือไม่
  • สำรวจส่วนกลางและระบบรักษาความปลอดภัย ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย โดยผู้บริโภคที่ให้ข้อมูลกับทาง DDproperty ผ่านแบบสำรวจฯ ออนไลน์ ถึง 79% เผยว่าส่วนกลางภายในโครงการที่อยู่อาศัยถือเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อมาก ดังนั้นผู้บริโภคต้องสำรวจว่าส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกจากโครงการมีอะไรบ้าง และพิจารณาว่าสิ่งที่ได้รับเหมาะสมกับค่าส่วนกลางที่ต้องจ่ายหรือไม่ หรือมีส่วนไหนที่เกินความจำเป็น เพราะจะส่งผลต่อค่าบำรุงรักษาที่ต้องจ่ายตลอดการอยู่อาศัย   

นอกจากนี้ ระบบรักษาความปลอดภัยต้องมีครบทั้งในพื้นที่ส่วนกลางและภายในที่อยู่อาศัยเอง โดยมีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ เช่น มีระบบลิฟต์ล็อกชั้นสำหรับคอนโดฯ กล้องวงจรปิดทั่วทั้งโครงการ ใช้ระบบคีย์การ์ดในการเข้าออก ใช้กลอนประตูดิจิตอล (Digital Door Lock) รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง ซึ่งล้วนเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าหากเทียบกับการช่วยป้องกันความเสียหายของผู้อยู่อาศัย ทั้งนี้ ชื่อเสียงที่ดีของนิติบุคคลยังมีส่วนช่วยสร้างความมั่นใจว่าผู้บริโภคจะได้รับบริการที่ดีตลอดการอยู่อาศัย โดยสามารถสอบถามชื่อบริษัทนิติบุคคลของโครงการจากพนักงานขายได้เช่นกัน

  • ทำเลโครงการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ เบื้องต้นผู้บริโภคควรสำรวจพื้นที่โครงการด้วยตนเองว่าในทำเลนั้นมีความเจริญในพื้นที่ ระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเพียงใด เช่น ใกล้ห้างสรรพสินค้าหรือแหล่งช็อปปิ้ง โรงพยาบาล สถานศึกษา ฯลฯ รวมทั้งมีระบบคมนาคมที่รองรับการเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองได้สะดวกหรือไม่ เช่น ใกล้รถไฟฟ้า BTS/MRT ใกล้ทางด่วน หรือสามารถเข้าออกได้หลายเส้นทาง นอกจากนี้ อีกสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือการสำรวจว่าทำเลที่โครงการตั้งอยู่นั้นอยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมขังเมื่อฝนตกหนักหรือไม่ และปัจจุบันมีการจัดทำระบบระบายน้ำช่วยรับมือและแก้ปัญหาที่ดีขึ้นแล้วหรือยัง เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจประสบปัญหานี้อีกครั้งในอนาคต
  • ตรวจสอบว่าโครงการปลอดข้อพิพาทหรือไม่ สิ่งสำคัญที่ผู้บริโภคไม่ควรมองข้ามก่อนตัดสินใจจองบ้าน/คอนโดฯ คือโครงการนั้นผ่านการอนุมัติรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA (Environmental Impact Assessment Report) เรียบร้อยแล้วหรือไม่ เนื่องจากบางโครงการอาจประกาศขายในระหว่างที่ยื่นขอ EIA อยู่ ซึ่งหากไม่ผ่านการอนุมัติจะส่งผลให้โครงการก่อสร้างล่าช้ากว่ากำหนดหรือไม่สามารถก่อสร้างได้ และจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคที่ทำการจองแล้วโดยตรง นอกจากนี้ ผู้บริโภคควรค้นหาข้อมูลว่าโครงการที่สนใจนั้นมีข้อพิพาทหรือมีคดีความที่ยังไม่สิ้นสุดหรือไม่ เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของโครงการ ทำให้ผู้ซื้อไม่สามารถประกาศขายหรือทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างที่คิด
  • เลือกโปรโมชั่นจัดเต็ม อัปเลเวลความคุ้มค่า ปัจจุบันผู้พัฒนาอสังหาฯ ต่างงัดกลยุทธ์ออกมาเร่งการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ผ่านการจับมือกับพันธมิตรที่หลากหลายเพื่อนำเสนอโปรโมชั่น/แคมเปญการตลาดที่ครอบคลุมไลฟ์สไตล์มากขึ้น ประกอบกับการที่มีมาตรการอสังหาฯ จากภาครัฐมาช่วยสนับสนุน ทำให้เวลานี้ถือเป็นโอกาสทองสำหรับผู้วางแผนซื้อบ้าน/คอนโดฯ ในช่วงปลายปีนี้ที่จะพิจารณาโครงการที่มีโปรโมชั่นดี ๆ มาช่วยให้ซื้อที่อยู่อาศัยได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด สอดคล้องกับผลสำรวจที่ DDproperty จัดทำผ่านช่องทางออนไลน์ พบว่าโปรโมชั่นยอดนิยมที่ผู้วางแผนซื้อบ้าน/คอนโดฯ ต้องการมากที่สุด คือส่วนลด/ราคาพิเศษถึง 84% รองลงมาคือฟรีค่าส่วนกลางรายปี 76% และฟรีค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธิ์ 69% จะเห็นได้ว่า 3 อันดับแรกของโปรโมชั่นที่ผู้ซื้อบ้านต้องการจะเน้นไปที่ส่วนลดทางการเงินเป็นหลัก เนื่องจากช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายเมื่อซื้อบ้านใหม่ได้ตรงจุดมากที่สุด 

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) ได้ปล่อยแคมเปญล่าสุด “H.O.M.E. Campaign” แคมเปญที่ร่วมมือกับผู้พัฒนาอสังหาฯ ชั้นนำของไทย รวบรวมโครงการคุณภาพหลากหลายรูปแบบและระดับราคา เปิดโอกาสให้คนหาบ้านได้เลือกสรรที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์พร้อมเลือกโปรโมชั่นพิเศษที่โดนใจได้เอง เพียงลงทะเบียนซื้อบ้าน/คอนโดฯ ที่เข้าร่วมแคมเปญนี้โดยสังเกตได้จากริบบิ้นสีแดงและสีชมพูบนเว็บไซต์ DDproperty และทำการโอนกรรมสิทธิ์ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 รับสิทธิ์เลือกโปรโมชั่นพิเศษจาก 1 ใน 4 ของรางวัลสุดคุ้มได้ทันที มูลค่าสูงสุด 30,000 บาท/รางวัล*

  1. Home: ฟรี! บัตรกำนัลมูลค่าสูงสุด 30,000 บาท* สำหรับซื้อเฟอร์นิเจอร์หรือบริการ Home Service จาก NocNoc ศูนย์รวมสินค้าและบริการเรื่องบ้านออนไลน์ ให้คุณเลือกช็อปปิ้งสินค้าเพื่อตกแต่งที่อยู่อาศัยในสไตล์ที่ชอบ
  2. Organise: ฟรี! จ่ายค่าส่วนกลางเพิ่มให้ 1 ปี ฟินได้เต็มที่กับส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวก (มูลค่าสูงสุด 30,000 บาท*)
  3. Manage: ฟรี! บริการเอเจนต์จากดีดีพร็อพเพอร์ตี้ ช่วยให้คุณหาผู้ซื้อ/ผู้เช่าได้ง่ายขึ้น (จ่ายค่าคอมมิชชั่นให้มูลค่าสูงสุด 30,000 บาท*)
  4. Experience: ฟรี! คำแนะนำการจัดฮวงจุ้ยบ้าน/คอนโดฯ จากอาจารย์ฮวงจุ้ยชั้นนำ เสริมมงคลและพลังบวก (มูลค่าสูงสุด 30,000 บาท*)

สิทธิพิเศษมีจำนวนจำกัด! อย่าพลาดโอกาสในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยช่วงโค้งสุดท้ายของปี ดูรายละเอียดและโครงการที่เข้าร่วมได้ทาง https://homecampaign.ddproperty.com หรือสังเกตโครงการที่มีริบบิ้น H.O.M.E. สีแดง (รางวัลมูลค่าสูงสุด 30,000 บาท*) และสีชมพู (รางวัลมูลค่าสูงสุด 10,000 บาท*) บนเว็บไซต์ DDproperty.com

หมายเหตุ

  • *รางวัลของแคมเปญ “H.O.M.E. Campaign” มี 2 ระดับ คือระดับที่ 1 โครงการที่ติดริบบิ้นสีแดง รับรางวัลมูลค่าสูงสุด 30,000 บาท/รางวัล และระดับที่ 2 โครงการที่ติดริบบิ้นสีชมพู รับรางวัลมูลค่าสูงสุด 10,000 บาท/รางวัล
  • **ในการรับรางวัลจากแคมเปญนี้จะไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มแต่อย่างใด ยกเว้นค่าใช้จ่ายส่วนต่างที่อาจเกิดขึ้นสำหรับบางรางวัลที่เลือกรับ (ถ้ามี) โดยเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

คนไทยยังตั้งเป้าซื้อบ้านใน 1 ปีข้างหน้า แม้สภาพเศรษฐกิจยังท้าทาย ตั้งความหวังมาตรการฯ รัฐแรงพอจุดไฟให้ตลาดอสังหาฯ กลับมาคึกคัก

คนไทยยังตั้งเป้าซื้อบ้านใน 1 ปีข้างหน้า แม้สภาพเศรษฐกิจยังท้าทาย ตั้งความหวังมาตรการฯ รัฐแรงพอจุดไฟให้ตลาดอสังหาฯ กลับมาคึกคัก

คนไทยยังตั้งเป้าซื้อบ้านใน 1 ปีข้างหน้า แม้สภาพเศรษฐกิจยังท้าทาย ตั้งความหวังมาตรการฯ รัฐแรงพอจุดไฟให้ตลาดอสังหาฯ กลับมาคึกคัก

แม้ภาครัฐจะขยายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านหน่วยงานในการกำกับของรัฐฯ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้กลับมาได้เร็วอย่างที่คาด ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนสิงหาคม 2567 ของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 13 เดือนนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 เป็นต้นมา เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังคงชะลอตัวลงและฟื้นตัวช้า ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังการเติบโตของหลายธุรกิจรวมทั้งตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ต่างชะลอตัวตามไปด้วยเช่นกัน

ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุดของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย พบว่าภาพรวมความเชื่อมั่นด้านอสังหาริมทรัพย์ของผู้บริโภคชาวไทยยังคงอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยดัชนีความเชื่อมั่นด้านอสังหาริมทรัพย์ยังคงทรงตัวอยู่ที่ 48% ขณะที่ความพึงพอใจในสภาพตลาดที่อยู่อาศัยยังคงทรงตัวอยู่ที่ 63% เช่นกัน สะท้อนให้เห็นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ออกมาเพิ่มเติมในเดือนเมษายน 2567 นี้ ยังไม่สามารถปลุกให้ตลาดอสังหาฯ กลับมาคึกคักได้ตามที่หลายฝ่ายคาดหวัง

อย่างไรก็ดี ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 61% (จากเดิม 59% ในรอบก่อน) สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคมีการวางแผนทางการเงินมากขึ้น หลังจากเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจมาเป็นเวลานาน ทำให้ผู้ที่จำเป็นต้องซื้อบ้านในเวลานี้เรียนรู้ที่จะปรับแผนการใช้จ่ายและสร้างวินัยทางการเงินให้พร้อมยิ่งขึ้นก่อนที่จะเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย

ประกอบกับการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องจึงกลายเป็นความท้าทายที่ส่งผลต่อสภาพคล่องทางการเงินของผู้ที่วางแผนซื้อบ้านเช่นกัน โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่มองว่าอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่อยู่อาศัยปัจจุบันอยู่ในระดับสูง (49%) และสูงมาก (28%) มีเพียง 16% เท่านั้นที่มองว่าอัตราดอกเบี้ยเหมาะสมแล้ว นอกจากนี้สัดส่วนของผู้บริโภคที่มองว่ารัฐบาลมีความพยายามเพียงพอที่จะช่วยให้ซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองได้ยังทรงตัวอยู่ที่ 13% เช่นกัน สะท้อนให้เห็นว่ามาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ที่ออกมาเพิ่มเติมในปีนี้อาจจะยังไม่ตอบโจทย์และช่วยแบ่งเบาภาระของคนซื้อบ้านได้มากเท่าที่ควร

จับตาดีมานด์ที่อยู่อาศัย คนอยากซื้อบ้านมากขึ้นก่อนสิ้นสุดมาตรการรัฐ  

ข้อมูลจากแบบสอบถามฯ DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามฯ (50%) วางแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยในอีก 1 ปีข้างหน้า โดยเพิ่มขึ้นจากรอบก่อนหน้าที่เป็น 44% นับเป็นสัญญาณบวกสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคยังต้องการซื้อบ้าน/คอนโดมิเนียมในระยะเวลาอันใกล้ก่อนที่มาตรการลดค่าจดทะเบียนโอนและลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาฯ จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2567 นี้ ด้านสัดส่วนของผู้เลือกเช่าที่อยู่อาศัยลดลงมาอยู่ที่ 10% (จากเดิม 14%) ขณะที่ผู้บริโภค 7% วางแผนจะรับมรดกที่อยู่อาศัยจากพ่อแม่และผ่อนชำระต่อ ส่วนอีก 32% ยังคงไม่มีการวางแผนซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยใด ๆ ในเวลานี้

  • อยากได้พื้นที่ส่วนตัวโจทย์ใหญ่ดันคนซื้อบ้าน ในกลุ่มผู้บริโภคที่อยากซื้อที่อยู่อาศัย เกือบครึ่ง (47%) ตัดสินใจซื้อเนื่องจากต้องการพื้นที่ส่วนตัวที่มากขึ้น รองลงมาคือซื้อเพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับพ่อแม่/บุตรหลานเมื่อขยายครอบครัว 31% จะเห็นว่าสองอันดับแรกจะให้ความสำคัญไปที่การซื้อเพื่อตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยเป็นหลัก ตามมาด้วยซื้อเพื่อการลงทุนในสัดส่วนไล่เลี่ยกันที่ 30% เนื่องจากการลงทุนในอสังหาฯ ถือเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ และมีดีมานด์ในตลาดอย่างต่อเนื่อง

เมื่อพิจารณาความพร้อมทางการเงินพบว่าผู้วางแผนซื้อบ้านส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงินมากขึ้น โดย 1 ใน 3 ของผู้ที่วางแผนซื้อที่อยู่อาศัย (33%) เผยว่ามีเงินออมเพียงพอที่จะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองแล้ว ขณะที่เกือบครึ่ง (48%) สามารถเก็บเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยได้ครึ่งทางแล้ว สะท้อนให้เห็นถึงการเตรียมความพร้อมก่อนซื้อที่อาศัยในช่วงที่สภาพเศรษฐกิจชะลอตัว คนหาบ้านจึงต้องปรับตัวเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินด้วยตนเองก่อน โดยมีเพียง 18% เท่านั้นที่ยังไม่ได้เริ่มต้นเก็บเงินใด ๆ

  • เงินเก็บสวนทางราคาบ้านทำคนเลือกเช่า ในขณะเดียวกันเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคเลือกเช่าที่อยู่อาศัยแทนการซื้อ ส่วนใหญ่มาจากปัจจัยการเงินเป็นหลัก โดยมากกว่าครึ่ง (56%) เผยว่ามีเงินเก็บไม่พอที่จะซื้อที่อยู่อาศัย ขณะที่ราคาบ้านที่สูงเกินไปทำให้เกือบ 2 ใน 5 (37%) ขอเลือกออมเงินแทน และ 36% มองไม่เห็นความจำเป็น/ความเร่งด่วนที่ต้องซื้อที่อยู่อาศัยในเวลานี้ สะท้อนให้เห็นว่าผู้เช่าส่วนใหญ่ยังคงกังวลเกี่ยวกับการบริหารสภาพคล่องทางการเงินในยุคที่แนวโน้มเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง จึงลดความเสี่ยงโดยหลีกเลี่ยงการซื้อที่อยู่อาศัย และหันมาเลือกเช่าซึ่งตอบโจทย์ทางการเงินและลดภาระค่าใช้จ่ายได้ดีกว่า

ปัจจุบันมุมมองการเป็นเจ้าของที่อาศัยของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไปตามเทรนด์ Generation Rent ซึ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตและไม่สร้างภาระทางการเงินในระยะยาวจากการซื้อที่อยู่อาศัย รวมทั้งมีความคล่องตัวมากกว่าหากต้องการโยกย้ายในอนาคต โดยผู้เช่าเกือบ 2 ใน 5 (39%) เผยว่าได้วางแผนเช่า 2 ปีก่อนจะซื้อที่อยู่อาศัยในภายหลัง ส่วน 29% มีความไม่แน่ใจว่าจะเช่าอีกนานแค่ไหน เนื่องจากยังต้องพิจารณาปัจจัยความพร้อมด้านอื่น ๆ อีกครั้ง ขณะที่ 5% เผยว่าตั้งใจจะเช่าอยู่ตลอดชีวิต 

สำหรับอัตราค่าเช่าที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในหมู่ผู้เช่าอยู่ในช่วงไม่เกิน 5,000 บาท/เดือน สัดส่วน 46% สะท้อนให้เห็นถึงเทรนด์การมองหาที่อยู่อาศัยให้เช่าที่มีราคาย่อมเยา ตอบโจทย์สถานะทางการเงินในยุคปัจจุบันเป็นหลัก รองลงมาคือ 5,001-10,000 บาท/เดือน และ 10,001-15,000 บาท/เดือน (สัดส่วน 32% และ 9% ตามลำดับ)

อัปเดตเทรนด์คนหาบ้าน ต่อจิ๊กซอว์บ้านในฝันยุค 2024 

  • ขนาด-ทำเลหัวใจสำคัญเมื่อเลือกซื้อบ้าน ปัจจัยภายในที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค กว่า 2 ใน 5 (43%) ให้ความสำคัญกับขนาดที่อยู่อาศัยเป็นอันดับแรก โดยบ้าน/คอนโดฯ ในฝันต้องมีพื้นที่ใช้สอยเพียงพอที่จะตอบโจทย์การอยู่อาศัยและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของสมาชิกในครอบครัว รองลงมาคือพิจารณาราคาเฉลี่ยต่อพื้นที่ใช้สอยในสัดส่วนไล่เลี่ยกันที่ 42% สะท้อนให้เห็นว่าความคุ้มค่ายังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดใจให้เกิดการตัดสินใจซื้อ ตามมาด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในที่พัก 37%

สำหรับปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัย พบว่าผู้บริโภคเกือบครึ่ง (48%) พิจารณาจากทำเลที่ตั้งของโครงการมาเป็นอันดับแรก โดยให้ความสำคัญกับการเลือกโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพในการเติบโตหรืออยู่ในทำเลที่ภาครัฐมีแผนพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและเมกะโปรเจกต์ในอนาคต ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าของที่อยู่อาศัยตามไปด้วย รองลงมาคือโครงการที่เดินทางได้สะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ และพิจารณาจากความปลอดภัยของโครงการ ในสัดส่วนเท่ากันที่ 44% ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่เสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีในระยะยาวทั้งสิ้น

  • คุณภาพงานตกแต่งภายในดึงดูดใจให้เลือกดีเวลลอปเปอร์ ปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคพิจารณาเมื่อเลือกผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้น มากกว่าครึ่ง (53%) ให้ความสำคัญกับคุณภาพของการตกแต่งภายในของโครงการมากที่สุด เนื่องจากเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สะท้อนคุณภาพของสินค้าโดยตรง และผู้บริโภคยังสามารถประเมินความคุ้มค่าจากคุณภาพงานเทียบกับราคาขายในเบื้องต้นได้ รองลงมาคือพิจารณาจากผลงานที่ผ่านมาของผู้พัฒนาอสังหาฯ และข้อเสนอทางการเงินต่าง ๆ ส่วนลด หรือเงินคืน ในสัดส่วนเท่ากันที่ 50% ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายเมื่อซื้อบ้านใหม่ได้ไม่น้อย โดยที่ผู้บริโภคยังสามารถนำเงินส่วนนี้ไปใช้เป็นงบตกแต่งบ้านได้
  • เทรนด์ Pet Parent มาแรง 78% สนใจโครงการเลี้ยงสัตว์ได้ ผลสำรวจของวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) เผยว่าคนไทยต้องการเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นลูก (Pet Parent) มากถึง 49% สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของตลาดสัตว์เลี้ยงและโอกาสในการเจาะกลุ่มเป้าหมายนี้ในหลากหลายธุรกิจรวมทั้งตลาดที่อยู่อาศัยเช่นกัน สอดคล้องกับข้อมูลจากแบบสอบถามฯ DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study ที่พบว่า ผู้บริโภคกว่า 3 ใน 4 (78%) เผยว่าสนใจโครงการที่เลี้ยงสัตว์ได้ หรือ Pet-Friendly โดยกว่า 2 ใน 3 (67%) ของกลุ่มผู้ที่สนใจนั้นคาดหวังว่าในโครงการเหล่านี้จะมีการแยกโซนระหว่างผู้ที่เลี้ยงสัตว์และไม่ได้เลี้ยงภายในอาคารอย่างชัดเจน รองลงมาคือมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับสัตว์เลี้ยง เช่น สวน สระว่ายน้ำ ระบบระบายอากาศ ฯลฯ ในสัดส่วนไล่เลี่ยกันที่ 66% และมีการออกแบบเพื่อรองรับการอยู่อาศัยของสัตว์เลี้ยง เช่น มาพร้อมระบบระบายอากาศภายในห้อง ระเบียงเสริมความปลอดภัยป้องกันการปีนป่าย 60%
  • ฝุ่น PM 2.5 ยังไม่จาง คนไทยมองหาบ้านที่ช่วยจบปัญหา ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ยังคงเป็นความกังวลของคนหาบ้าน เนื่องจากความเสี่ยงนี้กระทบต่อสุขภาพอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยผู้บริโภคถึง 61% เลือกพิจารณาเฉพาะโครงการที่มีเครื่องปรับอากาศและระบายอากาศได้ดีเท่านั้น เพื่อช่วยบรรเทาความรุนแรงของฝุ่น PM 2.5 รองลงมา 53% เผยว่าจะทบทวนแผนการซื้อที่อยู่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงอีกครั้ง ขณะที่ 37% จะพิจารณาการเลือกซื้อบ้าน/คอนโดฯ ที่มีฟังก์ชั่นหรือคุณสมบัติที่ช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ 
  • ได้บ้านไม่ตรงปกความกังวลอันดับ 1 ของคนซื้อบ้าน การซื้อที่อยู่อาศัยถือเป็นการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่และมาพร้อมความท้าทาย เนื่องจากหากซื้อแล้วเกิดปัญหา ผู้ซื้อไม่สามารถเปลี่ยนได้ง่ายดายเหมือนการซื้อสินค้าทั่วไป เห็นได้ชัดจากความกังวลของผู้บริโภคที่ซื้อ ขาย หรือเช่าที่อยู่อาศัยนั้น พบว่ากว่า 3 ใน 5 (61%) มีความกังวลว่าคุณภาพของที่อยู่อาศัยที่ได้จะไม่ตรงตามที่โฆษณาไว้มากที่สุด โดยมีสัดส่วนที่สูงขึ้นในกลุ่มผู้ที่มีรายได้ปานกลางและสูง รองลงมาคือ กังวลว่าแผนการผ่อนชำระอาจได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่ผันผวนหรือเพิ่มขึ้นในอนาคต 51% ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาทางการเงินตามมาได้ ขณะที่อีก 42% กังวลว่าโครงการที่ซื้อไปแล้วจะมีข้อพิพาทกับหน่วยงานต่าง ๆ ส่งผลให้ไม่สามารถขาย โอนกรรมสิทธิ์ หรือปล่อยเช่าได้ 

กลุ่มมิลเลนเนียลและ Gen Z พร้อมซื้อบ้านมากแค่ไหนในเวลานี้

ผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียล (Millennials) หรือ Gen Y และ Gen Z เป็นวัยที่เริ่มต้นสร้างครอบครัวและเริ่มวางแผนซื้อที่อยู่อาศัยจึงมีความสำคัญต่อภาคอสังหาฯ อย่างไรก็ดีมีผู้บริโภคเพียง 37% เท่านั้นที่มีแผนย้ายออกจากบ้านพ่อแม่ภายใน 1 ปีข้างหน้า ขณะที่กว่า 3 ใน 5 (63%) เผยว่ายังไม่มีแผนย้ายออกเร็ว ๆ นี้ โดยให้เหตุผลว่าต้องการดูแลพ่อแม่อย่างใกล้ชิด 43% รองลงมาคือตั้งใจรับช่วงต่อบ้านของพ่อแม่ 28% และไม่มีเงินเก็บเพียงพอในการซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยของตัวเองในเวลานี้ 27% สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายทางการเงินที่ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่มีกำลังซื้อเพียงพอที่จะเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นปัจจัย 4 ที่สำคัญของมนุษย์ 

แม้ความท้าทายจากสภาพเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบต่อแผนการซื้อบ้าน/คอนโดฯ ของคนรุ่นใหม่ แต่ความต้องการซื้อนั้นยังคงมีอยู่ โดยกลุ่มมิลเลนเนียล (Millennials) และ Gen Z เผยว่าหากต้องเลือกระหว่างการซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัย ส่วนใหญ่ต้องการซื้อมากถึง 82% มีเพียง 18% เท่านั้นที่สนใจเช่า 

ทั้งนี้ในช่วง 1 ปีข้างหน้า ผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียล (Millennials) และ Gen Z วางแผนการเงินไปกับการใช้จ่ายภายในครอบครัวมากถึง 56% รองลงมาคือเก็บเงินไว้เป็นกองทุนเงินสำรองฉุกเฉิน 54% เพื่อรับมือสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในอนาคต และเก็บเงินไว้เพื่อเคลียร์หนี้ต่าง ๆ ให้หมด 27% โดยมีเพียง 21% เท่านั้นที่วางแผนออมเงินไว้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย สอดคล้องกับข้อมูลจากรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี 2567 ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เผยว่า สถานการณ์สังคมสูงวัยที่เพิ่มขึ้นสวนทางกับวัยแรงงานที่ลดลงในไทย ส่งผลให้ “แซนด์วิช เจเนอเรชัน (Sandwich Generation)” หรือคนที่อยู่ตรงกลางที่ต้องดูแลทั้งพ่อแม่สูงอายุและลูกของตนเอง มีภาระที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้นและมีแนวโน้มที่จะเผชิญปัญหาทางการเงิน ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบางกลายเป็นความท้าทายให้คนรุ่นใหม่สร้างเนื้อสร้างตัวได้ยากกว่าสมัยก่อน การเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยจึงอาจไม่ใช่สิ่งที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ อีกต่อไป

หวังพึ่งมาตรการภาครัฐ กลไกผลักดันให้เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความท้าทายจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวเป็นเวลายาวนานและอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงได้กลายมาเป็นความท้าทายสำคัญที่ทำให้ตลาดอสังหาฯ ไม่ได้เติบโตตามที่คาดการณ์ไว้ และกระทบต่อผู้ที่วางแผนซื้อบ้าน/คอนโดฯ อย่างเลี่ยงไม่ได้ เห็นได้จาก 1 ใน 3 ของผู้บริโภค (33%) เผยว่าจะชะลอการซื้อที่อยู่อาศัยออกไปก่อนเนื่องจากเงินเก็บได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ รองลงมาคือวางแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยที่มีราคาถูกกว่าแทน และไม่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยในอนาคตอันใกล้ ในสัดส่วนเท่ากันที่ 22% เพื่อเป็นการลดการสร้างภาระหนี้ที่ไม่จำเป็นในช่วงนี้ออกไปก่อน

นอกจากนี้ สภาพคล่องทางการเงินยังเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคที่ทำให้การมีบ้านในฝันไม่ใช่เรื่องง่าย มากกว่าครึ่งของผู้บริโภค (56%) เผยว่าอุปสรรคสำคัญในการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยมาจากรายได้และอาชีพที่ไม่มั่นคง รองลงมาคือมีประวัติทางการเงินที่ไม่ดี 41% และมีสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio: DSR) ไม่เอื้ออำนวย 30% จะเห็นได้ว่าอุปสรรคสำคัญ 3 อันดับแรกล้วนเป็นผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินของผู้บริโภค ที่มีผลโดยตรงต่อการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อของธนาคารทั้งสิ้น ทำให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อ (Rejection Rate) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เผยว่าอัตราการปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้นในกลุ่มคนรายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อเดือน จากเดิมที่เป็นกลุ่มรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท

ทั้งนี้ หลายฝ่ายยังคงคาดหวังปัจจัยบวกจากมาตรการจากภาครัฐที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นการเติบโตในตลาดอสังหาฯ ควบคู่ไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ จากภาครัฐที่ผู้บริโภคต้องการมากที่สุดในเวลานี้ 3 ใน 5 (60%) ต้องการให้มีมาตรการช่วยลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น รองลงมาคือมาตรการลดดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งสินเชื่อเดิมที่มีอยู่และกู้ใหม่ 51% จะเห็นได้ว่า 2 อันดับแรกให้ความสำคัญกับมาตรการที่มาช่วยแบ่งเบาภาระดอกเบี้ยเป็นหลัก เนื่องจากจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินของผู้กู้ซื้อบ้านได้โดยตรง และอันดับ 3 มาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ที่ซื้อบ้านหลังแรก 40% ซึ่งจะช่วยดึงดูดใจให้กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ตัดสินใจเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น เปิดโอกาสให้ทุกคนได้มีบ้านเป็นของตนเองสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่อยากให้คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัย ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญขับเคลื่อนให้ภาคอสังหาฯ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกลับมาคึกคักอีกครั้ง

หมายเหตุ: DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study เป็นแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทยที่จัดทำขึ้นทุก 6 เดือน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจมุมมองและความต้องการของผู้บริโภค นักลงทุนและเอเจนต์ต่อประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับตลาดที่อยู่อาศัย รวมไปถึงพฤติกรรมและแนวโน้มการซื้อ-ขาย-เช่า ผ่านแบบสอบถามออนไลน์ในกลุ่มตัวอย่างอายุตั้งแต่ 22-69 ปี จำนวน 1,050 คน 

อ่านและศึกษาข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทยรอบล่าสุดได้ที่ DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study