จับตาเทรนด์ที่อยู่อาศัยวัยเก๋า บ้านแบบไหนตอบโจทย์ชาว Silver Gen

จับตาเทรนด์ที่อยู่อาศัยวัยเก๋า บ้านแบบไหนตอบโจทย์ชาว Silver Gen

จับตาเทรนด์ที่อยู่อาศัยวัยเก๋า บ้านแบบไหนตอบโจทย์ชาว Silver Gen

ปัจจุบันประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society) แล้ว ข้อมูลจากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยเผยว่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 ประเทศไทยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปคิดเป็น 20% จากจำนวนประชากรทั้งประเทศ และจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากอัตราการเกิดใหม่ที่ลดลงอย่างชัดเจน โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ประเทศไทยจะก้าวสู่สังคมสูงอายุขั้นสุดยอด (Super-Aged Society) ในปี 2572 เร็วขึ้นกว่าที่เคยประเมินไว้ว่าจะเกิดขึ้นในปี 2574

อย่างไรก็ดี การเข้าสู่สังคมสูงวัยของไทยเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายที่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต้องจับตามอง ข้อมูลจาก Krungthai COMPASS คาดว่ามูลค่าตลาดกลุ่มผู้สูงอายุหรือ Silver Gen ของไทยจะสูงขึ้นต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 4.4% มาอยู่ที่ 2.6 ล้านล้านบาทใน ปี 2573 หรือเทียบเท่า 12% ของมูลค่าเศรษฐกิจไทย จึงทำให้เกิดเทรนด์ธุรกิจเพื่อรองรับผู้บริโภคกลุ่มนี้โดยเฉพาะ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายและมีความพร้อมทางการเงิน หลายธุรกิจรวมถึงตลาดที่อยู่อาศัยจึงปรับกลยุทธ์เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่นี้

อัปเดตดีมานด์ผู้สูงวัย “เชียงใหม่” ครองใจเมืองพักผ่อนวัยเกษียณ

ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุดของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยว่ากว่า 3 ใน 5 (62%) ของผู้บริโภคชาวไทยคิดเรื่องการวางแผนเกษียณบ่อยขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มวัยใกล้เกษียณและผู้ที่มีรายได้ปานกลาง ในขณะที่เชียงใหม่เป็นเมืองที่ผู้บริโภคต้องการไปใช้ชีวิตหลังเกษียณมากที่สุด (27%) ด้วยจุดเด่นจากสภาพแวดล้อมที่ใกล้ชิดธรรมชาติและมีความเจริญในหลายด้าน ตามมาด้วยกรุงเทพฯ (15%), เชียงราย (12%), เพชรบูรณ์ (10%) และภูเก็ต (9%) ในขณะที่ 16% ยังไม่มีทำเลในใจ

ทั้งนี้ เป้าหมายสำคัญของชีวิตหลังเกษียณส่วนใหญ่เน้นไปที่เรื่องการเงิน กว่า 2 ใน 3 (70%) หวังปลอดภาระหนี้ ตามมาด้วยมีอิสระทางการเงิน และมีเงินออมเพียงพอสำหรับค่ารักษาพยาบาล (ในสัดส่วนไล่เลี่ยกันที่ 63% และ 61% ตามลำดับ) สะท้อนให้เห็นว่าสภาพคล่องทางการเงินและการวางแผนค่าใช้จ่ายเพื่อดูแลสุขภาพเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตช่วงเกษียณมากที่สุด

  • ผู้สูงวัย 48% มีเงินพร้อมซื้อบ้านใหม่ ข้อมูลจากแบบสอบถาม DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด เผยความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคชาวไทยอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป พบว่าเกือบครึ่ง (48%) มีเงินออมเพียงพอที่จะซื้อที่อยู่อาศัยแล้ว ซึ่งมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าผู้บริโภคในช่วงวัยอื่น ๆ ขณะที่อีก 42% เผยว่าเก็บเงินออมได้ครึ่งทางแล้ว ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูงและน่าจับตามองในเวลานี้ ในขณะที่กว่า 1 ใน 3 (37%) มีการวางแผนซื้อที่อยู่อาศัยในอีก 1 ปีข้างหน้า โดยเหตุผลสำคัญในการซื้อที่อยู่อาศัยมาจากต้องการพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น 45% ตามมาด้วยซื้อเพื่อการลงทุน และขายบ้านหลังเดิมได้ราคาดี (ในสัดส่วนเท่ากันที่ 32%)
  • โฟกัส “ขนาดบ้าน – ใกล้ขนส่งสาธารณะ” มาก่อน ปัจจัยภายในที่ผู้สูงอายุให้ความสำคัญในการตัดสินใจซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยมากที่สุด ได้แก่ ขนาดที่อยู่อาศัย 58% เน้นไปที่พื้นที่ใช้สอยที่เพียงพอในการรองรับกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งอำนวยความสะดวกในการอยู่อาศัยมาเป็นอันดับแรก ตามมาด้วยราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตร 49%, สิ่งอำนวยความสะดวกภายในที่อยู่อาศัย 39%, การออกแบบและการก่อสร้าง 27% ส่วนมาตรการ/โครงการที่จะช่วยให้มีบ้านเป็นของตัวเองง่ายขึ้น และชื่อเสียงของผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯ มีสัดส่วนเท่ากันที่ 23%

ขณะที่ปัจจัยภายนอกโครงการที่ผู้สูงอายุใช้พิจารณาเมื่อเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยนั้น มากกว่าครึ่ง (56%) ต้องการโครงการที่เดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทาง และลดความเสี่ยงในการขับขี่ด้วยตนเองเนื่องจากสภาพร่างกายอาจไม่พร้อม รองลงมาคือความปลอดภัยของทำเล 52%, ทำเลที่ตั้งโครงการ 43%, โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกในย่านนั้น 31% ส่วนความเจริญของทำเล และใกล้โรงพยาบาล/สถานพยาบาล มีสัดส่วนเท่ากันที่ 26% เพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกในการพบแพทย์หรือรับบริการทางสุขภาพต่าง ๆ

  • หวังรีโนเวท “ห้องนั่งเล่น” ตอบโจทย์การใช้ชีวิต สำหรับพื้นที่ในบ้านที่ผู้สูงอายุต้องการปรับเปลี่ยนมากที่สุดเพื่อรองรับการใช้ชีวิตวัยเกษียณนั้น อันดับแรกคือห้องนั่งเล่น 23% ถือเป็นพื้นที่หลักที่ผู้สูงอายุใช้ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ มากที่สุด จึงต้องการปรับเปลี่ยนให้ตอบโจทย์ตามไลฟ์สไตล์และกิจวัตรประจำวัน รองลงมากคือห้องนอนและห้องน้ำ (16% และ 12% ตามลำดับ) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ผู้สูงอายุจำเป็นต้องปรับปรุงให้พร้อม มีความปลอดภัยและมั่นคงรองรับการเคลื่อนไหวที่ต้องใช้ความระมัดระวัง ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิตประจำวัน

เคล็ด (ไม่) ลับเตรียมบ้านให้พร้อมรองรับวัยเกษียณ

“อารยสถาปัตย์ หรือ Universal Design” เป็นแนวคิดเรื่องการออกแบบสิ่งแวดล้อม การสร้างสถานที่ และสิ่งของต่าง ๆ เพื่อให้ทุกคนที่อยู่ในสังคมสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่และเท่าเทียมกัน ไม่ต้องมีการออกแบบดัดแปลงพิเศษเพื่อบุคคลกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดโดยเฉพาะ คำนึงถึงการใช้งานที่ครอบคลุมสำหรับทุกคน โดยไม่จำกัดอายุ เพศ หรือลักษณะทางร่างกาย

ส่งผลให้หลัก Universal Design เป็นเทรนด์การออกแบบที่มีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการออกแบบที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน เพื่อให้สามารถรองรับการอยู่อาศัยของผู้บริโภคทุกช่วงวัยได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ

นอกจากการซื้อบ้านในโครงการที่มาพร้อม Universal Design แล้ว ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เผยแนวทางการออกแบบและปรับพื้นที่บ้านให้รองรับการอยู่อาศัยของผู้สูงวัย ภายใต้หลักที่ให้ความสำคัญกับการเพิ่มความปลอดภัย ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุและปิดจุดบอดที่เป็นพื้นที่อันตราย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ผู้สูงอายุสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมั่นใจด้วยตัวเอง โดยมี 5 พื้นที่สำคัญที่ควรปรับเพื่อรองรับบ้านผู้สูงอายุ ดังนี้

  • ห้องนั่งเล่น เป็นพื้นที่ที่ผู้สูงอายุใช้เวลาในการทำกิจกรรมระหว่างวันไม่น้อย พื้นที่ในห้องนี้จึงควรออกแบบให้มีความปลอดโปร่งและอากาศถ่ายเทได้สะดวกตลอดทั้งวัน จัดวางต้นไม้เพื่อเพิ่มความสดชื่นในห้อง หรือติดตั้งเครื่องฟอกอากาศเพื่อสร้างอากาศบริสุทธิ์และสะอาดตลอดทั้งวัน โดยควรเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มีฟังก์ชั่นไม่ซับซ้อน สะดวกในการใช้งาน และมีขนาดที่เหมาะสม ไม่ใหญ่เกินไปจนเกะกะและทำให้ห้องดูอึดอัด ควรเน้นการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ให้ชิดผนังเพื่อให้มีพื้นที่โล่งมากที่สุด ไม่ควรมีของวางเกะกะตามพื้นเพื่อให้ผู้สูงอายุเดินได้สะดวกและป้องกันการสะดุดล้ม รวมทั้งรองรับการใช้งานรถเข็นได้สะดวก

นอกจากนี้ ควรจัดวางของใช้ประจำวัน งานอดิเรก รวมทั้งของใช้จำเป็นหรือยาไว้ที่โต๊ะ ชั้นวาง หรือตู้ที่มีความสูงเหมาะสมและอยู่ในระยะที่ผู้สูงอายุสามารถเอื้อมถึงเองได้ โดยที่ไม่ต้องก้มต่ำเกินไปเมื่อต้องการหยิบใช้งาน การจัดสรรพื้นที่ให้รองรับไลฟ์สไตล์ประจำวันจะช่วยให้ผู้สูงอายุทำกิจวัตรต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น และเมื่อมีการพึ่งพาตนเองมากขึ้นก็จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเองตามไปด้วย

  • ห้องนอน ส่วนสำคัญของบ้านที่ผู้สูงอายุใช้เวลาส่วนใหญ่เพื่อพักผ่อน โดยห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุควรอยู่ชั้นล่างเพื่อลดการขึ้น-ลงบันได และอยู่ในบริเวณที่มีความสงบ มีความเป็นส่วนตัว และมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก โดยควรออกแบบให้ครอบคลุมการอยู่อาศัย เช่น
    • ควรปูพื้นด้วยวัสดุลดแรงกระแทกและไม่ควรมีพื้นที่ต่างระดับ เพื่อป้องกันการสะดุดและหกล้ม
    • เตียงนอนต้องมีขนาดที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ ปรับระดับความสูงได้ มีราวจับข้างเตียง ฟูกที่นอนไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป พร้อมพื้นที่บริเวณข้างเตียง 90-100 เซนติเมตร เพื่อรองรับการใช้งานรถเข็น หรือบุตรหลานสามารถเข้าไปช่วยดูแลได
    • ติดตั้งราวจับบริเวณที่มีการลุกนั่ง และมีไฟส่องสว่างอัจฉริยะที่สามารถเปิด-ปิดอัตโนมัติที่ตรวจจับการเคลื่อนไหวเพื่อนำทางจากเตียงนอนไปกลับห้องน้ำ หรือเลือกใช้ไฟที่เปิด-ปิดได้ด้วยรีโมท
    • มีโต๊ะข้างเตียงที่หยิบของได้สะดวก โดยเฟอร์นิเจอร์อย่างตู้เสื้อผ้าหรือชั้นวางของควรมีระดับความสูงที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ ไม่อยู่สูงจนเกินไปเมื่อต้องใช้งาน
    • ไม่ควรมีธรณีประตูเพื่อป้องกันการสะดุด เลือกประตูแบบบานเลื่อนเปิด-ปิด ที่มีระบบรางแขวนด้านบนตัวล็อกที่ใช้งานง่าย ใช้แรงน้อย รองรับการเข้าออกของรถเข็นได้สะดวก
    • ห้องน้ำ เป็นอีกหนึ่งห้องที่ควรให้ความสำคัญ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการลื่นล้มสูง นอกจากขนาดของห้องน้ำที่ควรกว้างอย่างน้อย 200 เซนติเมตร เพื่อรองรับการใช้รถเข็นแล้ว ควรมีการแบ่งพื้นที่โซนห้องน้ำเพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน
      • พื้นที่โซนแห้ง เลือกใช้อ่างล้างหน้าแบบแขวนผนังที่สามารถรองรับน้ำหนักการเท้าแขนของผู้สูงอายุ หรือเลือกอ่างแบบฝังครึ่งเคาน์เตอร์เพื่อให้มีพื้นที่ใต้อ่างสะดวกต่อการใช้งานรถเข็น โดยก๊อกน้ำควรเป็นแบบก้านโยกหรือก้านปัด ส่วนโถสุขภัณฑ์ควรเป็นแบบนั่งราบ มีระดับความสูงที่เหมาะสม และติดตั้งราวจับบริเวณข้างโถสุขภัณฑ์เพื่อช่วยให้ลุกนั่งได้ง่าย
      • พื้นที่โซนเปียก บริเวณที่นั่งอาบน้ำต้องมีความแข็งแรง ขนาดและความสูงเหมาะกับผู้สูงอายุ และติดตั้งราวจับเพื่อช่วยในการลุกนั่ง โดยฝักบัวควรติดตั้งอยู่บริเวณด้านข้างของที่นั่ง เลือกใช้ฝักบัวที่ปรับระดับความสูงได้และเลือกใช้วาล์วเปิด-ปิดน้ำที่คุมอุณหภูมิได้ ที่สำคัญควรใช้กระเบื้องปูพื้นที่มีค่าความฝืดตั้งแต่ R10 ขึ้นไป หรือใช้น้ำยาทากันลื่นมาช่วยเคลือบหน้ากระเบื้องเพื่อป้องกันการลื่นล้มเมื่อพื้นเปียก
      • พื้นที่ขึ้นลงบันได หากห้องนอนผู้สูงอายุอยู่ชั้นบน หรือมีเหตุจำเป็นต้องขึ้นไปชั้นบนของบ้านอาจทำให้ปวดเข่าเวลาขึ้น-ลงบันได หรือมีโอกาสที่อาจจะสะดุดพลัดตกจากบันไดได้ ดังนั้น จึงควรปรับบันไดภายในและภายนอกบ้านให้มีความกว้างที่เหมาะสม ลูกตั้งบันไดสูงไม่เกิน 15 เซนติเมตร ลูกนอนกว้างอย่างน้อย 30 เซนติเมตร

จมูกบันไดควรมีสีแตกต่างจากพื้นผิวของบันไดเพื่อให้สังเกตเห็นความแตกต่างของบันไดได้ชัดเจน ควรมีราวบันไดทั้ง 2 ข้างในระยะ 80 เซนติเมตรจากพื้น และมีแสงสว่างให้เพียงพอ นอกจากนี้ยังแนะนำให้ติดตั้ง “ลิฟต์บันได” เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงอายุในการขึ้นลงชั้นบนโดยไม่ต้องเดินเอง

  • สวนและภูมิทัศน์รอบบ้าน อีกหนึ่งพื้นที่ที่ผู้สูงอายุนิยมใช้ในการพักผ่อนหย่อนใจ และทำสวนปลูกต้นไม้เป็นงานอดิเรกในยามว่าง จึงควรปรับพื้นที่ให้ร่มรื่น และเป็นระเบียบ
    • ทางเข้าบ้านและบริเวณสวนควรทำให้เป็นพื้นทางเดินเรียบ ไม่ขรุขระ และไม่ปูพื้นทางเดินด้วยหินที่อาจทำให้เสียการทรงตัวและมีโอกาสลื่นได้ หากพื้นที่สวนมีบริเวณกว้าง ควรมีที่นั่งสำหรับชมธรรมชาติเป็นระยะ โดยที่นั่งพักควรมีราวจับหรือเท้าแขน เพื่อช่วยในการพยุงตัวลุกได้สะดวก
    • ในกรณีที่มีทางลาดเข้าบ้าน ควรมีความชันไม่เกิน 1:12 มีพื้นที่ว่างหน้าทางลาดไม่น้อยกว่า 150 เซนติเมตร มีขอบกั้นและราวจับตลอดแนวทางลาด ใช้วัสดุพื้นผิวไม่ลื่น หรือติดเทปกันลื่นเพิ่มเพื่อช่วยให้รองเท้าสามารถยึดเกาะพื้นได้ดีขึ้น สำหรับความกว้างทางเดินควรกว้างอย่างน้อย 90 เซนติเมตรเพื่อรองรับการใช้รถเข็น
    • หากผู้สูงอายุชอบการทำสวน ควรเลือกการปลูกในกระบะที่ระยะความสูงประมาณ 60-80 เซนติเมตร หรือปลูกต้นไม้แบบสวนแนวตั้ง เพื่อลดการก้มเงยหรือลุกนั่งบ่อย ๆ ที่อาจจะทำให้ปวดหลัง หรือก่อให้เกิดอาการหน้ามืดและหกล้มได้

เพิ่มโอกาสในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของผู้สูงวัยด้วย “Reverse mortgage”
อย่างไรก็ดี ผู้สูงอายุยังคงมีความท้าทายเมื่อยื่นขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยเช่นกัน โดยพบว่าอุปสรรคสำคัญในการขอสินเชื่อบ้านมาจากรายได้และอาชีพที่ไม่มั่นคง 75% เนื่องจากอาจจะไม่ได้ทำงานประจำที่มีรายได้แน่นอนแล้ว ตามมาด้วยมีเงินดาวน์ไม่พอ 63% และขาดเอกสารประกอบในการยื่นกู้ 38% ด้วยเหตุนี้ “Reverse Mortgage หรือสินเชื่อบ้านสำหรับผู้สูงอายุ” จึงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจในการช่วยให้ผู้สูงวัยมีโอกาสเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น รูปแบบการจำนองจะเหมือนการทยอยขายบ้านให้กับธนาคาร โดยผู้สูงวัยยังคงมีที่อยู่อาศัยในบั้นปลายชีวิตและได้รับรายได้แบบรายเดือน

โดยผู้สูงอายุสัญชาติไทยอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 80 ปี สามารถนำบ้าน/คอนโดฯ ที่ถือครองกรรมสิทธิ์อยู่มาจำนองไว้กับธนาคาร จากนั้นธนาคารจะตีมูลค่าบ้านพร้อมกับประเมินอายุเฉลี่ยของผู้กู้และทยอยจ่ายเงินค่าบ้านให้ผู้กู้เป็นรายเดือน ตัดปัญหาค่าใช้จ่ายในวัยเกษียณ โดยที่ผู้กู้ยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านหลังนั้นและสามารถอาศัยอยู่ในบ้านได้จนกระทั่งเสียชีวิตหรือตัดสินใจขายบ้านไปก่อน เมื่อครบกำหนดตามสัญญาแล้ว บ้าน/คอนโดฯ นั้นจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคาร ซึ่งธนาคารสามารถนำไปขายทอดตลาดได้

Reverse Mortgage นับว่าเป็นอีกทางเลือกน่าสนใจที่ช่วยลดความกังวลของผู้สูงอายุที่ต้องการมีบ้านเพื่ออยู่อาศัยในวัยเกษียณ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าครองชีพในอนาคต ทั้งนี้ แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย อย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (www.ddproperty.com) ได้รวบรวมข่าวสารและบทความน่ารู้ในแวดวงอสังหาฯ ที่เป็นประโยชน์กับผู้บริโภคทุกช่วงวัยที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ มาพร้อมข้อมูลประกาศซื้อ/ขาย/ให้เช่า รวมทั้งรีวิวโครงการอสังหาฯ ที่น่าสนใจในหลากหลายทำเลทั่วประเทศ ช่วยให้ทุกคนเตรียมความพร้อมก่อนตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัยได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

SC ASSET X Think of Living จัดกิจกรรม A Place Called Home ครั้งที่ 3 ชวนร่วมประกวดถ่ายภาพบ้าน 4 โครงการใหม่ ในคอนเซ็ปต์ “สวยอยู่ได้” ลุ้นรางวัลกว่า 240,000 บาท

SC ASSET X Think of Living จัดกิจกรรม A Place Called Home ครั้งที่ 3 ชวนร่วมประกวดถ่ายภาพบ้าน 4 โครงการใหม่ ในคอนเซ็ปต์ “สวยอยู่ได้” ลุ้นรางวัลกว่า 240,000 บาท

SC ASSET X Think of Living จัดกิจกรรม A Place Called Home ครั้งที่ 3 ชวนร่วมประกวดถ่ายภาพบ้าน 4 โครงการใหม่ ในคอนเซ็ปต์ “สวยอยู่ได้” ลุ้นรางวัลกว่า 240,000 บาท

Think of Living เว็บไซต์รีวิวโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศ ร่วมกับ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ผู้นำอสังหาริมทรัพย์คุณภาพสูง และ มีนวัตกรรม เปิดตัวโครงการประกวดถ่ายภาพ “A Place Called Home ครั้งที่ 3″ ในหัวข้อ “สวย อยู่ ได้” เชิญชวนผู้ที่มีใจรักในการถ่ายภาพร่วมถ่ายทอดมุมมองความสวยงามของการออกแบบและตกแต่งบ้านที่ผสมผสานอยู่ในทุกการอยู่อาศัย เพียงส่งผลงานภาพถ่ายหรือคลิปวิดีโอเพื่อคัดเลือกร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมประกวดภาพถ่าย โดยผู้ผ่านการคัดเลือกเพียง 20 ท่านจะได้สิทธิ์ในการร่วมถ่ายภาพสุด Exclusive กับ โครงการใหม่ของ SC ASSET พร้อมลุ้นเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า 240,000 บาท ผู้สนใจสามารถส่งผลงานภาพถ่ายและคลิปวิดีโอได้ตั้งแต่วันนี้10 เมษายนนี้ ผ่านทาง https://thinkofliving.com/events

SC ASSET X Think of Living launch the 3rd A Place Called Home
บรรยายใต้ภาพ (จากซ้ายไปขวา): นายสมยศ วรวุฒิยานนท์ รองหัวหน้าสายงาน ฝ่ายนวัตกรรมสื่อสารการตลาด SC ASSET และ นายวิทยา อภิรักษ์วิริยะ ผู้จัดการทั่วไป Think of Living และ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (ฝั่งดีเวลลอปเปอร์)

นายสมยศ วรวุฒิยานนท์ รองหัวหน้าสายงาน ฝ่ายนวัตกรรมสื่อสารการตลาด SC Asset กล่าวว่า “นอกเหนือจากการพัฒนาที่อยู่อาศัยคุณภาพ และ มีนวัตกรรมแล้ว  SC ยังให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ผลงานดีๆ  ผ่านกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ปีนี้นับเป็นครั้งที่ 3 แล้ว ที่ได้ร่วมกับ Think of Living จัดกิจกรรม A Place Called Home หลังจากปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากช่างภาพมืออาชีพและผู้สนใจทั่วไป  โดย SC มีโครงการบ้านซีรีส์ใหม่หลากหลาย Segment พร้อมฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์กับพฤติกรรมผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม เราหวังว่าจะช่วยจุดประกายไอเดียสร้างสรรค์ให้กับผู้เข้าร่วมประกวดได้ครีเอทภาพ และ วิดีโอ ถ่ายทอดออกมาได้หลากหลายมุมมอง และ น่าสนใจมากยิ่งขึ้น”

นายวิทยา อภิรักษ์วิริยะ ผู้จัดการทั่วไป Think of Living และ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (ฝั่งดีเวลลอปเปอร์) กล่าวว่า “การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน นอกจากจะต้องคำนึงถึงคุณภาพการก่อสร้าง เทคโนโลยีที่เอื้อต่อการอยู่อาศัย รวมถึงสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ภายในโครงการแล้ว การออกแบบที่อยู่อาศัยให้สวยงามน่าอยู่ ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเพิ่มความสุขให้กับผู้อยู่อาศัยและสร้างสุนทรียภาพในการอยู่อาศัย

Think of Living ในฐานะของเว็บไซต์รีวิวโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศ หนึ่งในหน้าที่ของเราคือการถ่ายทอดความสวยงามของการออกแบบโครงการ ความใส่ใจ และความพิถีพิถันให้กับผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย

โดย SC Asset  ถือเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯ ชั้นนำ ที่ให้ความสำคัญกับการออกแบบโครงการให้สวยงาม และใส่ใจกับทุกรายละเอียดของการออกแบบไม่ยิ่งหย่อนกว่าปัจจัยอื่น ๆ สะท้อนให้เห็นได้จากทุกโครงการที่อยู่อาศัยของ SC Asset โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยว ที่มีการออกแบบอย่างมีเอกลักษณ์และโดดเด่น ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของผู้บริโภค

ดังนั้น Think of Living จึงได้ร่วมมือกับ SC Asset จัดกิจกรรมประกวดถ่ายภาพและคลิปวิดีโอ “A Place Called Home ครั้งที่ 3” เพื่อเป็นเวทีให้ผู้ที่มีใจรักในการถ่ายภาพและวิดีโอ ได้แสดงความคิดสร้างสรรค์และร่วมถ่ายทอดความสวยงามของที่อยู่อาศัยใน 4 แบรนด์โครงการบ้านเดี่ยวของ SC ASSET ที่ได้รับการออกแบบอย่างใส่ใจและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยกิจกรรมครั้งที่ผ่านมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากช่างภาพมืออาชีพและผู้สนใจทั่วไป  

สำหรับการประกวดในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ภายใต้หัวข้อ “สวยอยู่ได้” เพื่อเชิญชวนให้ทุกคนมาร่วมถ่ายทอดมุมมองความสวยงามที่สามารถอยู่อาศัยได้ ซึ่งความพิเศษในปีนี้คือ สามารถเลือกส่งผลงานได้ทั้งภาพถ่ายและคลิปวิดีโอสั้น (Short Video) เพิ่มโอกาสในการสร้างสรรค์ผลงานที่หลากหลายมากขึ้น โดยผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเพียง 20 ท่านจะได้รับสิทธิ์ในการร่วมกิจกรรมถ่ายภาพสุด Exclusive กับ 4 โครงการบ้านเดี่ยวของ SC ASSET พร้อมลุ้นรับเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า 240,000 บาท

เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการนี้จะช่วยจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ให้กับผู้ที่ชอบการถ่ายภาพและวิดีโอ รวมทั้งเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้แสดงความสามารถและร่วมถ่ายทอดมุมมองความสวยงามที่สามารถอยู่อาศัยได้ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการซื้อที่อยู่อาศัยและตกแต่งบ้านเพื่อเติมเต็มความสุขในอนาคต” นายวิทยา กล่าวสรุป

โดยผู้ที่ผ่านการคัดเลือก 20 ท่าน จะได้รับสิทธิ์ในการร่วมกิจกรรมถ่ายภาพสุด Exclusive ในโครงการบ้านเดี่ยว 4 โครงการจาก SC ASSET ในวันเสาร์ที่ 27 เมษายน 2567 ประกอบด้วย

  • แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา-เกษตรนวมินทร์ คฤหาสน์หรู 5 ห้องนอน เป็นส่วนตัวเพียง 70 ยูนิต แปลงมุมทุกหลัง ที่ดินใหญ่ 200 ตารางวา ภายใต้บรรยากาศเมือง FLORENCE ประเทศอิตาลี
  • เดอะ เจนทริ เกษตร-นวมินทร์ วิลล่าหรู หลังใหญ่สไตล์ MODERN LUXURY พร้อมพื้นที่นั่งเล่นแบบ Double Volume และลิฟต์ภายในบ้าน ยูนิตน้อยเป็นส่วนตัว เพียง 57 ยูนิต
  • บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา 109 บ้านเดี่ยว 5 ห้องนอน 365 ตารางเมตร บ้านหรู ลา-ไน ซีรีส์ บรรยากาศ AUTUMN IN PARIS นครแห่งความโรแมนติก
  • เวนิว ไอดี รามอินทรา-มีนบุรี บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดซีรีส์ใหม่สไตล์ MODERN SIMPLICITY

พร้อมส่วนกลางกว่า 2 ไร่ ทำให้การอยู่อาศัยในทุกวันรู้สึกเหมือนอยู่รีสอร์ต บนบรรยากาศ KARUIZAWA เมืองรีสอร์ตของญี่ปุ่น

นอกจากนี้ ผู้ที่ผ่านการคัดเลือก 20 ท่านและร่วมกิจกรรมดังกล่าว จะได้รับค่ากรรมสิทธิ์ภาพ 8,000 บาท พร้อมทั้งมีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัล BEST PHOTOGRAPHY, BEST SHORT CLIP VDO และ Popular Vote รวมมูลค่ากว่า 240,000 บาท

พิเศษ! ประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้ร่วมประกวด สามารถร่วมสนุกกับโครงการนี้ได้ง่าย ๆ เพียงกด Like และกด Share พร้อมโหวตภาพที่ประทับใจผ่านทาง Facebook: SC ASSET ระหว่างวันที่ 8-31 พฤษภาคม 2567 ก็มีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลพิเศษ บัตร Sizzler มูลค่า 1,000 บาท จำนวน 5 รางวัล (สุ่มรางวัลจากหน้า Facebook เท่านั้น) ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการหรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่้ https://thinkofliving.com/events 

รายละเอียดของโครงการประกวดถ่ายภาพ “A Place Called Home ครั้งที่ 3”

A Place Called Home 2024_Infographic (3)

ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่วันนี้-10 เมษายน 2567 เพียงส่งรายละเอียดและรูปถ่ายที่เข้ากับหัวข้อ “สวยอยู่ได้” ผ่านทาง https://thinkofliving.com/events 

  • ผู้สมัคร 1 คนสามารถเลือกได้ 1 ประเภทการแข่งขันเท่านั้น แบ่งเป็นภาพนิ่ง และวิดีโอ โดยไม่จำกัดจำนวนชิ้นงานที่ส่งเข้าร่วมกิจกรรม (ภาพและวิดีโอที่ส่งเข้าประกวดต้องเป็นภาพและวิดีโอที่ผู้สมัครถ่ายด้วยตนเอง)
  • ส่งผลงานถ่ายภาพและวิดีโอโดยการแนบลิงก์ผลงานเพื่อพิจารณาผ่านทาง  https://thinkofliving.com/events
  • หากมีช่องทาง Social Media ที่เผยแพร่ผลงานอยู่แล้ว สามารถแนบลิงก์เพิ่มเติมได้
  • หากได้รับการคัดเลือกแล้ว ต้องสามารถเข้าร่วมกิจกรรมในวันเสาร์ที่ 27 เมษายน 2567 ได้

การคัดเลือก

  • ทาง Think of Living และ SC ASSET จะทำการคัดเลือกผู้สมัครให้เหลือเพียง 20 ท่านเท่านั้น โดยจะประกาศผลผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรม 20 ท่าน ผ่านทาง  https://thinkofliving.com/events และ Facebook: Think of Living ในวันที่ 18 เมษายน 2567
  • ผู้ที่ได้รับคัดเลือก 20 ท่าน จะได้ร่วมกิจกรรมถ่ายภาพ 4 โครงการใหม่ของ SC ASSET ในวันเสาร์ที่ 27 เมษายน 2567 โดยทุกท่านจะได้รับค่ากรรมสิทธิ์ภาพ มูลค่า 8,000 บาท 

วันและสถานที่เข้าร่วมกิจกรรมสำหรับผู้ที่ผ่านการคัดเลือก

กิจกรรมถ่ายภาพจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 27 เมษายน 2567 ณ โครงการบ้านเดี่ยว 4 โครงการจาก SC ASSET ได้แก่ 

  • แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา-เกษตรนวมินทร์
  • เดอะ เจนทริ เกษตร-นวมินทร์
  • บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา 109
  • เวนิว ไอดี รามอินทรา-มีนบุรี

ของรางวัล 

คณะกรรมการจะทำการคัดเลือกรางวัล BEST PHOTOGRAPHY และ BEST SHORT CLIP VDO และเปิดให้ประชาชนทั่วไปร่วมโหวตรางวัล Popular vote (Photo) และ Popular vote (Short Clip VDO) โดยประกาศผลรางวัลผ่านทาง https://thinkofliving.com/events สำหรับของรางวัลมีรายละเอียดดังนี้

  • BEST PHOTOGRAPHY จำนวน 1 รางวัล มูลค่า 20,000 บาท                          
  • BEST SHORT CLIP VDO จำนวน 1 รางวัล มูลค่า 20,000 บาท            
  • Popular vote (Photo) จำนวน 1 รางวัล มูลค่า 20,000 บาท                                     
  • Popular vote (Short Clip VDO) จำนวน 1 รางวัล มูลค่า 20,000 บาท 

พิเศษ! สำหรับประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้ส่งรูปถ่ายและวิดีโอเข้าประกวด สามารถร่วมสนุกกับโครงการนี้ได้ง่าย ๆ เพียงกด Like และกด Share พร้อมโหวตภาพที่ประทับใจผ่านทาง Facebook: SC ASSET ตั้งแต่วันที่ 8-31 พฤษภาคม 2567 ทั้งนี้ ผู้ร่วมโหวตมีสิทธิ์ลุ้นรางวัลพิเศษ บัตร Sizzler มูลค่า 1,000 บาท จำนวน 5 รางวัล (สุ่มรางวัลจากหน้า Facebook เท่านั้น) โดยผลงานที่ได้รับรางวัล Popular Vote จะนับจากภาพและวิดีโอที่มียอด Like & Share มากที่สุด 

หมายเหตุ

  • คณะผู้จัดงานและทีมงานผู้เกี่ยวข้องไม่มีสิทธิ์ได้รับของรางวัลใด ๆ จากโครงการประกวด
  • ผู้ที่ได้รับรางวัลจะต้องเป็นผู้ชำระภาษี ณ ที่จ่าย 5%
  • ของรางวัลไม่สามารถเปลี่ยนมือหรือโอนสิทธิให้ผู้อื่นได้ และไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้
  • Think of Living ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงของรางวัล กติกาหรือเงื่อนไขในการประกวดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

#สวยอยู่ได้ #APlaceCalledHome #SCASSETxThinkofLiving #SCxTOL

PropertyGuru Reports Fourth Quarter and Full Year 2023 Results

“พร็อพเพอร์ตี้กูรู” บริษัทแม่ 2 เว็บอสังหาฯ ชื่อดังของไทย เผยผลประกอบการไตรมาส 4 และประจำปี 2566

PropertyGuru Reports Fourth Quarter and Full Year 2023 Results

Revenue of S$150 Million and Adjusted EBITDA of S$19 Million in 2023

  • Total revenue grew 11% to S$150 million in 2023
  • Adjusted EBITDA of S$19 million in 2023, up from S$3 million in 2022
  • Active cost management resulted in a 13% Adjusted EBITDA margin in 2023, up from 2% in 2022
  • The Company anticipates full year 2024 revenue of between S$165 million and S$180 million and Adjusted EBITDA of between S$22 million and S$26 million

PropertyGuru Group Limited (NYSE: PGRU) (“PropertyGuru” or the “Company”), Southeast Asia’s leading[1], property technology (“PropTech”) company, today announced financial results for the quarter ended December 31, 2023. Revenue of S$42 million in the fourth quarter 2023 increased 4% year over year. Net profit was S$1 million in the fourth quarter and Adjusted EBITDA2 was S$9 million. This compares to a net loss of S$5 million and Adjusted EBITDA[2] of S$0.5 million in the fourth quarter of 2022.

Management Commentary

Hari V. Krishnan, Chief Executive Officer and Managing Director, said “Our 2023 results demonstrate our ability to navigate challenging macro-economic conditions and our commitment to profitability. We delivered double-digit revenue growth and a double-digit Adjusted EBITDA margin for the full year. This is a clear testament to our ability to create value for our customers and help property-seekers achieve their home-ownership goals.

Despite less than favorable market conditions in Vietnam and Malaysia, we were able to achieve these results by being laser-focused on optimising costs, adopting internal process automation, improving code quality and productivity. On the technology front, we continue to invest in the transformational use of Generative AI and automation to place us at the forefront of property technology and set us up for consistent improvement in productivity for years to come.

We continue to make proactive changes to build a sustainable, future-proofed business. Following our principle to make focused investments in our identified priorities, we have undertaken a strategic step towards re-architecting our organisation. This will ensure we have set our investment levels commensurate to the opportunity presented, with the right efficiencies to deliver scalable profitable growth for years to come.

We acknowledge that this change is not easy on everyone and extend our heartfelt gratitude to the impacted Gurus for their contributions to the Group and wish them the very best for the next chapter in their careers.

Going forward, while we anticipate ongoing macro challenges, our blueprint for success remains clear – innovate and advance through talent and technology. In 2023, we added key executives to our leadership teams, and at the start of 2024, welcomed Ray Ferguson as PropertyGuru’s new Board Chair. Ray brings a wealth of experience from a long and distinguished career of business building, corporate leadership, and market navigation.

We remain confident about the long-term prospects for economic growth and stability in Southeast Asia and our vision where we power communities to live, work, and thrive in tomorrow’s cities.”

Joe Dische, Chief Financial Officer, added “I am pleased with our results in 2023. We delivered 11% revenue growth and a 13% Adjusted EBITDA margin despite significant macro challenges in two core markets, Vietnam and Malaysia.

As we enter 2024 and get closer to positive inflection points in Vietnam and Malaysia, we are encouraged by how successful our internal cost-control, efficiency, and automation efforts were in 2023. We spent the year balancing product innovation and investment with careful cost management and reaped the benefit of these activities throughout the year, particularly in the fourth quarter when our Adjusted EBITDA margin jumped to 22% from 1% in the prior year quarter.

Net income in the fourth quarter of 2023 was S$1 million, a distinct improvement over a loss of S$5 million in the fourth quarter of 2022, and the second sequential quarter in a row of positive net income.

For the full year 2023, all our marketplaces were Adjusted EBITDA positive. There was significant Adjusted EBITDA margin growth in Singapore, Malaysia, and Other Asia. Notably, corporate expenses as a percentage of overall revenue decreased from 39% in 2022 to 37% in 2023.

Looking to 2024, we will continue to focus on expanding internal operating leverage as we look to improve profitability. We are introducing a full year 2024 revenue outlook of S$165 million to S$180 million and a full year Adjusted EBITDA outlook of S$22 million to S$26 million.”

Financial Highlights – Fourth Quarter and Full Year 2023

  • Total revenue increased to S$42 million (+4%) in the fourth quarter as compared to the previous year and increased to S$150 million (+11%) year over year.
  • Marketplaces revenue increased to S$40 million (+4%) in the fourth quarter as compared to the previous year and increased to S$144 million (+10%) year over year as continued strength in Singapore helped to offset ongoing challenges in Vietnam.
  • Revenue by segment:
  • Singapore Marketplaces revenue increased to S$23 million (+23%) in the fourth quarter as compared to the previous year and increased to S$86 million (+24%) year over year, as the number of agents and the Average Revenue Per Agent (“ARPA”) grew in the quarter and the year. Both fourth quarter ARPA (S$1,312) and full year ARPA (S$4,977) were up 22% compared to prior year periods, and the number of agents in Singapore was up over 100 from the third quarter of 2023 to finish the year at 16,424. The renewal rate was 75% in the quarter and 81% for the full year 2023.
  • Malaysia Marketplaces revenue was flat in the quarter at S$8 million (-0.3%) compared to the prior year quarter and increased to S$28 million (+9%) for the full year. Revenue on a Singapore Dollar basis was adversely impacted by depreciation of the Malaysian Ringgit. On a local currency basis, revenue in the fourth quarter was up 5% and revenue in 2023 was up 16%.
  • Vietnam Marketplaces revenue decreased to S$5 million (-22%) in the fourth quarter as compared to the prior year period and decreased to S$17 million (-29%) year over year, as a reduction in the number of listings was partially offset by an increase in the average revenue per listing (“ARPL”). The number of listings was 1.2 million in the fourth quarter down 26% from the fourth quarter of 2022. ARPL was up 3% to S$3.34 in the fourth quarter and was up 14% to S$3.39 for the full year.
  • Fintech & Data services revenue decreased to S$2 million (-10%) in the fourth quarter as compared to the prior year period and increased to S$6 million (+20%) year over year.
  • At quarter-end, cash and cash equivalents were S$306 million.

Information regarding our operating segments is presented below. It is noted that in 2023 the Company no longer removed the ongoing cost of being a listed entity when calculating Adjusted EBITDA. As such, the 2022 comparatives have been retrospectively adjusted accordingly.

  

For the Three Months Ended December 31,

 

  

2023

 

 

2022

 

 

YoY Growth

 

  

(S$ in thousands except percentages)

 

  

 

 

 

 

 

 

 

 

Revenue

 

 

41,506

 

 

 

40,097

 

 

 

3.5

%

Marketplaces

  

39,939

   

38,350

   

4.1

%

Singapore

  

23,094

   

18,805

   

22.8

%

Vietnam

  

4,587

   

5,870

   

-21.9

%

Malaysia

  

7,505

   

7,531

   

-0.3

%

Other Asia

  

4,753

   

6,144

   

-22.6

%

Fintech and data services

  

1,567

   

1,747

   

-10.3

%

Adjusted EBITDA

 

 

8,928

 

 

 

503

 

 

  

Marketplaces

  

24,039

   

18,240

    

Singapore

  

17,401

   

11,441

    

Vietnam

  

590

   

722

    

Malaysia

  

3,608

   

3,429

    

Other Asia

  

2,440

   

2,648

    

Fintech and data services

  

(2,262

)

  

(1,940

)

   

Corporate*

  

(12,849

)

  

(15,797

)

   

Adjusted EBITDA Margin (%)

 

 

21.5

%

 

 

1.3

%

 

  

Marketplaces

  

60.2

%

  

47.6

%

   

Singapore

  

75.3

%

  

60.8

%

   

Vietnam

  

12.9

%

  

12.3

%

   

Malaysia

  

48.1

%

  

45.5

%

   

Other Asia

  

51.3

%

  

43.1

%

   

Fintech and data services

  

-144.4

%

  

-111.0

%

   
  

For the Twelve Months Ended December 31,

 

  

2023

 

 

2022

 

 

YoY Growth

 

  

(S$ in thousands except percentages)

 

  

 

 

 

 

 

 

 

 

Revenue

 

 

150,135

 

 

 

135,925

 

 

 

10.5

%

Marketplaces

  

144,068

   

130,861

   

10.1

%

Singapore

  

85,988

   

69,241

   

24.2

%

Vietnam

  

17,130

   

24,040

   

-28.7

%

Malaysia

  

27,740

   

25,388

   

9.3

%

Other Asia

  

13,210

   

12,192

   

8.3

%

Fintech and data services

  

6,067

   

5,064

   

19.8

%

Adjusted EBITDA

 

 

18,912

 

 

 

3,325

 

 

  

Marketplaces

  

83,843

   

63,045

    

Singapore

  

65,300

   

47,626

    

Vietnam

  

778

   

5,470

    

Malaysia

  

14,803

   

10,208

    

Other Asia

  

2,962

   

(259

)

   

Fintech and data services

  

(9,299

)

  

(7,344

)

   

Corporate*

  

(55,632

)

  

(52,376

)

   

Adjusted EBITDA Margin (%)

 

 

12.6

%

 

 

2.4

%

 

  

Marketplaces

  

58.2

%

  

48.2

%

   

Singapore

  

75.9

%

  

68.8

%

   

Vietnam

  

4.5

%

  

22.8

%

   

Malaysia

  

53.4

%

  

40.2

%

   

Other Asia

  

22.4

%

  

-2.1

%

   

Fintech and data services

  

-153.3

%

  

-145.0

%

   

Strong Category Leadership Drives Long-Term Growth Opportunities

As of December 31, 2023, PropertyGuru continued its Engagement Market Share[3] leadership in Singapore, Vietnam, Malaysia, and Thailand.

  • Singapore: 82% – 5.7x the closest peer
  • Malaysia: 92% – 12.0x the closest peer
  • Vietnam: 80% – 4.1x the closest peer
  • Thailand: 54% – 1.9x the closest peer

Full Year 2024 Outlook

The Company anticipates full year 2024 revenues of between S$165 million and S$180 million and Adjusted EBITDA of between S$22 million and S$26 million.

The following near-term factors may impact the Company’s operations in 2024: further delays in the recovery of Vietnam’s property market due to consumer sentiment and access to credit; weaker than expected economic conditions in Malaysia; and additional fiscal policy measures that the Singaporean government may implement. Longer-term, the Company remains bullish on its growth trajectory, prospects for improving profitability, and the fundamental opportunity that exists in our core markets.

“พร็อพเพอร์ตี้กูรู” บริษัทแม่ 2 เว็บอสังหาฯ ชื่อดังของไทย เผยผลประกอบการไตรมาส 4 และประจำปี 2566

“พร็อพเพอร์ตี้กูรู” บริษัทแม่ 2 เว็บอสังหาฯ ชื่อดังของไทย เผยผลประกอบการไตรมาส 4 และประจำปี 2566

“พร็อพเพอร์ตี้กูรู” บริษัทแม่ 2 เว็บอสังหาฯ ชื่อดังของไทย เผยผลประกอบการไตรมาส 4 และประจำปี 2566

รายได้แตะ 150 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ และกำไรส่วนที่เป็นเงินสดพุ่ง 19 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในปีที่ผ่านมา 

  • รายได้ทั้งหมดโตขึ้น 11% มาอยู่ที่ 150 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 4 พันล้านบาท เมื่อเทียบอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 1 มีนาคม 2567) ในปี 2566 
  • กำไรส่วนที่เป็นเงินสด (Adjusted EBITDA) เพิ่มจาก 3 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 80 ล้านบาท) ในปี 2565 มาอยู่ที่ 19 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในปี 2566 (ราว 507 ล้านบาท)
  • การบริหารต้นทุนการจัดการตั้งแต่เริ่มต้น (Active cost management) ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นที่ได้ (Adjusted EBITDA margin) เพิ่มขึ้นจาก 2% ในปี 2565 เป็น 13% ในปี 2566 
  • บริษัทฯ คาดว่าผลประกอบการทั้งปี 2567 จะอยู่ระหว่าง 165-180 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 4-4.8 พันล้านบาท) ส่วนกำไรที่เป็นเงินสด (Adjusted EBITDA) คาดว่าจะอยู่ที่ระหว่าง 22-26 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 587-694 ล้านบาท)

บริษัท พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป จำกัด (ชื่อในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก NYSE: PGRU) (จากนี้จะเรียกแทนว่า “พร็อพเพอร์ตี้กูรู” หรือ “บริษัท”) บริษัทเทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้[1], (“PropTech”) และเป็นบริษัทแม่ของ 2 แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของเมืองไทย ประกอบด้วย ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งของไทย และ thinkofliving.com เว็บไซต์รีวิวโครงการอสังหาฯ ชั้นนำของไทย เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้แถลงผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 4 ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 โดยรายได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2566 อยู่ที่ 42 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 1.1 พันล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้าราว 4% ในขณะที่กำไรสุทธิในไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 1 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 27 ล้านบาท) และกำไรส่วนที่เป็นเงินสด[2] (Adjusted EBITDA หรือกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) อยู่ที่ 9 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 240 ล้านบาท) ตัวเลขดังกล่าวเทียบกับการขาดทุนสุทธิของไตรมาสเดียวกันในปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ 5 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 133 ล้านบาท) และ Adjusted EBITDA ซึ่งอยู่ที่ 0.5 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 13 ล้านบาท) 

ความเห็นจากผู้บริหาร  

นายแฮร์รี่ วี. คริชนัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า “ผลประกอบการประจำปี 2566 ของเราแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเราในการเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคที่ผันผวน และความมุ่งมั่นของเราที่ต้องการสร้างกำไรให้เกิดขึ้นกับธุรกิจที่เราทำ เราสามารถสร้างรายได้ของทั้งปีให้เติบโตในระดับตัวเลข 2 หลักได้ เช่นเดียวกับอัตรากำไร Adjusted EBITDA ตัวเลขเหล่านี้นับเป็นผลงานที่แสดงถึงความสามารถของเราอย่างชัดเจนในการสร้างมูลค่าให้กับลูกค้าของเรา และช่วยให้ผู้ที่กำลังหาบ้านสามารถบรรลุเป้าหมายในการมีบ้านเป็นของตัวเองได้ในที่สุด 

แม้ว่าสภาพตลาดในเวียดนามและมาเลเซียจะอยู่ในสถานะที่ไม่ค่อยดีนักในปีที่ผ่านมา แต่เรายังสามารถสร้างผลประกอบการได้ขนาดนี้ นั่นเพราะการลงทุนแบบมุ่งเน้นไปที่การปรับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้เหมาะสม, มีการปรับกระบวนการทำงานภายในให้เป็นแบบอัตโนมัติมากขึ้น, พัฒนากระบวนการดูแลรักษาคุณภาพ (Code Quality) และการสร้างผลิตภาพ (Productivity) ในฝั่งของเทคโนโลยี เรายังคงเดินหน้าลงทุนในการนำ Generative AI และระบบอัตโนมัติมาใช้ เพื่อให้เราเป็นบริษัทเทคโนโลยีด้านอสังหาฯ ชั้นแนวหน้า และทำให้เราสามารถพัฒนาผลิตภาพ (Productivity) ได้อย่างต่อเนื่องในอนาคตต่อจากนี้  

เรายังคงสร้างการเปลี่ยนแปลงแบบเชิงรุกเพื่อสร้างความยั่งยืน และอนาคตที่มีหลักประกันให้กับธุรกิจของเรา ตามหลักการที่เราถือปฏิบัติในการลงทุนแบบโฟกัสในตลาดที่เราดำเนินธุรกิจอยู่ เราได้เดินหน้าเชิงกลยุทธ์ด้วยการปรับองค์กร ซึ่งจะทำให้เรามั่นใจว่าการลงทุนของเรามีสัดส่วนที่เหมาะสมกับโอกาสที่มีอยู่ ด้วยประสิทธิภาพที่เหมาะสมในการที่จะสร้างการเติบโตแบบมีผลกำไรที่สามารถเพิ่มขึ้นได้ในอนาคตต่อจากนี้  

เราตระหนักดีว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเราทุกคน และผมขอเป็นตัวแทนของบริษัทฯ ในการแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อความทุ่มเทที่ผ่านมาของชาวกูรูทุกท่านที่ได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งล่าสุด และขออวยพรให้พนักงานทุกคนประสบความสำเร็จในก้าวต่อไปของชีวิตการทำงาน 

ต่อจากนี้ ในขณะที่เราคาดการณ์ว่าความท้าทายของเศรษฐกิจในระดับมหภาคยังคงดำเนินต่อไป แต่แผนการสู่ความสำเร็จของเรายังคงมีความชัดเจน สร้างสรรค์ และล้ำสมัยด้วยทีมผู้บริหารและพนักงานที่เต็มไปด้วยความสามารถ และการนำเทคโนโลยีมาช่วยสนับสนุนอย่างเหมาะสม ในปี 2566 ที่ผ่านมา เราได้ผู้บริหารท่านใหม่เข้ามาร่วมทีม และนับตั้งแต่ต้นปี 2567 เราได้ต้อนรับคุณเรย์ เฟอร์กูสัน มาสู่ทีมคณะกรรมการบริหารในฐานะประธานกรรมการบริหารคนใหม่ของพร็อพเพอร์ตี้กูรู คุณเรย์มาพร้อมกับประสบการณ์ที่พรั่งพร้อมและยาวนานในการสร้างธุรกิจที่มีชื่อเสียง, การนำทีมผู้นำขององค์กร และการเจาะตลาดต่าง ๆ ที่มีศักยภาพ   

เรายังคงมีความมั่นใจในโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแน่นอนว่าวิสัยทัศน์ของเราจะยังคงมุ่งขับเคลื่อนชุมชนต่าง ๆ เพื่อการอยู่อาศัย การทำงาน และพัฒนาสู่ความเป็นเมืองแห่งอนาคตต่อไป”

ด้านนายโจ ดิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน กล่าวเพิ่มเติมว่า “ผมรู้สึกพอใจกับผลประกอบการของปี 2566 เป็นอย่างยิ่ง เราสามารถทำรายได้ที่โตกว่าปีก่อนหน้าถึง 11% และในส่วนของอัตรากำไร Adjusted EBITDA ก็เพิ่มขึ้นถึง 13% จากปีก่อนหน้า ทั้ง ๆ ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายที่ค่อนข้างใหญ่ใน 2 ตลาดหลักของเรา นั่นคือเวียดนาม และมาเลเซีย 

ในขณะที่เรากำลังเข้าสู่ปี 2567 และกำลังเข้าใกล้จุดเปลี่ยนเชิงบวกที่สำคัญทั้งในเวียดนามและมาเลเซีย เราก็พบว่าสิ่งที่เราพยายามทำภายในองค์กรอย่างต่อเนื่อง อาทิ การควบคุมค่าใช้จ่าย การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และความพยายามในการสร้างขั้นตอนการทำงานให้เป็นแบบอัตโนมัติมากขึ้น ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในปี 2566 เราใช้เวลาในปีที่ผ่านมาในการสร้างความสมดุลระหว่างการคิดค้นโปรดักส์ใหม่ ๆ และลงทุนอย่างระมัดระวังด้วยการจัดการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 4 เมื่ออัตรากำไร Adjusted EBITDA ของเราโตขึ้นแบบก้าวกระโดดจาก 1% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ 22% ในไตรมาส 4 ของปี 2566

กำไรสุทธิในไตรมาส 4 ของปี 2566 อยู่ที่ 1 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 27 ล้านบาท) นับเป็นการเติบโตที่โดดเด่นจากการขาดทุนมูลค่า 5 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 133 ล้านบาท) เมื่อไตรมาส 4 ของปี 2565 และยังถือเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกันในปี 2566 ที่มีรายได้สุทธิเป็นบวก 

สำหรับผลประกอบการทั้งปี 2566 ในหน่วยธุรกิจมาร์เก็ตเพลสมีผลกำไร Adjusted EBITDA ที่เป็นบวก โดยในสิงคโปร์ มาเลเซีย และตลาดเอเชียอื่น ๆ ที่มีการเติบโตของอัตราผลกำไร Adjusted EBITDA ที่โดดเด่น เป็นที่น่าสังเกตว่าค่าใช้จ่ายในองค์กรเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด ลดลงจาก 39% ในปี 2565 ลดลงมาอยู่ที่ 37% ในปี 2566 

สำหรับปี 2567 เราจะยังคงเดินหน้าโฟกัสการพัฒนาขั้นตอนการดำเนินงานในส่วนต่าง ๆ ภายในองค์กรเพื่อให้มีผลิตผลและผลกำไรเพิ่มมากขึ้น โดยเราคาดว่ารายได้ทั้งปีของปี 2567 น่าจะอยู่ที่ราว 165-180 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 4.4-4.8 พันล้านบาท) ในขณะที่ Adjusted EBITDA ของทั้งปีคาดว่าจะอยู่ที่ราว 22-26 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 587-694 ล้านบาท)”

ไฮไลต์ผลประกอบการไตรมาส 4 และประจำปี 2566 

  • รายได้โดยรวมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 42 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (+4%) ในไตรมาส 4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และทั้งปีเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 150 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (+11%) เมื่อเทียบกับปี 2565 
  • รายได้ของหน่วยธุรกิจมาร์เก็ตเพลสเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 40 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (+4%) ในไตรมาส 4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 144 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (+10%) เมื่อเทียบกับปี 2565 จากความแข็งแกร่งของผลประกอบการของตลาดสิงคโปร์ที่ช่วยทดแทนความท้าทายที่เรากำลังเผชิญอยู่ในตลาดเวียดนาม
  • รายได้ตามเซ็กเมนต์:
  • รายได้จากหน่วยธุรกิจมาร์เก็ตเพลสในสิงคโปร์เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 23 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (+23%) ในไตรมาสที่ 4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 86 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (+24%) ในปี 2566 เมื่อเทียบกับปี 2565 จากจำนวนเอเจนต์และรายได้เฉลี่ยต่อเอเจนต์ (“ARPA”) ที่เติบโตขึ้นในไตรมาส 4 และทั้งปี 2566 โดยในช่วงไตรมาส 4 ARPA ของสิงคโปร์อยู่ที่ 1,312 ดอลลาร์สิงคโปร์ และทั้งปีอยู่ที่ 4,977 ดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งโตขึ้นราว 22% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ในขณะที่จำนวนเอเจนต์ในสิงคโปร์เพิ่มขึ้น 100 คนจากไตรมาส 3 ของปี 2566 ทำให้จำนวนเอเจนต์ของสิงคโปร์ทั้งปีอยู่ที่ 16,424 ราย อัตราการต่ออายุแพ็คเกจอยู่ที่ 75% ในไตรมาส 4 และอัตราของทั้งปี 2566 เฉลี่ยอยู่ที่ 81% 
  • รายได้จากหน่วยธุรกิจมาร์เก็ตเพลสในมาเลเซียค่อนข้างทรงตัวในไตรมาส 4 โดยอยู่ที่ 8 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (-3%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นจากปี 2565 (+9%) มาอยู่ที่ 28 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในปี 2566 รายได้ที่ใช้สกุลเงินดอลลาร์สิงคโปร์เป็นเบสค่อนข้างได้รับผลกระทบจากค่าเงินริงกิตมาเลเซียที่อ่อนตัวลง ถ้าดูจากสกุลเงินท้องถิ่น รายได้ในไตรมาส 4 เพิ่มขึ้นราว 5% และรายได้ของทั้งปีเพิ่มขึ้น 16% 
  • รายได้จากหน่วยธุรกิจมาร์เก็ตเพลสในเวียดนามลดลงมาอยู่ที่ 5 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (-22%) ในช่วงไตรมาสที่ 4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และลดลง 17 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (-29%) เมื่อเทียบระหว่างปี 2566 และปี 2565 เนื่องจากจำนวนของประกาศที่ลดลง อย่างไรก็ดี ยังมีรายได้บางส่วนที่ถูกทดแทนด้วยรายได้เฉลี่ยต่อประกาศ (“ARPL”) ที่เพิ่มขึ้น จำนวนประกาศในไตรมาส 4 อยู่ที่ 2 ล้านรายการ ลดลง 26% จากไตรมาส 4 ของปี 2565 ในขณะที่ ARPL เพิ่มขึ้น 3% มาอยู่ที่ 3.34 ดอลลาร์สิงคโปร์ในไตรมาสที่ 4 และเพิ่มขึ้น 14% มาอยู่ที่ 3.39 ดอลลาร์สิงคโปร์สำหรับทั้งปี 2566 
  • รายได้จากหน่วยธุรกิจฟินเทค แอนด์ ดาต้า เซอร์วิสเซส ลดลงมาอยู่ที่ 2 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (-10%) ในไตรมาส 4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และรายได้ทั้งปีเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (+20%) เมื่อเทียบกับปี 2565 
  • ณ สิ้นไตรมาส เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด อยู่ที่ 306 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 2 พันล้านบาท)

Information regarding our operating segments is presented below. It is noted that in 2023 the Company no longer removed the ongoing cost of being a listed entity when calculating Adjusted EBITDA. As such, the 2022 comparatives have been retrospectively adjusted accordingly.

  

For the Three Months Ended December 31,

 
  

2023

  

2022

  

YoY Growth

 
  

(S$ in thousands except percentages)

 
          

Revenue

  

41,506

   

40,097

   

3.5

%

Marketplaces

  

39,939

   

38,350

   

4.1

%

Singapore

  

23,094

   

18,805

   

22.8

%

Vietnam

  

4,587

   

5,870

   

-21.9

%

Malaysia

  

7,505

   

7,531

   

-0.3

%

Other Asia

  

4,753

   

6,144

   

-22.6

%

Fintech and data services

  

1,567

   

1,747

   

-10.3

%

Adjusted EBITDA

  

8,928

   

503

    

Marketplaces

  

24,039

   

18,240

    

Singapore

  

17,401

   

11,441

    

Vietnam

  

590

   

722

    

Malaysia

  

3,608

   

3,429

    

Other Asia

  

2,440

   

2,648

    

Fintech and data services

  

(2,262

)

  

(1,940

)

   

Corporate*

  

(12,849

)

  

(15,797

)

   

Adjusted EBITDA Margin (%)

  

21.5

%

  

1.3

%

   

Marketplaces

  

60.2

%

  

47.6

%

   

Singapore

  

75.3

%

  

60.8

%

   

Vietnam

  

12.9

%

  

12.3

%

   

Malaysia

  

48.1

%

  

45.5

%

   

Other Asia

  

51.3

%

  

43.1

%

   

Fintech and data services

  

-144.4

%

  

-111.0

%

   
  

For the Twelve Months Ended December 31,

 
  

2023

  

2022

  

YoY Growth

 
  

(S$ in thousands except percentages)

 
          

Revenue

  

150,135

   

135,925

   

10.5

%

Marketplaces

  

144,068

   

130,861

   

10.1

%

Singapore

  

85,988

   

69,241

   

24.2

%

Vietnam

  

17,130

   

24,040

   

-28.7

%

Malaysia

  

27,740

   

25,388

   

9.3

%

Other Asia

  

13,210

   

12,192

   

8.3

%

Fintech and data services

  

6,067

   

5,064

   

19.8

%

Adjusted EBITDA

  

18,912

   

3,325

    

Marketplaces

  

83,843

   

63,045

    

Singapore

  

65,300

   

47,626

    

Vietnam

  

778

   

5,470

    

Malaysia

  

14,803

   

10,208

    

Other Asia

  

2,962

   

(259

)

   

Fintech and data services

  

(9,299

)

  

(7,344

)

   

Corporate*

  

(55,632

)

  

(52,376

)

   

Adjusted EBITDA Margin (%)

  

12.6

%

  

2.4

%

   

Marketplaces

  

58.2

%

  

48.2

%

   

Singapore

  

75.9

%

  

68.8

%

   

Vietnam

  

4.5

%

  

22.8

%

   

Malaysia

  

53.4

%

  

40.2

%

   

Other Asia

  

22.4

%

  

-2.1

%

   

Fintech and data services

  

-153.3

%

  

-145.0

%

   

ความเป็นผู้นำตลาดที่แข็งแกร่งเป็นตัวขับเคลื่อนโอกาสในการเติบโตระยะยาว  

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 พร็อพเพอร์ตี้กูรูยังคงครองความเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ในตลาดหลักที่ดำเนินธุรกิจ ได้แก่ สิงคโปร์, เวียดนาม, มาเลเซีย และไทย  

  • สิงคโปร์: 82% – นำหน้าแบรนด์อันดับสอง 5.7 เท่า
  • มาเลเซีย: 92% – นำหน้าแบรนด์อันดับสอง 12.0 เท่า
  • เวียดนาม: 80% – นำหน้าแบรนด์อันดับสอง 4.1 เท่า
  • ไทย: 54% – นำหน้าแบรนด์อันดับสอง 1.9 เท่า

ภาพรวมของปี 2567

บริษัทได้คาดการณ์รายได้ของทั้งปี 2567 ไว้อยู่ที่ระหว่าง 165-180 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 4.4-4.8 พันล้านบาท) ในขณะที่กำไรที่เป็น Adjusted EBITDA จะอยู่ที่ระหว่าง 22-26 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 587-694 ล้านบาท)

ปัจจัยระยะใกล้ที่อาจจะส่งผลต่อการดำเนินการของบริษัทในปี 2567 ได้แก่ การฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ เวียดนามที่ชะลอตัวออกไป เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังคงไม่ค่อยดี และการเข้าถึงสินเชื่อ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่เกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจในมาเลเซียที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ อีกทั้งยังมีนโยบายการคลังเพิ่มเติมและมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลสิงคโปร์อาจจะออกมาในเร็ว ๆ นี้  ในระยะยาว บริษัทยังคงมั่นใจกับวิถีการเติบโตของบริษัท มองเห็นโอกาสในการพัฒนาเพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไร และโอกาสพื้นฐานที่ปรากฎอยู่ในตลาดหลักที่เราดำเนินธุรกิจอยู่ 

อัปเดตทิศทางคนหาบ้าน 2567 ความท้าทายคนซื้อบ้าน ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงทุกด้าน หวังภาครัฐเพิ่มมาตรการใหม่ ช่วยสานฝันให้มีบ้านง่ายขึ้น

อัปเดตทิศทางคนหาบ้าน 2567 ความท้าทายคนซื้อบ้าน ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงทุกด้าน หวังภาครัฐเพิ่มมาตรการใหม่ ช่วยสานฝันให้มีบ้านง่ายขึ้น

อัปเดตทิศทางคนหาบ้าน 2567 ความท้าทายคนซื้อบ้าน ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงทุกด้าน หวังภาครัฐเพิ่มมาตรการใหม่ ช่วยสานฝันให้มีบ้านง่ายขึ้น

การเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยยังคงเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญในชีวิตของผู้บริโภคหลายคน นอกจากจะสะท้อนถึงความมั่นคงและความพร้อมทางการเงินของผู้บริโภคแล้ว ยังสะท้อนภาพรวมให้เห็นถึงการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศอีกด้วย ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจไทยชะลอตัวอย่างต่อเนื่องในขณะที่อัตราดอกเบี้ยสูงย่อมส่งผลกระทบต่อการวางแผนซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคโดยตรงเช่นกัน 

ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2566 ขยายตัว 1.9% ชะลอตัวจากการขยายตัว 2.5% ในปี 2565 และคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2567 จะขยายตัวในช่วง 2.2–3.2% (โดยไม่รวมผลของมาตรการดิจิทัลวอลเล็ต) ซึ่งปรับลดลงจากประมาณการครั้งก่อนหน้าที่คาดว่าจะขยายตัวในช่วง 2.7-3.7% ถือเป็นการส่งสัญญานให้ผู้บริโภคที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในปีนี้ต้องเตรียมวางแผนทางการเงินอย่างรัดกุมอีกครั้ง 

DDproperty Thailand Consumer Sentiment

ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุดของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย พบว่า ภาพรวมความเชื่อมั่นด้านอสังหาริมทรัพย์ของผู้บริโภคชาวไทยมีทิศทางลดลงในทุกด้าน โดยดัชนีความเชื่อมั่นด้านอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 48% จากเดิม 50% ในรอบก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจและความท้าทายต่าง ๆ ยังคงส่งผลกระทบต่อการวางแผนซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความท้าทายทางการเงินที่เป็นปัจจัยสำคัญส่งผลให้ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคปรับลดลงตามไปด้วย โดยลดลงมาอยู่ที่ 59% (จากเดิม 63% ในรอบก่อน) หลังจากผู้บริโภคต้องเผชิญกับความท้าทายทางการเงินทั้งจากค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับสูง 

ผู้บริโภคส่วนใหญ่มองว่าอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่อยู่อาศัยอยู่ในระดับสูง (48%) และสูงมาก (29%) มีเพียง 16% ที่มองว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันมีความเหมาะสมแล้ว ขณะเดียวกันมีผู้บริโภคเพียง 13% เท่านั้นที่มองว่ารัฐบาลมีความพยายามเพียงพอที่จะช่วยให้ซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองได้ (ลดลงจาก 15% ในรอบก่อน) เนื่องจากภาครัฐยังคงไม่มีการออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม (นอกจากมาตรการลดค่าโอน-จดจำนอง ที่ต่ออายุมาตรการจนถึงสิ้นปี 2567)

เมื่อพิจารณาความพึงพอใจในสภาพตลาดที่อยู่อาศัยมีการปรับลดลงเช่นกัน โดยลดลงมาอยู่ที่ 63% จากเดิม 65% ในรอบก่อน อย่างไรก็ตามสำหรับในกลุ่มผู้บริโภคที่ยังคงพึงพอใจอยู่ ส่วนใหญ่ 39% เผยว่าพึงพอใจเนื่องจากราคาที่อยู่อาศัยในปัจจุบันยังเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ รองลงมามองว่าตลาดที่อยู่อาศัยมีเสถียรภาพและยืดหยุ่น 37% และเห็นโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว 31% 

ขณะที่มุมมองของผู้ที่ไม่พึงพอใจ เกือบ 2 ใน 3 (65%) มองว่า เศรษฐกิจยังไม่ดีเท่าที่ควร ตามมาด้วยอัตราดอกเบี้ยยังไม่ลดลงมาถึงระดับที่คาดหวัง 32% และมองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่มีเสถียรภาพ 30%

เกาะติดความต้องการซื้อ คนอยากซื้อบ้านน้อยลงในยุคดอกเบี้ยสูง 

ข้อมูลจากแบบสอบถามฯ DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่า ผู้บริโภคกว่า 2 ใน 5 (44%) วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยในอีก 1 ปีข้างหน้า ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 53% ในรอบก่อนหน้า ซึ่งถือเป็นสัญญาณสะท้อนให้เห็นว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคยังคงไม่ฟื้นตัว สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ในกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้บริโภคระดับกลางและล่างยังคงมีความเปราะบางทางการเงินจึงจำเป็นต้องลดการก่อหนี้ใหม่ ในทางกลับกันสัดส่วนของผู้เลือกเช่าที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นถึง 14% (จากเดิม 9%) ส่วนอีก 34% ยังไม่มีการวางแผนซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยใด ๆ ขณะที่อีก 8% จะรับมรดกที่อยู่อาศัยต่อจากพ่อแม่และผ่อนชำระต่อไปแทน

  • 1 ใน 3 ของคนหาบ้านมีเงินพร้อมซื้อ หวังเพิ่มพื้นที่ส่วนตัว เหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ (44%) ตัดสินใจซื้อที่อาศัยในเวลานี้เนื่องจากต้องการพื้นที่ส่วนตัวมากที่สุด รองลงมาคือเลือกซื้อเพื่อการลงทุน 29% และซื้อเพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับพ่อแม่/บุตรหลานให้มากขึ้น 27% อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาความพร้อมทางการเงินของผู้บริโภคพบว่ามีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าสนใจ โดย 1 ใน 3 ของผู้ที่วางแผนซื้อที่อยู่อาศัย (33%) เผยว่ามีเงินออมเพียงพอที่จะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองแล้ว สัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 24% ในรอบก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นว่าคนหาบ้านยุคนี้ให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินก่อนตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้นหลังจากเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจมาเป็นเวลานาน ขณะที่ผู้บริโภคเกือบครึ่ง (47%) เผยว่าเก็บเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น ส่วน 19% ของผู้วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยยังไม่ได้เริ่มแผนเก็บเงินใด ๆ เลย
  • เงินเก็บไม่พอ ดันคนหันเช่า เหตุผลหลักที่ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่เลือกเช่าที่อยู่อาศัยนั้น กว่า 3 ใน 5 (61%) เผยว่ายังไม่มีเงินเก็บเพียงพอในการซื้อที่อยู่อาศัยในเวลานี้ ขณะที่เกือบ 2 ใน 5 (38%) มองว่าที่อยู่อาศัยมีราคาแพงเกินไปจึงเลือกเก็บออมเงินแทน และ 27% มองไม่เห็นความจำเป็นหรือความเร่งด่วนที่ต้องซื้อที่อยู่อาศัยตอนนี้ สะท้อนให้เห็นว่าสภาพคล่องทางการเงินยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคไม่พร้อมเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย จึงหันมาเลือกเช่าแทน 

สอดคล้องกับเทรนด์ Generation Rent ที่ยังคงได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องด้วยความท้าทายจากปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ทำให้คนรุ่นใหม่และวัยทำงานไม่ต้องการเพิ่มภาระผูกพันทางการเงินในระยะยาวจากการซื้อที่อยู่อาศัย การเช่าจึงตอบโจทย์เรื่องค่าใช้จ่ายมากกว่า และยังได้เปรียบในด้านความยืดหยุ่นและคล่องตัวหากต้องการย้ายที่อยู่อาศัยในอนาคต โดยผู้เช่าส่วนใหญ่ 31% เผยว่าได้วางแผนเช่า 2 ปี ก่อนจะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองในภายหลัง ขณะที่ 1 ใน 3 (33%) ยังไม่แน่ใจว่าจะเช่าต่อไปอีกนานแค่ไหน เนื่องจากต้องพิจารณาความพร้อมหลาย ๆ ด้านประกอบกัน

โดยค่าเช่าที่ได้รับความสนใจมากที่สุดอยู่ที่ไม่เกิน 5,000 บาท/เดือน สัดส่วน 48% และมีสัดส่วนที่สูงขึ้นในกลุ่มผู้เช่าปัจจุบันและผู้มีรายได้น้อย สะท้อนให้เห็นถึงกำลังซื้อและความสามารถในการใช้จ่ายของผู้เช่าในปัจจุบันที่ยังคงต้องรัดเข็มขัดต่อเนื่อง รองลงมาคือ 5,001-10,000 บาท/เดือน และ 10,001-15,000 บาท/เดือน (สัดส่วน 39% และ 6% ตามลำดับ)

DDproperty-Thailand-Consumer-Sentiment-Study-H1-2024

อัปเดตเทรนด์ที่อยู่​อาศัย ขนาดและความปลอดภัยคือปัจจัยหลักในการหาบ้าน     

  • “ขนาด-ความปลอดภัย” ปัจจัยหลักเมื่อคิดหาบ้าน สำหรับปัจจัยภายในที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค เกือบครึ่ง (46%) จะพิจารณาจากขนาดที่อยู่อาศัยเป็นอันดับแรก โดยบ้าน/คอนโดมิเนียมที่มองหาต้องมีขนาดและพื้นที่ใช้สอยที่สามารถรองรับการอยู่อาศัยของสมาชิกในครอบครัวได้อย่างครบครัน ตามมาด้วยพิจารณาราคาเฉลี่ยต่อพื้นที่ใช้สอย (39%) สะท้อนให้เห็นว่าคนหาบ้านยุคนี้เน้นไปที่ความคุ้มค่าซึ่งตอบโจทย์การเงินมาเป็นอันดับต้น ๆ และพิจารณาสิ่งอำนวยความสะดวกภายในที่พัก ในสัดส่วนไล่เลี่ยกันที่ 38%  

ขณะที่ปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยนั้น มากกว่าครึ่ง (47%) ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของโครงการมากที่สุด โดยมองหาโครงการบ้าน/คอนโดฯ ที่มาพร้อมเทคโนโลยีที่เสริมระบบรักษาความปลอดภัยที่รัดกุม สร้างความเชื่อมั่นว่าชีวิตและทรัพย์สินจะได้รับการดูแลให้ปลอดภัยเสมอ รองลงมาเป็นทำเลที่ตั้งของโครงการ (45%) หากอยู่ใน​ทำเล​ที่มีศักยภาพ​เติบโตหรือมีแผนพัฒนา​โครงการคมนาคมและสาธารณูปโภคในอนาคตจะช่วยเพิ่มมูลค่าที่อยู่​อาศัยในอนาคต และต้องสามารถเดินทางได้สะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ (44%) รองรับการดำเนินชีวิตให้ราบรื่นยิ่งขึ้น

  • เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสช่วยคนหาบ้านง่ายขึ้น เทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์ (PropTech) ยังคงมีบทบาทสำคัญในการวางแผนซื้อที่อยู่อาศัยในยุคนี้ โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่ (65%) เผยว่าเว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสเป็นเทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์ที่เลือกใช้มากที่สุดเมื่อต้องการมีบ้าน ด้วยจุดเด่นที่มีการรวบรวมรายการประกาศขาย-เช่ามากมายไว้ให้เลือกในที่เดียว จึงอำนวยความสะดวกให้ค้นหาบ้าน/คอนโดฯ ได้ง่ายและประหยัดเวลามากขึ้น รองลงมาคือเครื่องมือคำนวณข้อมูลทางการเงิน 47% ที่ช่วยประเมินความพร้อมทางการเงินเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถวางแผนงบประมาณเบื้องต้นได้ ส่วนการเยี่ยมชมโครงการเสมือนจริง (Virtual Tour) และฟินเทค (Fintech) อยู่ในสัดส่วนเท่ากันที่ 27% 
  • “บ้านมือสอง” ตัวเลือกโดนใจคนหาบ้านยุคนี้ ข้อมูลจากผลสำรวจจากผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.ddproperty.com ในช่วงเดือนมกราคม 2567 เผยว่าฟีลเตอร์หรือตัวเลือกในการค้นหาที่อยู่อาศัยที่ผู้บริโภคยุคนี้ต้องการมากที่สุด คือฟีลเตอร์ที่ช่วยแยกระหว่างที่อยู่อาศัยโครงการใหม่และมือสอง (80%) ซึ่งจะช่วยคัดกรองบ้าน/คอนโดฯ เพื่อวางแผนค่าใช้จ่ายเบื้องต้นได้ โดยโครงการมือสองถือเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์การซื้อที่อยู่อาศัยในเวลานี้เนื่องจากมีราคาเอื้อมถึงได้ง่ายกว่าโครงการใหม่ และมีโอกาสในการต่อรองราคาเพิ่มขึ้นอีกด้วย 

ตามมาด้วยฟิลเตอร์ที่ช่วยแยกระหว่างที่อยู่อาศัยที่เลี้ยงสัตว์ได้และห้ามเลี้ยงสัตว์ 53% สะท้อนให้เห็นว่าเทรนด์ Pet Parents หรือ Pet Humanization การเลี้ยงสัตว์เป็นเสมือนลูกและสมาชิกในครอบครัวได้รับความนิยมมากขึ้น การเลือกอยู่ในโครงการร่วมกับผู้ที่มีไลฟ์สไตล์เดียวกันจะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศที่ดีขึ้นตามไปด้วย และฟิลเตอร์ที่ระบุว่าเป็นทรัพย์สินรอการขายของธนาคาร (NPA) 51% ซึ่งมาพร้อมโอกาสที่จะได้ที่อยู่อาศัยในราคาย่อมเยา แต่อาจต้องพิจารณาความเสี่ยงหากเกิดปัญหาเจ้าของเดิมไม่ยอมย้ายออก 

  • “บ้านรักษ์โลก-รักษ์สุขภาพ” ความยั่งยืนที่แท้จริงในการอยู่อาศัย จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้บริโภคตระหนักถึงความสำคัญในการดูแลสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในทุกมิติรวมไปถึงการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่มีแนวคิดดังกล่าวด้วย โดยเกือบ 9 ใน 10 ของผู้บริโภค (88%) ยินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมคุณสมบัติเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ สะท้อนให้เห็นแนวคิดการเลือกบ้าน/คอนโดฯ ในปัจจุบันที่มองว่าการให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพ จะช่วยให้เกิดความยั่งยืนในการอยู่อาศัยที่แท้จริง 
  • ฝุ่น PM 2.5 ยังมาเยือนทุกปี กระทบแผนซื้อบ้าน ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ยังคงเป็นเรื่องท้าทายที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวและยังไม่มีแนวทางการจัดการปัญหาที่ได้ผลชัดเจน ทำให้ฝุ่น PM 2.5 ที่กลับมาพุ่งสูงในทุกปีกลายมาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลในการพิจารณาเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่ 58% เผยว่าจะเลือกพิจารณาเฉพาะโครงการที่มีเครื่องปรับอากาศและระบายอากาศได้ดีเท่านั้น เพื่อช่วยแก้ปัญหาด้วยตัวเองในเบื้องต้นและลดความเสี่ยงด้านสุขภาพของคนในครอบครัว ขณะที่ 50% จะทบทวนแผนการซื้อที่อยู่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงอีกครั้ง ส่วนอีก 34% จะพิจารณาแผนการย้ายไปอยู่แถบชนบทแทน

จับตาความคาดหวังของคนหาบ้านที่มีต่อมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ จากภาครัฐ 

จากสภาพเศรษฐกิจไทยที่มีความไม่แน่นอนสูงและยังฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเติบโตของตลาดที่อยู่อาศัย ในขณะที่ราคาบ้าน/คอนโดฯ ปรับเพิ่มขึ้นตามต้นทุนการก่อสร้างและราคาที่ดิน แต่รายได้ของผู้บริโภคยังคงเติบโตไม่ทันราคาที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้น เมื่อประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงยิ่งก่อให้เกิดช่องว่างในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น 

โดยผู้บริโภคเกือบ 1 ใน 3 (30%) ตัดสินใจชะลอการซื้อที่อยู่อาศัยออกไปก่อนเนื่องจากเงินเก็บที่มีได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบัน ขณะที่ 25% ยังไม่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยในอนาคตอันใกล้ และอีก 20% วางแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยที่มีราคาถูกลงแทน เพื่อลดความเสี่ยงในการก่อหนี้เกินตัวให้น้อยที่สุด 

ขณะเดียวกัน มากกว่าครึ่งของผู้บริโภค (56%) เผยว่าอุปสรรคสำคัญในการขอสินเชื่อบ้านมาจากรายได้และอาชีพที่ไม่มั่นคง ตามมาด้วยมีประวัติทางการเงินที่ไม่ดี 38% และมีเงินดาวน์ไม่พอ 31% ซึ่งล้วนเป็นความท้าทายที่มาจากการเงินเป็นหลัก 

นอกจากนี้ อีกปัจจัยที่สร้างความท้าทายต่อกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้บริโภคระดับกลางและล่างมาจากการที่ธนาคารมีหลักเกณฑ์พิจารณาการอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อ (Rejection Rate) สูงตามไปด้วย หรือวงเงินกู้ที่ผ่านการอนุมัติอาจได้รับลดลงแปรผันตามความสามารถในการผ่อนชำระของผู้ซื้อในปัจจุบัน สอดคล้องกับข้อมูลจากบริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LWS) เผยว่าในปี 2566 มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อ (Rejection Rate) สูงถึง 60-65% จากยอดการขออนุมัติสินเชื่อทั้งหมด 

อย่างไรก็ดี ข้อมูลจาก KKP Research ประเมินว่าภาคอสังหาริมทรัพย์มีมูลค่ารวมถึงประมาณ 8-12% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP สะท้อนให้เห็นว่าเป็นอีกธุรกิจที่มีความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และยังเชื่อมโยงกับการเติบโตของธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย ดังนั้น หากภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ตรงจุดก็จะช่วยให้ผู้บริโภคมีโอกาสเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยมากขึ้น 

ทั้งนี้ 3 อันดับแรกของมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ที่คนหาบ้านอยากได้มากสุดในเวลานี้ เกือบ 3 ใน 5 (58%) ต้องการให้มีมาตรการลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น ตามมาด้วยมาตรการลดดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งสินเชื่อที่มีอยู่และกู้ใหม่ 51% และมาตรการลดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และการจดทะเบียนจำนองอสังหาริมทรัพย์ 40% ซึ่งนอกจากมาตรการเหล่านี้จะครอบคลุมและส่งเสริมการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในวงกว้างแล้ว ยังจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของกลุ่ม Real Demand ด้วย ซึ่งคาดว่าจะช่วยขับเคลื่อนให้การซื้อขายที่อยู่อาศัยในปีนี้เติบโตอย่างต่อเนื่องและกลับมาคึกคักอีกครั้ง

หมายเหตุ: DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study เป็นแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทยที่จัดทำขึ้นทุก 6 เดือน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจมุมมองและความต้องการของผู้บริโภค นักลงทุนและเอเจนต์ต่อประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับตลาดที่อยู่อาศัย รวมไปถึงพฤติกรรมและแนวโน้มการซื้อ-ขาย-เช่า ผ่านแบบสอบถามออนไลน์ในกลุ่มตัวอย่างอายุตั้งแต่ 22-69 ปี จำนวน 1,050 คน 

อ่านและศึกษาข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทยรอบล่าสุดได้ที่ DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study