จับตาเทรนด์อสังหาฯ ในกรุงเทพฯ ราคาที่อยู่อาศัยยังไม่ปรับขึ้น โอกาสทองของคนอยากมีบ้าน

จับตาเทรนด์อสังหาฯ ในกรุงเทพฯ ราคาที่อยู่อาศัยยังไม่ปรับขึ้น โอกาสทองของคนอยากมีบ้าน

จับตาเทรนด์อสังหาฯ ในกรุงเทพฯ ราคาที่อยู่อาศัยยังไม่ปรับขึ้น โอกาสทองของคนอยากมีบ้าน

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยภาพรวมตลาดอสังหาฯ ยังคงเผชิญความท้าทายรอบด้าน ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจภายในและภายนอกประเทศที่ยังไม่มีแนวโน้มฟื้นตัวในเวลาอันใกล้ ภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ปี 2565 ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภค รวมถึงต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ปรับราคาขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ที่ต้องประเมินความเสี่ยงทางการเงินกับความคุ้มค่าให้รอบคอบมากขึ้น ขณะที่ภาพรวมราคาที่อยู่อาศัยยังคงไม่ปรับขึ้น หลังผู้ประกอบการพยายามตรึงราคาเพื่อให้สอดคล้องกับกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยบ้านเดี่ยวยังได้รับความนิยมสูงสุดและเป็นที่อยู่อาศัยรูปแบบเดียวที่ดัชนีราคาเติบโตในไตรมาสที่ผ่านมา ด้านตลาดเช่ายังคงมาแรง ความต้องการเช่าโตถึง 88% ในรอบไตรมาส ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ยังไม่พร้อมซื้อ ดันดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้นทุกรูปแบบที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม ตลาดอสังหาฯ ในช่วงไตรมาส 3 ถือเป็นโอกาสทองของผู้ซื้อและนักลงทุนที่พร้อมเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในราคาที่ยังไม่แพงเกินไป ก่อนปรับราคาขึ้นตามต้นทุน และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงปลายปี 2565 นี้

ข้อมูลล่าสุดจากรายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q3 2565 – Powered by PropertyGuru DataSense ซึ่งวิเคราะห์จากข้อมูลประกาศขาย-เช่าอสังหาฯ บน DDproperty เผยดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ปรับตัวลดลง 2% จากไตรมาสก่อน (QoQ) หรือลดลง 5% จากปีก่อนหน้า (YoY) โดยลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2563 ต่ำกว่าดัชนีราคาปี 2561 ซึ่งเป็นปีฐานถึง 18% สะท้อนให้เห็นว่าแนวโน้มราคายังไม่กลับมาฟื้นตัวดีเท่ากับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจ 

ขณะที่การทำงานออนไลน์และเรียนออนไลน์ที่กลายเป็นเรื่องปกติในปัจจุบันส่งผลให้บ้านเดี่ยวยังคงครองใจผู้บริโภคยุคนี้ โดยเป็นที่อยู่อาศัยรูปแบบเดียวที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 5% ในไตรมาสที่ผ่านมา และเพิ่มถึง 21% จากปีก่อนหน้า ส่วนดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียมทรงตัวจากไตรมาสก่อน โดยดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อนหน้า ต่างจากดัชนีราคาคอนโดฯ ที่ลดลงถึง 3% จากปีก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นว่า ช่วงนี้ผู้ซื้อยังคงให้ความสนใจที่อยู่อาศัยแนบราบที่มีความคุ้มค่าและพื้นที่ใช้สอยตอบโจทย์มากกว่า และเมื่อโครงการที่อยู่อาศัยมือหนึ่งมีแนวโน้มราคาสูงขึ้นในอนาคต ย่อมส่งผลให้โครงการรีเซลหรือโครงการมือสองซึ่งมีราคาถูกกว่า กลายเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจในกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงเช่นกัน

- ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยภาพรวมตลาดอสังหาฯ ยังคงเผชิญความท้าทายรอบด้าน ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจภายในและภายนอกประเทศที่ยังไม่มีแนวโน้มฟื้นตัวในเวลาอันใกล้ ภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ปี 2565 ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภค รวมถึงต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ปรับราคาขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ที่ต้องประเมินความเสี่ยงทางการเงินกับความคุ้มค่าให้รอบคอบมากขึ้น ขณะที่ภาพรวมราคาที่อยู่อาศัยยังคงไม่ปรับขึ้น หลังผู้ประกอบการพยายามตรึงราคาเพื่อให้สอดคล้องกับกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยบ้านเดี่ยวยังได้รับความนิยมสูงสุดและเป็นที่อยู่อาศัยรูปแบบเดียวที่ดัชนีราคาเติบโตในไตรมาสที่ผ่านมา ด้านตลาดเช่ายังคงมาแรง ความต้องการเช่าโตถึง 88% ในรอบไตรมาส ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ยังไม่พร้อมซื้อ ดันดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้นทุกรูปแบบที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม ตลาดอสังหาฯ ในช่วงไตรมาส 3 ถือเป็นโอกาสทองของผู้ซื้อและนักลงทุนที่พร้อมเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในราคาที่ยังไม่แพงเกินไป ก่อนปรับราคาขึ้นตามต้นทุน และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงปลายปี 2565 นี้ ข้อมูลล่าสุดจากรายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q3 2565 – Powered by PropertyGuru DataSense ซึ่งวิเคราะห์จากข้อมูลประกาศขาย-เช่าอสังหาฯ บน DDproperty เผยดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ปรับตัวลดลง 2% จากไตรมาสก่อน (QoQ) หรือลดลง 5% จากปีก่อนหน้า (YoY) โดยลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2563 ต่ำกว่าดัชนีราคาปี 2561 ซึ่งเป็นปีฐานถึง 18% สะท้อนให้เห็นว่าแนวโน้มราคายังไม่กลับมาฟื้นตัวดีเท่ากับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจ ขณะที่การทำงานออนไลน์และเรียนออนไลน์ที่กลายเป็นเรื่องปกติในปัจจุบันส่งผลให้บ้านเดี่ยวยังคงครองใจผู้บริโภคยุคนี้ โดยเป็นที่อยู่อาศัยรูปแบบเดียวที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 5% ในไตรมาสที่ผ่านมา และเพิ่มถึง 21% จากปีก่อนหน้า ส่วนดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียมทรงตัวจากไตรมาสก่อน โดยดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อนหน้า ต่างจากดัชนีราคาคอนโดฯ ที่ลดลงถึง 3% จากปีก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นว่า ช่วงนี้ผู้ซื้อยังคงให้ความสนใจที่อยู่อาศัยแนบราบที่มีความคุ้มค่าและพื้นที่ใช้สอยตอบโจทย์มากกว่า และเมื่อโครงการที่อยู่อาศัยมือหนึ่งมีแนวโน้มราคาสูงขึ้นในอนาคต ย่อมส่งผลให้โครงการรีเซลหรือโครงการมือสองซึ่งมีราคาถูกกว่า กลายเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจในกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงเช่นกัน

นางกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทยของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า “ความท้าทายที่ตลาดอสังหาฯ ไทยต้องเผชิญในตอนนี้ถือเป็นบททดสอบที่หลายฝ่ายต้องร่วมมือกันเพื่อข้ามผ่านอุปสรรคไปด้วยกัน เนื่องจากผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว ความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่และโรคฝีดาษลิง ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อ รวมทั้งผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ทำให้ราคาพลังงานและวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบกันเป็นทอด ๆ ทั้งในฝั่งผู้บริโภค ผู้ประกอบการ และภาครัฐ ทำให้การซื้อ-ขายในตลาดอสังหาฯ ไม่กลับมาคึกคักได้ตามที่คาดการณ์ไว้ 

ข้อมูลล่าสุดจากรายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q3 2565 – Powered by PropertyGuru DataSense พบว่าแนวโน้มความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นถึง 20% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่เมื่อพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ อาจทำให้จำเป็นต้องชะลอการซื้อออกไปก่อน เนื่องจากต้องการหลีกเลี่ยงการเป็นภาระหนี้ผูกพันระยะยาวในช่วงที่เศรษฐกิจไม่แน่นอนเช่นนี้ กลายเป็นโอกาสของตลาดเช่าที่อยู่อาศัย เห็นได้จากความต้องการเช่าที่เพิ่มขึ้นถึง 166% จากปีก่อนหน้า”

“ช่วงไตรมาส 3 ถือเป็นโอกาสทองของกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) และนักลงทุนที่มีความพร้อม ก่อนที่ราคาจะปรับเพิ่มขึ้นตามต้นทุนราคาวัสดุก่อสร้างและค่าแรงที่สูงขึ้น ผนวกกับอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านที่มีทิศทางปรับขึ้นตามการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งจะส่งผลให้ยอดผ่อนชำระที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย รวมถึงการยกเลิกอัตราดอกเบี้ยคงที่ของธนาคาร/สถาบันการเงินต่าง ๆ ที่ท้าทายในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคไม่น้อย ด้านผู้ประกอบการเร่งกระตุ้นการตัดสินใจซื้อด้วยการแข่งจัดโปรโมชันสุดคุ้ม หรือตรึงราคาให้นานที่สุดเพื่อให้สอดคล้องกับกำลังซื้อของคนหาบ้านยุคนี้ เมื่อผนวกกับปัจจัยบวกที่ธนาคารแห่งประเทศไทยผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-Value: LTV) ทำให้ผู้ซื้อบ้านสามารถกู้ได้ 100% ของมูลค่าที่อยู่อาศัย รวมถึงมาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์-ค่าจดจำนอง เหลือเพียง 0.01% จึงถือเป็นโอกาสสุดท้ายของปีนี้ที่เอื้อให้ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในราคาที่ยังไม่แพงเกินไป” 

“อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่า ผู้บริโภคกว่า 3 ใน 5 (63%) ต้องการให้ภาครัฐมีมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้าน โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้ที่มีรายได้ปานกลางและมีรายได้สูง ขณะที่ผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง (59%) คาดหวังว่าภาครัฐจะมีการปรับระเบียบข้อบังคับที่ช่วยให้เข้าถึงสินเชื่อบ้านได้ง่ายขึ้น ดังนั้น มองว่าภาครัฐยังคงต้องกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ในกลุ่มผู้ซื้อชาวไทยให้มากขึ้นด้วยการออกมาตรการต่าง ๆ เพิ่มเติม อาทิ การลดหย่อนภาษีบ้านหลังแรก หรือการขยายมาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์-ค่าจดจำนองครอบคลุมที่อยู่อาศัยในระดับราคามากกว่า 3 ล้านบาทขึ้นไป รวมทั้งมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ตรงจุดและชัดเจน เพื่อเพิ่มความสามารถในการซื้อของผู้บริโภค กระตุ้นให้เกิดการซื้อ-ขายที่อยู่อาศัยมากขึ้น และช่วยขับเคลื่อนให้ตลาดอสังหาฯ ฟื้นตัวได้ไวขึ้น นอกจากนี้ การที่กระทรวงมหาดไทยเตรียมออกประกาศกฎกระทรวงเพื่อกำหนดเงื่อนไขให้ชาวต่างชาติที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดสามารถซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้บนเนื้อที่ไม่เกิน 1 ไร่นั้น หากมีการประกาศใช้ คาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้ตลาดอสังหาฯ แนวราบเติบโตเพิ่มขึ้นอีกด้วย” นางกมลภัทร แสวงกิจ กล่าวสรุป

ดีมานด์ที่อยู่อาศัยยังไม่แผ่ว คนสนใจซื้อ-เช่าโตต่อเนื่อง

รายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q3 2565 – Powered by PropertyGuru DataSense ซึ่งวิเคราะห์จากข้อมูลประกาศขาย-เช่าอสังหาฯ บน DDproperty เผยข้อมูลเชิงลึกของตลาดอสังหาฯ ไทยในไตรมาสล่าสุด สรุปภาพรวมความต้องการที่อยู่อาศัยที่น่าสนใจทั้งในตลาดซื้อและตลาดเช่า พร้อมอัปเดตทำเลศักยภาพที่มีแนวโน้มราคาเติบโตในไตรมาสนี้

    • อุปทานแนวราบโตต่อเนื่อง ดีมานด์คนซื้อเพิ่ม ดัชนีอุปทานหรือจำนวนที่อยู่อาศัยในไตรมาสที่ผ่านมานั้น ที่อยู่อาศัยแนวราบมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยบ้านเดี่ยวมีสัดส่วนอยู่ที่ 11% ของจำนวนที่อยู่อาศัยทั้งหมดในกรุงเทพฯ เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 3% จากไตรมาสก่อน ขณะที่ทาวน์เฮ้าส์มีสัดส่วนอยู่ที่ 7% และเพิ่มขึ้น 1% จากไตรมาสก่อนเช่นกัน สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่สินค้าแนวราบอยู่ในมือได้นำสินค้าออกมาขายมากขึ้น เพื่อตอบรับความต้องการของผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand)

      ด้านคอนโดฯ แม้จะครองตลาดด้วยสัดส่วนมากที่สุดถึง 82% แต่ลดลง 4% จากไตรมาสก่อน อันเป็นผลจากการดูดซับอุปทานไปแล้วบางส่วนจากการจัดโปรโมชันเร่งระบายสินค้าในสต็อกของผู้ประกอบการ รวมทั้งยังไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่มากนัก ทั้งนี้ คาดว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีจะมีจำนวนที่อยู่อาศัยมากขึ้น จากความเชื่อมั่นของผู้ขายที่นำสินค้าในมือออกมาขายมากขึ้น รวมถึงผู้ประกอบการที่เปิดโครงการคอนโดฯ ใหม่เพิ่มขึ้น สอดรับกับดีมานด์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากการเปิดประเทศแบบเต็มรูปแบบ ซึ่งตลาดอสังหาฯ จะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากตลาดท่องเที่ยวและกำลังซื้อจากชาวต่างชาติเช่นกัน

      ด้านแนวโน้มความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยล่าสุดเพิ่มขึ้น 20% จากไตรมาสก่อน โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นในทุกรูปแบบที่อยู่อาศัย อันเป็นผลมาจากการที่ผู้ประกอบการเริ่มส่งสัญญาณปรับขึ้นราคาที่อยู่อาศัยในอนาคตอันใกล้ รวมทั้งแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ย กลายเป็นปัจจัยเร่งให้ผู้บริโภคต้องมองหาที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ในเวลานี้มากขึ้น ซึ่งคอนโดฯ กลายเป็นที่อยู่อาศัยที่มีความต้องการซื้อเพิ่มสูงสุดที่ 26% จากไตรมาสก่อน ตามมาด้วยทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว (เพิ่มขึ้น 15% และ 11% ตามลำดับ)

    • ดัชนีค่าเช่ายังทรงตัว คอนโดฯ ครองใจผู้เช่าดันดีมานด์พุ่ง 105% แม้ภาพรวมอัตราค่าเช่าต่อตารางเมตรต่อเดือนในกรุงเทพฯ ยังคงทรงตัวจากไตรมาสก่อน เนื่องจากเจ้าของอสังหาฯ ให้เช่ายังตรึงราคาให้สอดคล้องกับรายจ่ายของผู้เช่า เพื่อช่วยกระตุ้นการตัดสินใจเช่าอีกทางหนึ่ง แต่เมื่อพิจารณาภาพรวมแล้วพบว่า ดัชนีค่าเช่าในกรุงเทพฯ ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปี 2561 ซึ่งเป็นปีฐานอยู่ที่ 9% เลยทีเดียว เมื่อแบ่งตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่า ที่อยู่อาศัยแนวราบยังมีโอกาสเติบโตในตลาดเช่า โดยบ้านเดี่ยวมีดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5% ตามมาด้วยทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดฯ (เพิ่มขึ้น 4% และ 1% ตามลำดับ) ขณะที่ดัชนีความต้องการเช่าล่าสุดปรับตัวเพิ่มสูงถึง 88% จากไตรมาสก่อน หรือเพิ่มขึ้นถึง 166% จากปีก่อนหน้า โดยคอนโดฯ ได้รับความสนใจเช่ามากที่สุด เห็นได้ชัดจากดัชนีความต้องการเช่าที่เพิ่มถึง 105% จากไตรมาสก่อน สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดเช่าคอนโดฯ ที่กลับมามีดีมานด์ในตลาดสูงอีกครั้ง ตามมาด้วยทาวน์เฮ้าส์ที่มีความต้องการเช่าเพิ่มขึ้น 21% และบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้น 19% จากไตรมาสก่อน

      โดยทำเลที่มีดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่นั้นอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการเช่าที่ไม่ได้กระจุกตัวอยู่ในโซนใจกลางเมือง เนื่องจากการขยายเส้นทางโครงการรถไฟฟ้าหลายสายที่ทำให้การเดินทางสะดวกขึ้น ผู้บริโภคจึงเลือกเช่าในทำเลที่มีอัตราค่าเช่าย่อมเยากว่าแทน จากรายงานฯ พบว่า ทำเลที่มีดัชนีค่าเช่าปรับเพิ่มขึ้นในรอบไตรมาส ได้แก่ เขตสัมพันธวงศ์ เพิ่มขึ้นมากที่สุด 38% รองลงมาคือเขตคลองสามวา เพิ่มขึ้น 22%, เขตสะพานสูง เพิ่มขึ้น 13%, เขตทุ่งครุ เพิ่มขึ้น 8% และเขตมีนบุรี เพิ่มขึ้น 8% ซึ่งอัตราค่าเช่าส่วนใหญ่อยู่ที่ 10,000-30,000 บาท/เดือน 

    • เกาะติดทำเลศักยภาพ รถไฟฟ้าดันย่านชานเมืองราคาพุ่ง ทำเลที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นสูงสุดในไตรมาสนี้ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในพื้นที่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจ และพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก โดยมีโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ดัชนีราคาเติบโตอย่างน่าสนใจ ที่น่าจับตามองคือในไตรมาสนี้เริ่มเห็นบางทำเลใจกลางเมือง และใกล้แหล่งธุรกิจมีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มกลับมาให้ความสนใจทำเลใจกลางเมืองอีกครั้ง
        • เขตทวีวัฒนา มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มถึง 19% จากปีก่อนหน้า โดยได้อานิสงส์จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ที่เชื่อมต่อการเดินทางมายังใจกลางเมืองให้สะดวกขึ้น 
        • เช่นเดียวกับเขตตลิ่งชัน ที่ได้รับปัจจัยบวกจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชันเช่นกัน ส่งผลดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อน และเพิ่ม 15% จากปีก่อนหน้า โดยทั้งเขตทวีวัฒนาและเขตตลิ่งชันยังเป็นทำเลที่มีสินค้าแนวราบเป็นหลัก ซึ่งตอบโจทย์คนหาบ้านในยุคนี้ จึงทำให้ดัชนีราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงการแพร่ระบาดฯ 
        • เขตสัมพันธวงศ์ อานิสงส์จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-หลักสองกลายเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เขตสัมพันธวงศ์มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน และเพิ่ม 6% จากปีก่อนหน้า นอกจากนี้ยังเป็นย่านการค้าเก่าที่หาโครงการใหม่ ๆ ยาก จึงทำให้ระดับราคาในทำเลนี้ค่อนข้างสูงตามไปด้วย
        • เขตวังทองหลาง มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อน และเพิ่ม 21% จากปีก่อนหน้า มีแนวโน้มเติบโตจากการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง ที่จะเปิดให้บริการปี 2566 จึงทำให้ทำเลนี้เป็นที่จับตามองในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย และคาดว่าจะเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น
        • เขตหนองจอก แม้จะอยู่ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก แต่เนื่องจากเป็นทำเลที่มีสินค้าแนวราบเป็นหลัก จึงทำให้ราคาที่อยู่อาศัยมีการเติบโตขึ้นอย่างน่าสนใจ โดยดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน และเพิ่ม 8% จากปีก่อนหน้า

นอกจากนี้ ยังพบว่าทำเลใจกลางเมืองที่เป็นแหล่งงานขนาดใหญ่นั้น ดัชนีราคาได้เริ่มปรับขึ้นด้วยเช่นกัน ได้แก่ เขตบางรัก มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 2%, เขตห้วยขวาง เพิ่มขึ้น 2%, เขตคลองสาน เพิ่มขึ้น 2% และเขตพระโขนง เพิ่มขึ้น 1% จากไตรมาสก่อน อันเป็นผลจากการคลายล็อกดาวน์และกลับมาดำเนินธุรกิจตามปกติเช่นเดียวกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาตามโซนของกรุงเทพฯ พบว่า โซนกรุงธนบุรีตอนเหนือยังคงเป็นโซนที่มีทำเลที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุด เนื่องจากเป็นทำเลที่มีที่ดินให้ต่อยอดพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบได้ และได้อานิสงส์จากโครงข่ายทางด้านคมนาคมของภาครัฐ ทั้งโครงการรถไฟฟ้าและทางด่วน จึงตอบโจทย์ที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคได้อย่างครบครัน

DDproperty เผยสุดยอดทำเลน่าจับตามองในรอบครึ่งแรกปี 65

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้เผยสุดยอดทำเลน่าจับตามองในรอบครึ่งแรกปี 65

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้เผยสุดยอดทำเลน่าจับตามองในรอบครึ่งแรกปี 65

“MRT พระราม 9” ทำเลสุดฮอตแนวรถไฟฟ้า คนกรุงเลือกซื้อย่าน “สวนหลวง” ตลาดเช่า “บางนา” มาแรง

DDproperty-Info_Best-of-H1-2022

ท่ามกลางบททดสอบที่ท้าทาย ทั้งจากสภาพเศรษฐกิจที่เปราะบาง ภาวะเงินเฟ้อ ผนวกกับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น แม้จะสั่นคลอนความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภค แต่ความต้องการด้านที่อยู่อาศัยยังคงมีอยู่ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยข้อมูลเชิงลึกจากผู้เข้าเยี่ยมชมในเว็บไซต์ www.ddproperty.com ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 (ระหว่างเดือนมกราคม – มิถุนายน 2565) สะท้อนเทรนด์ความต้องการที่อยู่อาศัยยอดนิยมของผู้ซื้อและผู้เช่าทั่วประเทศ พบว่าการเข้าชมประกาศขายอสังหาฯ ลดลงประมาณ 14% จากช่วง 6 เดือนก่อนหน้า สืบเนื่องจากปัจจัยรุมล้อมข้างต้นที่ส่งผลให้ผู้บริโภคบางส่วนชะลอการตัดสินใจซื้อเปลี่ยนมาเป็นการเช่าแทน ส่งผลให้ความต้องการเช่าในบางทำเลมีการเติบโตอย่างน่าสนใจ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด ที่เผยว่ามีผู้บริโภคเพียง 16% เท่านั้นที่พร้อมจะซื้อบ้านภายใน 1 ปีข้างหน้านี้

โดยพฤติกรรมการค้นหาที่อยู่อาศัยผ่านช่องทางออนไลน์ของคนหาบ้านยุคนี้ 50% จะพิมพ์คำค้นหาตามสิ่งที่ตัวเองต้องการหรือสนใจ (Free Text) ขณะที่อีกกลุ่มจะใช้คำค้นหา (Keyword) เกี่ยวกับทำเลที่ตั้งของอสังหาฯ แบบเฉพาะเจาะจง เช่น ค้นหาด้วยจังหวัด, เขต/อำเภอ, แขวง/ตำบล คิดเป็นสัดส่วน 40% ของการค้นหาทั้งหมด 

ขณะที่ “สถานีรถไฟฟ้า” ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มคำค้นหายอดนิยมและมาแรงในยุคนี้ มีสัดส่วน 10% ของการค้นหาทั้งหมด สะท้อนให้เห็นว่าทำเลแนวรถไฟฟ้ายังเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการค้นหาที่อยู่อาศัยของคนหาบ้าน โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ต้องการหลีกเลี่ยงปัญหารถติด จึงเลือกทำเลที่อยู่อาศัยที่สะดวกในการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าแทน

“กรุงเทพฯ” ยืนหนึ่งจังหวัดที่มีการค้นหาอสังหาฯ มากที่สุด 

กรุงเทพมหานครครองความนิยมเป็นจังหวัดที่มีการค้นหาอสังหาฯ มากที่สุดในช่วงครึ่งปีแรก ในขณะที่อันดับ 2 ได้แก่ เชียงใหม่, อันดับ 3 นนทบุรี, อันดับ 4 ชลบุรี, อันดับ 5 สมุทรปราการ, อันดับ 6 ปทุมธานี, อันดับ 7 ภูเก็ต, อันดับ 8 ประจวบคีรีขันธ์, อันดับ 9 เมืองพัทยา และอันดับ 10 นครราชสีมา จะเห็นได้ว่าการค้นหาที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่จะอยู่ในจังหวัดปริมณฑลที่ได้รับอานิสงส์ความเจริญจากเมืองหลวง รวมทั้งหัวเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจไม่แพ้กัน ซึ่งเป็นผลจากเทรนด์ Workcation ได้รับความนิยมในช่วงที่มีการแพร่ระบาดฯ รูปแบบการทำงานที่ได้ท่องเที่ยวและพักผ่อนในเวลาเดียวกัน กลายเป็นอีกปัจจัยที่ดึงดูดให้ผู้บริโภคมองหาบ้านพักตากอากาศในหัวเมืองท่องเที่ยวมากขึ้น 

“MRT พระราม 9” สุดยอดทำเลยอดนิยมแนวรถไฟฟ้า

ทำเลแนวรถไฟฟ้าเป็นอีกตัวเลือกที่ได้รับความนิยมเมื่อค้นหาที่อยู่อาศัย สอดคล้องกับข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด เผยว่าผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง (51%) มองว่าโครงการที่อยู่อาศัยที่เดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ เป็นปัจจัยภายนอกที่มีความสำคัญอันดับต้น ๆ โดยทำเลแนวรถไฟฟ้าที่มีการค้นหามากที่สุดในช่วงครึ่งปีแรก 2565 ส่วนใหญ่อยู่ในทำเลที่เป็นแหล่งงาน มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตอบโจทย์การใช้ชีวิตวิถีคนเมือง 

โดย 10 สถานีรถไฟฟ้าที่เป็นทำเลยอดนิยมในกลุ่มคนค้นหาอสังหาฯ ช่วงครึ่งปีแรก 2565 อันดับ 1 ได้แก่ MRT พระราม 9 อีกหนึ่งทำเลศักยภาพของกรุงเทพฯ ตามมาด้วยอันดับ 2 BTS อ่อนนุช, อันดับ 3 BTS อารีย์, อันดับ 4 BTS อโศก, อันดับ 5 BTS พร้อมพงษ์, อันดับ 6 BTS เอกมัย, อันดับ 7 MRT ห้วยขวาง, อันดับ 8 BTS อุดมสุข, อันดับ 9 BTS ทองหล่อ และอันดับ 10 BTS สะพานควาย 

“สวนหลวง” ครองใจคนซื้อชาวกรุง “บางนา” มาแรงในตลาดเช่า

ด้านตลาดอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ มีความเคลื่อนไหวน่าจับตามองและมีโครงการใหม่เปิดตัวอย่างต่อเนื่อง ผนวกกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เห็นได้ชัดจากจำนวนการเข้าชมประกาศอสังหาฯ สำหรับขายบนเว็บไซต์ DDproperty พบว่า  “สวนหลวง” กลายเป็นทำเลในกรุงเทพฯ ที่ได้รับความสนใจซื้อมากที่สุดในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งเป็นย่านที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงระดับบนที่ได้รับอานิสงส์จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง 

ขณะที่จำนวนการเข้าชมประกาศอสังหาฯ ให้เช่าบนเว็บไซต์ DDproperty พบว่า “บางนา” เป็นทำเลที่ได้รับความสนใจเช่ามากที่สุดในช่วงครึ่งปีแรก ด้วยปัจจัยบวกที่สนับสนุนการเติบโตจากโครงการรถไฟฟ้าที่เชื่อมต่อเมืองระหว่างกรุงเทพฯ กับสมุทรปราการ ใกล้แหล่งงาน ประกอบกับการพัฒนาโครงการเมกะโปรเจค (Mega Project) และโครงการที่อยู่อาศัยอีกหลายโครงการ

โดย 5 ทำเลในกรุงเทพฯ ที่ได้รับความสนใจซื้อมากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ได้แก่ 

อันดับ 1 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง
อันดับ 2 แขวงบางจาก เขตพระโขนง
อันดับ 3 แขวงบางนา เขตบางนา
อันดับ 4 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว
อันดับ 5 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา 

ด้าน 5 ทำเลในกรุงเทพฯ ที่ได้รับความสนใจเช่ามากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ได้แก่ 

อันดับ 1 แขวงบางนา เขตบางนา
อันดับ 2 แขวงบางจาก เขตพระโขนง
อันดับ 3 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา
อันดับ 4 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง
อันดับ 5 แขวงพระโขนง เขตคลองเตย

ราคาขาย-เช่าอสังหาฯ เมืองกรุงยังไม่ฟื้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาราคาขายที่อยู่อาศัยโดยรวมทุกประเภทอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในช่วงครึ่งปีแรกนี้ยังไม่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยพบว่ามีราคากลางเฉลี่ยอยู่ที่ 106,000 บาท/ตารางเมตร ลดลง 5% จากปีก่อนหน้า และลดลงถึง 18% เมื่อเทียบกับช่วงที่ยังไม่มีการแพร่ระบาดฯ (ไตรมาส 4 ปี 2562) ช่วงเวลานี้จึงถือเป็นโอกาสอันดีและเหมาะสมสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยและมีความพร้อมทางการเงิน ก่อนที่จะมีการปรับขึ้นราคาขายอสังหาฯ และดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลังนี้ 

ขณะที่อัตราค่าเช่าที่อยู่อาศัยโดยรวมทุกประเภทอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ มีค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 485 บาท/ตารางเมตร/เดือน ลดลง 3% จากปีก่อนหน้า และลดลง 13% เมื่อเทียบกับช่วงที่ยังไม่มีการแพร่ระบาดฯ อย่างไรก็ดี แม้คอนโดมิเนียมจะเป็นอสังหาฯ ประเภทเดียวที่ค่าเช่าลดลง 3% จากปีก่อนหน้า แต่ก็ยังมีความต้องการเช่าอยู่ไม่น้อยและมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนอย่างคนวัยทำงานและนักศึกษา ทำให้มีอัตราค่าเช่าคอนโดฯ เฉลี่ยอยู่ที่ 500 บาท/ตารางเมตร/เดือน ขณะที่โครงการที่อยู่อาศัยแนวราบยังได้รับความนิยมต่อเนื่องในตลาดเช่าและมีทิศทางเติบโต บ้านเดี่ยวมีค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 320 บาท/ตารางเมตร/เดือน โตถึง 28% จากปีก่อนหน้า ส่วนทาวน์เฮ้าส์มีค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 210 บาท/ตารางเมตร/เดือน โต 7% จากปีก่อนหน้า 

“สมุทรปราการ” คว้าอันดับ 1 ตลาดซื้อ-เช่าอสังหาฯ ปริมณฑล

เทรนด์ Work from Home ในช่วงการแพร่ระบาดฯ ส่งผลให้ผู้บริโภคมองหาที่อยู่อาศัยในทำเลรอบนอกของกรุงเทพฯ มากขึ้น ทำให้ที่อยู่อาศัยย่านชานเมืองและปริมณฑลกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในด้านราคาที่ย่อมเยากว่า จากจำนวนการเข้าชมประกาศอสังหาฯ สำหรับขายในเขตปริมณฑลบนเว็บไซต์ DDproperty พบว่า สมุทรปราการเป็นจังหวัดปริมณฑลที่ได้รับความสนใจซื้อและเช่าอสังหาฯ มากที่สุดในครึ่งแรกของปี 2565 โดยได้รับปัจจัยบวกมาจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ที่ช่วยให้การเดินทางมาทำงานหรือเรียนในย่านใจกลางเมืองสะดวกสบายมากขึ้น 

โดย 5 ทำเลในเขตปริมณฑลที่ได้รับความสนใจซื้อมากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ได้แก่ 

อันดับ 1 ตำบลบางแก้ว อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ
อันดับ 2 ตำบลบางกระสอ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี 
อันดับ 3 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ 
อันดับ 4 ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ
อันดับ 5 ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี

ขณะที่ 5 ทำเลในเขตปริมณฑล ที่ได้รับความสนใจเช่ามากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ได้แก่ 

อันดับ 1 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ
อันดับ 2 ตำบลบางกระสอ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี
อันดับ 3 ตำบลบางแก้ว อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ
อันดับ 4 ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
อันดับ 5 ตำบลปากเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี

เกาะติดวิถีคนหาบ้านกลุ่มมิลเลนเนียล พร้อมมีบ้านแค่ไหนในยุคเงินเฟ้อ

เกาะติดวิถีคนหาบ้านกลุ่มมิลเลนเนียล พร้อมมีบ้านแค่ไหนในยุคเงินเฟ้อ

เกาะติดวิถีคนหาบ้านกลุ่มมิลเลนเนียล พร้อมมีบ้านแค่ไหนในยุคเงินเฟ้อ

ผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียล (Millennials) หรือ Gen Y (ผู้ที่เกิดช่วงปี พ.ศ. 2527–2539) เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ โดยข้อมูลจาก MSCI เผยว่าปัจจุบันทั่วโลกมีประชากรกลุ่มนี้กว่า 1.8 พันล้านคน คิดเป็น 23% ของประชากรทั่วโลก โดยในทวีปเอเชียมีประมาณ 1.1 พันล้านคน หรือคิดเป็น 24% ของประชากรในภูมิภาค ขณะที่ข้อมูลจากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง ณ เดือนพฤษภาคม 2565 รายงานว่ามีประชากรไทยในช่วงวัยดังกล่าวกว่า 12 ล้านคนจากประชากรในประเทศกว่า 64 ล้านคน (แยกตามจำนวนประชากรที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านและมีสัญชาติไทย) ซึ่งน่าจับตามองในด้านบทบาทที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ทั้งจากการเป็นวัยทำงาน มีความต้องการและมีกำลังซื้อสูง รวมทั้งเป็นช่วงวัยที่เริ่มเป็นเจ้าของทรัพย์สินมูลค่าสูงอย่างเช่น รถยนต์ คอนโดมิเนียม หรือบ้าน 

ข้อมูลจากบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เผยว่า ผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียลถือเป็นกลุ่มที่มีหนี้สะสมและหนี้เสียสูงที่สุด โดยมียอดหนี้รวมทั้งประเทศจากกลุ่มนี้ถึง 4.5 ล้านล้านบาท และมีอัตราการเป็นหนี้เสียสะสม 3 แสนล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าแม้จะมีกำลังซื้อสูง แต่ภาระหนี้สินก็สูงตามไปด้วย ท่ามกลางความท้าทายทางการเงินจากปัจจัยแวดล้อมที่รุมเร้าในขณะนี้ ส่งผลกระทบให้ผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียลต้องปรับแผนการเงินในยุคเงินเฟ้อให้รัดกุมมากขึ้น ซึ่งรวมถึงวางแผนการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยอย่างรอบคอบ แม้ตอนนี้จะถือเป็นโอกาสที่เหมาะสมในการซื้อบ้าน/คอนโดฯ เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการสนับสนุนการซื้อที่อยู่อาศัยจากภาครัฐ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสภาพคล่องทางการเงิน รวมทั้งราคาวัสดุก่อสร้างที่มีแนวโน้มปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต ยังเป็นปัจจัยสำคัญหลัก ๆ ที่กลุ่มมิลเลนเนียลต้องพิจารณา

เจาะไลฟ์สไตล์กลุ่มมิลเลนเนียล บ้านแบบไหนตอบโจทย์ให้พร้อมเปย์

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย อัปเดตเทรนด์ความต้องการที่อยู่อาศัยผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียลในยุคนี้ เผยข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตและแนวคิดแผนการเงินที่เปลี่ยนไป เมื่อเผชิญภาวะเศรษฐกิจเปราะบางและเงินเฟ้อยังพุ่งสูง ผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียลยังพร้อมมีบ้านเป็นของตนเองมากแค่ไหน

    • โฟกัสเงินสำรองฉุกเฉิน หวังสร้างความมั่นคงทางการเงิน สถานะทางการเงินของผู้บริโภคยังคงสั่นคลอนอย่างต่อเนื่อง นอกจากโควิด-19 จะส่งผลให้เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวในอนาคตอันใกล้ เมื่อผนวกกับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ทำให้ราคาสินค้าและพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้น พร้อมกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงต่อเนื่อง จึงกลายเป็นความท้าทายที่ส่งผลให้ผู้บริโภคต้องเตรียมแผนการเงินให้พร้อมรับมือทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะในกลุ่มมิลเลนเนียลซึ่งอยู่ในช่วงวัยที่เป็นเสาหลักของครอบครัว ทำให้การวางแผนใช้จ่ายในช่วง 1 ปีข้างหน้าของกลุ่มมิลเลนเนียลส่วนใหญ่ให้ความสำคัญไปที่การสร้างความมั่นคงทางการเงินมากที่สุด โดยมากกว่าครึ่ง (57%) ต้องการเก็บเงินไว้เป็นกองทุนเงินสำรองฉุกเฉิน เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดในอนาคต ตามมาด้วยนำไปใช้จ่ายภายในครอบครัว (47%) และออมเงินเพื่อนำไปชำระหนี้ที่ค้างอยู่ (45%) ด้านการออมเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยนั้นได้รับความสนใจมาเป็นอันดับสี่ (39%) สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มมิลเลนเนียลยังต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย เพียงจัดลำดับความสำคัญในการใช้จ่ายและรอให้มีความพร้อมทางการเงินมากพอเสียก่อน 
    • “ห่วงพ่อแม่–ขาดสภาพคล่อง-ครองความโสด” เหตุผลหลักที่ไม่ย้ายออก เมื่อพูดถึงความพร้อมในการย้ายออกไปซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองนั้น พบว่าภายในหนึ่งปีข้างหน้ามากกว่าครึ่งของผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียลยังไม่พร้อมย้ายออกจากบ้านพ่อแม่ (54%) เช่นเดียวกับข้อมูลจากแบบสอบถามฯ รอบก่อน โดยมีเหตุผลสำคัญคือต้องการดูแลพ่อแม่อย่างใกล้ชิด (36%) สะท้อนให้เห็นว่าแม้คนรุ่นใหม่จะมีแนวคิดสมัยใหม่ตามโลกที่เปลี่ยนแปลงไป แต่การปลูกฝังความกตัญญูในสังคมไทยยังคงอยู่ นอกจากนี้เป็นประเด็นมีเงินเก็บไม่มากพอที่จะเช่าหรือซื้อที่อยู่อาศัยที่ต้องการได้ (34%) เนื่องจากความท้าทายทางเศรษฐกิจและปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ล้วนส่งผลกระทบต่อการเงินโดยตรง ตามมาด้วยยังไม่ได้แต่งงาน (30%) จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องย้ายออกจากบ้านพ่อแม่ ซึ่งเทรนด์การครองตัวเป็นโสดนี้กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น เห็นได้จากข้อมูลสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครองเผยว่า ในปี 2564 มีสถิติการจดทะเบียนสมรสทั่วประเทศเพียง 240,979 คู่ ลดลงจากปี 2563 ที่มีการจดทะเบียนสมรสถึง 271,352 คู่ และ 328,875 คู่ในปี 2562
    • หวังภาครัฐลดหย่อนภาษี กระตุ้นคนซื้อบ้าน มาตรการจากภาครัฐ 3 อันดับแรกที่กลุ่มมิลเลนเนียลต้องการคือ มาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้าน ตามมาด้วยการปรับระเบียบข้อบังคับภาครัฐที่ช่วยให้เข้าถึงสินเชื่อบ้านได้ง่ายขึ้น และมาตรการควบคุมราคาที่อยู่อาศัยที่บังคับใช้โดยภาครัฐ ซึ่งมาตรการเหล่านี้ไม่เพียงจะช่วยส่งเสริมให้กลุ่มมิลเลนเนียลที่อยากมีบ้าน/คอนโดฯ ได้เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยสมใจแล้ว ยังกระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดอสังหาฯ ไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง นอกจากนี้ เมื่อเจาะลึกถึงรูปแบบอสังหาฯ ที่กลุ่มมิลเลนเนียลต้องการซื้อนั้นมีความคล้ายคลึงกับผู้บริโภคช่วงวัยอื่น โดยบ้านเดี่ยวได้รับความนิยมมากที่สุด ตามมาด้วยคอนโดฯ ส่วนอันดับ 3 เป็นที่ดิน ต่างจากช่วงวัยอื่นที่สนใจซื้อทาวน์เฮ้าส์ สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มมิลเลนเนียลได้ศึกษาข้อมูลการลงทุนอสังหาฯ มากขึ้น เนื่องจากที่ดินเปล่านั้นมีจุดเด่นตรงที่ความเสี่ยงต่ำและมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในยุคเงินเฟ้อ
    • ร่วมลดมลพิษด้วยรถยนต์ไฟฟ้า มาตรการสนับสนุนให้มีการใช้และผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศ เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น นอกจากจะช่วยลดมลพิษในอากาศแล้วยังช่วยประหยัดค่าน้ำมันในช่วงที่ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นได้เป็นอย่างดี ดังนั้น นอกจากที่อยู่อาศัยในฝันจะมาพร้อมฟังก์ชั่นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว กลุ่มมิลเลนเนียลยังคำนึงถึงความพร้อมหากต้องการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคตอีกด้วย โดยมากกว่า 2 ใน 3 ของกลุ่มมิลเลนเนียลเผยว่า ยินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อซื้อบ้าน/คอนโดฯ ที่มีจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นในกลุ่มที่มีรายได้สูง นอกจากนี้ ความช่วยเหลือในการเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าที่คาดหวังจากภาครัฐและผู้พัฒนาอสังหาฯ คือ การเข้าถึงจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าครอบคลุมทั้งโครงการที่อยู่อาศัยและห้างสรรพสินค้าใหม่ทั้งหมด รวมไปถึงเพิ่มความพร้อมในการให้บริการจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในที่จอดรถสาธารณะและที่จอดรถส่วนตัว ซึ่งจะช่วยให้การเดินทางด้วยรถยนต์ไฟฟ้าราบรื่นและสะดวกยิ่งขึ้น ลดอุปสรรคเมื่อต้องการชาร์จไฟระหว่างเดินทาง

แม้ความท้าทายทางเศรษฐกิจปัจจุบันจะกระทบเสถียรภาพทางการเงิน และทำให้แผนการซื้อที่อยู่อาศัยของกลุ่มมิลเลนเนียลต้องสะดุดลงไปบ้าง แต่เชื่อว่าความพร้อมในการปรับตัวและจัดลำดับความสำคัญในการใช้จ่ายจะช่วยให้เข้าใกล้การเป็นเจ้าของบ้าน/คอนโดฯ ในฝันได้ง่ายขึ้น เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ ของไทย อย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (www.ddproperty.comได้รวบรวมข้อมูลข่าวสารและคลังความรู้ในแวดวงอสังหาฯ ช่วยเตรียมความพร้อมให้ทุกคนเป็นเจ้าของบ้านได้อย่างมั่นใจ พร้อมเชิญชวนผู้บริโภคมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการตอบแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย เพื่อสะท้อนความต้องการที่อยู่อาศัยและมุมมองคนหาบ้านชาวไทยยุคใหม่ พร้อมลุ้นรับรางวัลสุดพิเศษได้ตั้งแต่วันนี้-10 กรกฎาคม 2565 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง DDproperty Facebook Fanpage 

ร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต และร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม กับโอกาสในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย

ร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต และร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม กับโอกาสในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย

ร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต และร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม กับโอกาสในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย

การรับรู้และการเปิดกว้างของสังคมกับความหลากหลายทางเพศในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับมากขึ้น เห็นได้จากกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง “Pride Month” หรือเดือนแห่งความภาคภูมิใจของกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งได้รับผลตอบรับและเปิดรับความเท่าเทียมทางเพศมากขึ้น โดยผู้บริโภคกลุ่ม LGBTQIA+ มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจต่าง ๆ ไม่น้อย ข้อมูลล่าสุดจาก LGBT Capital ณ สิ้นปี 2562 ระบุว่าผู้บริโภคกลุ่ม LGBTQIA+ กว่า 371 ล้านคนทั่วโลก (อายุ 15 ปีขึ้นไป) มีอำนาจการใช้จ่ายรวมกันถึง 3.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยคิดเป็นผู้บริโภค LGBTQIA+ ชาวไทย 3.6 ล้านคน มีอำนาจการใช้จ่ายอยู่ที่ 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ประมาณการส่วนแบ่งความมั่งคั่งในครัวเรือนของผู้บริโภค LGBTQIA+ ชาวไทยยังมีถึง 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2562 จากที่เคยแตะระดับ 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2560 สะท้อนให้เห็นกำลังซื้อของชาว LGBTQIA+ ที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องและยังมีพฤติกรรมการใช้เงินในระดับดีอีกด้วย เป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีศักยภาพในการใช้จ่าย กลายเป็นเป้าหมายที่น่าจับตามองของหลายธุรกิจ 

ร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต และร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม เปิดประตูโอกาสเป็นเจ้าของบ้านของกลุ่ม LGBTQIA+ 

อีกหนึ่งปรากฏการณ์ใน Pride Month ปีนี้คือความเคลื่อนไหวด้านกฎหมายที่คณะรัฐมนตรีและที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติรับร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต พ.ศ. … และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ …) พ.ศ. … รวมทั้งร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ …) พ.ศ. … หรือ ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมในวาระที่ 1 ซึ่งจะเป็นอีกก้าวสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคกลุ่ม LGBTQIA+ ได้รับสิทธิทางกฎหมายในหลายด้าน แม้จะมีความคิดเห็นที่หลากหลายเกี่ยวกับความชัดเจนและความครอบคลุมของเนื้อหาในทางกฎหมายในด้านสิทธิและสวัสดิการบางอย่าง แต่นี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าจับตาสำหรับผู้บริโภคกลุ่ม LGBTQIA+ ที่จะมีบทบาทร่วมกันมากขึ้นในการดูแลหรือทำธุรกรรมต่าง ๆ ภายใต้กฎหมายในฐานะคู่สมรส

ด้านการซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งถือเป็นเรื่องจำเป็นและมีความสำคัญในการเริ่มต้นสร้างครอบครัว แม้ปัจจุบันจะมีธนาคารหลายแห่งที่อนุมัติสินเชื่อบ้านการกู้ร่วมกันระหว่างคู่รักที่มีความหลากหลายทางเพศ แต่คาดว่าร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต และร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมนี้จะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนและผลักดันให้ธนาคาร/สถาบันการเงินต่าง ๆ พิจารณาและเปิดโอกาสให้คู่รักชาว LGBTQIA+ มีสิทธิขอกู้ร่วมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย พร้อมทั้งมีมาตรการส่งเสริมเฉกเช่นคู่รักชายหญิง ซึ่งการกู้ร่วมนี้จะช่วยเปิดโอกาสให้คู่รักชาว LGBTQIA+ ยื่นกู้สินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยในวงเงินที่สูงขึ้น และเลือกบ้านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้มากขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ธนาคาร/สถาบันการเงินหลายแห่งไม่สามารถให้สินเชื่อแก่ผู้กู้ร่วม LGBTQIA+ ได้ โดยให้เหตุผลสอดคล้องกันว่า ผู้กู้ร่วมนั้นจะต้องเป็นบุคคลที่มีความใกล้ชิดกัน คือเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์ร่วมเชื้อสายเดียวกัน หรือเป็นชายหญิงที่เป็นคู่สมรสกันนั่นเอง 

ด้วยเหตุนี้คู่รัก LGBTQIA+ ต้องใช้สินเชื่อประเภทอื่นในการซื้อที่อยู่อาศัย โดยการขอสินเชื่อเพื่อธุรกิจหรือ SME โดยคู่รัก LGBTQIA+ สามารถขอสินเชื่อเพื่อซื้อสินทรัพย์ถาวรเพื่อประกอบกิจการได้ เช่น สถานประกอบการพร้อมที่ดิน หรือที่ดินเปล่าเพื่อใช้ดำเนินกิจการ แต่การกู้โดยใช้สินเชื่อเพื่อธุรกิจ SME นั้นจะให้ช่วงระยะเวลากู้นานสุดเพียง 10 ปีเท่านั้น ซึ่งสั้นกว่าสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยซึ่งให้ระยะเวลาผ่อนสูงสุดถึง 30 ปี นอกจากนี้อัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อเพื่อธุรกิจ SME นั้นยังมีอัตราที่สูงกว่าดอกเบี้ยของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยอีกด้วย

นอกจากนี้ ปัจจุบันบางธนาคาร/สถาบันการเงินเปิดโอกาสให้คู่รัก LGBTQIA+ สามารถกู้ร่วมได้ แต่มีรายละเอียดบางอย่างแตกต่างจากการกู้ร่วมของคู่รักชายหญิง เช่น กู้ได้เพียง 90% ของมูลค่าที่อยู่อาศัย เป็นต้น คาดว่าในอนาคตอันใกล้นี้ธนาคาร/สถาบันการเงินจะมีมาตรการออกมารองรับผู้กู้ร่วมที่มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น และมีการประเมินความเสี่ยงของผู้กู้ร่วมชาว LGBTQIA+ อย่างเท่าเทียมกับคู่รักเพศชายและเพศหญิง

คู่รักชาว LGBTQIA+ กู้ซื้อบ้านอย่างไรให้ผ่าน
ปัจจุบันมีหลายธนาคารที่เปิดโอกาสให้คู่รักชาว LGBTQIA+ กู้ร่วมซื้อบ้านได้เช่นเดียวกับคู่รักต่างเพศ โดยมีรายละเอียดเบื้องต้นค่อนข้างคล้ายคลึงกัน เช่น 

    • มีสัญชาติไทย อายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป
    • มีรายได้มั่นคง โดยมีรายได้ตั้งแต่ 15,000 บาทขึ้นไป ทั้งผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วม (บางธนาคารกำหนดให้ผู้กู้หลักมีรายได้ 50,000 บาทขึ้นไป)
    • พนักงานประจำต้องมีอายุงานรวมที่ทำงานเดิมและปัจจุบันตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป (บางธนาคารไม่มีกำหนด)
    • ผู้กู้ต้องมีเอกสารหรือหลักฐานแสดงความสัมพันธ์หรือการอยู่ร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี ตามที่ธนาคารกำหนด เช่น ทะเบียนบ้านที่อยู่ด้วยกัน, บัญชีเงินฝากที่เปิดร่วมกัน เป็นต้น (บางธนาคารไม่มีกำหนด)

นอกจากนี้ยังต้องมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยตามปกติ คือต้องมีภาระหนี้ไม่เกิน 30-40% ของรายได้ มีเงินออมอย่างน้อย 10% ของราคาที่อยู่อาศัย รวมทั้งมีบันทึกการเคลื่อนไหวบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน หากมีการเตรียมตัวเบื้องต้นให้พร้อมตามรายละเอียดต่าง ๆ ข้างต้น ก็จะช่วยให้การกู้ซื้อบ้านของชาว LGBTQIA+ ลุล่วงไปได้ด้วยดี

เมื่อเทรนด์ที่อยู่อาศัยไม่มีข้อจำกัดเรื่องเพศสภาพ บ้านแบบไหนตอบโจทย์ 

ความต้องการที่อยู่อาศัยถือเป็นเทรนด์ที่ปราศจากเพศ (Genderless) และปัจจัยที่ผู้บริโภคกลุ่ม LGBTQIA+ ใช้เมื่อเลือกที่อยู่อาศัยก็ไม่ต่างจากผู้บริโภคเพศชายและหญิงเลย เนื่องในเดือนแห่งความภาคภูมิใจของกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศนี้ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย ชวนมาอัปเดตเทรนด์ที่อยู่อาศัยที่น่าจับตามอง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคชาวไทย ซึ่งรวมถึงชาว LGBTQIA+ 

    • บ้านที่ใช่ต้องมีขนาดเหมาะสม ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด เผยว่า เมื่อค้นหาที่อยู่อาศัยไม่ว่าจะเพื่อซื้อหรือเช่า ปัจจัยภายในที่ผู้บริโภคชาวไทยเกือบครึ่ง (49%) ให้ความสำคัญมากที่สุดคือ ขนาดของที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์และเหมาะสมกับสมาชิกในครอบครัว เนื่องจากให้ความสำคัญกับการแบ่งพื้นที่ใช้งานอย่างเป็นสัดส่วน จึงจำเป็นต้องมีพื้นที่เพียงพอสำหรับทุกกิจกรรม ตามมาด้วยที่อยู่อาศัยจะต้องมาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน (46%) นอกจากนี้ ยังมองหามาตรการหรือโครงการที่จะช่วยให้มีบ้านเป็นของตัวเองง่ายขึ้น (37%) 
    • ทำเลปัง เดินทางง่าย ตอบโจทย์ Social Life ด้านปัจจัยภายนอกที่มีความสำคัญอันดับต้น ๆ เมื่อผู้บริโภคชาวไทยตัดสินใจซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยนั้น มากกว่าครึ่งให้ความสำคัญไปที่ทำเลที่ตั้งโครงการ (52%) ที่จำเป็นต้องอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก ใกล้แหล่งความเจริญ ช่วยให้การใช้ชีวิตทุกวันง่ายขึ้น ตามมาด้วยสามารถเดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ (51%) เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการเดินทางเมื่อไปทำงานหรือสังสรรค์ใจกลางเมือง นอกจากนี้ผู้บริโภคยังมองว่า โครงสร้างพื้นฐาน/สิ่งอำนวยความสะดวก และระบบรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ ถือเป็นอีกปัจจัยที่มีความสำคัญในการพิจารณาไม่แพ้กัน (สัดส่วนเท่ากันที่ 43%) เนื่องจากเป็นปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตในการอยู่อาศัย การเดินทาง รวมไปถึงรองรับการใช้ชีวิตเมื่อพบปะสังสรรค์ หรือทำกิจกรรมกับเพื่อนและครอบครัว
    • อุ่นใจเมื่ออยู่ใกล้หมอ อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่มีผลในการพิจารณาเลือกที่อยู่อาศัยคือความสะดวกในการเดินทางไปสถานพยาบาล โดยเป็นผลจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคต่างหันมาตระหนักถึงความสำคัญของการเข้าถึงบริการดูแลสุขภาพมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่เพิ่มความอุ่นใจไปอีกขั้น คือการมีที่อยู่อาศัยที่ไม่ไกลจากสถานพยาบาล เอื้อต่อการวางแผนดูแลสุขภาพในระยะยาว โดยมากกว่า 4 ใน 5 ต้องการที่อยู่อาศัยที่อยู่ใกล้โรงพยาบาลมากที่สุด (88%) ตามมาด้วยอยู่ใกล้ร้านขายยา (45%) และใกล้ศูนย์บริการสุขภาพเฉพาะทาง (37%) 
    • ดูแลบ้านง่ายแค่ปลายนิ้วด้วยระบบ Smart Home เทรนด์บ้านอัจฉริยะ (Smart Home) ได้รับความสนใจมากขึ้นและเข้ามาตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคดิจิทัลได้เป็นอย่างดี จากการนำเทคโนโลยีมาสนับสนุนให้ผู้อยู่อาศัยสามารถควบคุมการทำงานระบบต่าง ๆ ตั้งแต่ความปลอดภัย หรือสิ่งอำนวยความสะดวกภายในบ้านผ่านการเชื่อมต่อด้วยระบบดิจิทัลและ Internet of Things (IoT) ให้สามารถสั่งงานด้วยเสียงหรือจากแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ช่วยยกระดับความปลอดภัยให้ที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นกลอนประตูดิจิทัล (Digital Door Lock) หรือกล้องวงจรปิดที่รองรับการรับชมภาพออนไลน์ได้ตลอดเวลาบนสมาร์ทโฟน นอกจากนี้ ยังสามารถติดตั้งระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านผ่านสมาร์ทโฟนได้อีกด้วย

แม้ร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต และร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมจะต้องรอติดตามความชัดเจนต่อไปในการพิจารณาวาระอื่น ๆ แต่ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของสังคมไทยกับความเสมอภาคทางเพศที่คาดว่าในอนาคตจะมีความชัดเจนมากขึ้น อย่างไรก็ดี ยังมีสถาบันการเงินหลายแห่งที่ออกมาตรการสนับสนุนการยื่นกู้สินเชื่อร่วมกันสำหรับคู่รักชาว LGBTQIA+ ที่ต้องการกู้ร่วมเพื่อซื้อบ้าน ทั้งนี้เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย อย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (www.ddproperty.com) ได้รวบรวมข้อมูลข่าวสารล่าสุดและเรื่องราวน่ารู้ในแวดวงอสังหาฯ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจก่อนเลือกที่อยู่อาศัยให้ตอบโจทย์ พร้อมเป็นแหล่งรวมประกาศซื้อ-ขาย-เช่าที่อยู่อาศัยในหลากหลายทำเลทั่วประเทศ เพื่อให้ผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยสามารถศึกษาหาข้อมูลเรื่องที่อยากรู้ เตรียมความพร้อมในทุกด้านเพื่อให้เป็นเจ้าของบ้านได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

เกาะติดทิศทางอสังหาฯ พร้อมฝ่าขวากหนาม ลุ้นฟื้นตัวท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน

เกาะติดทิศทางอสังหาฯ พร้อมฝ่าขวากหนาม ลุ้นฟื้นตัวท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน

เกาะติดทิศทางอสังหาฯ พร้อมฝ่าขวากหนาม ลุ้นฟื้นตัวท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ยังคงไม่ฟื้นตัวหลังเผชิญความท้าทายรอบด้านทั้งจากสภาพเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น เมื่อผนวกกับภาวะสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ส่งผลกระทบให้ราคาพลังงานและวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย กลายเป็นปัจจัยสำคัญฉุดให้ผู้บริโภคตัดสินใจชะลอแผนซื้อที่อยู่อาศัยแม้จะยังมีความต้องการ ด้านที่อยู่อาศัยแนวราบยังครองใจคนหาบ้าน เห็นได้ชัดจากความต้องการซื้อที่เติบโตต่อเนื่อง ส่วนที่อยู่อาศัยแนวสูงยังเป็นที่ต้องการในกลุ่มผู้เช่า ภาคธุรกิจอสังหาฯ ลุ้นการเปิดประเทศเต็มรูปแบบดึงดูดกำลังซื้อต่างชาติ อันจะมีผลในการช่วยผลักดันตลาดคอนโดมิเนียมให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง คาดการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังมีโอกาสฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป แนะภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ตรงจุดมาช่วยเพิ่มความสามารถในการซื้อ ปลุกความเชื่อมั่นผู้บริโภค กระตุ้นการเติบโตอสังหาฯ ให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น

DDproperty Thailand Property Sale Market Index Q2 2565

ข้อมูลล่าสุดจากรายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q2 2565 – Powered by PropertyGuru DataSense เผยดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 83 จุด หรือลดลง 1% จากไตรมาสก่อน โดยต่ำกว่าดัชนีราคาปี 2561 (ก่อนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19) ถึง 17% นอกจากนี้​ รูปแบบการใช้ชีวิตยุค New Normal ที่ผ่านมาส่งผลให้ผู้บริโภคมองหาที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น เห็นได้ชัดจากดัชนีราคาบ้านเดี่ยวที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นถึง 5% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นถึง 19% จากปีก่อนหน้า ส่วนดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์มีการเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นถึง 2% จากปีก่อนหน้า ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมแม้ดัชนีราคาจะทรงตัวจากไตรมาสก่อน แต่เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้ากลับลดลงถึง 6% เนื่องจากกำลังซื้อผู้บริโภคในกลุ่มนี้ยังไม่ฟื้นตัว ประกอบกับการที่ชาวต่างชาติซึ่งเป็นอีกกำลังซื้อสำคัญห่างหายจากตลาดไปเป็นระยะเวลานาน อย่างไรก็ตาม ปีนี้ยังเป็นโอกาสทองของผู้ซื้อและนักลงทุนระยะยาวที่มีความพร้อม เนื่องจากราคาที่อยู่อาศัยในเวลานี้ยังคงชะลอตัว และเมื่อพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ แล้วมีแนวโน้มที่ราคาอสังหาฯ จะปรับสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 

นางกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทยของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า “แนวโน้มการฟื้นตัวของภาพรวมเศรษฐกิจถือเป็นเงาสะท้อนสำคัญแสดงให้เห็นทิศทางการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ที่ยังคงต้องเหนื่อยต่ออีกปี เนื่องจากความท้าทายตอนนี้ไม่ได้มาจากผลกระทบของโควิด-19 เพียงอย่างเดียว แต่ถูกเสริมทัพด้วยอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ราคาน้ำมันและต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวเพิ่มต่อเนื่องจากผลกระทบของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งล้วนกระทบต่อค่าครองชีพของผู้บริโภคโดยตรงและฉุดความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายให้น้อยลงตามไปด้วย ข้อมูลจากผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เดือนเมษายน 2565 โดย ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือนนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 เนื่องจากผู้บริโภคยังกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น และผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เช่นกัน เห็นได้จากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ – ปริมณฑลในภาพรวมของไตรมาส 1 ปี 2565 ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ที่ค่าดัชนีลดลงจากไตรมาสก่อนหน้ามาอยู่ที่ 47.1 ซึ่งเป็นการกลับมาต่ำกว่าค่ากลาง (50.0) อีกครั้ง สะท้อนให้เห็นว่าการเติบโตของตลาดปีนี้อาจต้องอาศัยการประคับประคองร่วมกันทั้งจากภาครัฐ ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค” 

“ปีนี้ยังคงเป็นโอกาสของตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งมีทิศทางเติบโตต่อเนื่องตั้งแต่มีการแพร่ระบาดฯ และเห็นได้ชัดจากความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นถึง 48% จากปีก่อนหน้า ซึ่งผู้บริโภคมองว่าตอบโจทย์การอยู่อาศัยในระยะยาว ด้านคอนโดมิเนียมนั้นแม้ดัชนีราคาจะทรงตัว​แต่ยังมีโอกาสโตในตลาดเช่า หลังจากความต้องการเช่าเพิ่มขึ้นถึง 50% จากปีก่อนหน้า มองว่าหากมีการเปิดประเทศเต็มรูปแบบและภาครัฐมีมาตรการส่งเสริมให้ชาวต่างชาติเข้ามาทำงานหรือลงทุนในไทยมากขึ้น จะเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้ตลาดคอนโดมิเนียมกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง ที่น่าสนใจคือบางทำเลนอกเขตศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) และรอบนอกของกรุงเทพฯ เช่น ลาดกระบัง สายไหม ทวีวัฒนา มีระดับราคาค่าเช่าเพิ่มสูงขึ้น จึงเป็นโอกาสของผู้ที่ต้องการลงทุนซื้ออสังหาฯ ปล่อยเช่า นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมที่รุมเร้าผู้บริโภคแล้ว เวลานี้ยังเป็นโอกาสที่ดีในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในราคาที่เหมาะสมสำหรับผู้ซื้อและนักลงทุนระยะยาวที่มีความพร้อมทางการเงิน เนื่องจากราคาที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ยังคงชะลอตัว และยังมีโครงการที่อยู่อาศัยที่สร้างด้วยต้นทุนเดิมในตลาดให้เลือกพอสมควร ก่อนที่แนวโน้มราคาจะปรับขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2565”

“จากปัจจัยที่สร้างความท้าทายรอบด้านและล้วนมีผลต่อการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ ไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ มองว่ามาตรการภาครัฐที่มีตอนนี้อาจไม่ใช่ยาแรงพอจะช่วยกระตุ้นตลาดที่ซบเซามานานได้มากนัก ภาครัฐควรพิจารณามาตรการกระตุ้นเฉพาะภาคอสังหาฯ เพิ่มเติม เช่น การลดหย่อนภาษีบ้านหลังแรก หรือขยายมาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์-ค่าจดจำนองครอบคลุมที่อยู่อาศัยทุกระดับราคา รวมถึงมีมาตรการกระตุ้นภาคเศรษฐกิจที่ตรงจุดและชัดเจน เพื่อช่วยเพิ่มความสามารถในการซื้อและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค เนื่องจากแม้จะมีการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ แต่เชื่อว่าการกลับมาของชาวต่างชาติน่าจะยังไม่คึกคักเทียบเท่ากับช่วงก่อนโควิด และการเติบโตในตลาดอสังหา​ฯ ยังขึ้นอยู่กับระดับความคลี่คลายของสถานการณ์ระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดฯ หรือสถานการณ์ความขัดแย้งต่าง ๆ คาดการณ์ว่าภาพรวมตลาดอสังหาฯ ของไทยในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้านี้ จะอยู่ในช่วงเริ่มฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าการเติบโตแบบก้าวกระโดด” นางกมลภัทร กล่าวสรุป

จับตาความต้องการที่อยู่อาศัย​ ผู้ซื้อยังโฟกัสบ้านเดี่ยว ส่วนตลาดเช่ายังอยู่ที่คอนโดฯ เป็นหลัก

รายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q2 2565 – Powered by PropertyGuru DataSense เผยข้อมูลเชิงลึกของตลาดอสังหาฯ ไทยในไตรมาสล่าสุด สรุปภาพรวมความต้องการที่อยู่อาศัยทั้งฝั่งผู้ซื้อและผู้เช่า พร้อมอัปเดตทำเลน่าจับตามองมาพร้อมศักยภาพเติบโตในเมืองหลวง 

    • ที่อยู่อาศัยแนวราบยังมาแรง ดัชนีอุปทานบ้านเดี่ยวเพิ่ม 40% ในรอบปี ดัชนีอุปทานหรือจำนวนที่อยู่อาศัยปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 233 จุด จาก 229 จุด หรือเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน (เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนหน้า) โดยเทรนด์ที่อยู่อาศัยแนวราบยังมาแรงต่อเนื่อง ส่งผลให้บ้านเดี่ยวมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากที่สุดอยู่ที่ 11% จากไตรมาสก่อน หรือเพิ่มขึ้น 40% จากปีก่อนหน้าเลยทีเดียว ขณะที่ทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อน หรือเพิ่ม 25% จากปีก่อนหน้า ด้านคอนโดมิเนียมแม้จะทรงตัวจากไตรมาสก่อน แต่ในรอบปีนั้นเพิ่มขึ้น 11% สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่มีสินค้าแนวราบอยู่ในมือนำสินค้าออกมาขายมากขึ้น เพื่อตอบรับกับกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ซึ่งมีแนวโน้มความต้องการซื้อที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มถึง 48% จากปีก่อนหน้า ถือเป็นสัญญาณบวกแม้อัตราการดูดซับสินค้าในตลาดหรืออัตราการซื้อจริงจะยังไม่สูงมากนักก็ตาม ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมแม้ดัชนีอุปทานจะทรงตัว แต่คาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นในไตรมาสต่อไป เห็นได้จากความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่เริ่มเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้นเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

      อย่างไรก็ดี แม้ความต้องการซื้อจะไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อนแต่เพิ่มขึ้นถึง 33% ในรอบปี และเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนการแพร่ระบาดฯ (ไตรมาส 4 ปี 2562) ถึง 70% สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มกลับมาพิจารณาถึงความจำเป็นที่ต้องมีที่อยู่อาศัยมากขึ้น 
    • ดัชนีค่าเช่าทรงตัว แม้คนสนใจเช่าคอนโดฯ เพิ่มขึ้น 50% ในรอบปี แม้ดัชนีค่าเช่าในกรุงเทพฯ ล่าสุดทรงตัวอยู่ที่ 90 จุดจากไตรมาสก่อน และลดลง 6% จากปีก่อนหน้า แต่เมื่อพิจารณาแนวโน้มการเติบโตของดัชนีค่าเช่าในรอบปีนั้น บ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้นถึง 18% และทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อนหน้า สวนทางกับดัชนีค่าเช่าคอนโดฯ ที่ลดลง 6% ในรอบปี สะท้อนให้เห็นว่าที่อยู่อาศัยแนวราบยังคงตอบโจทย์ผู้เช่า ด้านดัชนีอุปทานอสังหาฯ สำหรับเช่ามีการปรับตัวลดลง 5% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อนหน้า โดยปรับตัวลดลงทุกรูปแบบที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นคอนโดฯ ลดลง 5% บ้านเดี่ยวลดลง 3% และทาวน์เฮ้าส์ลดลง 2% จากไตรมาสก่อน นอกจากนี้ในตลาดเช่านั้นมีโอกาสเติบโตที่น่าสนใจ เห็นได้ชัดจากดัชนีความต้องการเช่าเพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อน (เพิ่ม 42% จากปีก่อนหน้า) โดยคอนโดฯ มีดัชนีความต้องการเช่าเพิ่มขึ้น 11% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มถึง 50% จากปีก่อนหน้า ต่างจากบ้านเดี่ยวที่ลดลง 9% จากไตรมาสก่อน (เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อนหน้า) และทาวน์เฮ้าส์ลดลง 9% จากไตรมาสก่อน (เพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อนหน้า) สะท้อนให้เห็นแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดเช่าคอนโดฯ ที่ยังคงมีกลุ่มเป้าหมายที่สนใจอยู่ไม่น้อย
DDproperty Thailand Property Rental Market Index Q2 2565
  • เจาะลึกทำเลน่าจับตา มีศักยภาพพร้อมเติบโต ทำเลที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นสูงสุดในไตรมาสนี้ส่วนใหญ่​จะอยู่ในพื้นที่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) และพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก โดยได้รับอานิสงส์จากโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ที่เปิดใช้บริการแล้วมาช่วยผ​ลักดันการเติบโต ดังนี้ 
    • เขตทวีวัฒนา อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นสูงที่สุด อยู่ที่ 15% จากไตรมาสก่อน และเพิ่ม 22% จากปีก่อนหน้า โดยบ้านเดี่ยวมีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดอยู่ที่ 16% จากไตรมาสก่อน ได้รับอานิสงส์จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ทำให้การเดินทางเชื่อมต่อมุมเมืองอื่นและใจกลางเมืองของกรุงเทพฯ สะดวกยิ่งขึ้น
    • เขตตลิ่งชัน อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น อยู่ที่ 7% จากไตรมาสก่อน และเพิ่ม 12% จากปีก่อนหน้า โดยบ้านเดี่ยวมีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 1% จากไตรมาสก่อน ถือเป็นอีกทำเลที่ได้รับอานิสงส์จากการที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน พาดผ่าน
    • เขตบางกอกใหญ่ อยู่ในพื้นที่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจ มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 3% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อนหน้า โดยคอนโดฯ มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดอยู่ที่ 7% จากไตรมาสก่อน การมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่พาดผ่านถึง 2 ช่วง ทั้งช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และช่วงหัวลำโพง-หลักสอง ซึ่งเชื่อมต่อกันที่สถานีท่าพระ เป็นอีกปัจจัยสำคัญ​ที่ช่วยให้ทำเลนี้น่าจับตามอง
    • เขตบางบอน อีกหนึ่งทำเลที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก แม้ไม่มีรถไฟฟ้าพาดผ่านแต่ถือเป็นแหล่งงานและแหล่งที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ มีศักยภาพในการเติบโต จึงทำให้มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสก่อน แต่ลดลง 26% จากปีก่อนหน้า โดยบ้านเดี่ยวมีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดอยู่ที่ 9% จากไตรมาสก่อน 
    • เขตปทุมวัน ถือเป็นเขตเดียวในย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อน และเพิ่ม 12% จากปีก่อนหน้า โดยคอนโดฯ มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดอยู่ที่ 3% จากไตรมาสก่อน ศักยภาพของทำเลนี้ยังมาจากการอยู่ใกล้โครงการรถไฟฟ้า BTS ทั้งสายสุขุมวิท และสายสีลม และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หัวลำโพง-บางซื่อ และยังใกล้แหล่งงานและสถานศึกษาชั้นนำ ถือเป็นหนึ่งในทำเลใจกลางเมืองที่น่าสนใจ มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
DDproperty-Thailand-Property-Market-Report-Q2-2565_Districts-to-Watch