Thailand’s energy transition gains pace amid resilient plans and rising investment – ABB study

ผลการศึกษาของ ABB ระบุว่า การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยแผนงานที่แข็งแกร่ง และการลงทุนที่เพิ่มขึ้น

Thailand’s energy transition gains pace amid resilient plans and rising investment – ABB study

  • Thailand shows strong commitment to energy transition, with 80 percent of energy leaders saying their plans remain on track despite global geopolitical shifts
  • Momentum in renewables and broader transition remains robust, with 77 percent expecting renewable energy use to increase by over 20 percent within five years
  • 74 percent of organizations allocating more than 10 percent of CAPEX to transition efforts

Thailand is well-positioned to play a more leading role in shaping and supporting Asia Pacific in the global energy transition, according to the findings from the ABB Energy Industries division Asia Pacific Energy Transition Readiness Index 2025. The country’s progress is underpinned by resilience and a forward-looking mindset, with a significant 80 percent of energy leaders saying their plans remain on track despite recent global geopolitical shifts – a clear signal of strategic stability.

This industry survey by ABB’s Energy Industries division is based on responses of 4,085 energy leaders responsible for sustainability and technology strategies at companies in 10 energy-intensive industries across 12 markets in Asia Pacific. Assessing 20 readiness indicators across four pillars critical to the transition – Strategy, Technology & Infrastructure, Finance, and Talent – the Thailand results point to growing momentum, supported by national climate goals and increasing confidence in AI and automation.

Thailand is expecting to make strong progress in renewables, with 77 percent of energy leaders expecting their organization’s renewable energy use to grow by more than 20 percent in the next five years, while 39 percent already source over half their energy from renewables. This momentum aligns with the country’s carbon neutrality and net-zero goals, as well as the country’s draft Power Development Plan (PDP2024), which targets a 51 percent share of renewables in total power generation capacity by 2037, up from 36 percent in the existing PDP2018.

Anders Maltesen, President of ABB’s Energy Industries division, Asia, said, “Thailand’s performance across key readiness indicators is encouraging – driven by strong and accelerating renewable energy adoption, rising investment, and a forward-looking embrace of AI. Backed by national commitments, the country is well-positioned to set the pace for the region. To fully unlock this potential, it must strengthen strategic planning and workforce skills, using targeted investment and cross-sector collaboration to bridge gaps and shape a more sustainable energy future.”

65 percent of leaders cite technology as a major accelerator, and 34 percent say there are also untapped opportunities to scale proven solutions. Optimism is strong around AI and automation (69 percent view them as key enablers), supported by Thailand’s national push on digitalization and AI development, including its latest ฿25 billion AI strategy. To realize this potential, organizations must pair adoption with operational and cybersecurity foundations needed for reliable performance.

With 74 percent of organizations planning to allocate over 10 percent of their capital expenditures (CAPEX) to transition initiatives in the next five years, coupled with technological optimism and growing sector alignment, Thailand is well-placed to turn progress into lasting impact and strengthen its role in Asia Pacific’s energy transition.

ABB is a global technology leader in electrification and automation, enabling a more sustainable and resource-efficient future. By connecting its engineering and digitalization expertise, ABB helps industries run at high performance, while becoming more efficient, productive and sustainable so they outperform. At ABB, we call this ‘Engineered to Outrun’. The company has over 140 years of history and around 110,000 employees worldwide. ABB’s shares are listed on the SIX Swiss Exchange (ABBN) and Nasdaq Stockholm (ABB). www.abb.com

ABB’s Process Automation business automates, electrifies and digitalizes industrial operations that address a wide range of essential needs – from supplying energy, water and materials, to producing goods and transporting them to market. With its ~20,000 employees, leading technology and service expertise, ABB Process Automation helps process, hybrid and maritime industries outrun – leaner and cleaner. go.abb/processautomation

ผลการศึกษาของ ABB ระบุว่า การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยแผนงานที่แข็งแกร่ง และการลงทุนที่เพิ่มขึ้น

ผลการศึกษาของ ABB ระบุว่า การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยแผนงานที่แข็งแกร่ง และการลงทุนที่เพิ่มขึ้น

ผลการศึกษาของ ABB ระบุว่า การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยแผนงานที่แข็งแกร่ง และการลงทุนที่เพิ่มขึ้น

  • ประเทศไทยมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน โดย 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้นำด้านการใช้พลังงานของไทยกล่าวว่า แผนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของตนยังคงเดินหน้าแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ของโลกก็ตาม  
  • แรงขับเคลื่อนในการใช้พลังงานหมุนเวียนและการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานยังเกิดขึ้นต่อเนื่องและจริงจังในวงกว้าง โดยผู้ตอบแบบสำรวจ 77 เปอร์เซ็นต์ คาดว่าจะเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ภายในห้าปี
  • 74 เปอร์เซ็นต์ขององค์กรที่ตอบแบบสำรวจจัดสรรเงินมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายในการลงทุน (CAPEX) เพื่อการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน

ผลสำรวจดัชนีความพร้อมการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกประจำปี 2025 โดยฝ่ายอุตสาหกรรมพลังงานของเอบีบี ระบุว่า ประเทศไทยมีความพร้อมและมีบทบาทเป็นผู้นำอย่างชัดเจนมากขึ้นในการกำหนดทิศทางและสนับสนุนเอเชียแปซิฟิกในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของโลก ความก้าวหน้าในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศไทย ได้รับการสนับสนุนจากความแข็งแกร่งและกรอบความคิดที่มองไปข้างหน้า เห็นได้จากผู้นำด้านการใช้พลังงานที่ตอบแบบสำรวจมากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ กล่าวว่าแผนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของตนยังคงเดินหน้าแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ของโลกเมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็ตาม ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงถึงเสถียรภาพของกลยุทธ์ด้านนี้อย่างชัดเจน 

การสำรวจนี้จัดทำโดยฝ่ายอุตสาหกรรมพลังงานของเอบีบี ทำการสำรวจผู้นำด้านการใช้พลังงานของธุรกิจจำนวน 4,085 ราย ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนและด้านเทคโนโลยีของบริษัทในอุตสาหกรรม 10 ประเภทที่ใช้พลังงานสูง ผู้ตอบแบบสำรวจมาจาก 12 ตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทำการประเมินตัวบ่งชี้ความพร้อม 20 รายการในสี่ประเด็นที่สำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ประกอบด้วย กลยุทธ์ เทคโนโลยีและหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐาน การเงิน และบุคลากรที่มีความสามารถ ซึ่งผลสำรวจของประเทศไทยเป็นไปในทิศทางของการเติบโตต่อเนื่องที่ได้รับการสนับสนุนจากเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศต่าง ๆ ของประเทศ รวมถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นต่อ AI และระบบควบคุมอัตโนมัติ

ทั้งนี้คาดได้ว่าประเทศไทยจะมีความก้าวหน้าด้านพลังงานหมุนเวียนอย่างแข็งแกร่ง โดย 77 เปอร์เซ็นต์ ของผู้นำด้านการใช้พลังงานที่ตอบแบบสำรวจคาดว่าการใช้พลังงานหมุนเวียนของตนจะเติบโตมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ในอีกห้าปีข้างหน้า ทั้งนี้ 39 เปอร์เซ็นต์ระบุว่า ปัจจุบันองค์กรของตนใช้พลังงานหมุนเวียนมากกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณพลังงานที่ใช้ทั้งหมด ซึ่งเป็นสัญญาณที่สอดคล้องกับเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net-zero) ของประเทศ รวมถึงร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (ร่าง PDP2024) ที่ตั้งเป้าให้มีสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าเป็น 51 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี พ.ศ. 2580 เพิ่มจาก 36 เปอร์เซ็นต์ ในแผน PDP2018 ที่ใช้ในปัจจุบัน

นายแอนเดอร์ มัลทีเซ็น ประธานฝ่ายอุตสาหกรรมพลังงานของเอบีบีในภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า “สมรรถนะของประเทศไทยที่ได้จากตัวชี้วัดความพร้อมทุกรายการนั้นเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งเป็นผลจากการใช้พลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและได้รับการยอมรับอย่างมาก การลงทุนที่เพิ่มขึ้น และการใช้ AI อย่างมีวิสัยทัศน์ ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากความมุ่งมั่นระดับประเทศ ประเทศไทยจึงมีความพร้อมที่จะเป็นผู้นำทิศทางการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของภูมิภาคนี้ และเพื่อให้ได้ใช้ศักยภาพอย่างเต็มประสิทธิภาพ องค์กรธุรกิจไทยจำเป็นต้องเสริมการวางแผนกลยุทธ์และทักษะกำลังคนให้แข็งแกร่ง ด้วยการลงทุนที่ตรงเป้า และความร่วมมือข้ามภาคส่วน เพื่อปิดช่องว่างและสร้างอนาคตด้านพลังงานที่ยั่งยืนมากขึ้น”

ผลสำรวจยังพบว่าผู้นำ 65 เปอร์เซ็นต์กล่าวว่าเทคโนโลยีเป็นหนึ่งในตัวเร่งสำคัญของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน และ 34 เปอร์เซ็นต์กล่าวว่ายังมีโอกาสในการปรับขนาดการใช้โซลูชันที่ได้รับการพิสูจน์แล้วที่ยังไม่ได้ใช้ ในขณะเดียวกัน ก็มีมุมมองเชิงบวกอย่างมากเกี่ยวกับ AI และระบบควบคุมอัตโนมัติ (ผู้ตอบแบบสำรวจ 69 เปอร์เซ็นต์มองว่าเป็นตัวช่วยสำคัญ) ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากนโยบายการขับเคลื่อนดิจิทัลและการพัฒนา AI ระดับประเทศ ซึ่งรวมถึงกลยุทธ์ AI ล่าสุดมูลค่า 25,000 ล้านบาท และเพื่อให้ตระหนักถึงศักยภาพนี้ องค์กf รต่าง ๆ ต้องจับคู่การใช้งานกับโครงสร้างของระบบปฏิบัติการและความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่จำเป็นเพื่อให้ได้รับประสิทธิภาพที่เชื่อถือได้

องค์กรที่ตอบแบบสำรวจ 74 เปอร์เซ็นต์วางแผนจัดสรรงบมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายในการลงทุน (CAPEX) ของตน เพื่อโครงการการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในอีกห้าปีข้างหน้า และเมื่อรวมกับความเชื่อมั่นด้านเทคโนโลยีและการวางแนวทางประสานกันของภาคส่วนที่กำลังเติบโตแล้ว ประเทศไทยอยู่ในสถานะที่พร้อมเปลี่ยนความก้าวหน้าของกระบวนการต่าง ๆ ให้กลายเป็นผลลัพธ์ที่ยั่งยืน และเสริมสร้างบทบาทของไทยในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้แข็งแกร่ง

เอบีบี เป็นผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีเกี่ยวกับการใช้พลังงานไฟฟ้าและระบบควบคุมอัตโนมัติ ช่วยขับเคลื่อนอนาคตที่ยั่งยืนและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เอบีบี เชื่อมโยงความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและดิจิทัลของบริษัทเข้าด้วยกัน เพื่อช่วยให้ธุรกิจในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ควบคู่กับความสำเร็จที่เหนือกว่า ด้วยประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และยั่งยืนมากขึ้น และเราเรียกสิ่งนี้ว่า “วิศวกรรมเพื่อการก้าวข้ามขีดจำกัด” เอบีบี มีประวัติยาวนานมากกว่า 140 ปี มีพนักงานทั่วโลกประมาณ 110,000 คน หุ้นของเอบีบีจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ SIX Swiss Exchange (ABBN) และ Nasdaq Stockholm (ABB). www.abb.com  

ธุรกิจโพรเซส ออโตเมชันของเอบีบี ช่วยให้กระบวนการทำงานของธุรกิจในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
เป็นระบบด้วยระบบควบคุมอัตโนมัติ ระบบไฟฟ้า และดิจิทัลโซลูชั่น ซึ่งตอบสนองความต้องการที่จำเป็นพื้นฐานหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาพลังงาน น้ำ และวัสดุต่าง ๆ ไปจนถึง การผลิตสินค้าและการขนส่งสินค้าออกสู่ตลาด ธุรกิจโพรเซส ออโตเมชันของเอบีบี มีพนักงานประมาณ 20,000 คน เมื่อรวมเข้ากับความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีและการให้บริการระดับแนวหน้า เราสามารถช่วยให้กระบวนการผลิตอุตสาหกรรมแบบต่อเนื่อง กระบวนการผลิตอุตสาหกรรมแบบผสมผสาน รวมถึงอุตสาหกรรมการเดินเรือสมุทร มีประสิทธิภาพสูงสุด ควบคู่การลดต้นทุนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม go.abb/processautomation

Securing Thailand’s energy future with cyber resilience

เสริมสร้างอนาคตพลังงานของประเทศไทยให้มั่นคง ด้วยความสามารถในการรับมือภัยคุกคามไซเบอร์

Securing Thailand’s energy future with cyber resilience

Article by Chatuporn Wanichsooksombat, Director of Process Automation Business, ABB Thailand

 

Cyberattacks are no longer rare disruptions – they’re a persistent threat. Once limited to ransomware and phishing scams, today’s attacks increasingly target critical infrastructure, with the energy sector among the hardest hit. A Sophos study[1] found that 62% of critical infrastructure, including energy companies, experienced ransomware attacks, compared to 49% across other sectors, such as manufacturing, IT and construction.

But why is the energy a prime target, and how can companies respond appropriately? 

The sector’s rapid digitalization depends on the integration of operational technology (OT), industrial systems that run power plants, and information technology (IT) for data processing and business applications. However, many of Thailand’s critical systems were not built with modern cyber threats in mind. As digital transformation accelerates, cyber security must evolve in parallel to safeguard operations and build resilience.

How the new regulation impacts the organizations
 
Recognizing the increasing risk of cyberattacks, the Thai government has taken several decisive steps, starting with the enactment of Cyber Security Act B.E. 2562 (2019) to safeguard national security and protect Critical Information Infrastructure Organization (CIIO) across various sectors, including energy. Two related but distinct bodies were established: National Cyber Security Committee (NCSC) and National Cyber Security Agency (NCSA) – the two bodies that provide policy direction and execute the enforcement.

Effective January 2025, NCSC issued two critical notifications under this Cyber. First, Notification on Standards for Determination of the Security Category for Data/ Information System that requires organizations to classify their data and information systems based on the potential impact of a cybersecurity incident on three factors: confidentiality, integrity, and availability. Second, Notification on Minimum Standards for Data/ Information System Security that sets the minimum cybersecurity controls that organizations must implement, depending on the risk level of the system.

To meet the two 2025 NCSC notifications, CIIOs must classify all IT and OT systems by risk, apply appropriate cybersecurity measures, assign responsible staff, enable rapid incident reporting, and maintain clear documentation for audits.

Paving the way forward with cyber security solutions

Understanding how this regulation impacts the energy industry, a reliable and well-structured approach to cyber security is essential for companies operating in today’s threat landscape. It begins with a comprehensive risk assessment, the first line of defense, evaluating industrial control system (ICS) networks, identifying vulnerabilities, and prioritizing mitigation strategies.

Through such assessments, companies can reduce cyber risk by prioritizing real-time threat detection through situational awareness tools and adopt a layered defence strategy. This includes network segmentation, strict firewalls, and physical safeguards. Regular assessments are essential to ensure security efforts align with critical assets and deliver maximum impact. As IT and OT systems converge, “secure integration” becomes essential, particularly in the energy sector, where safety and reliability are paramount.

Building on this foundation, organizations should develop a strong cyber security defence architecture blueprint that defines strategy, trust zones and alignment with regulations, guiding the deployment of policies, controls and procedures to maintain data confidentiality, integrity and availability.

To further enhance resilience, companies should invest in integrated IT-OT specific threat intelligence that is credible and cost-effective, thus providing context-sensitive alerts and early warning. AI and cross training between the IT and OT teams will also improve the overall ecosystem of incident response.

In the energy sector, where operations are complex and highly distributed, advanced monitoring is critical. Security information and event management (SIEM) tools deliver greater visibility and faster detection than traditional safeguards, enabling swift response to evolving threats.

Industry leaders like ABB offer tailored cyber security solutions that integrate advanced monitoring, analytics and incident response, helping companies minimize disruption and ensure operational integrity. These solutions enhance threat detection, streamline incident resolution and support long-term resilience and operational excellence.

Building a secure and sustainable energy future for Thailand

As Thailand progresses along its digital transformation journey and aims to increase the share of renewable energy in its electricity mix, ensuring cyber security is no longer optional – it’s a national imperative. Protecting critical infrastructure means more than defending against attacks; it’s about preserving data integrity, operational reliability and public trust.

By taking a proactive stance and investing in resilient systems, Thailand can safeguard its energy future and unlock the full potential of its digital economy. Being proactive is key, and for a company like ABB, we believe that cyber security goes beyond protecting against cyberattacks; it is equally important to safeguard the value and integrity of the data itself. 

By leveraging advanced monitoring, automation, and threat detection technologies, the energy sector in Thailand can not only defend against cyber risk, but also unlock new levels of efficiency and innovation. 

[1] https://news.sophos.com/en-us/2024/07/17/the-state-of-ransomware-in-critical-infrastructure-2024/

เสริมสร้างอนาคตพลังงานของประเทศไทยให้มั่นคง ด้วยความสามารถในการรับมือภัยคุกคามไซเบอร์

เสริมสร้างอนาคตพลังงานของประเทศไทยให้มั่นคง ด้วยความสามารถในการรับมือภัยคุกคามไซเบอร์

เสริมสร้างอนาคตพลังงานของประเทศไทยให้มั่นคง ด้วยความสามารถในการรับมือภัยคุกคามไซเบอร์

บทความโดย นายจตุพร วานิชสุขสมบัติ ผู้อำนวยการธุรกิจโพรเซส ออโตเมชัน บริษัท เอบีบี ออโตเมชั่นประเทศไทย จำกัด

การโจมตีทางไซเบอร์ไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวอีกต่อไป แต่กลายเป็นภัยคุกคามที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เดิมทีการโจมตีจำกัดอยู่ที่แรนซัมแวร์และการหลอกลวงเพื่อเข้าถึงข้อมูลสำคัญ ต่าง ๆ แต่ปัจจุบันการโจมตีมุ่งเป้าไปที่หน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ โดยภาคธุรกิจพลังงานเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด จากการศึกษาของ Sophos ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์จากสหราชอาณาจักร พบว่า 62% ของหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ซึ่งรวมถึงบริษัทในภาคธุรกิจพลังงาน ล้วนเคยเผชิญกับการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ สัดส่วนนี้สูงกว่าภาคส่วนอื่น ๆ เช่น ภาคธุรกิจการผลิต ธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศ และธุรกิจการก่อสร้าง ที่มีสถิติอยู่ที่ 49%

เหตุใดภาคธุรกิจพลังงานจึงเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของการโจมตี และบริษัทต่าง ๆ ควรรับมืออย่างไร?

การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอย่างรวดเร็วของภาคธุรกิจพลังงานนั้น มีการบูรณาการระหว่างเทคโนโลยีเชิงปฏิบัติการ (OT) ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการอัตโนมัติที่ใช้ควบคุมโรงไฟฟ้า และเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูลและแอปพลิเคชันทางธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ระบบปฏิบัติการสำคัญต่าง ๆ ในประเทศไทยไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ ดังนั้น เมื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลทวีความรวดเร็วมากขึ้น ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์จึงจำเป็นต้องพัฒนาควบคู่กันไป เพื่อเป็นการปกป้องระบบปฏิบัติการ เพิ่มความมั่นคงและสร้างความสามารถในการรับมือจากภัยคุกคาม

ผลกระทบของกฎหมายและกฏระเบียบใหม่เกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ที่มีต่อองค์กร

ด้วยความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลไทยได้ออกมาตรการเชิงรุกหลายประการ โดยเริ่มต้นจากการประกาศใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 เพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติและคุ้มครองหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ (CIIO) ในหลากหลายภาคส่วน รวมถึงภาคธุรกิจพลังงาน นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขึ้นมา 2 องค์กร ได้แก่ คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) และสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบายและการบังคับใช้กฎหมาย

คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ได้ออกประกาศสำคัญ 2 ฉบับภายใต้ พ.ร.บ. ฉบับนี้ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2568 ฉบับแรกคือ ประกาศเรื่องมาตรฐานการกำหนดประเภทความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของข้อมูลและระบบสารสนเทศ ซึ่งกำหนดให้องค์กรต้องจำแนกประเภทข้อมูลและระบบสารสนเทศตามผลกระทบที่อาจเกิดจากเหตุการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยพิจารณาจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การเก็บรักษาความลับ ความถูกต้องสมบูรณ์ และความพร้อมใช้งาน ฉบับที่สองคือ ประกาศเรื่องมาตรฐานขั้นต่ำด้านความปลอดภัยของข้อมูลและระบบสารสนเทศ ซึ่งกำหนดมาตรการควบคุมความมั่นคงปลอดภัยขั้นต่ำที่องค์กรต้องปฏิบัติตาม ขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงของระบบปฏิบัติการ

เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศของคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติทั้งสองฉบับที่มีผลบังคับใช้ในปี พ.ศ. 2568 แล้วนั้น หน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ (CIIO) จะต้องจำแนกระบบ IT และ OT ทั้งหมดตามระดับความเสี่ยง ขณะเดียวกันก็ต้องประยุกต์ใช้มาตรการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่เหมาะสม มอบหมายผู้รับผิดชอบ จัดให้มีระบบการรายงานเหตุการณ์ที่รวดเร็ว และจัดทำเอกสารที่ชัดเจนเพื่อรองรับการตรวจสอบ

แนวทางการปฏิบัติตามกฏระเบียบด้วยโซลูชันความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์

เมื่อพิจารณาผลกระทบของกฎระเบียบต่อธุรกิจพลังงาน การมีแนวทางปฏิบัติที่เชื่อถือได้และมีโครงสร้างชัดเจนในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรที่ดำเนินงานในสภาพแวดล้อมที่มีภัยไซเบอร์คุกคามในปัจจุบัน เริ่มด้วยการประเมินความเสี่ยงอย่างครอบคลุม ซึ่งเป็นแนวป้องกันแรก โดยการประเมินเครือข่ายของระบบควบคุม การปฏิบัติการอัตโนมัติ (ICS) ไปจนถึงการประเมินจุดเปราะบางและจัดลำดับความสำคัญของมาตรการแก้ไขปรับปรุง

จากการประเมินความเสี่ยงดังกล่าว องค์กรสามารถลดความเสี่ยงทางไซเบอร์ได้โดยการจัดลำดับความสำคัญของการตรวจจับภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ผ่านเครื่องมือวิเคราะห์สถานะของเครือข่ายข้อมูล และใช้กลยุทธ์การป้องกันแบบหลายชั้น ซึ่งรวมถึงการแบ่งส่วนเครือข่าย การใช้ไฟร์วอลล์ที่เข้มงวด และการป้องกันด้วยอุปกรณ์กายภาพต่าง ๆ การประเมินอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่ามาตรการรักษาความปลอดภัยสอดคล้องกับทรัพย์สินที่มีความสำคัญและให้ผลลัพธ์สูงสุด นอกจากนี้ เมื่อระบบ IT และ OT มีการทำงานร่วมกัน “การบูรณาการความปลอดภัย” ก็จะกลายเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในภาคธุรกิจพลังงานที่ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด

บนพื้นฐานดังกล่าวนี้ องค์กรควรพัฒนาแผนผังรูปแบบโครงสร้างการป้องกันความมั่นคงปลอดภัยทาง ไซเบอร์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งมีการกำหนดกลยุทธ์ การกำหนดเขตข้อมูลปลอดภัย และการปฏิบัติตามกฏหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่การกำหนดนโยบาย มาตรการควบคุม และขั้นตอนการปฏิบัติงานเพื่อการเก็บรักษาความลับ ความถูกต้องสมบูรณ์ และความพร้อมใช้งานของข้อมูล

เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการรับมือภัยคุกคามไซเบอร์ให้ดียิ่งขึ้น องค์กรควรลงทุนในระบบป้องกันที่บูรณาการสำหรับระบบ IT-OT โดยเฉพาะ ซึ่งมีความน่าเชื่อถือและคุ้มค่า เพื่อให้สามารถแจ้งเตือนตามสถานการณ์และเตือนภัยล่วงหน้าได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการฝึกอบรมข้ามฝ่ายระหว่างหน่วยงาน IT และ OT จะช่วยปรับปรุงระบบเครือข่ายโดยรวมและการตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้ดียิ่งขึ้น

การตรวจสอบเฝ้าระวังขั้นสูงถือเป็นสิ่งสำคัญมากขององค์กรในภาคธุรกิจพลังงานที่มีการดำเนินงานที่ซับซ้อนและกระจายศูนย์ โดยเครื่องมือบริหารจัดการเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยของข้อมูล (SIEM) จะช่วยให้มีความสามารถในการมองเห็นที่สูงขึ้นและมีการตรวจจับเหตุการณ์ที่รวดเร็วกว่ามาตรการป้องกันแบบดั้งเดิม ทำให้สามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้อย่างทันท่วงที

เอบีบี ซึ่งเป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรม นำเสนอโซลูชันความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ ซึ่งผสานรวมการตรวจสอบเฝ้าระวังขั้นสูง การวิเคราะห์ข้อมูล และการรับมือกับเหตุการณ์ภัยคุกคามอย่างทันท่วงที เพื่อช่วยให้องค์กรลดผลกระทบจากการหยุดชะงักและรักษาการดำเนินงานได้อย่างสมบูรณ์ต่อเนื่อง โซลูชันเหล่านี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการตรวจจับภัยคุกคาม ทำให้การแก้ไขเหตุการณ์เป็นไปอย่างราบรื่น สนับสนุนความมั่นคงและการปฎิบัติการที่ดีที่สุดในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง

การสร้างอนาคตทางพลังงานที่ปลอดภัยและยั่งยืนสำหรับประเทศไทย

ในขณะที่ประเทศไทยกำลังก้าวไปบนเส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในระบบการผลิตไฟฟ้า การสร้างความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์จึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นวาระสำคัญระดับชาติ ซึ่งการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญไม่ได้หมายถึงเพียงการป้องกันการโจมตีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการรักษาความสมบูรณ์ของข้อมูล ความน่าเชื่อถือในการดำเนินงาน และความไว้วางใจจากสาธารณชน

ประเทศไทยจะสามารถปกป้องอนาคตด้านพลังงานและปลดล็อกศักยภาพเต็มรูปแบบของเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างเต็มที่ ได้ด้วยการดำเนินการเชิงรุก ควบคู่กับการลงทุนในระบบเครือข่ายข้อมูลที่มีความมั่นคงสูง เอบีบี เชื่อมั่นว่าการดำเนินการเชิงรุกคือกุญแจสำคัญ และการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ไม่ได้จำกัดอยู่ที่การป้องกันการโจมตีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปกป้องคุณค่าและความสมบูรณ์ของข้อมูลอีกด้วย

ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการตรวจสอบเฝ้าระวังขั้นสูง ระบบควบคุมอัตโนมัติ และเทคโนโลยีการตรวจจับภัยคุกคาม ภาคธุรกิจพลังงานของไทยไม่เพียงแต่จะสามารถป้องกันความเสี่ยงทางไซเบอร์ได้เท่านั้น แต่ยังสามารถปลดล็อกประสิทธิภาพและนวัตกรรมในระดับที่สูงขึ้นได้อีกเช่นกัน