การใช้ Agentic AI ในองค์กร คือการเปลี่ยนผ่านเชิงวิวัฒนาการ

การใช้ Agentic AI ในองค์กร คือการเปลี่ยนผ่านเชิงวิวัฒนาการ

การใช้ Agentic AI ในองค์กร คือการเปลี่ยนผ่านเชิงวิวัฒนาการ

มีการคาดการณ์ว่า Agentic AI จะเข้ามาปฏิวัติขั้นตอนการทำงานหลายด้านผ่านระบบอัตโนมัติอิสระที่ขับเคลื่อนด้วย AI ธุรกิจที่เป็นสตาร์ทอัพจะได้รับประโยชน์จากแนวทางนี้อย่างมาก เพราะสตาร์ทอัพไม่ต้องกังวลถึงระบบ กระบวนการ และบุคลากรที่มีอยู่เดิม แต่องค์กรใหญ่ ๆ ที่อยู่มานาน มักมีระบบที่มีความซับซ้อนเนื่องจากสร้างขึ้นต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ เช่น กระบวนการต่าง ๆ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกำหนด ระบบดั้งเดิมต่าง ๆ ที่ใช้กับการดำเนินงานสำคัญ ๆ และทีมงานที่มีประสบการณ์และมีองค์ความรู้เกี่ยวกับองค์กรที่สะสมมาอย่างยาวนานและเป็นตัวขับเคลื่อนความสำเร็จให้กับธุรกิจ ดังนั้นสำหรับองค์กรขนาดใหญ่แล้ว คุณค่าที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือ แต่อยู่ที่การเสริมศักยภาพวิธีการดำเนินงานที่ใช้อยู่ในปัจจุบันอย่างมีกลยุทธ์ และนั่นคือ วิวัฒนาการ หรือ การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างมีระบบ ไม่ใช่การปฏิวัติ หรือ การยกเครื่องใหม่ทั้งหมดอย่างทันทีทันใด

บทความนี้มีคำแนะนำเฉพาะเกี่ยวกับวิธีที่องค์กรสามารถสร้างประโยชน์ ด้วยการบูรณาการเครื่องมือและกระบวนการ AI อย่างมีกลยุทธ์ แทนที่จะต้องสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด 

การนำ Agentic AI มาใช้ ทำให้เกิดข้อพิจารณาเชิงกลยุทธ์ชุดใหม่ เนื่องจาก Agentic AI สามารถทำการตัดสินใจต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเฉพาะที่ตั้งไว้ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งต่างจาก AI แบบเดิมที่ออกแบบมาเพื่อทำงานตามคำสั่งเพียงอย่างเดียว การเปลี่ยนจากระบบอัตโนมัติทั่วไป ไปสู่ระบบเอเจนต์ที่กำกับดูแลตัวเองและตัดสินใจได้เองนั้น จำเป็นต้องมีแนวทางที่รัดกุมและดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอน ต่อไปนี้คือแนวทางสามประการที่จะช่วยให้องค์กรได้รับประโยชน์จาก Agentic AI 

1.ทดลองใช้กับงานที่มีความเสี่ยงต่ำ 

องค์กรสามารถใช้ศักยภาพของ agentic AI ได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น ด้วยการเริ่มใช้กับสภาพแวดล้อมที่มีขอบเขตชัดเจนและมีความเสี่ยงต่ำที่เมื่อเกิดความล้มเหลวแล้วจะไม่กระทบต่อการดำเนินงานสำคัญ ๆ ของธุรกิจ แนวทางเชิงทดลองนี้ช่วยสร้างความมั่นใจและความเชี่ยวชาญให้ทีมไปพร้อม ๆ กับการลดความเสี่ยง เช่น การใช้ agentic AI จัดการงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ และมีรูปแบบชัดเจน ซึ่งเอเจนต์สามารถเรียนรู้และดำเนินการได้โดยง่าย 

ตัวอย่างการใช้งาน:

  • การบริการลูกค้า: ตัวแทนการสนทนา (conversational agents) สามารถจัดการกับคำถามพื้นฐานหรือคำขอรับบริการได้ และสามารถส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่ที่เป็นมนุษย์เมื่อเผชิญปัญหาที่ซับซ้อนได้อย่างราบรื่น เอเจนต์เหล่านี้สามารถแนะนำลูกค้าในการรีเซ็ตรหัสผ่าน อัปเดตที่อยู่จัดส่ง หรือดำเนินการคืนสินค้าที่ไม่ซับซ้อนได้ ด้วยการเชื่อมต่อกับพอร์ทัลลูกค้าและระบบหลังบ้านที่มีอยู่ 
  • ผู้ช่วยฝ่ายธุรการ: เอเจนต์สามารถสรุปการประชุม ติดตามงานที่ได้รับมอบหมาย สรุปและจัดลำดับความสำคัญของอีเมล เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน 

การใช้งานในลักษณะนี้ช่วยให้พนักงานมุ่งเน้นไปที่งานที่ซับซ้อน มีคุณค่าสูงกว่า หรืออ่อนไหวต่อความรู้สึกของลูกค้า ซึ่งต้องอาศัยความเข้าอกเข้าใจของมนุษย์อย่างแท้จริง และยังแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของเอเจนต์ในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ พร้อมทั้งช่วยให้องค์กรพัฒนาทักษะและกรอบการทำงานที่จำเป็นสำหรับการนำไปใช้ในระดับที่ใหญ่ขึ้น 

  1. เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของระบบหลังบ้าน

Agentic AI สามารถทำงานเบื้องหลังเพื่อช่วยให้การดำเนินงานปัจจุบันมีประสิทธิภาพและชาญฉลาดมากขึ้น แนวทางนี้ใช้โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เดิมขององค์กร และเพิ่มความสามารถในการตัดสินใจได้อย่างอิสระ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน กล่าวได้ว่า agentic AI ทำหน้าที่เป็นเลเยอร์อัจฉริยะที่สามารถสังเกตข้อมูลที่ไหลผ่านการดำเนินงานเบื้องหลังสำคัญ ๆ ซึ่งมักมีความซับซ้อน เช่น ระบบ ERP, CRM หรือระบบซัพพลายเชน และสามารถตรวจหาคอขวด กระตุ้นการทำงานเชิงรุก ไปจนถึงแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยได้ 

ตัวอย่างการใช้งาน:

  • ผู้ตรวจสอบทางการเงิน: คือเอเจนต์ที่คอยตรวจสอบรูปแบบการใช้จ่าย แจ้งเตือนความผิดปกติให้มนุษย์ตรวจสอบ และจัดหมวดหมู่ธุรกรรมโดยอัตโนมัติ
  • เจ้าหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพ: คือเอเจนต์ที่วิเคราะห์ข้อมูลการผลิตแบบเรียลไทม์ ระบุปัญหาคุณภาพที่อาจเกิดขึ้น และแนะนำแนวทางป้องกัน 

แนวทางนี้สามารถสร้างคุณค่าได้ทันทีโดยไม่รบกวนกระบวนการทำงานที่มีอยู่ ทีมงานยังคงใช้ระบบที่คุ้นเคย ในขณะเดียวกันก็ได้รับประโยชน์จากความฉลาดและระบบอัตโนมัติที่ทำงานอย่างเงียบ ๆ อยู่เบื้องหลัง

  1. ผู้จัดการฝึกหัดที่กำกับดูแลโดยมนุษย์

ศักยภาพที่แท้จริงของ agentic AI สำหรับองค์กรนั้น อาจไม่ใช่การทำงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบ แต่เป็นการทำงานอัตโนมัติแบบร่วมมือกัน โดยสามารถมองเอเจนต์เสมือนเป็น ‘ผู้จัดการฝึกหัด’ หรือ ‘ผู้ช่วย’ ที่มีอำนาจตัดสินใจเป็นลำดับขั้น โดยเอเจนต์จะตัดสินใจงานประจำต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงต่ำ ขณะที่งานที่ซับซ้อนหรือมีผลกระทบสูงจะถูกส่งต่อให้ผู้จัดการที่เป็นมนุษย์ดูแล เอเจนต์จะดำเนินการงานต่าง ๆ เช่น เก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ และเสนอข้อแนะนำเบื้องต้น ขณะที่ผู้จัดการที่เป็นมนุษย์จะเป็นผู้อนุมัติขั้นสุดท้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการตัดสินใจที่มีนัยสำคัญทางการเงิน ชื่อเสียง หรือมีผลกระทบทางกฎหมาย 

ตัวอย่างการใช้งาน:

  • เจ้าหน้าที่สินเชื่อธุรกิจ: เอเจนต์จะรวบรวมข้อมูลจากรายงานการเงินและแหล่งข้อมูลอื่น ๆ จากนั้นจะวิเคราะห์ความเสี่ยง และสร้างคำแนะนำเบื้องต้น เช่น “อนุมัติแบบมีเงื่อนไข”, “ปฏิเสธ”, หรือ “ต้องการการตรวจสอบเพิ่มเติม” ก่อนที่เจ้าหน้าที่สินเชื่อที่เป็นมนุษย์จะเข้ามาพิจารณา ตรวจสอบ และตัดสินใจขั้นสุดท้าย
  • ผู้จัดการฝ่ายขาย: เอเจนต์ผู้จัดการฝ่ายขายจะประสานงานกับตัวแทนย่อยเพื่อจัดทำข้อเสนอการขาย เช่น เอเจนต์หนึ่งดึงข้อมูลคู่แข่ง ในขณะที่อีกเอเจนต์ร่างข้อเสนอ และอีกเอเจนต์ตรวจสอบความถูกต้องของราคา จากนั้นผู้จัดการขายตัวจริงที่เป็นมนุษย์จะเป็นผู้สรุปและอนุมัติข้อเสนอก่อนดำเนินการขั้นต่อไป

แนวทางนี้เหมือนกับการจ้างผู้จัดการฝึกหัดที่เรียนรู้งานจากเพื่อนร่วมงานที่มีประสบการณ์และค่อย ๆ รับผิดชอบงานเพิ่มขึ้นเมื่อได้พิสูจน์ความสามารถแล้ว เอเจนต์ช่วยจัดการงานประจำเพื่อช่วยให้ผู้จัดการที่เป็นมนุษย์มีเวลาไปทำงานเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญกว่าโดยยังคงความสามารถในการกำกับดูแลเอเจนต์เหล่านี้ได้อย่างใกล้ชิด

เร้ดแฮทกับการสนับสนุนองค์กรธุรกิจให้ใช้ agentic AI 

เร้ดแฮทมีรากฐานแข็งแกร่งในด้านโอเพ่นซอร์ส และสามารถนำทางองค์กรต่าง ๆ ให้เดินบนเส้นทางวิวัฒนาการไปสู่การใช้ agentic AI แนวทางของเร้ดแฮทเน้นที่การควบคุม ความยืดหยุ่น และให้การสนับสนุนที่มีคุณภาพระดับองค์กร ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากต่อการบูรณาการ AI เข้ากับสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนที่องค์กรเหล่านั้นใช้อยู่

  • รากฐานโอเพ่นซอร์สเพื่อความยืดหยุ่นและการควบคุม: พอร์ตโฟลิโอของเร้ดแฮท รวมถึง Red Hat AI มอบรากฐานโอเพ่นซอร์สที่แข็งแกร่งสำหรับการสร้าง ติดตั้ง และบริหารจัดการโมเดล AI และระบบ agentic ต่าง ๆ
  • ความสอดคล้องกันของไฮบริดคลาวด์: องค์กรมักทำงานข้ามสภาพแวดล้อมไอทีต่าง ๆ ทั้งที่เป็นดาต้าเซ็นเตอร์ที่อยู่ในองค์กร, พับลิคคลาวด์หลายระบบ, และ edge แพลตฟอร์มของเร้ดแฮท ออกแบบมาเพื่อการใช้ไฮบริดคลาวด์ ดังนั้นองค์กรสามารถพัฒนา ใช้ และบริหารจัดการโซลูชัน agentic AI ได้อย่างสอดคล้องกันไม่ว่าจะเก็บข้อมูลไว้ที่ใด หรือแอปพลิเคชันขององค์กรจะทำงานอยู่บนสภาพแวดล้อมใด ความสอดคล้องคงเส้นคงวานี้ช่วยลดความยุ่งยากในการดำเนินงานและช่วยให้สามารถขยายขนาดการทำงานได้อย่างราบรื่น
  • การใช้งาน AI ด้วย MLOps และ LLMOps: Red Hat OpenShift AI มอบแพลตฟอร์มที่สมบูรณ์แบบสำหรับการบริหารจัดการไลฟ์ไซเคิลของ AI ทั้งหมด ตั้งแต่การเตรียมข้อมูลและการเทรนโมเดล ไปจนถึง การใช้งาน และการติดตามตรวจสอบ ซึ่งรวมถึงความสามารถสำหรับ MLOps (Machine Learning Operations) และ LLMOps (Large Language Model Operations) ที่เป็นสิ่งจำเป็นในการทำให้ agentic AI ที่อยู่ในขั้นทดลองกลายเป็นการใช้งานจริงที่เชื่อถือได้ ทั้งยังช่วยให้ทีมงานต่าง ๆ ทำงานร่วมกัน สร้างเวิร์กโฟลว์อัตโนมัติ และตรวจสอบได้ว่าโมเดลกำลังทำงานตามที่คาดหมายไว้หรือไม่

Red Hat นำเสนอแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์สระดับองค์กรที่ช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ ทดลองใช้ สร้าง และปรับขนาดความสามารถของ agentic AI ได้อย่างปลอดภัย บนแลนด์สเคปไอทีที่องค์กรใช้อยู่

Agentic AI สำหรับองค์กร ไม่ใช่เรื่องการเปลี่ยนแปลงแบบ “บิ๊กแบง” ที่ทำให้การลงทุนในปัจจุบันที่องค์กรได้ลงทุนไปนั้นเสียเปล่า แต่เป็นการนำเสนอเส้นทางวิวัฒนาการที่เน้นความจริงจัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและนวัตกรรม การให้ความสำคัญกับการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานเบื้องหลังที่องค์กรใช้อยู่ การทดลองใช้กับงานที่มีความเสี่ยงต่ำ และการบูรณาการเอเจนต์ต่าง ๆ ในฐานะ “ผู้จัดการฝึกหัด” เข้ากับการควบคุมของมนุษย์อย่างรอบคอบ จะช่วยให้ธุรกิจสามารถค่อย ๆ ปลดล็อกคุณค่าสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

เป้าหมายคือการเพิ่มขีดความสามารถขององค์กร เสริมศักยภาพบุคลากร และทำให้องค์กรเป็นองค์กรที่ชาญฉลาด คล่องตัว และแข็งแกร่งมากขึ้นในอนาคต

Binance ร่วมมือ Franklin Templeton พัฒนาโครงการและผลิตภัณฑ์สินทรัพย์ดิจิทัล

Binance ร่วมมือ Franklin Templeton พัฒนาโครงการและผลิตภัณฑ์สินทรัพย์ดิจิทัล

Binance ร่วมมือ Franklin Templeton พัฒนาโครงการและผลิตภัณฑ์สินทรัพย์ดิจิทัล

ผสานความเชี่ยวชาญเทคโนโลยีบล็อกเชน สร้างสรรค์โซลูชันที่เชื่อมโยงโลกการเงินแบบเดิมเข้ากับโลกแห่งการเงินแบบกระจายศูนย์ที่รวดเร็วและเข้าถึงง่าย

Binance ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีชั้นนำของโลก และ Franklin Templeton ผู้นำด้านการลงทุนระดับโลกที่มีมูลค่าการบริหารจัดการสินทรัพย์กว่า 1.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ประกาศความร่วมมือเพื่อสร้างโครงการและผลิตภัณฑ์สินทรัพย์ดิจิทัลที่ตอบโจทย์ความต้องการนักลงทุนหลากหลายกลุ่ม

ทั้งสองบริษัทจะร่วมกันศึกษาแนวทางเพื่อผสานรวมความเชี่ยวชาญของ Franklin Templeton ในการแปลงสินทรัพย์ให้กลายเป็นโทเคน (Tokenization) อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เข้ากับโครงสร้างพื้นฐานการซื้อขายและฐานนักลงทุนทั่วโลกของ Binance โดยมีเป้าหมายเพื่อนำเสนอนวัตกรรมโซลูชัน ที่ตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และเพิ่มประสิทธิภาพ ความโปร่งใส รวมถึงสร้างโอกาสในการเข้าถึงตลาดทุนให้ง่ายยิ่งขึ้น ด้วยอัตราผลตอบแทนที่สามารถแข่งขันได้และมีประสิทธิภาพในการชำระราคา

Sandy Kaul รองประธานบริหารและหัวหน้าฝ่ายนวัตกรรมของ Franklin Templeton กล่าวว่า “ขณะที่เครื่องมือและเทคโนโลยีเหล่านี้กำลังก้าวจากขอบเขตการใช้งานในกลุ่มเล็กๆ ไปสู่กระแสหลักทางการเงิน ความร่วมมือลักษณะนี้จะยิ่งเป็นสิ่งสำคัญกระตุ้นการนำมาใช้งานมากยิ่งขึ้น เรามองว่าบล็อกเชนไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อระบบเก่า แต่เป็นโอกาสที่จะสร้างสรรค์ระบบเหล่านั้นขึ้นใหม่ การทำงานร่วมกับ Binance ทำให้เราสามารถใช้ประสิทธิภาพจากการแปลงสินทรัพย์ให้เป็นโทเคน (Tokenization) เพื่อนำเสนอโซลูชันที่มีมาตรฐานในระดับสถาบัน เช่น แพลตฟอร์ม Benji Technology ของเรา ให้กับนักลงทุนในวงกว้างขึ้น และช่วยเชื่อมโยงโลกการเงินแบบดั้งเดิมเข้ากับโลกการเงินแบบกระจายศูนย์”

Roger Bayston รองประธานบริหารและหัวหน้าฝ่ายสินทรัพย์ดิจิทัลของ Franklin Templeton กล่าวเสริมว่า “นักลงทุนต่างให้ความสนใจในสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อคงความได้เปรียบ แต่สิ่งเหล่านี้ต้องเข้าถึงง่ายและเชื่อถือได้ การทำงานร่วมกับ Binance ช่วยให้เราสามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ล้ำสมัยซึ่งตอบสนองความต้องการของตลาดทุนโลก และร่วมกันสร้างพอร์ตการลงทุนแห่งอนาคต เป้าหมายของเราคือการเปลี่ยนแนวคิดเรื่องการแปลงสินทรัพย์ในโลกจริงให้เป็นโทเคนให้กลายเป็นแนวทางปฏิบัติได้จริงสำหรับลูกค้า เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการชำระราคา การบริหารจัดการหลักประกัน และการจัดพอร์ตการลงทุนในวงกว้าง”

Catherine Chen หัวหน้าฝ่าย VIP & Institutional ของ Binance กล่าวว่า “Binance มีประวัติการสร้างสรรค์นวัตกรรมและโซลูชันล้ำสมัยที่เป็น ‘รายแรก ๆ ในโลกคริปโต’ ช่วยเปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Franklin Templeton สำหรับพัฒนาผลิตภัณฑ์และโครงการใหม่ ๆ ยังตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเราในการเชื่อมคริปโต เข้ากับตลาดทุนแบบดั้งเดิม และเปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ที่ยิ่งใหญ่ขึ้น” 

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความร่วมมือและการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่จะมีการประกาศปลายปีนี้

Ericsson and depa extend strategic partnership to accelerate 5G Industrial Innovation in Thailand

อีริคสันและดีป้าต่อยอดความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ เร่งขับเคลื่อนนวัตกรรม 5G สำหรับภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทย

Ericsson and depa extend strategic partnership to accelerate 5G Industrial Innovation in Thailand

  • This is a two-year extension to the private-public collaboration which commenced in 2022.
  • A cornerstone of the partnership is the 5G Innovation and Experience Studio in Thailand Digital Valley.
  • Ericsson will deliver advanced, secure and resilient 5G solutions to accelerate industrial digitalization in support of the Thailand 4.0 vision.

Ericsson (NASDAQ: ERIC) and the Digital Economy Promotion Agency (depa) have extended their strategic Memorandum of Understanding (MoU) to jointly advance the deployment and understanding of 5G technologies across Thailand’s industrial landscape.

The signing ceremony was attended by executives from both organizations, including Dr. Warin Ratchananusorn, Acting Senior Executive Vice President of depaDr. Supakorn Siddhichai, Group Executive Vice President of depa, and Mr. Anders Rian, President of Ericsson Thailand. The Ministry of Digital Economy and Society (MDES) was represented at the event by its Deputy Permanent Secretary, Dr. Nattapon NattasomboonMr. Per Linnér, the Swedish Embassy’s Chargé d’affaires also attended the event .

This two-year extension of the collaboration, which commenced in 2022, underscores a shared commitment to drive digital transformation and innovation in alignment with the country’s Thailand 4.0 vision.

A cornerstone of this partnership has been the establishment of the 5G Innovation and Experience Studio (5GIX Studio), located within Thailand Digital Valley in Chonburi province. Designed as a testbed and service hub, the studio facilitates trials of next-generation wireless and network technologies, spectrum sharing, and the development of cutting-edge applications tailored to Thailand’s evolving digital economy.

Since the establishment of the 5GIX Studio, a broad range of technology ecosystem partners have collaborated to develop and test innovative 5G applications, including robotics, automated machines, and advanced security camera solutions.

According to MDES, Thailand’s enterprise 5G market is projected to exceed USD 2.5 billion by 2027, driven by demand in manufacturing, logistics, energy, and smart city development, with over 70% of Thai enterprises expected to adopt digital technologies by 2026.

“Ericsson remains committed to supporting Thailand’s journey toward becoming a digital society under the Thailand 4.0 vision,” said Mr. Anders Rian, President of Ericsson Thailand. “Leveraging our global expertise and advanced, secure and resilient 5G solutions, we aim to help build a robust and inclusive 5G ecosystem that empowers industries across the nation and encourages further investment in Thailand.”

Asst.Prof.Dr. Nuttapon Nimmanphatcharin, President & CEO of depa, added, “Ericsson is a strategic partner in our mission to strengthen Thailand’s digital economy. Together, we will work with industry stakeholders to develop forward-looking strategies and foster innovations that enhance quality of life and national competitiveness.”

Mr. Per Linnér, the Swedish Embassy’s Chargé d’affaires spoke about the longstanding and growing trade and innovation ties between Sweden and Thailand, underscoring the importance of cross-border collaboration in advancing digital transformation.

“Last week, Sweden and Thailand elevated our bilateral relations to a Strategic Partnership. This landmark agreement was signed by our respective foreign ministers and sets out our shared ambition to deepen cooperation in key areas such as sustainable development, green transition, defense, innovation — and importantly — digitalization,” said Mr. Linnér.

“Sweden and Thailand will cooperate around telecommunications, critical infrastructure including 5G, resilient and trusted supply chains, cybersecurity and in safeguarding the free, open, global interoperable and secure internet. The MoU signing between Ericsson and DEPA is a perfect example of how that vision is already being translated into action,“ he added.

The collaboration will encompass knowledge exchange on digital economy policies, best practices, and innovation strategies. Both organizations will jointly explore emerging technologies and use cases through the 5GIX platform, while also supporting Thailand’s digital development goals.

Ericsson is a global leader in 5G and powers 187 live networks across countries. It is recognized as an industry leader having recently topped the Frost Radar™: Global 5G Network Infrastructure Market ranking for the second year in a row. Ericsson has also secured the highest ranking in the recently published Omdia Market Landscape RAN Vendors report for 2025. This recognition highlights Ericsson’s leadership in both business performance and portfolio, underscoring its commitment to innovation and excellence in the industry.

อีริคสันและดีป้าต่อยอดความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ เร่งขับเคลื่อนนวัตกรรม 5G สำหรับภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทย

อีริคสันและดีป้าต่อยอดความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ เร่งขับเคลื่อนนวัตกรรม 5G สำหรับภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทย

อีริคสันและดีป้าต่อยอดความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ เร่งขับเคลื่อนนวัตกรรม 5G สำหรับภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทย

  • ขยายระยะเวลาร่วมมือกันเพิ่ม 2 ปี ระหว่างภาครัฐและเอกชน นับตั้งแต่ร่วมมือกันครั้งแรกในปี 2565
  • หัวใจสำคัญของการเป็นพันธมิตร คือ การจัดตั้งห้องปฏิบัติการนวัตกรรมและประสบการณ์ 5G ใน Thailand Digital Valley
  • อีริคสันจะส่งมอบโซลูชัน 5G ขั้นสูง ที่ปลอดภัยและมีความยืดหยุ่น เพื่อเร่งการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ในภาคอุตสาหกรรม สนับสนุนวิสัยทัศน์ Thailand 4.0

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ลงนามขยายบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ (MoU) เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการนำเทคโนโลยี 5G ไปปรับใช้และเสริมสร้างความเข้าใจเทคโนโลยี 5G ทั่วทั้งภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย

ในพิธีลงนามนี้ได้รับเกียรติจากผู้บริหารของทั้งสององค์กรเข้าร่วม ได้แก่ ดร.วาริน รัชนานุสรณ์ รักษาการรองผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้าดร.ศุภกร สิทธิชัย ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส ดีป้า และ มร.อันเดอร์ส เรียน ประธานบริษัท อีริคสัน ประเทศไทย พร้อมด้วยตัวแทนจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) ดร.ณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ รองปลัดกระทรวงฯ และ มร.Per Linnér รักษาการเอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย ได้ให้เกียรติเป็นสักขีพยานในครั้งนี้

การขยายระยะเวลาความร่วมมือ 2 ปีนี้ หลังร่วมมือครั้งแรกในปี 2565 แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของทั้งสององค์กรเพื่อขับเคลื่อนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันและพัฒนานวัตกรรมให้สอดรับกับวิสัยทัศน์ Thailand 4.0 ของประเทศไทย

หัวใจสำคัญการต่อยอดความร่วมมือเป็นพันธมิตร คือ การเดินหน้าจัดตั้งห้องปฏิบัติการด้านนวัตกรรมและประสบการณ์ 5G (หรือ 5GIX Studio) ซึ่งตั้งอยู่ใน Thailand Digital Valley จังหวัดชลบุรี โดยออกแบบให้เป็นศูนย์ทดสอบและศูนย์บริการ โดยห้องปฏิบัติการแห่งนี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์ทดสอบเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายและเครือข่ายรุ่นใหม่ การแบ่งปันคลื่นความถี่ (Spectrum Sharing) และการพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ ๆ ที่ปรับแต่งให้เหมาะสมกับเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเติบโตของประเทศไทย

ตั้งแต่ก่อตั้ง 5GIX Studio ขึ้นมา มีพันธมิตรในระบบนิเวศเทคโนโลยีหลากหลายร่วมมือกันพัฒนาและทดสอบแอปพลิเคชัน 5G เชิงนวัตกรรม รวมถึงหุ่นยนต์ เครื่องจักรอัตโนมัติ และโซลูชันกล้องรักษาความปลอดภัยขั้นสูง

ข้อมูลจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม คาดว่าภายในปี 2570 ตลาด 5G ระดับองค์กรของประเทศไทยจะมีมูลค่าสูงกว่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยได้รับแรงหนุนมาจากความต้องการในภาคการผลิต โลจิสติกส์ พลังงาน และการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ และคาดการณ์ว่าภายในปีหน้า องค์กรไทยกว่า 70% จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้

มร.อันเดอร์ส เรียน ประธานบริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “อีริคสันมุ่งมั่นสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยไปสู่การเป็นสังคมดิจิทัล ภายใต้วิสัยทัศน์ Thailand 4.0 ด้วยการใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญระดับโลกและโซลูชัน 5G ขั้นสูง ที่มีความปลอดภัย และมีความยืดหยุ่น เรามุ่งหวังที่จะช่วยสร้างระบบนิเวศ 5G ที่แข็งแกร่งและครอบคลุมทั้งประเทศ และส่งเสริมการลงทุนเพิ่มเติมในประเทศไทย”

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ดีป้า กล่าวเสริมว่า “อีริคสันเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในภารกิจของเราเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย เราจะทำงานร่วมกันกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมเพื่อพัฒนากลยุทธ์ที่เดินไปข้างหน้าและส่งเสริมนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ”

มร. Per Linnér รักษาการเอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย กล่าวถึงความสัมพันธ์ทางการค้าและการร่วมพัฒนานวัตกรรมที่เติบโตมาอย่างยาวนานระหว่างสวีเดนและประเทศไทย โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างสองประเทศเพื่อส่งเสริมการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน

“เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สวีเดนและประเทศไทยได้ยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคีของเราไปสู่พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ข้อตกลงสำคัญนี้ได้รับการลงนามโดยรัฐมนตรีต่างประเทศของทั้งสองประเทศ และกำหนดเป้าหมายร่วมกันในการเสริมสร้างความร่วมมือในประเด็นสำคัญ อาทิ การพัฒนาที่ยั่งยืน การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด การป้องกันประเทศ นวัตกรรม และที่สำคัญคือ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้” มร. Linnér กล่าว

“สวีเดนและประเทศไทยจะร่วมมือกันในด้านโทรคมนาคม โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญรวมถึง 5G และห่วงโซ่อุปทานที่มีความยืดหยุ่นและน่าเชื่อถือ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ รวมถึงการปกป้องอินเทอร์เน็ตที่เปิดกว้างอย่างเสรี เชื่อมต่อกันทั่วโลก ให้มีความปลอดภัย การลงนาม MoU ระหว่างอีริคสันและดีป้าถือเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของวิธีการแปลงวิสัยทัศน์นี้ไปสู่การปฏิบัติจริง” เขากล่าวเสริม

ความร่วมมือนี้ยังครอบคลุมการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล การสรรหาแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด และการพัฒนากลยุทธ์ด้านนวัตกรรม โดยองค์กรทั้งสองจะร่วมกันสำรวจเทคโนโลยีเกิดใหม่และยูสเคสการใช้งานผ่านแพลตฟอร์ม 5GIX พร้อมสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลของประเทศไทย

อีริคสันเป็นผู้นำเครือข่าย 5G ระดับโลกและเปิดให้บริการเครือข่าย 5G ไปแล้วจำนวน 187 เครือข่ายทั่วโลก บริษัทยังได้รับการยอมรับในฐานะผู้นำอุตสาหกรรม โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ติดอันดับหนึ่งเป็นปีที่สองติดต่อกันในรายงาน Frost Radar™: Global 5G Network Infrastructure Market และบริษัทฯ ยังได้รับการจัดอันดับสูงสุดในรายงาน Omdia Market Landscape RAN Vendors ประจำปี 2568 ที่เผยแพร่ไปเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งการได้รับการยอมรับเหล่านี้เป็นการตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำของอีริคสันทั้งในด้านประสิทธิภาพและผลงานทางธุรกิจ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นขององค์กรต่อการพัฒนานวัตกรรมและความเป็นเลิศในภาคอุตสาหกรรม

Bosch and Alibaba Group Deepen Strategic Partnership to Advance AI-powered Digital Innovation

Bosch และ Alibaba Group กระชับความร่วมมือทางกลยุทธ์ เพื่อพัฒนานวัตกรรมทางดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วย AI

Bosch and Alibaba Group Deepen Strategic Partnership to Advance AI-powered Digital Innovation

  • Alibaba cloud to dedicate its global capabilities to support Bosch’s technology stack
  • Both intend to deepen collaboration in leveraging Alibaba’s AI strength to facilitate Bosch’s business innovations, such as smart cockpit
  • Bosch to expand its e-commerce presence in Southeast Asia, Spain, and Latin America through Alibaba’s global platforms

Bosch, a leading global supplier of technology and services, and Alibaba Group, a global technology company focused on e-commerce and cloud computing, today announced an expanded strategic partnership to accelerate digital transformation through advanced cloud computing and AI technologies. The enhanced collaboration will focus on cloud-based enterprise operations, AI-driven business innovations, and e-commerce expansion.

“Our partnership opens up exciting opportunities for both Bosch and Alibaba to expand our offerings in the global market,” said Dr. Tanja Rückert, member of the Bosch board of management and Chief Digital Officer. “By joining forces, we combine Alibaba’s advanced cloud infrastructure, AI capabilities and e-commerce market reach with Bosch’s deep technological expertise in mobility, industrial technology and consumer goods to drive greater efficiency and innovation worldwide. AI has been an innovation booster for Bosch across all business sectors, and cooperation with strong partners like Alibaba is essential for Bosch to realizing its full potential and creating greater value.”

“This partnership with Bosch demonstrates our commitment to empowering global businesses with world-class technologies and highlights Alibaba’s strengths in AI and cloud computing,” said Joe Tsai, Chairman of Alibaba Group. “Bosch’s leading expertise in advanced automotive solutions and household appliances, combined with Alibaba’s innovations in cloud, AI and e-commerce, will enable both our companies to bring compelling value propositions to customers worldwide.”

Powering Innovation through Cloud Services and AI

The expanded partnership – focusing on cloud migration and AI cooperation- marks a significant step further in bolstering Bosch’s digital operations and fostering industrial innovation. As part of Bosch Group ’s cloud hyperscalers strategy, the collaboration between the two companies covers multiple business areas, such as corporate operations, home appliances and commercial vehicles, to enhance operational efficiency and enable smarter business processes. In addition, the two companies intend to collaborate on exploring the potential of running Bosch’s intelligent driving environment on Alibaba Cloud’s AI infrastructure.

The partnership will leverage Alibaba’s AI capabilities to support Bosch’s businesses, boosting operational efficiency and enhancing product intelligence. In the automotive sector, for instance, the two companies plan to evaluate Qwen-based multimodal models to elevate the smart cockpit experience with more intuitive in-vehicle interactions. The two companies also intend to explore the possibility of development of next-generation automated driving solutions powered by Qwen’s visual language model to enhance scene recognition accuracy.

Driving Global E-commerce Growth

As a key pillar of the expanded partnership, Bosch and Alibaba will further drive growth and innovation in e-commerce through expanded product portfolio, enhanced customer engagement, and optimized brand experience. In 2025, Bosch plans to launch new product categories in China with consumer insights from Alibaba’s e-commerce platform. Alibaba will also support Bosch in reaching a broader consumer base in China through comprehensive omni-channel digital marketing. 

Based on the framework of collaboration in China, Bosch will extend its e-commerce footprint to Southeast Asia, Spain, and Latin America through Alibaba’s global e-commerce platforms including Lazada, Miravia and AliExpress, to better serve local consumers with innovative, high-quality products.

Bosch and Alibaba’s collaboration in e-commerce began in 2017. Bosch has since established a strong presence on Alibaba’s Tmall platform, offering a wide range of consumer-focused products, including home appliances, power tools, heating systems, and automotive aftermarket parts. Joint efforts across marketing, sales, membership programs and online-to-offline services have significantly strengthened Bosch’s digital ecosystem and customer engagement in China.