Nutanix เปิดตัว Cloud Native AOS ขยายการใช้งาน Data Platform ขององค์กรไปยัง Kubernetes ใดก็ได้

Nutanix เปิดตัว Cloud Native AOS ขยายการใช้งาน Data Platform ขององค์กรไปยัง Kubernetes ใดก็ได้

Nutanix เปิดตัว Cloud Native AOSขยายการใช้งาน Data Platform ขององค์กรไปยัง Kubernetes ใดก็ได้

โซลูชันใหม่นี้ช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สร้าง cloud-native applications ที่เคลื่อนย้ายได้อย่างแท้จริงได้อย่างง่ายดาย มาพร้อมความแข็งแกร่งของข้อมูลที่สำคัญต่อการทำงาน ไม่ว่าจะอยู่บนสภาพแวดล้อมใดก็ตาม

ณ งาน .NEXT Conference ซึ่งเป็นงานประจำปีของนูทานิคซ์ (NASDAQ: NTNX) ผู้นำด้านไฮบริดมัลติคลาวด์คอมพิวติ้ง นูทานิคซ์ประกาศเปิดตัวโซลูชัน Cloud Native AOS ซึ่งเป็นการขยายบริการด้านสตอเรจสำหรับองค์กรและบริการด้านข้อมูลที่ล้ำสมัยของนูทานิคซ์ ไปยังบริการ Kubernetes® ของผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ และ ขยายไปยังสภาพแวดล้อม cloud-native bare-metal โดยไม่ต้องพึ่งพาไฮเปอร์ไวเซอร์

การที่ข้อมูลมีการกระจายมากขึ้น ทำให้ผู้ใช้งานต่างมองหาวิธีการที่สอดคล้องกันเพื่อใช้ปกป้อง ทำสำเนาข้อมูล และกู้คืนข้อมูลบนโครงสร้างพื้นฐาน Kubernetes ได้ ทั้งที่อยู่ในศูนย์ข้อมูล, bare-metal edge และไฮเปอร์สเกลบนคลาวด์ต่าง ๆ แต่สิ่งที่ขาดหายไป คือ แพลตฟอร์มข้อมูล (data platform) ที่ควรจะใช้ร่วมกันได้ไม่ว่าจะทำงานบนโครงสร้างพื้นฐานที่เป็น bare-metal, virtualized หรือ containerized ก็ตาม

Cloud Native AOS ช่วยต่อจิ๊กซอร์ที่ขาดหายไปนี้ให้สมบูรณ์ ด้วยบริการสตอเรจและข้อมูลที่สามารถทำงานตรงไปยังโครงสร้างพื้นฐาน cloud-native ได้ทุกที่ ไม่ว่าจะอยู่บนคลาวด์หรือบน bare-metal โซลูชันใหม่นี้ช่วยให้ผู้ใช้รวมศูนย์การบริหารจัดการสตอเรจของ distributed hybrid cloud ไว้ด้วยกัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ไฮเปอร์ไวเซอร์

โซลูชันใหม่ช่วยให้การจัดการและบำรุงรักษาระบบอย่างชาญฉลาด (day two intelligent operations) ให้กับแอปพลิเคชัน Kubernetes และข้อมูลของแอปพลิเคชันเหล่านั้นทำได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะใช้งานอยู่ที่ใดก็ตาม Cloud Native AOS ขยายการใช้ซอฟต์แวร์ AOS ที่แข็งแกร่งและได้รับการพิสูจน์ประสิทธิภาพแล้วของนูทานิคซ์ ซึ่งเป็นแกนหลักของแพลตฟอร์มสำหรับข้อมูล, Platform-as-a-Service และ AI ขยายไปยังคลัสเตอร์ stateful, native Kubernetes ต่าง ๆ บนสภาพแวดล้อมคลาวด์ และ bare-metal

นายโทมัส คอร์เนลลี รองประธานอาวุโส ฝ่ายจัดการผลิตภัณฑ์ นูทานิคซ์ กล่าวว่า “นูทานิคซ์ได้สร้างแพลตฟอร์มครบวงจรที่รองรับโครงสร้างพื้นฐานระดับองค์กร ด้วยบริการข้อมูลขั้นสูงต่าง ๆ ในศูนย์ข้อมูลแบบเวอร์ชวลมาแล้ว และขณะนี้เรากำลังขยายให้ผู้ใช้โครงสร้างพื้นฐาน cloud-native บนบริการ Kubernetes ที่อยู่บนพับลิคคลาวด์ต่าง ๆ และ bare metal สามารถเข้าใช้แพลตฟอร์มของเราได้ ซึ่งเป็นการมอบความแข็งแกร่ง, การจัดการและบำรุงรักษาระบบ (day 2 operations) รวมถึงความปลอดภัยให้กับองค์กร”

คุณประโยชน์สำคัญรวมถึง

  • ความแข็งแกร่งที่พร้อมใช้กับแอปพลิเคชันใดก็ได้ – Cloud Native AOS ช่วยให้โครงสร้างพื้นฐาน Kubernetes มีความแข็งแกร่งรัดกุมด้วยการปกป้อง containerized applications และข้อมูลของแอปฯ นั้น ๆ ด้วยความสามารถในการกู้คืนระบบที่ผสานรวมระหว่าง availability zones, คลาวด์ และ ระบบภายในองค์กร (on-premises)
  • คลาวด์-เนทีฟ โมบิลิตี้ – ลูกค้าสามารถสร้างและใช้ cloud-native applications ด้วยการโยกย้ายแอปพลิเคชันและข้อมูลให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดทั่วทั้งไซต์ได้อย่างราบรื่น ซึ่งรวมถึงความสามารถในการย้ายแอปพลิเคชันกลับไปยังสภาพแวดล้อมคอนเทนเนอร์ที่อยู่ใน on-premises
  • การจัดการข้อมูลแบบบูรณาการ – โซลูชันนี้ช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ใช้ Kubernetes APIs เพื่อให้การทำงานเป็นไปโดยอัตโนมัติ และมอบความสามารถในการควบคุมทุกแง่มุมของการจัดการข้อมูลที่ใช้กับแอปพลิเคชันของตนได้แบบ self-service

นายอิสเซ่ ซูรุโซโน เจ้าหน้าที่องค์กรและหัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีของ Networld กล่าวว่า “Networld ให้ความสำคัญกับ container application runtime platforms ต่าง ๆ  การใช้ Cloud Native AOS ไม่เพียงช่วยให้เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนย้ายแอปพลิเคชันและสามารถจัดการการจัดเก็บข้อมูลบน cloud availability zone และ region ต่าง ๆ ได้เท่านั้น แต่ยังช่วยให้สามารถโยกย้ายข้อมูลและกู้คืนระบบได้อย่างสะดวกรวดเร็ว รวมถึงสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่อยู่ภายใน on-premises เราคาดหวังว่าผลิตภัณฑ์นี้จะเป็นแนวทางใหม่ให้กับ containerized applications ต่าง ๆ นอกจากนี้ เรายังวางแผนที่จะให้การสนับสนุนนี้แก่พันธมิตรในประเทศญี่ปุ่นของเราด้วย”

นายมานเฟรด พิชล์บาวเออร์ ที่ปรึกษาด้านไอทีของ Bacher Systems กล่าวว่า “เราได้รับประสบการณ์ยอดเยี่ยมจากการเข้าร่วมโปรแกรม Early Access ของ Cloud Native AOS  แพลตฟอร์ม Cloud Native AOS ได้กำหนดมาตรฐานใหม่ด้านความเร็ว ความสามารถในการปรับขนาด และความเชื่อถือได้ ทั้งยังได้ออกแบบมาเพื่อรองรับเวิร์กโหลดที่รับงานค่อนข้างหนัก ช่วยให้องค์กรเดินหน้าได้เร็วขึ้น จัดเก็บข้อมูลได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น และปรับขนาดการทำงานได้อย่างง่ายดาย เป็นการปลดล็อกสู่การได้รับประสิทธิภาพระดับใหม่ที่สูงขึ้น”

Cloud Native AOS ปัจจุบันอยู่ในช่วง early access บน Amazon EKS และจะเปิดให้ใช้งานทั่วไป (general available) ในช่วงไตรมาสที่ 3 นี้ และคาดว่าการเข้าใช้แบบ early access กับสภาพแวดล้อม on-premises containerized บน bare-metal servers จะพร้อมใช้ภายในสิ้นปีนี้

ศึกษาข้อมูลทางเทคนิคเกี่ยวกับ Cloud Native AOS ได้ที่ technical blog

ส่องโอกาสทองคนซื้อบ้านปี 68 วางแผนเลือกบ้านใหม่อย่างไรให้คุ้มค่า

ส่องโอกาสทองคนซื้อบ้านปี 68 วางแผนเลือกบ้านใหม่อย่างไรให้คุ้มค่า

ส่องโอกาสทองคนซื้อบ้านปี 68 วางแผนเลือกบ้านใหม่อย่างไรให้คุ้มค่า

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 ถือเป็นปีแห่งการปรับตัวทั้งในฝั่งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ แม้จะมีความท้าทายแต่ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าสนใจ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยข้อมูลเชิงลึกจากผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.DDproperty.com ในเดือนเมษายน 2568 สะท้อนเทรนด์ความต้องการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคชาวไทย พบว่า จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ในเดือนเมษายนเพิ่มขึ้น 7% จากเดือนก่อนหน้า (MoM) และเพิ่มขึ้นถึง 25% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แม้ว่าจะเพิ่งผ่านเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเมียนมาและเกิดแรงสั่นสะเทือนที่รับรู้ได้ในไทยเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ พบว่าความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมลดลง 14% MoM เนื่องจากผู้บริโภคกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาคารสูงเมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหว ส่งผลให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบได้รับอานิสงส์ โดยความต้องการซื้อบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น 8% MoM และทาวน์โฮมเพิ่มขึ้น 6% MoM 

ทั้งนี้ ความต้องการซื้อส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท มีสัดส่วนถึง 46% แต่ระดับราคาที่มีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่ ระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% MoM

ขณะที่ความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 23% MoM โดยเพิ่มขึ้นทุกรูปแบบที่อยู่อาศัย ทาวน์โฮมเพิ่มขึ้นมากที่สุด 31% MoM ตามมาด้วยคอนโดฯ เพิ่มขึ้น 23% MoM และบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้น 11% MoM 

ส่วนระดับค่าเช่าส่วนใหญ่อยู่ที่ 10,000-20,000 บาท/เดือน มีสัดส่วน 36% โดยระดับค่าเช่าที่มีความต้องการเช่าเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ มากกว่า 30,000 บาท/เดือน เพิ่มขึ้น 28% MoM สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยยังคงเติบโต เป็นโอกาสของผู้ประกอบการที่จะทำโปรโมชั่นดึงดูดทั้งกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่เองและนักลงทุน

ส่องปัจจัยบวกสร้างโอกาสทองให้ผู้ซื้อบ้านปี 68 

ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2568 กำลังฉายแสงแห่งโอกาสให้กับคนหาบ้านอีกครั้ง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการอสังหาฯ ของภาครัฐ ประกอบกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นโอกาสทองของผู้ที่มีความพร้อมทางการเงินในการซื้อที่อยู่อาศัย โดยมี 3 ปัจจัยบวกที่น่าสนใจ ดังนี้

  1. มาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ แรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาด ภาคอสังหาฯ ยังคงเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ผ่านมาตรการที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อให้คนหาบ้านเป็นเจ้าของที่อาศัยได้ง่ายขึ้น ดังนี้
  • มาตรการลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์เหลือ 01% (จากปกติ 2%) และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาฯ อันเนื่องมาจากการจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวในคราวเดียวกัน เหลือ 0.01% (จากปกติ 1%) สำหรับราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 7 ล้านบาท มีผลใช้บังคับไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569 
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผ่อนคลายเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-Value: LTV) เป็นการชั่วคราว โดยกำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันเป็น 100% สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ทั้งกรณี (1) มูลค่าหลักประกันต่ำกว่า 10 ล้านบาท ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 2 เป็นต้นไป และ (2) มูลค่าหลักประกันตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 1 เป็นต้นไป สำหรับสัญญาเงินกู้ที่ทำสัญญาตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569
  • สินเชื่อที่อยู่อาศัยดอกเบี้ยต่ำจากสถาบันการเงินของรัฐ ประกอบด้วย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.), ธนาคารออมสิน และการเคหะแห่งชาติ ที่ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์สินเชื่อบ้านที่มีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ หรือมีเงื่อนไขผ่อนปรนอื่น ๆ เช่น ระยะเวลาผ่อนชำระที่ยาวนานขึ้น วงเงินกู้ที่สูงขึ้น หรือการผ่อนปรนหลักเกณฑ์ในการพิจารณาสินเชื่อ ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคได้เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในราคาที่เอื้อมถึง
  • โครงการบ้านเพื่อคนไทย เน้นการพัฒนาที่อยู่อาศัยราคาประหยัด (Affordable Housing) ในพื้นที่ศักยภาพที่ใกล้ระบบขนส่งมวลชน ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถเช่าซื้อได้ในระยะเวลา 99 ปี โดยมีอัตราผ่อนเริ่มต้นประมาณ 4,000 บาท/เดือน ระยะเวลาผ่อนชำระ 30-50 ปี และยังมีการสนับสนุนสินเชื่อจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ 5%
  1. อัตราดอกเบี้ยลดลงต่อเนื่อง แบ่งเบาภาระคนผ่อนบ้าน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องจนมาอยู่ที่ 75% ต่อปี (ประกาศ ณ วันที่ 30 เมษายน 2568) ถือเป็นสัญญาณบวกสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อบ้าน เนื่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มปรับตัวลดลงตามไปด้วย และช่วยลดภาระการผ่อนชำระหนี้ในแต่ละงวด ทำให้ผู้ซื้อมีสภาพคล่องทางการเงินมากขึ้นและสามารถนำเงินส่วนต่างไปใช้จ่ายอื่น ๆ ได้
  2. ผู้พัฒนาอสังหาฯ จัดเต็มโปรโมชั่นสุดคุ้ม บริษัทผู้พัฒนาอสังหาฯ ต่างแข่งขันนำเสนอโปรโมชั่นที่หลากหลายเพื่อกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการมอบส่วนลดพิเศษ ฟรีค่าส่วนกลาง ของแถมต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งโปรโมชั่นช่วยผ่อนดาวน์ และการเช่าออมบ้านเพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ผู้พัฒนาอสังหาฯ ยังได้จับมือกับธนาคารเพื่อนำเสนอโปรโมชั่นสินเชื่อที่มาพร้อมอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ในราคาที่คุ้มค่า และช่วยลดค่าใช้จ่ายบางส่วนอีกด้วย

ยกระดับความพร้อมกับ 5 ขั้นตอนวางแผนซื้อบ้านใหม่อย่างคุ้มค่า

ท่ามกลางปัจจัยบวกที่เอื้อต่อการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคต้องไม่ลืมว่าหัวใจสำคัญของการซื้อที่อยู่อาศัยนั้นยังคงอยู่ที่การวางแผนและเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้าน ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) ขอแนะนำ 5 ขั้นตอนยกระดับความพร้อมเพื่อวางแผนซื้อบ้านใหม่ ช่วยให้คนหาบ้านเริ่มต้นก้าวแรกในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้อย่างมั่นใจและคุ้มค่าในช่วงโอกาสทอง

  1. เลือกที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมกับรายได้ การวางแผนซื้อบ้านอย่างเป็นระบบถือเป็นก้าวสำคัญในเส้นทางอสังหาฯ ผู้บริโภคควรเลือกบ้าน/คอนโดฯ ในฝันที่เหมาะสมกับสถานภาพทางการเงินเป็นหลัก โดยนำรายรับหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วในแต่ละเดือนมาคำนวณวงเงินกู้สูงสุดที่คาดว่าจะได้รับ เพื่อหางบประมาณที่เหมาะสมในการซื้อที่อยู่อาศัย จากนั้นจึงพิจารณาความต้องการและไลฟ์สไตล์ของสมาชิกในครอบครัวเพื่อเลือกประเภทที่อยู่อาศัยและทำเลที่ตอบโจทย์
  2. เรียนรู้การสร้างรากฐานทางการเงินที่มั่นคง การบริหารจัดการแผนการเงินอย่างเป็นระบบจะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเตรียมความพร้อมเพื่อซื้อบ้าน/คอนโดฯ ได้มีประสิทธิภาพ เนื่องจากอสังหาฯ ถือเป็นทรัพย์สินที่มีราคาสูงและผ่อนชำระยาวนาน จึงจำเป็นต้องมีแผนการเงินที่รอบคอบเพื่อช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาทางการเงินในอนาคต โดยผู้บริโภคควรเก็บออมเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้านทั้งในส่วนเงินดาวน์และค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ทั้งนี้ ผู้กู้ควรมีรายจ่ายไม่เกิน 40% ของรายได้ รวมไปถึงมีการออมเงินเพื่อเป็นกองทุนสำรองในกรณีฉุกเฉิน โดยควรตั้งเป้าหมายในการออมเงินสำรองให้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่าย 3-6 เดือน ก่อนที่จะซื้อที่อยู่อาศัย
  3. เครดิตการเงินดี มีชัยไปกว่าครึ่ง ประวัติการเงินที่ดีถือเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ได้รับการอนุมัติสินเชื่อง่ายขึ้น เนื่องจากเป็นตัวบ่งชี้ถึงความน่าเชื่อถือและความสามารถในการชำระหนี้ โดยผู้บริโภคควรเริ่มสร้างประวัติทางการเงินที่ดีโดยชำระหนี้ต่าง ๆ ให้ตรงเวลา และพยายามลดภาระหนี้ที่ไม่จำเป็นให้ได้มากที่สุด เพื่อเพิ่มความสามารถในการผ่อนชำระหนี้และลดความเสี่ยงในการถูกปฏิเสธสินเชื่อ โดยธนาคารส่วนใหญ่จะพิจารณาความสามารถในการจ่ายชำระหนี้คืนได้ตามระยะเวลาที่กำหนด ประกอบกับอัตราส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio: DSR) รวมถึงความมั่นคงของรายได้ที่ผู้กู้จะนำมาชำระหนี้ในอนาคต เพื่อประเมินความเสี่ยงทางการเงินก่อนพิจารณาอนุมัติสินเชื่อตามหลักเกณฑ์ของธนาคารต่อไป
  4. เช็กให้ชัวร์ก่อนยื่นกู้ด้วย “Pre-approve” การทำ “Pre-approve สินเชื่อบ้าน” หรือการยื่นประเมินสินเชื่อที่อยู่อาศัยในเบื้องต้นกับธนาคาร เป็นการขอตรวจสอบสถานภาพทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งจะพิจารณาจากราคาขายที่อยู่อาศัยที่ผู้ขอสินเชื่อแจ้งไว้ ประกอบกับรายได้-รายจ่าย รวมทั้งเครดิตหรือความน่าเชื่อถือในการชำระหนี้ หากทำ Pre-approve ผ่าน หมายความว่าผู้บริโภคมีโอกาสที่จะขอสินเชื่อผ่านสูง แต่ถ้าผลไม่ผ่านก็ยังไม่ควรที่จะซื้อในเวลานี้ นอกจากนี้ ข้อดีของการทำ Pre-approve คือทำให้ผู้บริโภคทราบว่ามีความสามารถเพียงพอที่จะขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยในวงเงินประมาณนี้หรือไม่ ช่วยให้สามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้นในการวางแผนขอวงเงินสินเชื่อและการเลือกธนาคาร หรือหาก Pre-approve ไม่ผ่าน ก็ช่วยให้ทราบว่าต้องปรับปรุงส่วนใดเพื่อเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ และนำไปแก้ไขก่อนยื่นกู้จริงในอนาคต
  5. เปรียบเทียบโปรโมชั่นเด็ด คว้าดีลที่ดีที่สุด ในสภาวะที่ตลาดมีการแข่งขันสูง บริษัทผู้พัฒนาอสังหาฯ ต่างแข่งขันนำเสนอโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้าและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ ดังนั้น ผู้บริโภคจึงควรติดตามโปรโมชั่นของโครงการต่าง ๆ ตั้งแต่เริ่มวางแผนซื้อเพื่อไม่ให้พลาดข้อเสนอที่ดีที่สุด โดยเฉพาะโครงการที่ร่วมมือกับธนาคารต่าง ๆ ให้ดอกเบี้ยอัตราพิเศษซึ่งจะมีระยะเวลาโปรโมชั่นเพียงชั่วคราว จากนั้นจึงนำมาเปรียบเทียบว่าโปรโมชั่นจากโครงการใดที่คุ้มค่าและตอบโจทย์ได้ครอบคลุมมากที่สุดทั้งด้านการเงิน ทำเล และไลฟ์สไตล์ ทั้งนี้ ผู้บริโภคควรทำความเข้าใจเงื่อนไขและรายละเอียดของโปรโมชั่นต่าง ๆ อย่างละเอียด หากมีข้อสงสัยควรสอบถามพนักงานก่อนตัดสินใจ เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดในภายหลัง

ปัจจัยบวกในตลาดอสังหาฯ ปี 2568 ยังคงดึงดูดให้ผู้บริโภคที่มีความพร้อมทางการเงินมองเห็นโอกาสทองในการซื้อบ้าน/คอนโดฯ ทั้งเพื่ออยู่อาศัยเองและเพื่อลงทุน แน่นอนว่าการเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้านทั้งการวางแผนทางการเงิน การสร้างเครดิตที่ดี การศึกษาข้อมูลโครงการ และการพิจารณาโปรโมชั่นอย่างรอบคอบ ล้วนเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยต่อเติมให้การมีบ้านในฝันของทุกคนเป็นจริงได้ในเร็ววัน ทั้งนี้ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (https://www.ddproperty.com) ได้รวบรวมข้อมูลโปรโมชั่นที่น่าสนใจจากผู้พัฒนาอสังหาฯ ชั้นนำของไทย มาพร้อมข้อมูลประกาศซื้อ/ขาย/เช่าในหลากหลายทำเลทั่วประเทศ รวมทั้งอัปเดตข่าวสารความรู้ที่เป็นประโยชน์ในการซื้อ/ขาย/เช่า เพื่อให้ทุกคนเตรียมความพร้อมก่อนเลือกที่อยู่อาศัยในฝันได้อย่างมั่นใจและราบรื่นยิ่งขึ้น

Kyndryl and Microsoft Study: Most Thai Businesses Not Considering Environmental Impact When Implementing AI Solutions

คินดริล และ ไมโครซอฟท์ เผยผลการศึกษา พบธุรกิจไทยส่วนใหญ่ใช้ AI แต่ยังไม่ได้พิจารณาถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง

Kyndryl and Microsoft Study: Most Thai Businesses Not Considering Environmental Impact When Implementing AI Solutions

  • Study highlights organizations’ ability to integrate sustainability initiatives into their corporate strategies, programs, and technology implementations
  • Almost half of Thai businesses (48%) use AI for emissions monitoring
  • Only 18% use IT for both internal footprint reduction and broader environmental goals

Kyndryl (NYSE: KD), the world’s largest IT infrastructure services provider, recently released the second Global Sustainability Barometer study, commissioned by Microsoft. The study, conducted by Ecosystm, shows that most (82%) of Thai businesses don’t consider the environmental impact of their artificial intelligence (AI) solutions. The research also shows that while 32% of companies in Thailand have increased their sustainability goals and program execution year-on-year, only 18% use IT for both internal footprint reduction and broader environmental goals.

“Thailand is at a critical juncture in its sustainability journey. The Global Sustainability Barometer study provides valuable insights into how Thailand can accelerate its journey toward a more sustainable future,” said Kittipong Asawapichayon, Managing Director, Kyndryl Thailand. “This study highlights the crucial need for Thai businesses to not only embrace data-driven decision-making and leverage technology but also foster collaboration and actively engage their workforce in sustainability initiatives. Many organizations struggle to translate their good intentions into concrete actions. By harnessing the power of data, AI, and collaborative action, we can bridge this gap, optimize resource allocation, and drive meaningful progress towards our environmental and social goals.”

Areas of Opportunity for Thai Businesses

The study found that while Thai leaders see the value of sustainability, they need to improve how they turn goals into data-driven actions by using technology, especially AI. The study’s detailed analysis and deep insights can help organizations across Thailand strengthen their sustainability efforts. To maximize impact, consider these key principles:

  • Make sustainability a business priority and foster a culture of collective responsibility. In Thailand, legal and risk teams shape sustainability vision and goals, followed by procurement and operations. This aligns well with the goal of building a sustainable value chain. It’s crucial to create synergy across teams, including a fully involved finance and IT, for more efficient sustainability planning and execution.
  • Place technology in a central role. While 32% of organizations in Thailand have ramped up their sustainability efforts in the past year, companies should move beyond just reducing their IT environmental footprint and leverage technology to achieve broader sustainability goals, such as optimizing operations and supply chains (52% are already doing this) or using AI to drive efficiency gains (47%).
  • Use AI efficiently, considering its environmental footprint. While AI is a proven game changer for defining sustainability strategies, organizations need to be aware of its broader environmental impact. Almost half (48%) of Thai businesses use AI for environmental monitoring, the study highlights a critical gap in understanding AI’s environmental footprint. Organizations in the country must prioritize responsible AI practices by measuring and mitigating the environmental impact of their AI solutions.
  • Prioritize seamless data synergy and integration to enhance collaboration. The biggest challenge in adopting sustainability measures for 40% of organizations in Thailand is overcoming the difficulty of accessing data across siloed systems. Organizations in Thailand should invest in and streamline data flow across departments, enabling faster decision-making, greater visibility, and ensuring sustainability initiatives are backed by accurate, real-time data.

Matthew Sekol, a Sustainability Global Black Belt at Microsoft, added, “Companies can gain the insights needed to deliver on their commitments and drive resilience by integrating sustainability data with operational and financial data, and using traditional data analytics and robust AI tooling to reshape operational efficiencies and foster sustainable innovations.”

Kyndryl and Microsoft provide actionable strategies for organizations to measure infrastructure baseline emissions and optimize AI architectures, including AI and machine learning models to minimize energy use and reduce waste. The two companies work closely with organizations worldwide to ensure that technological advancements contribute positively to sustainability goals without compromising innovation.

“We are witnessing a growing number of ASEAN organizations, especially large corporations and conglomerates, prioritizing sustainability as a strategic imperative,” said Ullrich Loeffler, CEO & Co-Founder of Ecosystm. “AI is playing a pivotal role in these initiatives, enabling businesses to optimize resource consumption, reduce waste, and drive positive environmental impact. This trend is poised to ripple through the broader ASEAN market, fostering a collaborative ecosystem that will create a more sustainable and equitable future for generations to come.”

คินดริล และ ไมโครซอฟท์ เผยผลการศึกษา พบธุรกิจไทยส่วนใหญ่ใช้ AI แต่ยังไม่ได้พิจารณาถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง

คินดริล และ ไมโครซอฟท์ เผยผลการศึกษา พบธุรกิจไทยส่วนใหญ่ใช้ AI แต่ยังไม่ได้พิจารณาถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง

คินดริล และ ไมโครซอฟท์ เผยผลการศึกษา พบ ธุรกิจไทยส่วนใหญ่ใช้ AI แต่ยังไม่ได้พิจารณาถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง

  • ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าองค์กรมีความสามารถในการบูรณาการโครงการด้านความยั่งยืนเข้ากับกลยุทธ์ แผนงาน และการใช้เทคโนโลยีขององค์กร
  • เกือบ 48% ของธุรกิจไทย ใช้ AI ติดตามการปล่อยมลพิษ
  • มีเพียง 18% เท่านั้นที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในองค์กร และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง

คินดริล (Kyndryl – NYSE: KD) ผู้ให้บริการระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก เผยแพร่ผลการศึกษา Global Sustainability Barometer ครั้งที่สอง โดยการสนับสนุนจากไมโครซอฟท์ จัดทำโดย Ecosystm ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าธุรกิจส่วนใหญ่ในประเทศไทย (82%) ยังไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการใช้โซลูชัน AI นอกจากนี้ แม้ผลสำรวจพบว่า 32% ของบริษัทในประเทศไทยได้เพิ่มเป้าหมายและการดำเนินการด้านความยั่งยืนในแต่ละปี แต่มีเพียง 18% เท่านั้นที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) เพื่อลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในองค์กร และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง

นายกิตติพงษ์ อัศวพิชยนต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คินดริล ประเทศไทย กล่าวว่า “ประเทศไทยอยู่ ณ จุดเปลี่ยนสำคัญบนเส้นทางสู่ความยั่งยืน ผลการศึกษา Global Sustainability Barometer ทำให้เราได้เห็นข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณประโยชน์ว่า ประเทศไทยจะเร่งเดินสู่อนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้นได้อย่างไร การศึกษาครั้งนี้เน้นให้เห็นว่ามีความจำเป็นอย่างมากที่ธุรกิจไทยต้องไม่เพียงใช้เทคโนโลยี และใช้ข้อมูลเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเท่านั้น แต่ยังต้องส่งเสริมให้เกิดการทำงานร่วมกัน และกระตุ้นให้พนักงานขององค์กรมีส่วนร่วมในโครงการด้านความยั่งยืนอย่างแข็งขัน องค์กรหลายแห่งพยายามที่จะแปลงความตั้งใจและแนวคิดที่ดีต่าง ๆ ให้เป็นการกระทำที่เป็นรูปธรรม การใช้พลังของข้อมูล, AI และการทำงานร่วมกัน จะช่วยให้องค์กรสามารถเชื่อมช่องว่างนี้ สามารถจัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

โอกาสของธุรกิจไทย

การศึกษาพบว่า แม้ว่าผู้นำองค์กรธุรกิจไทยจะตระหนักถึงคุณค่าของความยั่งยืน แต่ยังจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI มาช่วยปรับปรุงวิธีการแปลงเป้าหมายต่าง ๆ ให้เป็นการกระทำที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การศึกษานี้ทำการวิเคราะห์อย่างละเอียดและมอบข้อมูลเชิงลึกที่สามารถช่วยให้การดำเนินงานด้านความยั่งยืนขององค์กรในประเทศไทยมีประสิทธิภาพมากขึ้น หลักการสำคัญต่อไปนี้จะช่วยให้องค์กรได้รับประโยชน์สูงสุด

  • จัดให้ความยั่งยืนเป็นหนึ่งในลำดับความสำคัญแรก ๆ ของธุรกิจ และส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งความรับผิดชอบร่วมกัน สำหรับประเทศไทย หน่วยงานสำคัญที่จะกำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายด้านความยั่งยืนคือทีมที่ดูแลด้านกฎหมายและความเสี่ยง รองลงมาคือทีมจัดซื้อจัดจ้าง และทีมปฏิบัติการ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการสร้างห่วงโซ่คุณค่าที่ยั่งยืน การสร้างให้เกิดการทำงานร่วมกันของทุกทีมเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงทีมการเงินและไอทีที่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อร่วมกันวางแผนด้านความยั่งยืนและลงมือทำอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ให้เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญ แม้ว่าในปีที่ผ่านมา 32% ขององค์กรไทยได้เพิ่มความพยายามด้านความยั่งยืนอย่างมาก แต่บริษัทต่าง ๆ ควรก้าวไปให้ไกลกว่าเพียงเรื่องของการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้ไอทีเพียงอย่างเดียว แต่ควรใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนในวงกว้างมากขึ้น เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและซัพพลายเชน (52% ทำแล้ว) หรือ การใช้ AI ช่วยให้ได้ประสิทธิผลมากขึ้น (47%)
  • ใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพ และคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้ AI แม้ว่า AI จะเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อการกำหนดกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน แต่องค์กรต่าง ๆ จำเป็นต้องตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในวงกว้างจากการใช้ AI แม้ธุรกิจไทยเกือบครึ่ง (48%) ใช้ AI ในการติดตามเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม แต่ผลการศึกษายังชี้ให้เห็นว่ามีช่องว่างสำคัญในการทำความเข้าในผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้ AI องค์กรต่าง ๆ ในประเทศไทยจึงต้องจัดให้ความสำคัญของการใช้ AI อย่างรับผิดชอบอยู่ในลำดับต้น ๆ ด้วยการวัดผลกระทบและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการใช้โซลูชัน AI ขององค์กรเอง
  • ให้ความสำคัญกับการบูรณาการและใช้ข้อมูลร่วมกันอย่างราบรื่น เพื่อเพิ่มความร่วมมือ 40% ขององค์กรไทยพบว่าความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดในการใช้มาตรการด้านความยั่งยืน คือ การเอาชนะความยากของการเข้าถึงข้อมูลข้ามระบบต่าง ๆ ที่แยกส่วนกัน องค์กรไทยควรลงทุนที่จะทำให้เกิดการไหลของข้อมูลระหว่างแผนกต่าง ๆ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเร็วในการตัดสินใจ ช่วยให้มองเห็นความเป็นไป ได้ชัดเจนมากขึ้น และทำให้มั่นใจได้ว่าโครงการด้านความยั่งยืนต่าง ๆ จะมีข้อมูลที่ถูกต้องแบบเรียลไทม์รองรับอยู่เบื้องหลัง

นายแมทธิว เซคอล ผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืนระดับโลก, ไมโครซอฟท์ กล่าวว่า “บริษัทต่าง ๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกที่จำเป็นในการขับเคลื่อนพันธกิจด้านความยั่งยืนและสร้างความยืดหยุ่นได้โดยบูรณาการข้อมูลความยั่งยืนเข้ากับข้อมูลการดำเนินงานและการเงิน และใช้การวิเคราะห์ข้อมูลแบบดั้งเดิมร่วมกับเครื่องมือ AI ที่มีประสิทธิภาพเพื่อปรับเปลี่ยนประสิทธิภาพการดำเนินงานและส่งเสริมนวัตกรรมที่ยั่งยืน”

คินดริลและไมโครซอฟท์ นำเสนอกลยุทธ์ที่ทำได้จริง เพื่อให้องค์กรวัดปริมาณการปล่อยมลพิษของโครงสร้างพื้นฐาน และปรับแต่งสถาปัตยกรรม AI ให้เหมาะสม รวมถึงโมเดล AI และ machine learning เพื่อลดการใช้พลังงานและลดปริมาณของเสียให้เหลือน้อยที่สุด คินดริลและไมโครซอฟท์ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับองค์กรทั่วโลกเพื่อให้มั่นใจว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมีส่วนสนับสนุนเชิงบวกต่อเป้าหมายด้านความยั่งยืนโดยปราศจากผลกระทบต่อการสร้างนวัตกรรม

นายอูลริช เลิฟเฟลอร์, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) และผู้ร่วมก่อตั้งของ Ecosystm กล่าวว่า “เรากำลังเห็นองค์กรในอาเซียนจำนวนมากขึ้น โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่และกลุ่มบริษัทต่าง ๆ จัดให้ความยั่งยืนเป็นกลยุทธ์สำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และ AI มีบทบาทสำคัญต่อความคิดริเริ่มด้านความยั่งยืนเหล่านี้ โดยช่วยให้ธุรกิจใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดของเสีย และสนับสนุนให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม ทิศทางนี้มีแนวโน้มจะส่งผลต่อตลาดอาเซียนในวงกว้าง เป็นการส่งเสริมระบบนิเวศแห่งความร่วมมือที่จะสร้างอนาคตที่มีความยั่งยืนและเท่าเทียมกันมากขึ้นให้กับคนรุ่นต่อไป”

Alibaba Introduces Open-Source Model for Video Creation and Editing

อาลีบาบา เปิด โอเพ่นซอร์สโมเดลสำหรับการรังสรรค์และตัดต่อวิดีโอ

Alibaba Introduces Open-Source Model for Video Creation and Editing

All-in-one AI model, Wan2.1-VACE, designed to transform the video creation industry

Alibaba has unveiled Wan 2.1-VACE (Video All-in-one Creation and Editing), its latest open-source model for video creation and editing. This innovative tool combines multiple video processing functions into a single model, to streamline the video creation process, boosting efficiency and productivity.

As part of Alibaba’s video generation large model – the Wan2.1 series – VACE is the first open-source model in the industry to provide a unified solution for various video generation and editing tasks.

Wan2.1-VACE supports video generation with multi-modal inputs spanning text, image, and video while offering creators comprehensive video editing capabilities. These editing features include referencing images or frames, video repainting, modifying selected areas of the video and spatio-temporal extension, all of which enable the flexible combination of various tasks to enhance creativity.

With this advanced tool, users can generate video containing specific interacting subjects based on image samples and bring static images to life by adding natural movement effects. They can also enjoy advanced video repainting functions such as pose transfer, motion control, depth control, and recolorization.

The model also supports adding, modification or deletion to selective specific areas of a video without affecting the surroundings. It also allows for the extension of video boundaries while intelligently filling in content to enrich the visual experience.

As an all-in-one AI model, Wan2.1-VACE delivers unparalleled versatility, enabling users to seamlessly combine multiple functions and unlock innovative potential. Users can turn a static image into video while controlling the movement of objects by specifying the motion trajectory. They can seamlessly replace characters or objects with specified references, animate referenced characters, control poses, and expand a vertical image horizontally to create a horizontal video while adding new elements through referencing.

Innovative Technologies

Wan2.1-VACE leverages several innovative technologies, to take into account the needs of different video editing tasks during construction and design. Its unified interface, called Video Condition Unit (VCU), supports unified processing of multimodal inputs such as text, images, video, and masks.

The model employs a Context Adapter structure that injects various task concepts using formalized representations of temporal and spatial dimensions. This innovative design enables it to flexibly manage a wide range of video synthesis tasks.

Thanks to advancements in model architecture, Wan2.1-VACE can be widely applied in the rapid production of social media short videos, content creation for advertising and marketing, post-production and special effects processing in film and television, and for educational training video generation.

Training video foundation models requires immense computing resources and vast amounts of high-quality training data. Open access helps lower the barrier for more businesses to leverage AI, enabling them to create high-quality visual content tailored to their needs, quickly and cost-effectively.

Alibaba is open-sourcing the Wan2.1-VACE model in two versions; a 14-billion(B)-parameter and a 1.3-billion(B)-parameter. The models are available to download for free on Hugging Face and GitHub, as well as Alibaba Cloud’s open-source community, ModelScope.

As one of the earliest major global tech companies to open source its self-developed large-scale AI models, Alibaba open sourced four Wan2.1 models in February 2025 and, last month, a video generation model that supports video creation with start and end frames. To date, the models have attracted over 3.3 million downloads on Hugging Face and ModelScope.