ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ความหวังปลดล็อกความเสมอภาค ในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของคู่รัก LGBTQIAN+

ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ความหวังปลดล็อกความเสมอภาค ในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของคู่รัก LGBTQIAN+

ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ความหวังปลดล็อกความเสมอภาค ในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของคู่รัก LGBTQIAN+

กลุ่ม LGBTQIAN+ (หรือกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ) เป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีศักยภาพในการใช้จ่าย อีกทั้งแนวโน้มการขยายตัวของประชากรกลุ่มนี้ จากการวิเคราะห์ของ GAY TIMES (โดยใช้ข้อมูลของ IPSOS และ UN Population ร่วมกัน) คาดว่าประชากร LGBTQIAN+ จะมีจำนวนถึง 1 พันล้านคนทั่วโลกภายในปี 2593 ขณะที่ข้อมูลจาก LGBT Capital ณ สิ้นปี 2562 ระบุว่าผู้บริโภคกลุ่ม LGBTQIAN+ มีอำนาจการใช้จ่ายรวมกันถึง 3.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ถือเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่น่าจับตามองอย่างมาก 

นอกจากนี้ในด้านความเท่าเทียม อ้างอิงจาก รายงาน “Brand Purpose in Asia” ของ BBDO Asia เผยมุมมองที่น่าสนใจว่าผู้บริโภคชาวไทยส่วนใหญ่ให้การยอมรับเรื่องของ LGBTQIAN+ อย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค เห็นได้จากการที่องค์กรภาคเอกชนมากมายได้ขับเคลื่อนนโยบายที่ตระหนักถึงกลุ่มพนักงานที่มีความหลากหลายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สังคมยังคงรอความชัดเจนในประเด็นการรับรองความเท่าเทียมทางเพศตามกฎหมาย

DDproperty-LGBTQIAN-00

ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม เปิดโอกาสให้คู่สมรส LGBTQIAN+ เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้อย่างไร 

ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฉบับ พ.ศ. … หรือ ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมเป็นร่างกฎหมายที่เปิดโอกาสให้บุคคลเพศเดียวกันสามารถสมรสกันได้ตามกฎหมาย พร้อมมีสิทธิในการสมรสไม่ต่างจากคู่สมรสชายหญิง โดยมีเนื้อหาที่ตอบโจทย์มากกว่าร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต ทั้งในเชิงหลักการและในเชิงปฏิบัติ อย่างไรก็ดี หลังจากคณะรัฐมนตรีและที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติรับร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมในวาระที่ 1 ในเดือนมิถุนายน 2565 ปัจจุบันยังรอพิจารณาวาระที่ 2-3 ต่อไป

นอกจากหลักการของ ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมจะสนับสนุนความเสมอภาคทางเพศให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นแล้ว หากมีการบังคับใช้เป็นกฎหมายในอนาคต จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยในหลากหลายบริบท รวมทั้งในตลาดอสังหาริมทรัพย์เช่นกัน ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย ชวนจับตาความน่าสนใจของร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม เมื่อผ่านเป็นกฎหมายแล้วจะช่วยคู่สมรส LGBTQIAN+ ให้เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยร่วมกันได้อย่างไรบ้าง 

    • เปิดโอกาสในการกู้ซื้ออสังหาฯ ร่วมกัน แม้ปัจจุบันบางธนาคารจะเปิดโอกาสให้คู่รักชาว LGBTQIAN+ สามารถกู้ร่วมซื้อบ้านได้เช่นเดียวกับคู่รักต่างเพศ หรือมีแคมเปญรองรับคู่รักกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศโดยเฉพาะแล้ว อย่างไรก็ตาม ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมจะทลายกรอบทางเพศลง เปิดทางให้คู่รักทุกเพศสามารถจดทะเบียนสมรสได้และมีสถานะทางกฎหมายเป็นคู่สมรส ซึ่งจะสามารถยื่นกู้ร่วมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยในนามคู่สมรส และมีกรรมสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยร่วมกันเช่นเดียวกับคู่สมรสชาย-หญิง 
    • มีสิทธิ์การจัดการทรัพย์สินหรือสินสมรสร่วมกัน ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมจะช่วยให้คู่สมรส LGBTQIAN+ มีสิทธิในการบริหารจัดการสินสมรสร่วมกันตามกฎหมาย ได้แก่ ทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส เช่น เงินเดือน โบนัส หรือทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยพินัยกรรมหรือการให้เป็นหนังสือโดยระบุว่าเป็นสินสมรส รวมทั้งทรัพย์สินที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว ในกรณีที่ผู้บริโภคมีการซื้อบ้าน/คอนโดมิเนียมตั้งแต่ตอนยังโสดจะถือว่าที่อยู่อาศัยนั้นเป็นสินส่วนตัว หากมีการจดทะเบียนสมรสในภายหลัง และต้องการเพิ่มชื่อคู่สมรสเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกัน จะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น ดังนี้
      • ค่าใช้จ่ายในการให้ 0.5% ของราคาประเมิน
      • ภาษีหัก ณ ที่จ่ายตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร ผู้ให้เปรียบเสมือนเป็นผู้ขายจึงต้องนำเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเฉพาะในส่วนที่ให้คู่สมรส
      • ค่าอากรแสตมป์ 0.5% ของราคาซื้อขาย แต่ต้องไม่ต่ำกว่าราคาประเมินที่ดิน โดยต้องครอบครองมากกว่า 5 ปีขึ้นไป หรือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเกิน 1 ปี หากไม่ตรงตามเกณฑ์นี้ จะเข้าข่ายต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตรา 3.3% ของราคาซื้อขายแทน

ในกรณีซื้อบ้าน/คอนโดฯ หลังจดทะเบียนสมรสแล้วจะถือว่าเป็นสินสมรส หากต้องการเพิ่มชื่อคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสเรียบร้อยแล้วเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อีกคน จะเสียค่าธรรมเนียมอยู่ที่ประมาณ 75 บาท หรือหากต้องการเพิ่มชื่อคู่สมรสในกรณีที่ต้องการเปลี่ยนจากการกู้เดี่ยวมาเป็นการกู้ร่วมนั้น ธนาคารจะนำรายได้และภาระหนี้ของคู่สมรสที่กู้ร่วมมาพิจารณาด้วยอีกครั้ง 

    • สิทธิในการรับมรดกจากคู่สมรส พระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558 เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากผู้ได้รับมรดกที่มีมูลค่าสุทธิรวมเกิน 100 ล้านบาท โดยทรัพย์สินมรดกที่จะต้องเสียภาษีมี 5 ประเภท ได้แก่ 1. อสังหาริมทรัพย์ 2. หลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 3. เงินฝากหรือเงินอื่นใดที่มีลักษณะอย่างเดียวกันซึ่งอยู่ในประเทศไทย 4. ยานพาหนะที่มีหลักฐานทางทะเบียน และ 5. ทรัพย์สินทางการเงินที่กำหนดเพิ่มขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกา 

อย่างไรก็ดี หากผู้ที่ได้รับมรดกเป็นคู่สมรสที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องของเจ้าของมรดกนั้น ๆ คู่สมรสจะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีมรดก ซึ่งร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมจะทำให้คู่สมรส LGBTQIAN+ ได้รับสิทธินี้เช่นกัน หรือหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตและไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ คู่สมรส LGBTQIAN+ ที่ยังมีชีวิตจะถือเป็นทายาทโดยธรรมอันมีสิทธิรับมรดกของคู่สมรสที่เสียชีวิตได้ตามกฎหมาย โดยไม่ต้องเสียภาษีมรดกเช่นกัน 

ส่องเทรนด์ที่อยู่อาศัยน่าจับตามองของชาว LGBTQIAN+

เนื่องในเดือนแห่งความภาคภูมิใจของกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ (Pride Month) ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) ชวนมาอัปเดตเทรนด์ที่อยู่อาศัยมาแรง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์วิถีชาว LGBTQIAN+ ที่น่าจับตามองในยุคนี้+

    • Pet Humanization รักสัตว์เลี้ยงเหมือนลูก ผลสำรวจตลาดธุรกิจสัตว์เลี้ยงในไทยของวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) เผยว่า 49% ของกลุ่มตัวอย่างนิยมเลี้ยงสัตว์เป็นลูก (Pet Parent) มากที่สุด โดยมีค่าใช้จ่ายในการดูแลเสมือนลูกเฉลี่ยอยู่ที่ 14,200 บาท/ตัว/ปี นอกจากนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ คาดการณ์ว่า ตลาดสัตว์เลี้ยงจะมีมูลค่าสูงถึง 66,748 ล้านบาทในปี 2569 เติบโตเฉลี่ยปีละ 8.4% ซึ่งเป็นปัจจัยบวกให้กับธุรกิจบริการดูแลสัตว์เลี้ยงด้วยเช่นกัน

สอดคล้องกับเทรนด์การใช้ชีวิตปัจจุบันที่คนไทยมีแนวโน้มครองตัวเป็นโสดมากขึ้น หรือแต่งงานแต่ไม่มีบุตร โดยเฉพาะในกลุ่ม LGBTQIAN+ ที่มักให้ความสนใจเลี้ยงสัตวเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนยามเหงา หรือดูแลอย่างดีเหมือนเป็นลูก ส่งผลให้มองหาโครงการที่อยู่อาศัยที่มาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบนี้มากขึ้น โดยบ้านหรือคอนโดฯ ไม่เพียงแต่ต้องอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้ แต่ควรมาพร้อมสวัสดิการและสิ่งอำนวยความสะดวกที่รองรับการดำเนินชีวิตของสัตว์เลี้ยงอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งด้วยวัสดุหรือเฟอร์นิเจอร์ที่ทนรอยขีดข่วน มีพื้นที่ออกกำลังกายหรือสระว่ายน้ำของสัตว์เลี้ยง ก่อสร้างด้วยผนังห้องที่ช่วยเก็บเสียง มีเครื่องฟอกอากาศกำจัดเชื้อโรค รวมไปถึงการตั้งอยู่ใกล้คลินิกหรือโรงพยาบาลสัตว์

    • พื้นที่ออกกำลังกายครบครัน เสริมสุขภาพกาย-ใจ อีกปัจจัยที่กลุ่ม LGBTQIAN+ ให้ความสำคัญคือการดูแลสุขภาพ โครงการที่อยู่อาศัยในฝันจึงต้องมาพร้อมพื้นที่ส่วนกลางรองรับการออกกำลังกายได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่กลางแจ้ง เช่น ลู่วิ่ง เลนปั่นจักรยาน สระว่ายน้ำ รวมทั้งห้องออกกำลังกายส่วนกลาง (Fitness Center) ที่มาพร้อมเครื่องออกกำลังกายที่ทันสมัย มีจำนวนอุปกรณ์เพียงพอรองรับการใช้งานได้อย่างครบครัน 

นอกจากนี้ การมีสระว่ายน้ำวารีบำบัด หรือมีเครื่องออกกำลังกายในน้ำยังถือเป็นเทรนด์การดูแลสุขภาพที่น่าจับตามอง เนื่องจากเป็นอีกทางเลือกในการลดความเสี่ยงของอาการบาดเจ็บจากการออกกำลังกายได้อีกด้วย ตอบโจทย์คนรักสุขภาพทุกเพศทุกวัย ขณะเดียวกัน ภายในพื้นที่ส่วนกลางควรมีสวนสาธารณะและพื้นที่สีเขียวเพียงพอ รองรับการพักผ่อนหย่อนใจ และทำกิจกรรมไลฟ์สไตล์สุขภาพต่าง ๆ สภาพแวดล้อมที่รายล้อมด้วยธรรมชาติจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพใจให้แข็งแรง และผ่อนคลายความเครียดได้เป็นอย่างดี 

    • เทรนด์ DINK ดันคู่รักไม่มีลูกมุ่งลงทุน ปัจจุบันเทรนด์ DINK (Double Income No Kid) กำลังได้รับความนิยมในไทย โดยเป็นแนวคิดของคู่รักรุ่นใหม่ที่ต่างทำงานทั้งคู่แต่ยังไม่มีลูก หรือวางแผนไม่มีลูก ซึ่งรวมทั้งคู่รักกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศด้วย ทำให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้มีรายได้สองทาง โดยไม่มีภาระในส่วนค่าเลี้ยงดูบุตร ส่งผลให้มีกำลังซื้อสูงและมีความสามารถในการใช้จ่ายเพื่อตัวเองมากขึ้นตามไปด้วย ขณะเดียวกันผู้บริโภคกลุ่ม DINK ก็มีโอกาสเก็บออมเงินได้มากกว่าคนทั่วไป จึงนิยมวางแผนบริหารการเงินให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์ด้วยการนำไปลงทุน ซึ่งการลงทุนอสังหาฯ ถือเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจในการสร้างผลตอบแทนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เนื่องจากมีความผันผวนน้อยกว่า และให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนประเภทอื่น ๆ โดยการลงทุนอสังหาฯ ที่น่าสนใจมีหลากหลายรูปแบบ ดังนี้
      • การลงทุนแบบเก็งกำไร เช่น การทำกำไรจากการขายใบจองคอนโดฯ เป็นการลงทุนระยะสั้นที่ใช้เงินลงทุนน้อย แต่ได้ผลตอบแทนเร็ว 
      • การลงทุนแบบปล่อยเช่ารายเดือน เหมาะกับนักลงทุนแบบเสือนอนกินที่มีเงินเก็บหรือมีเงินเย็นพร้อมในการลงทุน 
      • การลงทุนในกองทุนอสังหาฯ มีความเสี่ยงต่ำ สามารถลงทุนได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก แต่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอในระยะยาว 
      • การลงทุนรีโนเวท เป็นการซื้อบ้าน/คอนโดฯ มือสองมาตกแต่งใหม่ให้สวยงามแล้วขายต่อในราคาที่เพิ่มขึ้น

แม้ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมจะต้องรอการพิจารณาในวาระอื่น ๆ แต่ถือได้ว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่จะสร้างแรงกระเพื่อมที่สำคัญในสังคมไทยอีกครั้ง ปัจจุบันคู่รัก LGBTQIAN+ ที่ต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยสามารถศึกษาเงื่อนไขการกู้ร่วมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยในแคมเปญต่าง ๆ ของหลายธนาคารที่มีออกมารองรับได้เช่นกัน ทั้งนี้เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย อย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (www.ddproperty.com) ได้รวบรวมข้อมูลข่าวสารและเรื่องราวน่ารู้ในแวดวงอสังหาฯ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจก่อนเลือกที่อยู่อาศัยในฝัน พร้อมเป็นแหล่งรวมประกาศซื้อ-ขาย-เช่าที่อยู่อาศัยในหลากหลายทำเลทั่วประเทศ เพื่อให้ผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยสามารถศึกษาหาข้อมูลทุกเรื่องที่สนใจ เตรียมความพร้อมในทุกด้านก่อนเป็นเจ้าของบ้านได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

แอนท์กรุ๊ปเผยรายงานความยั่งยืนประจำปี 2565 พร้อมอัปเดตความคืบหน้าการดำเนินการตามกลยุทธ์ ESG

แอนท์กรุ๊ปเผยรายงานความยั่งยืนประจำปี 2565 พร้อมอัปเดตความคืบหน้าการดำเนินการตามกลยุทธ์ ESG

แอนท์กรุ๊ปเผยรายงานความยั่งยืนประจำปี 2565 พร้อมอัปเดตความคืบหน้าการดำเนินการตามกลยุทธ์ ESG

แอนท์กรุ๊ป (Ant Group) เผยแพร่รายงานความยั่งยืนประจำปี 2565 โดยให้ความสำคัญกับความคืบหน้าของกลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในปี 2565

แอนท์กรุ๊ปลงทุน 20.46 พันล้านหยวน (ประมาณ 2.89 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในการทำวิจัยและพัฒนา (R&D) ด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยีในปี 2565 ซึ่งลงทุนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของปี 2562 การลงทุนดังกล่าวถูกจัดสรรตามการสร้างนวัตกรรมสำคัญ เช่น ฐานข้อมูลแบบกระจายและโครงสร้างพื้นฐานการประมวลผล, บล็อกเชน, การประมวลผลความเป็นส่วนตัว, ความปลอดภัยของข้อมูลและเครือข่าย, กรีนคอมพิวติ้ง (Green Computing), และปัญญาประดิษฐ์ (AI)

“ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา เรามุ่งมั่นที่จะใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาของโลกที่ชุมชนต่าง ๆ ต้องเผชิญมาโดยตลอด เราเชื่อว่าการสร้างทั้งคุณค่าเชิงพาณิชย์และคุณค่าทางสังคมเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัท” เอริค จิง ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอของแอนท์กรุ๊ป เขียนคำปราศรัยในรายงาน

ant group sustainability report 2022

ตัวอย่างเช่น การให้ความสำคัญในหัวข้อการพัฒนาสู่การเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในรายงานความยั่งยืน การนำเทคโนโลยีกรีนคอมพิวติ้ง (Green Computing) มาใช้ของแอนท์กรุ๊ป โดยมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานของดาต้าเซ็นเตอร์ให้เหมาะสม และการฝึกโมเดล AI ช่วยลดความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ที่มีผลแผ่รังสีเท่ากันกับก๊าซเรือนกระจกถึง 62,127.53 ตัน (เท่ากับปริมาณก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์) การลดลงเหล่านี้มีผลกับดาต้าเซ็นเตอร์ในรูปแบบให้เช่าของแอนท์กรุ๊ปและทำให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนลดลงในห่วงโซ่มูลค่าปี 2565 ตามโร้ดแมปการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนของแอนท์กรุ๊ป บริษัทจะทำการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดของบริษัทให้เสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2568 ทั้งนี้ ในปี 2565 แอนท์กรุ๊ปประสบความสำเร็จในการดำเนินงานด้านความเป็นกลางทางคาร์บอนอีกครั้ง (ขอบเขตที่ 1 และ 2) เป็นปีที่สองติดต่อกัน ซึ่งเป็นอีกก้าวหนึ่งในการปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่จะบรรลุการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ทั้งขอบเขตที่ 1, 2 และ 3 ภายในปี 2573

แอนท์กรุ๊ปนำเสนอกรอบการประเมินผลและการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ (TCFD) เป็นครั้งแรกในรายงานความยั่งยืนปี 2565 ช่วยให้บริษัทสามารถระบุและจัดการความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ รายงานความยั่งยืนประจำปี 2565 ยังระบุพื้นฐานหลักของการปฏิบัติงานสำหรับประเด็นสำคัญที่ได้ระบุไว้ทั้งหมด และให้การรับรองโดยบุคคลที่สาม ตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพเหล่านี้จะช่วยให้บริษัทติดตามความคืบหน้า รักษาความสม่ำเสมอ ตรวจสอบและเปรียบเทียบสถิติด้านความยั่งยืนของบริษัทได้

“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราค่อย ๆ สำรวจเส้นทางการเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการปล่อยคาร์บอนต่ำซึ่งขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและแพลตฟอร์ม อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายสำคัญรออยู่ข้างหน้าก่อนที่เราจะบรรลุเป้าหมายคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2573 เราจำเป็นต้องทุ่มเทความพยายามและทรัพยากรให้มากขึ้น รวมทั้งทำแผนระยะยาว” อี้เจีย เป็ง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายความยั่งยืนของแอนท์กรุ๊ป ระบุไว้ในรายงาน “เรามุ่งมั่นที่จะบรรลุการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายในองค์กรของเราเอง และมีส่วนร่วมกับฐานผู้ใช้ที่กว้างขวาง รวมถึงเครือข่ายพันธมิตรของเราตลอดจนห่วงโซ่มูลค่าเพื่ออนาคตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม”

ในปี 2565 แอนท์กรุ๊ปและบริษัทในเครือเช่น MYbank ได้มีส่วนร่วมในการกำหนดและเผยแพร่ มาตรฐานการจัดอันดับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับเอสเอ็มอี (SMEs) ทั่วประเทศฉบับแรก ความร่วมมือดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถประเมินการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการสนับสนุนกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมของเอสเอ็มอี รวมทั้งเสนอสิ่งจูงใจ เช่น สินเชื่อสีเขียว (green loans) ภายในสิ้นปี 2565 MYbank จัดอันดับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในกลุ่มเอสเอ็มอีจำนวน 6.23 ล้านรายได้สำเร็จตามเกณฑ์สะสม นอกจากนี้ยังให้สินเชื่อสีเขียวแก่เอสเอ็มอี จำนวน 420,000 รายโดยมีอัตราดอกเบี้ยพิเศษเป็นสิ่งจูงใจ

ในปี 2565 แอนท์กรุ๊ปได้มอบหมายประเด็นสำคัญ 19 รายการซึ่งมีรายละเอียดอยู่ในรายงานความยั่งยืนให้กับผู้บริหารและผู้นำด้านธุรกิจซึ่งมีหน้าที่กำหนดวัตถุประสงค์ ผลลัพธ์หลักที่ต้องการ (OKRs) และวางแผนการดำเนินการในระยะสามปี ตัวอย่างเช่น การเติบโตอย่างทั่วถึงของธุรกิจเอสเอ็มอี บริษัทได้เปลี่ยนจากตัวชี้วัดแบบเดิม เช่น จำนวนผู้ใช้หรือจำนวนผู้ใช้รายวัน (DAU) ที่บริษัทอินเทอร์เน็ตมักใช้เป็นตัวชี้วัด หันไปมุ่งเน้นที่การปรับปรุงการเข้าถึงบริการสำหรับธุรกิจเอสเอ็มอีที่ก่อนหน้านี้ถูกลิดรอนโอกาสดังกล่าวด้วยวิธีการอื่น นอกจากนี้ยังใช้การลดต้นทุนการดำเนินงานและการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานเป็นตัวชี้วัดอีกด้วย

“เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าโอกาสการเติบโตของบริษัทในอนาคตมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับความสามารถในด้านการช่วยแก้ปัญหาสังคม” อี้เจีย เป็ง กล่าวเสริม “ดังนั้น การสร้างคุณค่าเชิงพาณิชย์และสังคมแบบบูรณาการจึงเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์ ESG ของเรา และช่วยให้เราสามารถระบุโอกาสทางนวัตกรรม และผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืนของเราในอนาคตได้”

ในประเด็นความเท่าเทียมทางดิจิทัล (Digital Inclusion) แอนท์กรุ๊ปและบริษัทในเครืออย่าง MYbank ได้ให้บริการด้านการชำระเงินและบริการทางการเงินแบบครอบคลุมแก่เอสเอ็มอีจำนวน 86 ล้านราย (รวมถึงผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็ก) ตามเกณฑ์สะสม ทำให้กระบวนการมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรลุเป้าหมายในการให้บริการเอสเอ็มอี 100 ล้านรายภายในปี 2573 โดยในปี 2565 ปริมาณการทำธุรกรรมเฉลี่ยผ่านมินิโปรแกรมของผู้ค้าบนแพลตฟอร์มอาลีเพย์เพิ่มขึ้น 49.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แอนท์กรุ๊ปช่วยสนับสนุนให้ลูกค้า 260 ล้านคนเข้าถึงบริการของพันธมิตรทั่วโลกได้ และยังทำให้เอสเอ็มอีเข้าร่วมการค้าระดับโลกได้ง่ายขึ้นผ่านการชำระเงินข้ามพรมแดนและบริการทางการเงินของบริษัท

ในปี 2565 แอนท์กรุ๊ปสนับสนุนความมุ่งมั่นที่จะกำกับดูแลกิจการด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการพิเศษ 2 ชุด ได้แก่ คณะกรรมการบริหารความเสี่ยงและคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค และคณะกรรมการการพัฒนาอย่างยั่งยืน ESG การแต่งตั้งคณะกรรมการเพิ่มช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างการกำกับดูแลของบริษัท โดยโอเพนส์แพลตฟอร์มของอาลีเพย์ได้ร่วมมือกับผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์อิสระ (ISV) เพื่อสร้างโซลูชันเฉพาะอุตสาหกรรมกว่า 400 รายการ ในการช่วยเหลือผู้ค้าจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ ให้เติบโตและได้ปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญของอุตสาหกรรม โดยโอเพนส์แพลตฟอร์มด้านดิจิทัลไฟแนนซ์ของแอนท์ (Ant Digital Finance) ได้ช่วยเหลือพันธมิตรในฝั่งสถาบันทางการเงินกว่า 150 รายในการให้บริการแก่ผู้ใช้ประมาณหนึ่งล้านคนต่อปี

ในปี 2565 แอนท์กรุ๊ปบริจาคเพื่อการกุศล 790 ล้านหยวน (ประมาณ 111.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ทำให้ยอดสะสมของการใช้จ่ายเพื่อการกุศลเป็น 2.7 พันล้านหยวน (ประมาณ 381.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ตั้งแต่ปี 2562 หนึ่งในหลาย ๆ โครงการ “ไซเบอร์ มู่หลาน” (Cyber Mulan) คือโปรแกรมที่ช่วยปลุกพลังในการพัฒนาความสามารถของผู้หญิงใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ การคุ้มครองขั้นพื้นฐาน การสนับสนุนการจ้างงานและอาชีพ และโอกาสในการเติบโตที่หลากหลาย โดยมอบกรมธรรม์ประกันภัย 3.75 ล้านฉบับแก่ผู้หญิงในพื้นที่ชนบท เสนอการฝึกอบรมงานและโอกาสการจ้างงานแบบดิจิทัลให้แก่ผู้หญิง 10,000 คน ขยายสินเชื่อปลอดดอกเบี้ยหรือดอกเบี้ยต่ำให้กับผู้ประกอบการสตรีกว่า 1 ล้านคน และสนับสนุนทีมฟุตบอลหญิงในชนบท 70 ทีม

ตั้งแต่ปี 2560 แอนท์กรุ๊ปได้เผยแพร่รายงานความยั่งยืนประจำปีตามมาตรฐานองค์การแห่งความริเริ่มว่าด้วยการรายงานสากล (Global Reporting Initiative) สามารถอ่านรายงานได้บนเว็บไซต์แอนท์กรุ๊ป (ขณะนี้มีให้บริการเฉพาะฉบับภาษาจีน ฉบับภาษาอังกฤษจะเผยแพร่ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า)

The risk of data blindness and how to solve it

ความเสี่ยงเกิดขึ้น เมื่อองค์กรมองไม่เห็นสถานะความเป็นไปของข้อมูล เราจะแก้ปัญหาอย่างไร

The risk of data blindness and how to solve it

ฮัน ชอน

Article by Han Chon, Managing Director, SEA-Taiwan-Hong Kong-South Korea, Nutanix

Companies’ and executives’ attitudes towards cloud infrastructure have drastically changed in the past five years. In 2018, most IT leaders expected that one day they would run all their businesses’ workloads exclusively in either a private or public cloud one day. 

Half a decade later, the fifth annual Nutanix global Enterprise Cloud Index (ECI) research report shows a very different reality where most enterprises now see the inevitability – and the benefits – of running workloads simultaneously across public clouds, on-premises and at the edge. According to the professionals surveyed, 60 percent of enterprises already use multiple IT environments, and this number is growing.  

Data security, flexibility and costs are among the many reasons businesses have decided a hybrid infrastructure is the best solution. Micro Leasing Public Company Limited, which provides used truck financing services in Thailand, is one example of this change. It started by using the Nutanix Cloud Platform to optimize its systems and is now considering adopting Nutanix’s hybrid multicloud solution to support the company’s growth and to take full advantage of the resiliency capabilities available by using public cloud. 

However, with the exponential growth of data generation, these new complex IT environments have also presented challenges for IT professionals. Data visibility has become one of the most critical issues for companies, and this year’s ECI research shows that the majority (60 percent) of executives don’t have complete visibility into where their company’s data resides.

Not knowing the location of all their data is a significant risk for organizations. When a company lacks data visibility, it becomes more vulnerable to security breaches, is potentially slower to respond to incidents, and is worse at recovering information. It can also fail to comply with regulations, which adds an additional set of issues to contend with. 

When it doesn’t know where some data is, a business might not apply all the necessary security measures, such as access controls, encryption, and monitoring, leaving it unprotected and vulnerable.

Poor visibility can also impact incident response, as the lack of information may affect the ability of a company to coordinate an attack reaction, potentially resulting in significant damage and longer recovery times. 

Another challenge is that when businesses lose even a small part of their data visibility, it becomes harder to implement adequate data redundancy and backup strategies. This can lead to data loss, no matter how it’s caused, be that a cyber-attack, system failure or natural disaster.

KTBST SEC, a securities service provider in Thailand, has found that using Nutanix quickly gives them visibility of their data and applications on a single screen. Nutanix also enables them to back up important data in seconds, ensuring they can provide smooth and seamless services to their customers. 

Companies must also comply with multiple data protection regulations and/or data sovereignty laws in different countries. If a company is unaware of where its data is stored, it can inadvertently violate these regulations, resulting in fines, legal consequences, and reputational damage.

In Indonesia, the Ministry of Home Affairs knew that it needed a platform that could handle every aspect of big data collection and management to increase performance and support the One Data Indonesia policy. It also needed to leverage effective big data technology to analyze the growing volume, velocity, and variety of data for the greatest insights to all municipalities.

As a result of the deployment of their regional governance information system, Sistem Informasi Pemerintahan Daerah (SIPD) on Nutanix for 542 municipalities across Indonesia, the Ministry of Home Affairs has improved performance and data accuracy by at least 50 percent, increased operational efficiency by at least 2x, while achieving at least 40 percent in cost savings and was able to onboard 99 percent of their target provinces in less than a year.

Enterprises can achieve this by combining technologies, software-defined infrastructure, and automation tools. By giving complete data visibility, organizations can improve their decision-making process and optimize their operations for better results, ultimately leading to increased efficiency, productivity, and profitability. With the help of these platforms, they can unlock new opportunities for growth and success in today’s highly competitive business landscape.

 

ความเสี่ยงเกิดขึ้น เมื่อองค์กรมองไม่เห็นสถานะความเป็นไปของข้อมูล เราจะแก้ปัญหาอย่างไร

ความเสี่ยงเกิดขึ้น เมื่อองค์กรมองไม่เห็นสถานะความเป็นไปของข้อมูล เราจะแก้ปัญหาอย่างไร

ความเสี่ยงเกิดขึ้น เมื่อองค์กรมองไม่เห็นสถานะความเป็นไปของข้อมูล เราจะแก้ปัญหาอย่างไร

ฮัน ชอน

บทความโดยฮัน ชอน กรรมการผู้จัดการประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้-ไต้หวัน-ฮ่องกง-เกาหลีใต้ นูทานิคซ์

ท่าทีของบริษัทและทัศนคติของผู้บริหารที่มีต่อโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ในปี 2561 ผู้นำด้านไอทีส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ว่า ไม่วันใดก็วันหนึ่งพวกเขาจะรันเวิร์กโหลดทางธุรกิจทั้งหมดอย่างเป็นการเฉพาะบนไพรเวทคลาวด์หรือพับลิคคลาวด์

ห้าปีต่อมา รายงาน Enterprise Cloud Index (ECI) ซึ่งเป็นการวิจัยระดับโลกประจำปีฉบับที่ห้าของนูทานิคซ์ ได้เผยให้เห็นถึงความจริงที่เกิดขึ้นซึ่งแตกต่างกันมากกับที่องค์กรส่วนใหญ่เคยคาดการณ์ไว้ ผลวิจัยระบุว่า องค์กรส่วนใหญ่เห็นว่า การรันเวิร์กโหลดบนพับลิคคลาวด์, ศูนย์ข้อมูลที่อยู่ภายในองค์กรและที่ edge พร้อม ๆ กัน เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และมีประโยชน์มาก ผลวิจัยระบุว่า 60 เปอร์เซ็นต์ขององค์กรที่ตอบแบบสำรวจ ใช้สภาพแวดล้อมไอทีหลากหลายประเภทอยู่แล้ว และจำนวนผู้ใช้ลักษณะนี้กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 

รายงานยังระบุว่า เหตุผลหลักจากหลาย ๆ เหตุผล ที่ธุรกิจใช้ตัดสินใจว่าโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮบริดเป็นโซลูชันที่ดีที่สุด คือเหตุผลด้านความปลอดภัยของข้อมูล ความยืดหยุ่น และค่าใช้จ่าย บริษัทไมโครลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งให้บริการสินเชื่อรถบรรทุกมือสองของไทย เป็นตัวอย่างหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยเริ่มจากการใช้คลาวด์แพลตฟอร์มของนูทานิคซ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบภายในองค์กร และกำลังพิจารณานำโซลูชันด้านไฮบริดมัลติคลาวด์ของนูทานิคซ์มาใช้เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัท เพื่อใช้ประโยชน์จากสมรรถนะด้านความยืดหยุ่นของพับลิคคลาวด์ได้เต็มประสิทธิภาพ

ความซับซ้อนของสภาพแวดล้อมไอทีลักษณะใหม่นี้ มาพร้อมกับการสร้างข้อมูลที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด จึงเป็นความท้าทายที่คนทำงานด้านไอทีต้องเผชิญ ความสามารถในการมองเห็นความเป็นไปของข้อมูลกลายเป็นหนึ่งในประเด็นร้อนที่สุดของบริษัทต่าง ๆ และผลวิจัย ECI ปีนี้ เผยให้เห็นว่าผู้บริหารส่วนใหญ่ (60 เปอร์เซ็นต์) ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างครบถ้วนว่าข้อมูลต่าง ๆ ของบริษัทจัดเก็บอยู่ที่ใด

การไม่รู้ว่าข้อมูลทั้งหมดขององค์กรอยู่ที่ใดเป็นความเสี่ยงอย่างมากต่อองค์กร เมื่อใดก็ตามที่บริษัทมองไม่เห็นความเป็นไปของข้อมูลอย่างครบถ้วน บริษัทจะเสี่ยงต่อการละเมิดและการรั่วไหลของข้อมูลมากขึ้น อาจตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ช้าลง และกู้คืนข้อมูลได้ยากขึ้น นอกจากนี้อาจไม่สามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบต่าง ๆ ซึ่งเป็นการเพิ่มประเด็นปัญหาให้ต้องแก้ไขมากขึ้น 

เมื่อไม่รู้ว่าข้อมูลอยู่ที่ใด อาจทำให้ธุรกิจขาดภาพรวมในการนำมาตรการด้านความปลอดภัยที่จำเป็น เช่น การควบคุมการเข้าถึงข้อมูล, การเข้ารหัส, และการติดตามตรวจสอบ มาใช้ได้อย่างครอบคลุม ทำให้ไม่มีการป้องกันอย่างรัดกุมและถูกโจมตีได้ง่าย

การมองไม่เห็นอย่างชัดเจนว่าข้อมูลอยู่ที่ใด อาจกระทบต่อประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ เพราะการขาดข้อมูลจะส่งผลต่อความสามารถของบริษัทในการประสานความร่วมมือเพื่อตอบโต้การโจมตีได้อย่างรอบด้าน ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากและต้องใช้เวลาในการกู้คืนระบบมากขึ้น

ความท้าทายอีกประการหนึ่งคือ เมื่อธุรกิจไม่สามารถมองเห็นข้อมูลของตนแม้เพียงส่วนเล็ก ๆ ก็ตาม จะทำให้การใช้กลยุทธ์ด้านการลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลและการสำรองข้อมูลทำได้ยากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลสูญหายจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น การโจมตีทางไซเบอร์ ระบบล่ม หรือจากภัยธรรมชาติ

KTBST SEC ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านหลักทรัพย์ในประเทศไทย พบว่าการใช้โซลูชันของนูทานิคซ์ ช่วยให้มองเห็นความเคลื่อนไหวของดาต้าและแอปพลิเคชันได้อย่ารวดเร็วบนหน้าจอเดียว นูทานิคซ์ยังช่วยให้สามาถสำรองข้อมูลสำคัญได้ภายในไม่กี่วินาที ทำให้มั่นใจในการบริการลูกค้าที่ราบรื่นต่อเนื่อง

นอกจากนี้ บริษัทต่าง ๆ ยังต้องปฏิบัติตามข้อบังคับด้านการคุ้มครองข้อมูลที่มีอยู่อย่างมากมาย และ/หรือต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยถิ่นที่อยู่ของข้อมูลที่ประเทศต่าง ๆ กำหนดไว้ ดังนั้นหากบริษัทใดบริษัทหนึ่งไม่รู้ว่าข้อมูลของตนถูกเก็บไว้ ณ ที่ใด บริษัทนั้นอาจละเมิดข้อบังคับต่าง ๆ โดยไม่ตั้งใจ ทำให้ต้องจ่ายค่าปรับ รับผลทางกฎหมาย และชื่อเสียงเสียหาย

ในประเทศอินโดนีเซีย กระทรวงมหาดไทยตระหนักว่าจำเป็นต้องมีแพลตฟอร์มที่สามารถการรวบรวมและการจัดการบิ๊กดาต้าในทุกแง่มุม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสนับสนุนนโยบาย One Data Indonesia นอกจากนี้ยังต้องใช้เทคโนโลยีด้านบิ๊กดาต้าที่มีประสิทธิภาพให้เป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์ปริมาณ ความเร็ว และความหลากหลายของข้อมูลที่กำลังเพิ่มขึ้น เพื่อใช้เป็นข้อมูลเชิงลึกให้กับเทศบาลทุกแห่ง

กระทรวงมหาดไทยของอินโดนีเซีย ได้ติดตั้งระบบข้อมูลการกำกับดูและระดับภูมิภาคที่เรียกว่า Sistem Informasi Pemerintahan Daerah (SIPD) ไว้บนนูทานิคซ์ เพื่อให้เทศบาล 542 แห่งทั่วประเทศได้ใช้ ซึ่งช่วยให้กระทรวงฯ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำของข้อมูลได้อย่างน้อย 50 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานได้อย่างน้อย 2 เท่า และประหยัดค่าใช้จ่ายได้อย่างน้อย 40 เปอร์เซ็นต์ และสามารถเข้าถึงจังหวัดเป้าหมายได้ 99 เปอร์เซ็นต์ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี

องค์กรจะมองเห็นสถานะและความเป็นไปของข้อมูลทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์ได้ ด้วยการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ โครงสร้างพื้นฐานที่ควบคุมการทำงานด้วยซอฟต์แวร์ และเครื่องมืออัตโนมัติต่าง ๆ มาผสานใช้งานร่วมกัน และเมื่อมองเห็นข้อมูลทั้งหมดก็จะสามารถปรับกระบวนการตัดสินใจต่าง ๆ และดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้ผลลัพธ์ดีขึ้น ซึ่งปลายทางก็คือเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพิ่มผลิตผล และสามารถทำกำไรได้มากขึ้น แพลตฟอร์มเหล่านี้ เปิดทางให้องค์กรพบโอกาสใหม่ ๆ ที่ใช้ขับเคลื่อนการเติบโตและประสบความสำเร็จในสนามธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน

 

Alibaba Cloud Integrates Tongyi Qianwen into AI Assistant to Enhance Productivity

Alibaba Cloud Tongyi Qianwen AI Assistant

Alibaba Cloud Integrates Tongyi Qianwen into AI Assistant to Enhance Productivity

Alibaba Cloud, the digital technology and intelligence backbone of Alibaba Group, announced that its large language model (LLM), Tongyi Qianwen, has been integrated into its  intelligent assistant named Tingwu. The assistant excels at converting speech and videos to text in real-time, aiming to enhance both personal and workplace productivity.

The recently launched LLM enables Tingwu to comprehend and analyze multimedia content with high levels of accuracy and efficiency, such as generating summary text from video and audio files, capturing key talking points for each speaker, and creating a timeline of multimedia files with a summary of each section.

The LLM-powered Tingwu, called “Tongyi Tingwu”, is now available for public beta testing. Tongyi Tingwu will also be integrated into DingTalk, Alibaba’s digital collaboration workplace and application development platform, supporting users’ AI demands at work. In addition to improving workplace efficiency, Tongyi Tingwu can also be used across various multimedia platforms, responding to the growing needs for faster and easier knowledge sharing in online education, training, interviews, livestreaming, podcasts, and short-form videos.

“We live at a time when a growing amount of video and audio content is being consumed in various formats every day. In line with this, Tongyi Tingwu aims to use the large language model to facilitate faster and better comprehension and easier sharing of multimedia content,” said Jingren Zhou, CTO of Alibaba Cloud Intelligence. “As we gradually integrate the Tongyi Qianwen model into our products and services, we hope users can reap the benefits from these compelling AI innovations for their work, study, play and interaction with each other.” 

By leveraging proprietary audio and video models developed by Alibaba’s research institute DAMO – including the self-developed speech recognition model Paraformer and speaker verification model CAM++, along with the newly-released LLM Tongyi Qianwen – Tingwu can transcribe video and audio files with higher accuracy while enabling numerous AI-powered features. Additional AI features offered by Tongyi Tingwu will be available later this year. These features include automatically compiling text answers to address user queries across audio/video files, generating a summary based on PowerPoint slides extracted from videos, and providing real-time translation between English and Chinese for multimedia content with Tingwu as a Chrome plugin. 

General public can access the upgraded AI-powered assistant online (tingwu.aliyun.com) starting from today to experience its capabilities through their Alibaba Cloud accounts and receive free transcription services as part of an open trial. 

Alibaba Cloud unveiled Tongyi Qianwen on April 11, which is scheduled to be integrated across Alibaba’s various businesses to improve the user experience in the near future. The company’s customers and developers will have access to the model to create customized AI features in a cost-effective manner, too. 

The cloud pioneer also launched the “Tongyi Qianwen Partnership Program,” aiming to co-create large language models tailored for different industries with partners across sectors, including petrochemicals, electricity, transportation, hospitality, enterprise services, telecommunications and finance.