อาลีบาบา คลาวด์ ขับเคลื่อนการเพิ่มประสิทธิภาพ AI ให้กับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในเอเชีย

อาลีบาบา คลาวด์ ขับเคลื่อนการเพิ่มประสิทธิภาพ AI ให้กับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในเอเชีย

อาลีบาบา คลาวด์ ขับเคลื่อนการเพิ่มประสิทธิภาพ AI ให้กับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในเอเชีย

  • ลูกค้าในแวดวงการพัฒนาเทคโนโลยี การสร้างสรรค์ภาพ การเดินทาง ความงามและการดูแลสุขภาพ นำโครงสร้างพื้นฐานและโซลูชัน AI ของอาลีบาบา คลาวด์ ไปใช้ทรานส์ฟอร์มประสบการณ์ในอุตสาหกรรมควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน
  • กลยุทธ์ “Cloud + AI” เร่งสร้างรายได้จากลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์และบริการ ส่งผลให้พับลิค คลาวด์เติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก และรายได้จากผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับ AI เติบโตแบบ YoY ด้วยตัวเลขสามหลัก เป็นไตรมาสที่ห้าติดต่อกัน

อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป เดินหน้าริเริ่มนวัตกรรมทางเทคโนโลยีให้กับอุตสาหกรรมหลากหลายอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นในแวดวงการพัฒนาเทคโนโลยี การสร้างสรรค์ภาพ การเดินทาง ไปจนถึงความงามและสุขภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการที่ไม่หยุดนิ่งของตลาดปัญญาประดิษฐ์ (AI)

กลยุทธ์การพัฒนา “Cloud + AI” ที่ทรงประสิทธิภาพ ส่งให้รายได้จากลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์และบริการเติบโตอย่างมาก ซึ่งรวมถึงบริการด้านพับลิคคลาวด์ที่เพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขสองหลัก และรายได้จากผลิตภัณฑ์ด้าน AI ที่เพิ่มขึ้นมากอย่างน่าทึ่งเป็นตัวเลขสามหลักเป็นไตรมาสที่ห้าติดต่อกัน อ้างอิงตามผลประกอบการไตรมาสล่าสุดซึ่งเป็นไตรมาสที่สองของปีงบประมาณที่สิ้นสุดไปเมื่อเดือนกันยายน 

ปีที่ผ่านมาองค์กรต่างนำโซลูชันคลาวด์ที่ล้ำสมัยของอาลีบาบา คลาวด์ ไปใช้กำหนดแนวทางใหม่ ๆ กลยุทธ์ด้านการดำเนินงานและส่งเสริมให้ลูกค้ามีส่วนร่วมมากขึ้น เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ อาลีบาบา คลาวด์เป็นเจ้าของไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่มีการเพิ่มประสิทธิภาพ ไปจนถึงซีรีส์ Qwen LLM และการวิเคราะห์ AI ขั้นสูง ล้วนมีความสำคัญมากกว่าแค่เป็นเครื่องมือในการดำเนินงานเท่านั้น แต่เป็นตัวเร่งให้การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลทำได้เร็วขึ้น ช่วยยกระดับประสบการณ์ลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานทั่วภูมิภาคเอเชีย

Selina Yuan ประธานด้านธุรกิจระหว่างประเทศของอาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า  “เราตื่นเต้นที่ได้เห็นว่า โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ทรงประสิทธิภาพและการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการด้าน AI ผ่านการทำงานร่วมกับพันธมิตรของเรา สามารถเสริมศักยภาพให้กับองค์กรต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ให้สามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในปี พ.ศ. 2567 ได้ ในฐานะผู้ให้บริการคลาวด์ระดับแนวหน้าในเอเชีย เรายังมุ่งมั่นช่วยลูกค้าของเราในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และเชื่อมโยงไปยังลูกค้าอย่างเหนียวแน่น ในขณะเดียวกันก็ทำงานร่วมกับพันธมิตรในระบบนิเวศของเรา เพื่อให้ธุรกิจทุกขนาดสามารถปลดล็อกและใช้ศักยภาพของ AI และคลาวด์ได้อย่างเต็มรูปแบบ”

สนับสนุนการสร้างสรรค์ LLMs ภาษาญี่ปุ่น

Lightblue สตาร์ทอัพจากมหาวิทยาลัยโตเกียว ผู้พัฒนาโซลูชันด้าน AI เช่น การวิเคราะห์ภาพและการประมวลผลภาษาธรรมชาติได้นำ Qwen ของอาลีบาบา คลาวด์ ไปใช้สนับสนุนการพัฒนา LLM ภาษาญี่ปุ่นของตน ทั้งนี้ Lightblue มีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ผู้ใช้ที่ไม่จำเป็นต้องมีทักษะเฉพาะด้าน AI หรือความรู้ทางเทคนิคสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จาก AI ได้ 

Lightblue ใช้สถาปัตยกรรมขั้นสูงและความสามารถด้านการฝึกอบรมของอาลีบาบา คลาวด์ เพิ่มประสิทธิภาพให้กับการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการด้านภาษาต่าง ๆ ที่ใช้ในเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะภาษาญี่ปุ่น บริษัทยังใช้โซลูชันคลาวด์อื่น ๆ ของอาลีบาบา คลาวด์ เช่น Elastic Compute Service, Server Load Balancer และ Object Storage Service ซึ่งเป็นบริการคลาวด์ที่ทรงประสิทธิภาพและปลอดภัย

ความร่วมมือนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของอาลีบาบา คลาวด์ ในการสนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ ให้บรรลุเป้าหมายเชิงนวัตกรรมของตน

Shunichi Taniguchi ผู้อำนวยการและนักวิจัยอาวุโสของ Lightblue กล่าวว่า “Qwen ตระกูลโมเดลด้านภาษาขนาดใหญ่ของอาลีบาบา คลาวด์ ได้รับการพิสูจน์ประสิทธิภาพแล้วว่าเป็นตัวเลือกที่มีลักษณะเปิดให้ทุกคนเข้าถึงได้ที่ดีที่สุดในการสนับสนุนภาษาญี่ปุ่น Qwen ช่วยปรับแต่ง LLM ของเราให้มีความแม่นยำเพิ่มขึ้นอย่างมาก ความร่วมมือนี้ช่วยยกระดับประสิทธิภาพโซลูชัน AI ต่าง ๆ และส่งเสริมภารกิจของเราในการทำให้เทคโนโลยีใช้งานง่ายและเข้าถึงผู้ใช้ในวงกว้างในเอเชียตะวันออก”

ปฏิวัติการจับภาพที่มีความยืดหยุ่นสูง

Pictureworks ผู้ให้บริการโซลูชันการถ่ายภาพเชิงนวัตกรรมในประเทศมาเลเซียใช้ AI และเทคโนโลยีคลาวด์ของอาลีบาบา คลาวด์ ปฏิวัติให้การบันทึกภาพ (image capture) มีความยืดหยุ่นและคุณภาพของภาพมีความละเอียดสูง

มีการนำความร่วมมือนี้ไปใช้ในสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำเจ็ดแห่งทั่วเอเชียอย่างประสบความสำเร็จ และยังมีโครงการอื่น ๆ กำลังจะตามมาอีก ทั้งนี้ Pictureworks สามารถผลิตภาพถ่ายมากกว่า 150,000 ภาพ ณ สวนสนุกที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งในฮ่องกง ด้วยการใช้เทคโนโลยีทรงประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยของอาลีบาบา คลาวด์ 

โซลูชันหลัก ๆ ที่อาลีบาบา คลาวด์ มีให้ได้แก่ Platform for Artificial Intelligence (PAI), Function Compute, และ Object Storage Services (OSS) ทั้งนี้ PAI ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับไลฟ์ไซเคิลของแมชชีนเลิร์นนิ่ง มีบริการด้านการจัดการการนำโมเดลแมชชีนเลิร์นนิ่งต่าง ๆ ไปใช้อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งช่วยให้ Pictureworks ปรับโมเดล AI ต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วตามต้องการในเวลาที่จำกัด

Sharon Tse ซีอีโอของ Pictureworks กล่าวว่า “เทคโนโลยีของอาลีบาบา คลาวด์ ได้เปลี่ยนโฉมวิธีการบันทึกภาพของเรา ความยืดหยุ่นที่เทคโนโลยีของอาลีบาบา คลาวด์ มีให้ ช่วยให้เราผลิตภาพคุณภาพสูงได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการตั้งค่าแบบเดิม ๆ เช่น กรีนสกรีน นวัตกรรมนี้ไม่เพียงช่วยให้งานของเรามีคุณภาพดีขึ้น แต่ยังช่วยมอบประสบการณ์ให้กับลูกค้าอย่างมากให้สามารถสร้างความทรงจำจากภาพถ่ายที่สมจริงและมีชีวิตชีวา”

เปลี่ยนประสบการณ์การเดินทางด้วยการลดค่าใช้จ่ายอย่างมีนัยสำคัญ

Atlas ผู้ให้บริการเทคโนโลยีการเดินทางแบบ B2B ที่ล้ำสมัยที่ตั้งอยู่ในประเทศสิงคโปร์ ใช้โครงสร้างพื้นฐานและความก้าวหน้าด้าน AI ของอาลีบาบา คลาวด์ รองรับผู้ขายแผนการเดินทางทั่วโลก และสายการบินราคาประหยัดได้อย่างหลากหลาย Atlas ใช้ LLM Qwen และ Model Studio platform ของอาลีบาบา คลาวด์ เพื่อสนับสนุนให้ดิจิทัลแชทบอทสามารถให้บริการลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน และสามารถตอบคำถามจากพันธมิตรเกี่ยวกับกระบวนการจองและทางเลือกในการชำระเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตั้งแต่เป็นพันธมิตรกับอาลีบาบา คลาวด์ เมื่อปี พ.ศ. 2564, Atlas สามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างน่าทึ่งถึง 45% ความร่วมมือนี้ได้ช่วยให้ Atlas พัฒนาตัวเองจากสตาร์ทอัพรายหนึ่งในสิงคโปร์ กลายเป็นผู้เล่นระดับแนวหน้าในอุตสาหกรรม และยังทรานส์ฟอร์มตลาดเที่ยวบินราคาประหยัดด้วยแพลตฟอร์มการเดินทางที่ล้ำสมัย

Mary Li ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Atlas กล่าวว่า “อาลีบาบา คลาวด์ มีบทบาทสำคัญต่อการขยายตัวอย่างรวดเร็วของ Atlas จากโครงสร้างพื้นฐานที่ปลอดภัยและขยายขนาดการทำงานได้ของอาลีบาบา คลาวด์ เราเริ่มสนใจอาลีบาบา คลาวด์ เนื่องจากมีอินเทอร์เฟซที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ใช้งานง่าย ความร่วมมือของเราขยายสู่ความร่วมมือด้าน AI ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าอย่างมาก”

โต้ตอบกับลูกค้าเกี่ยวกับการดูแลผิวพรรณอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

Drunk Elephant แบรนด์ชื่อดังด้านผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ Shiseido เข้าซื้อกิจการเมื่อปี พ.ศ. 2562 ใช้ Qwen-max โมเดลพื้นฐานล่าสุดของอาลีบาบา คลาวด์ และแชทบอทลูกค้าใหม่ที่ชื่อ DRUNKGPT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการโต้ตอบกับลูกค้าในประเทศจีน ผู้ช่วยด้านการดูแลผิวที่ใช้ AI นี้ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ตอบคำถามเกี่ยวกับคำแนะนำผลิตภัณฑ์และเคล็ดลับการดูแลผิวด้วยคำตอบที่เหมาะสมและเจาะจง ความร่วมมือนี้มีเป้าหมายเพื่อมอบประสบการณ์แบรนด์ที่สมบูรณ์แบบผ่านโอกาสการมีส่วนร่วมทางดิจิทัลใหม่ ๆ ให้กับลูกค้า

DRUNKGPT ได้รับการเทรนเพิ่มเติมเกี่ยวกับฐานข้อมูลความรู้ของแบรนด์ และเพิ่มประสิทธิภาพโดยใช้บริการด้าน AI ต่าง ๆ ของอาลีบาบา คลาวด์ ซึ่งรวมถึง Supervised Fine-Tuning (SFT), Retrieval Augmented Generation (RAG), vector recall, และ multi-agent framework เพื่อเพิ่มความแม่นยำและการตอบสนองที่ถูกทาง 

Andy Cai ผู้อำนวยการฝ่ายแบรนด์ของ Drunk Elephant China กล่าวว่า “เทคโนโลยี AI ที่ล้ำหน้าของอาลีบาบา คลาวด์ ช่วยให้เราสร้างประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวและตอบสนองได้ดีขึ้นให้กับลูกค้าของเรา เราตื่นเต้นกับศักยภาพของ DRUNKGPT ในการทรานส์ฟอร์มวิธีการที่ผู้บริโภคติดต่อกับแบรนด์ของเรา”

นักโภชนาการ AI ที่มาพร้อมคำแนะนำเฉพาะตัวบุคคล

Haleon China บริษัทด้านสุขภาพสำหรับผู้บริโภคที่มีชื่อเสียง ใช้ Owen ซึ่งเป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ของอาลีบาบา คลาวด์ ร่วมกับ เทคโนโลยี Retrieval-Augmented Generation (RAG) เพื่อเปิดตัวโซลูชัน AI ที่เป็นผู้ช่วยด้านโภชนาการเฉพาะทาง มีชื่อว่า iNutrition เพื่อให้บริการผู้บริโภคชาวจีนของบริษัท โดยผู้เชี่ยวชาญที่ขับเคลื่อนด้วย AI นี้สามารถตีความคำถามของผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำ และให้คำแนะนำด้านโภชนาการที่มีประโยชน์มาก ความสามารถนี้เป็นผลมาจากการบูรณาการความสามารถที่ทรงประสิทธิภาพของ Owen เข้ากับฐานความรู้ด้านโภชนาการที่เป็นข้อมูลภายในที่มีอยู่อย่างมากมายของ Haleon

Bing Liu หัวหน้าฝ่ายดิจิทัลและเทคโนโลยีของ Haleon Greater China กล่าวว่า “การบูรณาการ Qwen ซึ่งเป็นโมเดลขนาดใหญ่ของอาลีบาบา คลาวด์ เข้ากับฐานความรู้ภายในของ Haleon ที่สั่งสมมาหลายปี ช่วยให้เรามอบบริการแบบตัวต่อตัวให้กับผู้บริโภค นำเสนอคำแนะนำด้านโภชนาการและสุขภาพที่เหมาะกับสถานการณ์ของผู้บริโภคแต่ละรายได้มากขึ้น”

Ericsson Mobility Report: early movers pursue performance-based business models

Ericsson Mobility Report: early movers pursue performance-based business models

Ericsson Mobility Report: early movers pursue performance-based business models

  • Global mobile network data traffic projected to grow almost 200 percent between 2024 and the end of 2030
  • 6.3 billion global 5G subscriptions forecast by the end of 2030 – of which 60 percent are expected to be 5G SA
  • Report includes case studies from T-Mobile (U.S.A.), Elisa (Finland), and stc (KSA)

5G Standalone (5G SA) and 5G Advanced are expected to be key focuses for communications service providers (CSPs) for the remainder of the decade as they deploy new capabilities to create offerings centered on value delivery rather than data volume. The analysis is included among a wealth of statistical network insights in the November 2024 edition of the Ericsson (NASDAQ: ERIC) Mobility Report, which extends the forecast period until the end of 2030.

While the rate of mobile network traffic data growth is declining – estimated at 21 percent year-on year for 2024 – it is still expected to grow almost three-fold by the end of 2030 from present day numbers.

The report highlights how early-mover service providers are already offering value delivery models based on differentiated connectivity – guaranteed uninterrupted high-end connectivity when you need it most – to create new monetization and growth opportunities. Related case studies from T-Mobile in the U.S. and Elisa in Finland are included.

Fredrik Jejdling, Executive Vice President, Head of Business Area Networks, Ericsson, says: “Service differentiation and performance-based opportunities are crucial as our industry evolves. This is highlighted in the November 2024 Ericsson Mobility Report, which includes detailed analysis, statistical insights, and customer use cases. The shift towards high-performing programmable networks, enabled by openness and cloud, will empower service providers to offer and charge for services based on the value delivered, not merely data volume. This report offers valuable insights into what our industry can achieve and the steps necessary to get there.”

The report underlines the global potential for differentiated connectivity development by highlighting that, beyond China, 5G mid-band is currently only deployed at about 30 percent of sites globally.

Of about 320 CSPs currently offering commercial 5G services, less than 20 percent are 5G SA. The densification of mid-band and 5G SA sites is seen as a key catalyst to capitalize on the full potential of 5G, including programmable and intelligent network capabilities.

Almost 60 percent of the 6.3 billion global 5G subscriptions forecast by the end of 2030 are expected to be 5G Standalone (SA) subscriptions.

On global mobile data traffic, 5G networks are expected to carry about 80 percent of total mobile data traffic by the end of 2030 – compared to 34 percent by the end of 2024.

Fixed Wireless Access (FWA) continues to grow in popularity globally as the second largest 5G use case after enhanced Mobile Broadband (eMBB).

In four out of six regions, more than 80 percent of CSPs now offer FWA. The number of FWA service providers offering speed-based tariff plans – with downlink and uplink data parameters similar to cable or fiber offerings – has increased from 30 percent to 43 percent in the last year alone.

Western Europe has witnessed rapid growth in FWA speed-based offerings with 52 percent of CSPs in the region now doing so compared to 32 percent a year ago. Europe alone accounts for 73 percent of all 5G FWA launches globally in the past 12 months.

Of the 350 million projected global FWA connections by the end of 2030, almost 80 percent are forecast to be over 5G.

The report also addresses how AI, including Generative AI Applications – already integrated across smartphones, laptops, watches and FWA products – could impact uplink and downlink network traffic, driving potential mobile traffic growth beyond current baseline predictions.

Other featured report statistics include the projection that global 5G subscriptions are expected to reach almost 2.3 billion by the end of 2024, amounting to 25 percent of all global mobile subscriptions. 5G subscription numbers are expected to overtake the global number of 4G subscriptions during 2027.

The first 6G deployments are expected in 2030, building on and scaling the capabilities of 5G SA and 5G Advanced.

The 40-page report includes three case study articles:

  • T-Mobile takes network slicing from pilots to real-world scenarios (with T-Mobile in the U.S. About network slicing use cases.)
  • Premium FWA services enabled in Finland with 5G SA (with Elisa in Finland. About Elisa’s 5G SA FWA offering.)
  • A multi-New Radio (NR) carrier strategy for best performance (with stc in the Kingdom of Saudi Arabia (KSA).

Read the full November 2024 Ericsson Mobility Report via this link.

รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรกกำลังมุ่งสู่โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ

รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรกกำลังมุ่งสู่โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ

รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรกกำลังมุ่งสู่โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ

  • คาดการณ์ระหว่างปี 2024 จนถึงสิ้นปี 2030 ปริมาณการใช้ดาต้าเน็ตบนเครือข่ายมือถือทั่วโลกจะเติบโตเกือบ 200%
  • ในอีกหกปีข้างหน้า คาดว่าจะมีผู้ใช้บริการ 5G ทั่วโลกอยู่ที่ 6.3 พันล้านราย 60% เป็นผู้ใช้บริการ 5G Standalone (หรือ 5G SA)
  • รายงานฉบับนี้รวบรวมยูสเคสที่น่าสนใจจาก T-Mobile (สหรัฐอเมริกา), Elisa (ฟินแลนด์) และ stc (ซาอุดีอาระเบีย)

5G Standalone (5G SA) และ 5G Advanced ได้รับการคาดการณ์ว่าจะกลายเป็นเครือข่าย 5G ที่ผู้ให้บริการการสื่อสาร (CSPs) ให้ความสำคัญเป็นหลักตลอดช่วงทศวรรษที่เหลือจากนี้ เนื่องจากผู้ให้บริการต่างปรับใช้ความสามารถใหม่ ๆ เพื่อสร้างบริการที่เน้นการส่งมอบคุณค่ามากกว่าปริมาณดาต้าเน็ต โดยการวิเคราะห์นี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลเชิงสถิติด้านเครือข่ายในรายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2024 ซึ่งได้ขยายระยะเวลาการคาดการณ์ไปจนถึงสิ้นปี 2030

แม้อัตราการเติบโตของปริมาณการใช้ดาต้าเน็ตบนเครือข่ายมือถือจะลดลง โดยปีนี้ประเมินการเติบโตต่อปีอยู่ที่ 21% แต่คาดว่าภายในสิ้นปี 2030 จะยังเติบโตขึ้นเกือบสามเท่าจากตัวเลข ณ ปัจจุบัน

รายงานฉบับนี้ยังเผยให้เห็นว่าผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรก ๆ กำลังนำเสนอโมเดลการส่งมอบคุณค่าที่อยู่บนพื้นฐานของการเชื่อมต่อที่แตกต่าง (Differentiated Connectivity) เพื่อรับประกันว่าจะได้รับคุณภาพการเชื่อมต่อในระดับสูงในเวลาที่ต้องการใช้มากที่สุด พร้อมสร้างโอกาสการสร้างรายได้และการเติบโตใหม่ ๆ โดยมียูสเคสที่เกี่ยวข้องจากผู้ให้บริการอย่าง T-Mobile ในสหรัฐอเมริกา และ Elisa ในฟินแลนด์

เฟรดริก เจดลิง รองประธานผู้บริหารและหัวหน้าเครือข่ายของอีริคสันกล่าวว่า “การสร้างความแตกต่างในบริการและโอกาสที่เกิดขึ้นจากประสิทธิภาพนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งเมื่ออุตสาหกรรมของเรากำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โดยปัจจัยนี้ได้ถูกเน้นย้ำในรายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2024 ซึ่งรวมถึงการวิเคราะห์เชิงลึก ข้อมูลเชิงสถิติ และยูสเคสจากลูกค้า การเปลี่ยนผ่านไปสู่เครือข่ายที่มีประสิทธิภาพสูงและสามารถโปรแกรมได้ที่เปิดกว้างและทำงานบนคลาวด์จะช่วยผู้ให้บริการสามารถนำเสนอและคิดค่าบริการตามคุณค่าที่ส่งมอบได้ ไม่ใช่แค่ปริมาณดาต้าเน็ต โดยรายงานฉบับนี้ยังนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าเกี่ยวกับสิ่งที่อุตสาหกรรมของเราสามารถทำได้และขั้นตอนที่จำเป็นในการไปถึงเป้าหมายดังกล่าว”

รายงานยังชี้ให้เห็นถึงศักยภาพทั่วโลกสำหรับการพัฒนาการเชื่อมต่อที่แตกต่าง หรือ Differentiated Connectivity โดยย่านความถี่ 5G Mid-Band ได้ถูกนำไปใช้งานเพียงประมาณ 30% ของไซต์ทั้งหมดทั่วโลกนอกจีนแผ่นดินใหญ่

จากจำนวนผู้ให้บริการการสื่อสารประมาณ 320 รายที่เปิดให้บริการ 5G เชิงพาณิชย์ในปัจจุบัน น้อยกว่า 20% ที่เปิดให้บริการ 5G SA ซึ่งการเพิ่มความหนาแน่นของไซต์ย่านความถี่ขนาดกลางและ 5G SA ถือเป็นตัวเร่งสำคัญในการใช้ประโยชน์จากศักยภาพทั้งหมดของ 5G รวมถึงความสามารถด้านการโปรแกรมและความอัจฉริยะของเครือข่าย

ภายในสิ้นปี 2030 เกือบ 60% ของจำนวนผู้ใช้บริการ 5G ทั่วโลก 6.3 พันล้านราย จะเป็นผู้ใช้งาน 5G Standalone (SA)

สำหรับปริมาณการใช้ดาต้าเน็ตบนมือถือทั่วโลก คาดว่าภายในสิ้นปี 2030 เครือข่าย 5G จะรองรับการใช้ดาต้าเน็ตบนมือถือประมาณ 80% ของจำนวนดาต้าเน็ตบนมือถือทั้งหมด เทียบกับ 34% ณ สิ้นปี 2024

บริการ Fixed Wireless Access (FWA) ยังคงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยเป็นยูสเคส 5G ที่ใหญ่เป็นอันดับสอง รองจากบรอดแบนด์มือถือ (eMBB)

ในสี่จากหกภูมิภาค มากกว่า 80% ของผู้ให้บริการการสื่อสารเปิดให้บริการ FWA แล้ว โดยมีจำนวนผู้ให้บริการ FWA ที่นำเสนอแพ็กเกจตามความเร็ว ด้วยการใช้พารามิเตอร์การรับส่งข้อมูลที่คล้ายคลึงกับเคเบิลหรือไฟเบอร์ เพิ่มขึ้นจาก 30% เป็น 43% ในช่วงปีที่ผ่านมา

สำหรับยุโรปตะวันตกมีการเติบโตอย่างรวดเร็วของการเปิดให้บริการ FWA ที่อิงตามความเร็ว โดย 52% ของผู้ให้บริการในภูมิภาคนี้ได้เปิดให้บริการ FWA ไปแล้ว เทียบกับ 32% จากเมื่อปีก่อน และในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมานี้ ยุโรปคิดเป็น 73% ของยอดการเปิดตัว 5G FWA ทั้งหมดทั่วโลก

จากคาดการณ์ว่าในสิ้นปี 2030 จะมีปริมาณการเชื่อมต่อเครือข่าย FWA ทั่วโลกถึง 350 ล้านการเชื่อมต่อ ซึ่งเกือบ 80% จะเป็นการเชื่อมต่อผ่าน 5G

รายงานยังกล่าวถึง AI รวมถึงแอปพลิเคชัน Generative AI ที่ถูกผสานรวมไว้ในสมาร์ทโฟน แล็ปท็อป นาฬิกา และผลิตภัณฑ์ FWA ที่อาจส่งผลต่อการรับส่งข้อมูลในเครือข่าย ผลักดันการเติบโตของปริมาณการใช้ดาต้าเน็ตบนมือถือให้สูงเกินกว่าการคาดการณ์พื้นฐาน ณ ปัจจุบัน

สถิติสำคัญอื่น ๆ ในรายงานฉบับนี้ยังรวมถึงการคาดการณ์ว่าภายในสิ้นปี 2024 จะมียอดผู้ใช้บริการ 5G ทั่วโลกสูงเกือบ 2.3 พันล้านราย คิดเป็น 25% ของผู้ใช้บริการมือถือทั้งหมดทั่วโลก และคาดว่ายอดผู้ใช้บริการ 5G จะเติบโตแซงหน้าผู้ใช้ 4G ทั่วโลกในช่วงปี 2027

คาดว่าการนำเทคโนโลยี 6G มาปรับใช้ช่วงแรก จะเริ่มในปี 2030 โดยจะเน้นไปที่การต่อยอดและขยายความสามารถของ 5G SA และ 5G Advanced

รายงาน 40 หน้านี้ ยังประกอบด้วยบทความยูสเคส 3 เรื่องหลัก ได้แก่:

  • T-Mobile takes network slicing from pilots to real-world scenarios (with T-Mobile in the U.S. About network slicing use cases.)
  • Premium FWA services enabled in Finland with 5G SA (with Elisa in Finland. About Elisa’s 5G SA FWA offering.)
  • A multi-New Radio (NR) carrier strategy for best performance (with stc in the Kingdom of Saudi Arabia (KSA).

อ่านรายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับเต็ม เดือนพฤศจิกายน 2024 ได้ที่ลิงก์นี้

Alibaba Cloud Named a Leader in Public Cloud Platforms Report

อาลีบาบา คลาวด์ ได้รับการจัดให้เป็น Leader ในรายงานด้านพับลิคคลาวด์แพลตฟอร์ม

Alibaba Cloud Named a Leader in Public Cloud Platforms Report

Ranked the 2nd highest among nine global vendors evaluated by top global research firm in current offering and strategy categories

Alibaba Cloud, the digital technology and intelligence backbone of Alibaba Group, has been recently named a Leader in The Forrester Wave™: Public Cloud Platforms Q4 2024 report. Alibaba Cloud believes this designation recognizes its depth of its cloud and AI offerings and strategy, its significant global presence, as well as the ability to provide its global customers with a wide range of products and services. This is the first time Alibaba Cloud has been recognized as a Leader among other significant public cloud platform providers in this report.

Alibaba Cloud is named one of four leaders among nine global vendors evaluated in Forrester’s report, with the 2nd highest scores in the current offering and strategy categories. The report states that Alibaba Cloud showed its capacity for AI innovation with homegrown AI models, breadth of foundation model choices and model-as-a-service (MaaS) innovation. The report also states that the core infrastructure and model-as-a-service capabilities enable Alibaba Cloud to provide a major model repository for AI across China.

“Alibaba has upped the ante on serverless beyond AI, packaging its powerful cloud-native infrastructure into more accessible offerings for both developers and operators, with data and analytics as a stand out,” said Forrester in the report. “Alibaba is a good fit for Chinese-based enterprises or international corporations requiring cloud scale across APAC and parts of Africa, Europe, and Latin America,” the report added.

The Forrester report is a 30-criterion evaluation of the nine most significant public cloud platform providers. Each provider is evaluated on the strengths of their current offerings, strategy and market presence. Alibaba Cloud has achieved the highest possible assessment score (5.0 out of 5.0) in 17 criteria, including database, data integration and governance services, container and Kubernetes services, serverless/FaaS services, compute, IoT, storage services as well as AI development services.

“Expanding our cloud-native infrastructure and AI capabilities in the public cloud space to better support our clients is a top priority. We are honored to be recognized by Forrester for our efforts in this critical area,” said Jingren Zhou, Chief Technology Officer of Alibaba Cloud Intelligence. “To address the increasing demands of AI, we are dedicated to continuously enhancing our ability to provide accessible, scalable, and reliable cloud products and AI applications to our customers.”

At Apsara Conference 2024, Alibaba Cloud’s annual flagship event hosted in September, Alibaba Cloud unveiled a revamped full-stack infrastructure designed to meet the growing demands for robust AI computing. It also released over 100 of its newly-launched large language models, Qwen 2.5, to the global open-source community. Qwen, Alibaba Cloud’s proprietary large language model, has seen significant adoption since its introduction in April 2023. The Qwen models have been downloaded over 40 million times on open-source platforms such as Hugging Face and ModelScope, and have inspired the creation of more than 78,000 derivative models.

As a creator of the MaaS concept and an advocate of open source, Alibaba Cloud also build ModelScope, China’s biggest AI model community. It hosts over 10,000 models and serves more than 8 million developers.

On the global presence, Alibaba Cloud continues to expanding its global reach, currently operating 85 data centers in 28 regions globally. In May 2024, Alibaba Cloud announced its plan to launch its first cloud region in Mexico, and to establish additional data centers in its key markets including Malaysia, the Philippines, Thailand, and South Korea in the next three years.

อาลีบาบา คลาวด์ ได้รับการจัดให้เป็น Leader ในรายงานด้านพับลิคคลาวด์แพลตฟอร์ม

อาลีบาบา คลาวด์ ได้รับการจัดให้เป็น Leader ในรายงานด้านพับลิคคลาวด์แพลตฟอร์ม

อาลีบาบา คลาวด์ ได้รับการจัดให้เป็น Leader ในรายงานด้านพับลิคคลาวด์แพลตฟอร์ม

มีคะแนนสูงสุดเป็นอันดับ 2 ในประเภทการนำเสนอผลิตภัณฑ์/บริการและกลยุทธ์ในปัจจุบัน

อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป ได้รับการจัดให้เป็น Leader ในรายงาน The Forrester Wave™: Public Cloud Platforms Q4 2024  นับเป็นครั้งแรกที่อาลีบาบา คลาวด์ ได้รับการจัดอยู่ในระดับ Leader ในบรรดาผู้ให้บริการแพลตฟอร์มพับลิคคลาวด์รายใหญ่อื่น ๆ ในรายงานนี้ ซึ่งอาลีบาบา คลาวด์ เชื่อว่าการได้รับตำแหน่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับในความรู้ความสามารถที่เข้มข้นทั้งด้านกลยุทธ์และการนำเสนอผลิตภัณฑ์/บริการคลาวด์และ AI ของบริษัท, การดำเนินกิจการในระดับโลกที่ก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญ, ตลอดจนความสามารถในการให้บริการผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายแก่ลูกค้าทั่วโลก 

อาลีบาบา คลาวด์ ได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งในสี่ผู้นำจากผู้จำหน่ายเทคโนโลยีระดับโลกเก้าราย ที่ได้รับการประเมินในรายงานของ Forrester โดยมีคะแนนสูงสุดเป็นอันดับ 2 ในประเภทการนำเสนอผลิตภัณฑ์/บริการและกลยุทธ์ในปัจจุบัน รายงานระบุว่า อาลีบาบา คลาวด์ ได้แสดงให้เห็นความสามารถด้านนวัตกรรม AI ด้วยการสร้างสรรค์โมเดล AI ต่าง ๆ ด้วยตนเอง นำเสนอทางเลือกโมเดลที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน และ model-as-a-service (MaaS) ใหม่ ๆ ที่หลากหลาย รายงานยังระบุว่า โครงสร้างพื้นฐานหลักและความสามารถของ model-as-a-service ช่วยให้อาลีบาบา คลาวด์ จัดสรรพื้นที่เก็บโมเดลสำคัญ ๆ สำหรับการใช้ AI ได้ทั่วประเทศจีน

Forrester กล่าวในรายงานว่า “อาลีบาบา ได้เพิ่มขีดความสามารถด้าน serverless นอกเหนือจาก AI โดยแพ็ครวมโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์-เนทีฟที่ทรงพลังของบริษัท เข้ากับ ข้อเสนอด้านผลิตภัณฑ์/บริการที่ทั้งนักพัฒนาซอฟต์แวร์และผู้ปฏิบัติงานสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น ด้วยข้อมูลและการวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพสูง อาลีบาบาเหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในประเทศจีน หรือองค์กรในเอเชียแปซิฟิกทั้งหมดที่ต้องการใช้คลาวด์ที่ปรับขนาดได้ รวมถึงบางส่วนของแอฟริกา ยุโรป และลาตินอเมริกา”

รายงาน Forrester ทำการประเมินผู้ให้บริการแพลตฟอร์มพับลิคคลาวด์รายใหญ่ที่สุดเก้าราย โดยผู้ให้บริการแต่ละรายจะได้รับการประเมินจุดแข็งของข้อเสนอด้านผลิตภัณฑ์/บริการต่าง ๆ, กลยุทธ์ และ สถานะทางการตลาดในปัจจุบัน โดยอาลีบาบา คลาวด์ ได้รับคะแนนประเมินสูงสุด (5.0 จาก 5.0) ในเกณฑ์ 17 ข้อ เช่น ด้านฐานข้อมูล, บริการด้านการบูรณาการข้อมูลและการกำกับดูแล, บริการคอนเทนเนอร์และ Kubernetes, บริการ serverless/FaaS, การประมวลผล, IoT, บริการด้านสตอเรจ รวมถึง บริการด้านการพัฒนา AI 

นายจิงเหริน โจว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของอาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “สิ่งสำคัญสูงสุดของเรา คือ การขยายความสามารถด้านโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์-เนทีฟและ AI บนพับลิคคลาวด์ เพื่อให้การสนับสนุนลูกค้าของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ความทุ่มเทด้านนี้ของเราได้รับการยอมรับจาก Forrester และเพื่อตอบสนองความต้องการ AI ที่เพิ่มขึ้น เรามุ่งมั่นเพิ่มความสามารถอย่างต่อเนื่องเพื่อมอบผลิตภัณฑ์คลาวด์และแอปพลิเคชัน AI ที่เข้าถึงได้ ปรับขนาดได้ และเชื่อถือได้ให้ลูกค้าของเรา”

ณ งาน Apsara Conference 2024 ซึ่งเป็นงานประจำปีของอาลีบาบา คลาวด์ จัดขึ้นเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา อาลีบาบา คลาวด์ ได้เปิดตัวโครงสร้างพื้นฐานแบบฟูลสแตก (full-stack infrastructure) ที่ปรับโฉมใหม่ให้ตอบสนองความต้องการการประมวลผล AI ประสิทธิภาพสูง ที่เพิ่มขึ้น และเปิดตัว Qwen 2.5 โมเดลภาษาขนาดใหญ่ใหม่ที่มีมากกว่า 100 รายการสู่ชุมชนโอเพ่นซอร์สทั่วโลก Qwen เป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่เป็นเอกสิทธิ์ของอาลีบาบา คลาวด์ และมีการนำไปใช้อย่างกว้างขวางนับแต่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน 2566 โดยมีการดาวน์โหลดโมเดลต่าง ๆ ของ Qwen มากกว่า 40 ล้านครั้งบนแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์สต่าง ๆ เช่น Hugging Face และ ModelScope นอกจากนี้ Qwen ยังเป็นแรงบันดาลใจในการสร้าง derivative models มากกว่า 78,000 รายการ

ในฐานะผู้สร้างแนวคิด MaaS และผู้สนับสนุนโอเพ่นซอร์ส อาลีบาบา คลาวด์ ยังได้สร้าง ModelScope ซึ่งเป็นชุมชนด้าน AI model ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน โดยมีโมเดลมากกว่า 10,000 โมเดลโฮสต์อยู่บน ModelScope และให้บริการแก่นักพัฒนาซอฟต์แวร์มากกว่า 8 ล้านคน

 

ในส่วนของการดำเนินงานในระดับโลก อาลีบาบา คลาวด์ยังคงขยายการดำเนินงานทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทมีดาต้าเซ็นเตอร์ 85 แห่งใน 28 ภูมิภาคทั่วโลก และเมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 อาลีบาบา คลาวด์ ได้ประกาศแผนเปิดตัวคลาวด์รีเจี้ยนแห่งแรกในเม็กซิโก และจะสร้างดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มเติมในตลาดสำคัญของบริษัท ซึ่งรวมถึง มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และเกาหลีใต้ ในอีกสามปีข้างหน้า