ทรูมันนี่แนะ ‘3 สเต็ป’ เสริม ‘สติ’ เกราะป้องกันไม่ตกเป็นเหยื่อแก๊งลวงให้กู้

TrueMoney

ทรูมันนี่แนะ '3 สเต็ป' เสริม ‘สติ’ เกราะป้องกันไม่ตกเป็นเหยื่อแก๊งลวงให้กู้

ไม่ว่าใครก็ไม่อยากเป็นหนี้ แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ รายได้ที่เคยมีก็หดหาย และภาวะหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงต่อเนื่อง ธปท. เผยไตรมาส 2 ปี 2564 คนไทยมีหนี้ครัวเรือนสูงถึง 14.27 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 89.3% ต่อ GDP ส่งผลให้ความต้องการ “สินเชื่อเงินด่วน” เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะ “สินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล” ที่ได้กลายเป็นช่องทางการเงินรูปแบบใหม่ที่มอบความสะดวกสบายและเข้าถึงได้ง่าย และมีแนวโน้มได้รับความนิยมสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยช่วงมิถุนายนที่ผ่านมามีลูกค้าสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัลทั่วประเทศกว่า 2 แสนราย และมียอดปล่อยสินเชื่อกว่า 2 พันล้านบาท สะท้อนถึงความต้องการด้านสินเชื่อออนไลน์และพัฒนาการของนวัตกรรมทางการเงินที่ก้าวล้ำ

เมื่อธุรกรรมทางการเงินในรูปแบบดิจิทัลเติบโตก้าวกระโดดไปสู่ยุค Cashless Lending เหล่าแก๊งมิจฉาชีพก็ปรับตัวตามเช่นกัน ปัจจุบันมีการล่อลวงออนไลน์มากมายหลายรูปแบบ แต่ที่กำลังระบาดที่มีให้เห็นบ่อยในตอนนี้คือการหลอกให้กู้เงิน ข้อมูลจาก บช.สอท. เผยว่าช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา พบเรื่องร้องเรียนกว่า 700 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 500 ล้านบาท โดยแก๊งเหล่านี้จะใช้กลวิธีล่อลวงผู้บริโภคในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ ส่ง SMS พร้อมแนบลิงค์ปลอมให้คลิก โทรมาหว่านล้อมและเสนอเงินกู้พร้อมล้วงเอาข้อมูลส่วนบุคคล หรือปลอมแปลงหน้าเว็บไซต์, โซเชียลมีเดีย และแอปพลิเคชั่นให้ดูน่าเชื่อถือ เพื่อขอข้อมูลส่วนบุคคล และหลอกให้โอนเงินค่าธรรมเนียมหรือชำระดอกเบี้ยเงินกู้ก่อนที่จะได้เงินต้น

true money

ด้วยความห่วงใย ทรูมันนี่ ในฐานะผู้ให้บริการฟินเทคชั้นนำในประเทศไทย ขอนำเสนอ ‘3 สเต็ป’ เสริมเกราะป้องกัน ‘สติ’ ให้ผู้ใช้อีวอลเล็ทไม่ตกเป็นเหยื่อแก๊งลวงให้กู้ ดังนี้

สเต็ป 1 – พิสูจน์ตัวตนผู้ให้กู้ และเช็คให้มั่นใจว่าใช่จริง
ปัจจุบันเราสามารถเช็ครายชื่อผู้ให้บริการสินเชื่อต่าง ๆ ที่ได้รับการอนุญาตให้ประกอบกิจการอย่างเป็นทางการได้ที่เว็บไซต์ของ ธปท. ซึ่งรวบรวมรายชื่อบริษัทฯ ที่ให้บริการด้านสินเชื่อไว้อย่างครบครัน อาทิ รายชื่อผู้ให้บริการสินเชื่อที่เป็นแบงก์และนอนแบงก์, รายชื่อผู้ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล และรายชื่อผู้ให้บริการระบบ Peer to Peer Lending Platform ซึ่งมีรวมกันกว่า 200 ราย แต่เห็นแค่ชื่อแล้วก็ยังวางใจเต็มร้อยไม่ได้ เพราะก็มีมิจฉาชีพที่ใช้วิธีลอกเลียนแบบโลโก้ ไปเปิดเว็บไซต์ หรือห้องแชตต่างๆ เพื่อล่อลวงเช่นกัน ดังนั้น ถ้าอยากให้ชัวร์ เมื่อสนใจบริการควรติดต่อผู้ให้บริการนั้น ๆ ผ่านช่องทางที่เป็นทางการเช่นในแอปฯ หรือฝ่ายบริการลูกค้าที่ได้รายละเอียดจาก Official website จะดีที่สุด

สเต็ป 2 – มีสติ เห็นอะไรไม่ชอบมาพากล อย่ารีบตัดสินใจ
เปรียบเทียบรายละเอียดและเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ถี่ถ้วน และระวังว่าเวลา “กิเลส” และ “ความจำเป็น” มันมาคู่กันมักจะทำให้ขาดการวิเคราะห์ แยกแยะ จนตกเป็นเหยื่อได้โดยไม่ทันระวัง ดังนั้น หากรู้สึกมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล ตั้งแต่การให้โอนเงินก่อนเป็นค่าธรรมเนียมในการขอกู้เงินหรือค่าดอกเบี้ยก่อนได้รับเงินต้น หรือการเสนอดอกเบี้ยที่แพงเกินกฎหมายกำหนด ไปจนถึงการขอเอกสารข้อมูลส่วนตัวที่มากมายเกินความจำเป็น ต้องตั้งสติให้ดี และอย่ารีบตัดสินใจ เพราะเหยื่อหลายคนหลงโอน แต่เมื่อรู้ว่าไม่ได้เงินต้นสักบาทก็สายไปแล้ว และบัญชีที่โอนเงินไปก็ตามตัวไม่ได้ เพราะมิจฉาชีพเหล่านี้มักหลอกให้คนอื่นเปิดบัญชีมาให้อีกทอดหนึ่ง โดยการใช้ค่าตอบแทนล่อเพื่อนำมาใช้ในทางทุจริตและให้สาวถึงตัวไม่ได้

สเต็ป 3 – ต้องขอความช่วยเหลือให้เร็ว อย่ารอจนผู้ร้ายลอยนวล
บางคนที่โชคร้ายตกเป็นเหยื่อแก๊งให้กู้เงิน นอกจากจะสูญเสียเงินก้อนแล้วไม่ได้เงินกู้ หรือต้องเสียสุขภาพจิตจากการโดนก่อกวนในรูปแบบต่าง ๆ ตอนถูกทวงหนี้มหาโหด ดังนั้นเมื่อเรารู้สึกแคลงใจกับเว็บไซต์หรือแอปฯ ที่หลอกกู้เงิน ขอให้รีบติดต่อหรือปรึกษากับผู้ให้บริการหรือบริษัทฯ ต้นทางเพื่อสอบถามทันที และเมื่อรู้ตัวว่าถูกหลอกโดยมิจฉาชีพ ให้รีบแจ้งความกับตำรวจท้องที่ หรือร้องศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) หรือคลิกดูข้อแนะนำเมื่อถูกมิจฉาชีพล่อลวงให้โอนเงินจากทรูมันนี่

สุดท้ายนี้ ทรูมันนี่ ขอย้ำเตือนให้ผู้ใช้ระมัดระวังผู้แอบอ้างหลอกให้บริการสินเชื่อ โดยใช้ชื่อ ทรูมันนี่ หรือ แอสเซนด์ นาโน และขอแจ้งให้ทราบว่า บริษัทฯ ไม่มีนโยบายขอให้ลูกค้าโอนเงินค่าธรรมเนียมใด ๆ เพื่อสมัครสินเชื่อทุกประเภท รวมถึงการขอหมายเลขบัญชีธนาคาร หมายเลขบัตรเครดิต หรือรหัส OTP หากลูกค้าท่านใดพบการกระทำดังกล่าวที่แอบอ้างตราสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายการค้าหรือข้อความที่เกี่ยวข้องกับชื่อแบรนด์ TrueMoney โปรดแจ้งได้ที่ Call Center เบอร์ 1240 บริษัทจะดำเนินการตรวจสอบและดำเนินตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป

 

Truemoney

ทำไมสถาปัตยกรรมแบบ multi-tenant จึงได้รับการยอมรับว่าเป็นคลาวด์ที่แท้จริง

infor

ทำไมสถาปัตยกรรมแบบ multi-tenant จึงได้รับการยอมรับว่าเป็นคลาวด์ที่แท้จริง

บทความโดย นายฟาบิโอ ทิวิติ รองประธาน ประจำภูมิภาคอาเชียน บริษัท อินฟอร์

องค์กรธุรกิจที่ตัดสินใจย้ายการทำงานไปยังระบบคลาวด์ มีทางเลือกที่เป็นโซลูชันตามรูปแบบการใช้งานที่ต่างกันสองประเภท คือ แบบ Single-Tenant (ST) ที่รองรับผู้ใช้งานรายเดียวรูปแบบเดียว ซึ่งไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการใช้งานโซลูชันภายในองค์กรบนเทคโนโลยีของคนอื่น (ที่เรียกว่า โฮสต์ติ้ง) หรือแบบ Multi-Tenant (MT) ที่รองรับผู้ใช้งานหลายรายในหลากหลายรูปแบบ และสร้างขึ้นบนเทคโนโลยีคลาวด์ที่แท้จริงที่สามารถปรับขนาดการใช้งานเพิ่มขึ้นได้อย่างมาก

การตัดสินใจว่าจะใช้รูปแบบใดไม่ว่า ST หรือ MT เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้บริหารส่วนใหญ่ควรพิจารณาถึงผลกระทบอย่างรอบคอบ  การพิจารณาเพียงอย่างเดียวว่าจะเลือกพับลิคหรือไพรเวทคลาวด์ หรือไม่ก็อาจคาดว่าไพรเวทคลาวด์ปลอดภัยกว่า  แนวความคิดเช่นนี้อาจทำให้องค์กรเริ่มต้นเส้นทางปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัลในทิศทางที่ผิด จนนำไปสู่ความล้มเหลว  ประโยชน์เบื้องต้นจำนวนมากที่จะได้รับจากการใช้ MT cloud จะช่วยให้ผู้บริหารด้านไอทีและเพื่อนร่วมงานเข้าใจว่า เพราะเหตุใด MT cloud จึงได้รับการกล่าวขานว่าเป็นคลาวด์ที่แท้จริง

ระบบคลาวด์สำคัญอย่างไร

แนวทางการดำเนินงานที่องค์กรเลือกนั้นถือว่าสำคัญอย่างยิ่ง เพราะโซลูชันที่เลือกจะกำหนดพารามิเตอร์ในการอัปเกรด และชี้ให้เห็นความสามารถในการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัลขององค์กร  หากองค์กรตัดสินใจผิดพลาดอาจส่งผลให้สูญเสียทรัพยากร รวมถึงเวลาและความพยายามของทีมที่ทุ่มเทไป  การที่องค์กรเปลี่ยนไปใช้โซลูชันแบบ ST อาจนำมาซึ่งค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดมาก่อน ทำให้ทีมไอทีต้องรับผิดชอบมากขึ้น และเป็นอุปสรรคต่อการนำความสามารถขั้นสูงที่ต้องใช้กับเทคโนโลยีคลาวด์มาใช้งาน  น่าเสียดายที่องค์กรบางแห่งไม่ทราบถึงข้อจำกัดต่าง ๆ ที่แฝงอยู่ในการย้ายไปใช้ ST จนถึงวันที่ต้องประสบกับปัญหาที่ทำให้รู้สึกเหมือนว่าองค์กรกำลังย้ายปัญหาเดิม ๆ ที่มีอยู่ไปยังฮาร์ดแวร์ใหม่ในจุดที่ที่พวกเขาไม่เข้าใจและไม่สามารถเข้าถึงได้

ยึดโยงอยู่กับปัญหาเดิม ๆ หรือขจัดให้หมดไป

หนึ่งในเหตุผลที่น่าสนใจที่สุดว่าเพราะเหตุใดการเลือกใช้โซลูชันแบบ ST และ MT จึงสำคัญ คือ การอัปเกรดจะเป็นโอกาสให้องค์กรได้คิดค้นสิ่งใหม่ นำกระบวนการใหม่ ๆ มาใช้งาน จนกลายเป็นความคล่องตัวอย่างแท้จริง  ทั้งยังเป็นโอกาสให้องค์กรบอกลาการปรับเปลี่ยนที่มากจนเกินไป จนอาจก่อให้เกิดปัญหาต่อการอัปเกรดและการนำกลยุทธ์ใหม่ ๆ มาใช้ในอนาคต  การย้ายโซลูชันดั้งเดิมขององค์กรไปยังคลาวด์จะทำให้ความไร้ประสิทธิภาพแบบเดิม ๆ หายไปและเกิดสิ่งใหม่แทนที่

ความแตกต่างของ Single tenant (ST) และ Multi-tenant (MT)

สถาปัตยกรรมแบบ Single tenant ลูกค้าแต่ละรายจะได้ใช้ซอฟต์แวร์ในโครงสร้างพื้นฐานเซิร์ฟเวอร์แยกต่างหากเหมือนกับที่ติดตั้งไว้ในองค์กร ช่วยให้องค์กรควบคุมการทำงานได้มากขึ้น แต่ก็ต้องลงแรงและลงทุนมากขึ้นเช่นกัน  องค์กรสามารถย้ายระบบดั้งเดิมทั้งหมด ที่มีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนติดไปด้วยไปไว้บนคลาวด์  โดยที่จะยังคงสามารถดูแลฟังก์ชันต่าง ๆ ได้เหมือนเดิม เช่น การรักษาความปลอดภัยและการสำรองข้อมูล หรือมอบความรับผิดชอบเหล่านั้นให้กับผู้ให้บริการโฮสต์โดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการบำรุงรักษาโซลูชัน

สภาพแวดล้อมแบบ multi-tenancy ช่วยให้ลูกค้าจำนวนมากสามารถใช้แอปพลิเคชันภายในสภาพ แวดล้อมการทำงานเดียวกันบนฮาร์ดแวร์และทรัพยากรที่ใช้ร่วมกัน  ซึ่งโมเดลแบบแชร์ค่าใช้จ่ายนี้จะช่วยลดต้นทุน ทำให้องค์กรได้ประโยชน์ในการดำเนินงานจากการใช้กระบวนการ การบำรุงรักษา และการรักษาความปลอดภัยที่มีมาตรฐาน  โซลูชัน MT ใช้ความสามารถในการปรับขยายและการตั้งค่าที่สามารถอัปเกรดให้ทันสมัยได้ตลอดเวลา ในขณะที่โซลูชันแบบที่ต้องปรับแต่งเองไม่สามารถทำได้

ความแตกต่างระหว่าง single tenant กับ multi-tenant ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของจำนวนบริษัทที่อยู่บนคลาวด์เหล่านี้เท่านั้น ความรับผิดชอบต่องานส่วนต่าง ๆ และผลลัพธ์ที่ได้ก็แตกต่างกันด้วย

ข้อดีของการใช้ multi-tenant (MT)

ความสามารถที่ล้ำหน้า ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรคลาวด์ขนาดใหญ่ พร้อมความสามารถขั้นสูงต่าง ๆ เช่น อินเทอร์เน็ตออฟธิงค์ (IoTs), ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิง (ML) ฯลฯ

Platform as a Service สถาปัตยกรรมแบบ MT มีเครื่องมือแบบ no code/low code ดังนั้น ผู้ใช้ทางธุรกิจจึงสามารถสร้างรายงาน ปรับแต่งแบบฟอร์ม และอื่น ๆ ได้โดยไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับการเขียนโค้ด

เครื่องมือสำหรับผู้ใช้งาน โซลูชัน MT สมัยใหม่มีเครื่องมือรองรับการปรับขยาย ปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบจากการแก้ไขที่ยุ่งยาก

โซลูชันคุณภาพสูงและล้ำสมัย  มั่นใจได้ในคุณภาพของโซลูชัน เพราะซอฟต์แวร์ที่ใช้งานกับ MT จะต้องเป็นไปตามมาตรฐานการทดสอบและการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด

เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงานแนวปฏิบัติดีที่สุดในอุตสาหกรรมจะถูกนำมาติดตั้งไว้เบ็ดเสร็จในโซลูชัน เช่น เวิร์กโฟลว์ประสิทธิภาพสูงที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจากผู้ใช้งานรุ่นแรก ๆ 

เลี่ยงความยุ่งยากในการปรับแก้ – ไม่ต้องกังวลกับการอัปเกรด และวิธีปรับเปลี่ยนแก้ไขใด ๆ อีกต่อไป พราะเป้าหมายในการ “ไม่ต้องปรับแก้” จะช่วยให้ทีมจดจ่อไปที่ความสำเร็จใหม่ ๆ แทนที่จะยึดติดอยู่กับวิธีการเดิม ๆ ที่คุ้นเคย

เปลี่ยนเป็นดิจิทัล การทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันต้องอาศัยคุณประโยชน์ต่าง ๆ จากคลาวด์แบบ MT ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับการจัดทำกลยุทธ์และแผนปฏิบัติการระยะยาว  การใช้ multi-tenant ทำให้วิสัยทัศน์ในด้านนี้เป็นจริงขึ้นมาได้

ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยได้รับการตรวจสอบด้านความปลอดภัยและการโจมตีรูปแบบใหม่ ๆ อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องจากผู้เชี่ยวชาญ

สำรองข้อมูลและทำสำเนาข้อมูลเต็มรูปแบบอย่างอัตโนมัติ ในโซลูชันคลาวด์แบบ MT การสำรองข้อมูลอัตโนมัติจะดำเนินการแบบ full redundancy ในกรณีที่เกิดการหยุดชะงักอย่างเฉียบพลันเนื่องจากพายุหรือภัยพิบัติ

ตอบสนองความต้องการใช้งานสูงสุด   โซลูชันคลาวด์แบบ MT ปรับขนาดการทำงานได้ง่ายเพื่อรองรับช่วงเวลาที่มีความต้องการใช้งานสูงสุด

อัปเกรดอย่างต่อเนื่อง ทันสมัยอยู่เสมอด้วยการอัปเดตทุกครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ต้องเสี่ยงกับความล้าหลังอีกต่อไป

ควบคุมค่าใช้จ่าย ช่วยประหยัดทรัพยากรต่าง ๆ เช่น พนักงาน การรักษาความปลอดภัย และค่าใช้จ่ายเมื่อต้องการประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่มีการใช้งานสูงสุด รวมถึงพื้นที่สำหรับสำรองข้อมูลและการทำสำเนาข้อมูลเต็มรูปแบบ

คล่องตัว – ปรับกำลังความสามารถตามความจำเป็นเมื่อมีการควบรวมกิจการหรือขยายสาขา มีการอัปเดทอยู่สม่ำเสมอ ทำให้องค์กรขยายไปยังภูมิภาคใหม่ ๆ ได้โดยไม่ยุ่งยาก

นวัตกรรมทีมไอทีไม่ต้องใช้เวลากับการบำรุงรักษา จึงหันมาให้ความสำคัญกับงานด้านกลยุทธ์และการพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ ได้มากขึ้น

บทสรุป

ในขณะที่ธุรกิจทั่วโลกในทุกอุตสาหกรรมพยายามอัปเกรดและปรับปรุงกระบวนการต่าง ๆ ให้ทันสมัยเพื่อให้สามารถแข่งขันได้มากขึ้น ธุรกิจเหล่านี้ล้วนตระหนักถึงข้อดีในการปรับใช้คลาวด์  อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยน ไปใช้โซลูชันบนคลาวด์เป็นเพียงขั้นตอนแรกเท่านั้น  เพราะการปรับใช้คลาวด์แบบ multi-tenant ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพื่อให้องค์กรสามารถใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ทำให้การประมวลผลบนคลาวด์เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นความคล่องตัว ความปลอดภัย และฟังก์ชันการทำงานที่ขับเคลื่อนด้วย AI ขั้นสูง

On-demand office วิถีการทำงานแห่งอนาคต ที่เริ่มส่งสัญญาณมาจากอุตสาหกรรมบันเทิง

On-demand office วิถีการทำงานแห่งอนาคต ที่เริ่มส่งสัญญาณมาจากอุตสาหกรรมบันเทิง

บทความโดย ทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์

หลายปีที่ผ่านมาเราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในแวดวงเกมและสื่อ เช่น การเปลี่ยนจากฮาร์ดแวร์และเกมคอนโซลที่มีขนาดใหญ่ ไปเป็นการใช้ซอฟต์แวร์และการส่งเนื้อหาผ่านคลาวด์ ปัจจุบันมีผู้คนมากกว่า 400 ล้านคนในเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นใช้บริการสตรีมวิดีโอและสตรีมมิ่งอื่น ๆ เช่น Netflix

ระบบดิจิทัลแบบ on-demand จะมอบประสบการณ์ที่ผู้คนสามารถเพลิดเพลินกับความบันเทิงที่ต้องการได้ทุกที่ทุกเวลา แทนที่จะต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เช่น โรงภาพยนตร์หรือศูนย์การค้าเพื่อความบันเทิงหรือเล่นเกมที่ต้องการ ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสำคัญหลายประการ ความสามารถในการเสพเนื้อหาต่าง ๆ ที่พบได้เป็นเรื่องปกติ ทำให้ระบบการจัดจำหน่ายและการบริการแบบเก่าล้าสมัย เช่น การให้บริการภาพยนตร์ในห้องพักของโรงแรม ทั้งยังเปลี่ยนความคาดหวังต่าง ๆ ของเราด้วยการเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบต่อรูปแบบการจัดจำหน่ายหรือให้บริการจากต้นทางที่ทำกันมานาน และส่งผลให้อุตสาหกรรมทั้งหมดต้องปรับตัวหรือไม่ก็ต้องเผชิญกับผลกระทบอย่างรุนแรง

ในโลกของการทำธุรกิจ เราเห็นวิวัฒนาการทางความคิดที่คล้าย ๆ กัน เกี่ยวกับสถานที่และวิธีการทำงานที่เหมาะสม แม้ว่า remote work หรือการทำงานจากระยะไกล ซึ่งเดิมเรียกกันว่า telecommuting หรือการทำงานโดยใช้การสื่อสารโทรคมนาคมช่วยโดยไม่ต้องเดินทางเข้ามายังสำนักงาน จะได้รับการยอมรับว่าเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ามานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยนำมาใช้เป็นเทคโนโลยีหลัก จนกระทั่งเกิดการระบาดของโควิด-19 เรื่องนี้จึงอยู่ในความสนใจของผู้บริหาร พนักงานที่ทำงานนอกสถานที่ และบริษัทต่าง ๆ ที่มีแนวคิดก้าวหน้า อย่างไรก็ตาม หลังจากความเร่งรีบนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้สามารถทำงานจากที่บ้านได้ผ่านไป ก็ถึงเวลาที่อุตสาหกรรมทั้งหลาย ธุรกิจ และผู้นำทางเทคโนโลยีต้องคำนึงถึงผลกระทบระยะยาวต่อรูปแบบการทำงานในอนาคต

เราอาจเรียกการเปลี่ยนลักษณะการจัดการงานที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้นนี้ว่า ‘on-demand office’ ซึ่งเป็นรูปแบบที่เปลี่ยนลักษณะของการทำงานจากเดิมที่ต้องอยู่ ณ สถานที่ตั้งหนึ่ง ๆ ไปเป็นกิจกรรมที่สามารถทำเมื่อไรก็ได้ และเข้าถึงได้จากทุกที่ทุกเวลา ในขณะที่บริษัทต่าง ๆ ได้พยายามอย่างเต็มที่ในการปรับกระบวนการต่าง ๆ ของตน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต ธุรกิจบันเทิงกำลังลุยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายมากขึ้น และมอบกรอบการทำงานในการปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้นแก่อุตสาหกรรมอื่น ๆ 

เพียงแค่มีหน้าจอและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ก็สามารถสตรีมวิดีโอได้ทุกที่ทุกเวลา ปัจจุบันเราพบความยืดหยุ่นในทำนองเดียวกันนี้ในรูปแบบของเวอร์ชวล เช่น การจัดเตรียมการทำงานแบบเวอร์ชวล การทำงานร่วมกันและการปฏิบัติงานแบบเวอร์ชวลที่คล่องตัว ได้กลายเป็นมาตรฐานปกติไปแล้ว โดยมีต้นแบบจากรูปแบบต่าง ๆ ที่อุตสาหกรรมบันเทิงเป็นผู้ริเริ่ม ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าอนาคตของการทำงานจะเป็นอย่างไร และเรายังสามารถคาดหวังได้เช่นเดียวกับความคาดหวังของธุรกิจในภาคบันเทิง ว่าผลของการเปลี่ยนแปลงนี้จะขยายไปไกลกว่าเรื่องของการพิจารณาเกี่ยวกับพื้นที่สำนักงานและชั่วโมงการทำงาน

ความต้องการความสะดวก ฉับไว และความยืดหยุ่น เป็นปัจจัยที่เปลี่ยนความคาดหวังของทุกคน เราเคยชินกับโลกที่ทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาหาเรามากกว่าต้องเป็นฝ่ายออกไปหาสิ่งเหล่านั้น อีกเพียงไม่นานความต้องการและความเคยชินเหล่านี้จะเข้ามาสู่โลกของการทำงานอย่างแน่นอน และพนักงานเริ่มคาดหวังการจัดรูปแบบการทำงานให้เป็นเวอร์ชวล สำหรับคนรุ่นที่เกิดมาในยุคดิจิทัล การที่ต้องออกไปชมภาพยนตร์ ณ โรงภาพยนตร์ให้ทันเวลาที่หนังเริ่มฉาย ดูเหมือนจะเป็นความคิดที่ล้าสมัยอย่างสิ้นเชิง และเมื่อคนรุ่นดิจิทัลเริ่มเข้ามาอยู่ในสถานที่ทำงาน ความคาดหวังของพวกเขาเกี่ยวกับระบบไอทีในองค์กร เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

เทคโนโลยีจะเป็นหัวใจสำคัญของการทำงานรูปแบบใหม่นี้ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมใดก็ตาม บริษัทต่าง ๆ ที่สามารถนำคุณประโยชน์ของการทำงานจากที่ใดก็ได้และคลาวด์คอมพิวติ้งมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มประสิทธิภาพ จะเก็บเกี่ยวผลลัพธ์ที่คุ้มค่าได้จากนวัตกรรมและการเติบโตที่รวดเร็วมากขึ้นเราสามารถจินตนาการได้เลยว่าคนที่มีความสามารถรุ่นต่อไปจะประเมินนายจ้างในอนาคตโดยพิจารณาจากความรอบรู้และเชี่ยวชาญด้านเทคนิค รวมถึงความสามารถในการปรับระบบการทำงานให้ทันกับความคาดหวังที่ทันสมัยของคนรุ่นใหม่ได้มากน้อยเพียงใด

ในปีที่ผ่านมา แม้แต่อุตสาหกรรมเก่าแก่ที่ดำเนินงานมาอย่างยาวนานที่สุด เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ และบริการด้านการเงิน ก็ได้ปรับปรุงรูปแบบการทำงานใหม่ เพื่อให้สมาชิกในทีมสามารถทำงานจากระยะไกลได้ ซึ่งเป็นรูปแบบการทำงานที่ไม่เคยมีมาก่อนในอุตสาหกรรมเหล่านี้

ความวิตกกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการใช้แอปพลิเคชันจากระยะไกล ทำให้เกิดข้อจำกัดกับบริษัทหลายแห่ง เช่น โตโยต้าไม่อนุญาตให้พนักงานทำงานจากภายนอกสำนักงาน เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่ผ่านมาบังคับให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดอย่างน่าทึ่ง และเกิดการประเมินความยืดหยุ่นที่เทคโนโลยีมีให้ใหม่อีกครั้ง ในที่สุดโตโยต้าได้ตัดสินใจใช้ Nutanix cloud platform เป็นฐานในการสร้างสภาพแวดล้อมเวอร์ชวลเดสก์ท็อปเพื่อสนับสนุนการใช้งานแอปพลิเคชันและซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพสูง และก็ได้ตระหนักถึงแนวทางการทำงานแบบใหม่ แนวทางการทำงานแบบเวอร์ชวลเป็นหลักนี้ได้ช่วยให้การบริหารจัดการไอทีทำได้ง่าย และสนับสนุนให้พนักงานทำงานจากที่ไหนก็ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย นอกจากนี้ยังเป็นการเลิกใช้กระดาษเขียนแบบ และสามารถดูโมเดลการออกแบบสามมิติได้พร้อมกัน ทำให้การปรึกษาหารือต่าง ๆ เป็นไปอย่างได้ผลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำหรับธุรกิจบริการด้านการเงิน Suncorp New Zealand หนึ่งในกลุ่มบริการด้านการเงินที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ทุ่มเทความพยายามเป็นสองเท่าในการพัฒนาบุคลากรให้มีการใช้เทคโนโลยี และประสบความสำเร็จในการปรับตัวสู่การทำงานจากระยะไกลเต็มรูปแบบระหว่างการล็อกดาวน์ในปี 2563 การทำงานของอุตสาหกรรมประกันภัยตั้งอยู่บนพื้นฐานของการปกป้องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และก็ยังไม่เคยมีพนักงานขายประกันทำงานจากบ้าน แต่โครงสร้างพื้นฐานเวอร์ชวลเดสก์ท็อป (Virtual Desktop Infrastructure: VDI) ช่วยทลายอุปสรรคนี้และทำให้เป็นไปได้ ด้วยการมีระบบรักษาความปลอดภัยติดตั้งมาในตัวเรียบร้อย จึงช่วยให้มีความยืดหยุ่นและไม่ต้องกังวลใจ นอกจากนี้ยังสนับสนุนกลยุทธ์ระยะยาวด้านการให้ลูกค้ามีส่วนร่วมผ่านระบบดิจิทัลเป็นหลักของบริษัทประกันอีกด้วย

พนักงานจะได้รับประโยชน์จาก VDI หรือโซลูชันอื่น ๆ เช่น Desktop as a Service (DaaS) อย่างแน่นอน ในส่วนของบริษัท โซลูชันต่าง ๆ ที่ทำให้สามารถทำงานจากระยะไกลได้จะเป็นหัวใจสำคัญที่จะกระตุ้นความสนใจและรักษาผู้มีความสามารถที่เหมาะสมที่สุดไว้ได้ คนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถมีความต้องการรูปแบบการทำงานแบบดิจิทัลจากที่ใดก็ได้เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ ผลการศึกษาโดย LinkedIn Talent Solutions พบว่า คนกลุ่มนี้ไม่สนใจทำงานกับบริษัทที่ไม่มีข้อเสนอในการทำงานจากระยะไกลหลังการระบาดของโควิด-19 จำนวนผู้ค้นหางานทั่วโลกใช้ตัวกรองว่า “remote” บน LinkedIn เพิ่มขึ้นประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม 2563 นอกจากนี้ในเอเชียแปซิฟิก แอปพลิเคชันสำหรับงานจากระยะไกลก็กำลังเติบโตเช่นกัน ทั้งนี้ บริษัทต่าง ๆ เองก็สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้มีความสามารถได้ในวงกว้างมากขึ้นด้วยข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ที่น้อยลง

รูปแบบการทำงานจากที่ใดก็ได้จะเป็นหัวใจของวิธีการทำงานของทีมและบริษัทในยุคสถานที่ทำงานแบบออนดีมานด์ (on-demand office) การทำงานจากระยะไกลยังคงอยู่ไปอีกนาน บริษัทต่าง ๆ ที่ไม่ได้นำโซลูชันใดโซลูชันหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น VDI, DaaS หรือโซลูชันการทำงานจากระยะไกลอื่น ๆ ไปใช้อย่างจริงจัง จะมีความยืดหยุ่นในการทำงานน้อยกว่าคู่แข่งที่รุดหน้ากว่า และจะไม่สามารถว่าจ้างพนักงานที่มีความสามารถที่เหมาะสมได้ การเปลี่ยนไปใช้ ‘on-demand office’ จะเป็นกุญแจสำคัญ ในการบรรลุความได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อความสำเร็จในอนาคตในทุกด้าน นับจากการสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถ ไปจนถึง การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัท

ซีเมนส์ขับเคลื่อน Smart City แห่งอนาคต ด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำใน “เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ*”

ซีเมนส์

ซีเมนส์ขับเคลื่อน Smart City แห่งอนาคต ด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำใน “เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ*”

* ถึงแม้จะถูกจัดขึ้นในปี 2021 งานนี้ยังคงใช้ชื่อ “เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ”

    • งาน “เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ” ใช้เทคโนโลยีด้านอาคารอัจฉริยะจากซีเมนส์ซึ่งถูกขับเคลื่อนและรวมไว้บนแพลตฟอร์มการบริการ IoT ภาคอุตสาหกรรม MindSphere 
    • อาคารมากกว่า 130 แห่งจะเชื่อมต่อและสื่อสารกันผ่าน Siemens Navigator แพลตฟอร์มบนคลาวด์สำหรับวิเคราะห์การใช้พลังงานเพื่อบริหารจัดการทรัพยากรอาคาร
    • อาคารต่าง ๆ ในสามโซนหลัก (Thematic Districts) ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ด้วยระบบการจัดการอาคารอัจฉริยะ Desigo CC โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลจะช่วยสนับสนุนการจัดงานเอ็กซ์โป 2020 ดูไบ ให้ประสบความสำเร็จ ตามเป้าหมายครอบคลุมในด้านความยั่งยืน ความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และการรักษา ความปลอดภัย

เป็นเวลากว่า 170 ปีที่งาน World Expo ถูกจัดขึ้นเพื่อแสดงนวัตกรรมที่เปลี่ยนวิถีความเป็นอยู่ของผู้คนมาจนถึงปัจจุบัน เช่นเดียวกับงานเอ็กซ์โป 2020 ดูไบ ที่จะสานต่อความยิ่งใหญ่ด้วยเทคโนโลยีล่าสุดจากทั่วทุกมุมโลก ซีเมนส์ได้มีส่วนร่วมในงาน World Expo ตั้งแต่การจัดแสดงโทรเลขไฟฟ้าแบบเข็ม (Pointer Telegraph) ในงานครั้งแรก ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ.1851 และในงานเอ็กซ์โป 2020 ดูไบ ครั้งนี้ ซีเมนส์ได้แสดงนวัตกรรมต้นแบบ (Blueprint) สำหรับเมืองอัจฉริยะ โดยการนำเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ทันสมัยที่สุดมาใช้ในการจัดการงาน World Expo 2020 Dubai

งานเอ็กซ์โป 2020 ดูไบ ที่จะเริ่มขึ้นในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 จะเป็นหนึ่งในงานเอ็กซ์โปที่มีการเชื่อมต่อที่เน้นเรื่องความยั่งยืนหรือนวัตกรรมสีเขียวมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และยังเป็นหนึ่งในงานที่มีการติดตั้งเทคโนโลยีทางอาคารของซีเมนส์ครั้งใหญ่ที่สุดในโลก อาทิ ดิจิทัลโซลูชั่นเพื่อใช้สำหรับเชื่อมต่อ ตรวจสอบ และควบคุมอาคารผ่าน MindSphere ระบบปฏิบัติการบนคลาวด์สำหรับ IoT ซึ่งจะทำให้การวิเคราะห์และรวบรวมข้อมูลเพื่อใช้ในการตัดสินใจและปฏิบัติงานได้อย่างชาญฉลาด โดยเทคโนโลยีอัจฉริยะเหล่านี้จะช่วยสนับสนุนเป้าหมายในการจัดงานเอ็กซ์โป 2020 ดูไบ ทั้งในด้านประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การอำนวยความสะดวก ความปลอดภัยของผู้ร่วมชมงานและควบคุมดูแลรักษาระบบความปลอดภัย

ซีเมนส์ เป็นพาร์ทเนอร์ระดับพรีเมียร์ของงานเอ็กซ์โป 2020 ดูไบ มีบทบาทสำคัญในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้เป็นดิจิทัลโดยการนำระบบการจัดการอาคารดิจิทัล Desigo CC มาติดตั้งใช้งานทั่วทั้งงาน โดยครอบคลุมในแต่ละโซนการจัดงาน (ได้แก่ โซน Mobility โซน Opportunity และโซน Sustainability) รวมถึงศูนย์การจัดแสดงนวัตกรรมของประเทศต่าง ๆ และ Dubai Exhibition Centre โดยระบบจะใช้เซนเซอร์และการวิเคราะห์หลากหลายเพื่อตรวจสอบและควบคุมฟังก์ชันของอาคาร อาทิเช่น ระบบปรับอากาศ การใช้พลังงาน การควบคุมความสว่าง ลิฟต์ คุณภาพอากาศและระบบส่งสัญญาณเตือนอัคคีภัย

ข้อมูลจากระบบเหล่านี้จะถูกนำมาจัดการและประมวลโดยศูนย์บัญชาการและควบคุมในแต่ละโซนการจัดงาน เพื่อลดการใช้พลังงาน พร้อมอำนวยความสะดวกและดูแลรักษาความปลอดภัยให้ผู้ร่วมงาน ข้อมูลเหล่านี้จะถูกป้อนเข้าสู่ Siemens Navigator แพลตฟอร์มศูนย์กลางการจัดการข้อมูลบนคลาวด์ เพื่อเชื่อมต่อกับอาคารต่าง ๆ มากกว่า 130 แห่งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวซึ่งถือเป็นหนึ่งในการติดตั้งระบบคลาวด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเพื่อให้ผู้ให้บริการต่าง ๆ สามารถเห็นข้อมูลทั้งหมดและนำมาวิเคราะห์เพื่อตรวจสอบการใช้พลังงานระหว่างการจัดงานเอ็กซ์โปในครั้งนี้ ด้วยความสามารถของแพลตฟอร์ม MindSphere ที่้ขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในงาน ข้อมูลจากเซนเซอร์ เกตเวย์ ระบบและแอปพลิเคชันต่างๆ ซึ่งเชื่อมต่อกันจะถูกวิเคราะห์และแสดงผลให้ผู้จัดงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุด

ระบบรักษาความปลอดภัยจะถูกรวมไว้ในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของงานเอ็กซ์โปโดยมีระบบย่อยมากกว่า 20 ระบบ อาทิ ระบบการควบคุมการเข้า-ออกอาคาร ระบบการจัดการอาคาร และระบบป้องกันอัคคีภัย ซึ่งจะถูกรวมไว้ในแพลตฟอร์มที่ป้อนคำสั่งและควบคุมจากส่วนกลาง ทำให้ผู้ดูแลทราบถึงสถานการณ์ภาพรวมและทำการตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

คุณสุวรรณี สิงห์ฤาเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและซีอีโอ ซีเมนส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “การพัฒนาเมืองอัจฉริยะหรือ Smart City จะเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยบรรลุวัตถุประสงค์ในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามวิสัยทัศน์ Thailand 4.0 เทคโนโลยีเมืองอัจฉริยะที่ใช้ในงาน World Expo 2020 Dubai เป็นตัวอย่างการใช้งานจริงของหลากหลายโซลูชันเมืองอัจฉริยะที่ถูกนำมารวมกันเพื่อสร้างเมืองที่มีความยั่งยืน และให้ความสะดวกสบายกับผู้อยู่อาศัย โดยสามารถนำมาต่อยอดหรือเป็นนวัตกรรมต้นแบบสำหรับการวางแผนงานเมืองอัจฉริยะในประเทศไทย”

ซีเมนส์มีประสบการณ์ในด้านการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานของสถานที่สำคัญให้เป็นดิจิทัลมาอย่างยาวนานทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออกกลาง เช่น ท่าอากาศยานนานชาติดูไบ โรงละครโอเปราดูไบ และมัสยิด Sheikh Zayed ของอาบูดาบี ที่เลือกใช้เทคโนโลยีจากซีเมนส์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน และการดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน

มาเลเซียเลือกอีริคสันให้เป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยี 5G เพื่อนำประเทศเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล

Ericsson_อีริคสัน

มาเลเซียเลือกอีริคสันให้เป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยี 5G เพื่อนำประเทศเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล

    • อีริคสันเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับ Digital Nasional Berhad (DNB) ในกรอบเวลา 10 ปีเพื่อพัฒนาเครือข่าย 5G ทั่วประเทศมาเลเซีย
    • 5G จะช่วยเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและอุตสาหกรรมของมาเลเซีย
    • อีริคสันนำเสนอโซลูชั5G แบบต้นน้ำถึงปลายน้ำ (End-to-End) ซึ่งประกอบไปด้วยโครงข่ายหลัก (Core), โครงข่ายการเข้าถึงผ่านการรับส่งทางคลื่นวิทยุ (RAN) และการขนส่ง การดำเนินงานและระบบสนับสนุนธุรกิจ (OSS/BSS) และการบริหารจัดการเครือข่าย

ประเทศมาเลเซีย โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ จะได้รับประโยชน์จากสัญญาร่วมมือด้าน 5G เป็นระยะเวลา 10 ปี ระหว่างอีริคสัน (NASDAQ: ERIC) และหน่วยงานดิจิทัลแห่งชาติของมาเลเซีย Digital Nasional Berhad (DNB) เพื่อขับเคลื่อนการใช้งานเทคโนโลยีไร้สายยุคถัดไปของประเทศมาเลเซีย

ความเร็ว ความหน่วงต่ำและความสามารถในการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ของ 5G จะทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลให้กับประเทศ ในขณะที่การสร้างระบบนิเวศ 5G จะเป็นพลังในการขับเคลื่อนนวัตกรรมในด้านต่าง ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงเทคโนโลยีโลกเสมือนต่าง ๆ อาทิ Augmented Reality (AR) หรือ Virtual Reality (VR) และระบบอัตโนมัติทั่วทั้งองค์กร อุตสาหกรรม และการใช้งาน Internet of Things (IoT) ในหลายภาคส่วน

ด้วยการนำสมรรถนะของ 5G มาใช้และเร่งติดตั้งเครือข่ายและระบบนิเวศ 5G ทั่วประเทศมาเลเซียจะทำให้ DNB จัดสรรการเข้าถึงและบริการแก่ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ รวมถึงผู้ที่ได้ใบอนุญาตประกอบกิจการในรูปแบบอื่นจากภาครัฐ เพื่อทำให้ได้รับประสบการณ์ 5G ระดับโลกและทำให้อุตสาหกรรม 4.0 เป็นจริงในมาเลเซีย

มร. ราล์ฟ มาร์แชล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ DNB กล่าวว่า “DNB มุ่งมั่นที่จะมอบโอกาสทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ดีที่สุดแก่ประชาชนชาวมาเลเซีย ธุรกิจและรัฐบาล เพื่อให้มั่นใจว่ามาเลเซียจะอยู่แถวหน้าของเศรษฐกิจดิจิทัลของโลก เราเจาะจงให้อีริคสันนำเสนอเทคโนโลยี 5G อันล้ำยุคที่ดีที่สุดและบริการระดับมืออาชีพที่พร้อมใช้งานตรงกับความต้องการของ DNB ที่มีความเฉพาะเจาะจงและไม่เหมือนใคร”

การมีส่วนร่วมของอีริคสันในโครงการ 5G ระดับชาติจะทำให้เห็นถึงการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจและสังคมทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น การสร้างงาน การเป็นพันธมิตรกับประชากรกลุ่มภูมิบุตร (ชาวมลายูดั้งเดิม) และผู้รับเหมาท้องถิ่นอื่นและผู้มีส่วนร่วมต่าง ๆ ในระบบนิเวศ ไปจนถึงการสร้างองค์ความรู้และประสิทธิภาพในประเทศมาเลเซีย

มร. เดวิด เฮเกอร์บรอ ประธานกรรมการ บริษัทอีริคสัน (มาเลเซีย ศรีลังกาและบังกลาเทศ) กล่าวว่า “5G เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการเปิดนวัตกรรมและกลายเป็นหลักสำคัญที่สร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เป็นเรื่องน่ายินดีกับความมุ่งมั่นในการเร่งนำ 5G มาใช้ทั่วประเทศ แก้ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลและสร้างการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัลให้กับประเทศ 5G จะเป็นตัวส่งเสริมความตั้งใจของรัฐบาลในการสนับสนุนชาวมาเลเซียให้เป็นผู้สร้างสรรค์เทคโนโลยีผ่านการพัฒนาแอปพลิเคชันและการใช้งาน 5G“

“ด้วยระยะเวลาและการมีส่วนร่วมพัฒนาประเทศมาเลเซียมายาวนานถึง 56 ปี เราตื่นเต้นที่จะได้ขยายความมุ่งมั่นของเรามาสู่ประเทศนี้ อีริคสันมั่นใจด้วยความเป็นผู้นำ 5G ระดับโลกและความสามารถในการปรับใช้ที่แข็งแกร่ง จะทำให้เราทำได้ตามเป้าหมายของ DNB” มร. เดวิดกล่าวเพิ่มเติม

ความร่วมมือระหว่าง DNB และอีริคสันครั้งนี้ครอบคลุมไปถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์และและโซลูชันระบบวิทยุของอีริคสัน (Ericsson Radio System) ที่ประหยัดพลังงาน รวมไปถึงระบบการจัดสรรช่วงคลื่นความถี่ Ericsson Spectrum Sharing ที่เป็นซอฟต์แวร์สำหรับการใช้งาน 5G ในขอบเขตที่กว้างใหญ่

นอกจากนั้นความร่วมมือนี้ยังรวมถึงโครงข่าย 5G หลักแบบคลาวด์ (Cloud-native 5G Core) และโครงข่ายการเข้าถึงผ่านการรับส่งทางคลื่นวิทยุ 5G (RAN) อีริคสันจะบริหารความต้องการเฉพาะสำหรับของเครือข่ายด้วยการบริหารจัดการเครือข่ายชั้นนำด้วย Ericsson Operations Engine โซลูชันดังกล่าวจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเครือข่าย DNB โดยใช้ AI ระบบอัตโนมัติและ ซอฟต์แวร์อัจฉริยะ Cognitive Software เพื่อคาดการณ์และป้องกันปัญหา

สิ่งที่อีริคสันจัดหาตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำยังรวมถึงโซลูชันระบบสนับสนุนการปฏิบัติการ (OSS) และระบบสนับสนุนธุรกิจ (BSS)

DNB ได้รับมอบหมายในการนำประเทศมาเลเซียให้บรรลุแรงปณิธานด้านดิจิทัลตามแผนพิมพ์เขียวเศรษฐกิจดิจิทัลมาเลเซีย หรือ MyDIGITAL ของรัฐบาลซึ่งจะเปลี่ยนโฉมประเทศไปสู่การขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล เป็นประเทศที่มีรายได้สูงและเป็นผู้นำในด้านดิจิทัลคอนเทนต์ ความปลอดภัยในไซเบอร์และเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

DNB ยังคงสนับสนุนความทันสมัยของเครือข่ายมือถือของประเทศที่เป็นส่วนหนึ่งในแผนปรับโครงสร้างดิจิทัลแห่งชาติ Jalinan Digital Negara (Jendela) เพื่อให้ชาวมาเลเซียทุกคนได้รับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่มีคุณภาพ

ในระยะเริ่มต้น DNB มุ่งหมายที่จะเปิดตัวเครือข่าย 5G แรกของมาเลเซียในกัวลาลัมเปอร์ ปุตราจายาและไซเบอร์จายา ธุรกิจของอีริคสันและการนำประสบการณ์ความเชี่ยวชาญมาปรับใช้ในมาเลเซียเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้บรรลุเป้าหมายของ DNB ที่กำหนดให้มีเครือข่าย 5G ครอบคลุม 80 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั่วประเทศภายในปี 2567

อีริคสันคือผู้นำ 5G ระดับโลกด้วย 97 เครือข่าย 5G ที่เปิดให้บริการแล้วใน 46 ประเทศทั่วโลก