เสริมสร้างอนาคตพลังงานของประเทศไทยให้มั่นคง ด้วยความสามารถในการรับมือภัยคุกคามไซเบอร์

เสริมสร้างอนาคตพลังงานของประเทศไทยให้มั่นคง ด้วยความสามารถในการรับมือภัยคุกคามไซเบอร์

เสริมสร้างอนาคตพลังงานของประเทศไทยให้มั่นคง ด้วยความสามารถในการรับมือภัยคุกคามไซเบอร์

บทความโดย นายจตุพร วานิชสุขสมบัติ ผู้อำนวยการธุรกิจโพรเซส ออโตเมชัน บริษัท เอบีบี ออโตเมชั่นประเทศไทย จำกัด

การโจมตีทางไซเบอร์ไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวอีกต่อไป แต่กลายเป็นภัยคุกคามที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เดิมทีการโจมตีจำกัดอยู่ที่แรนซัมแวร์และการหลอกลวงเพื่อเข้าถึงข้อมูลสำคัญ ต่าง ๆ แต่ปัจจุบันการโจมตีมุ่งเป้าไปที่หน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ โดยภาคธุรกิจพลังงานเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด จากการศึกษาของ Sophos ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์จากสหราชอาณาจักร พบว่า 62% ของหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ซึ่งรวมถึงบริษัทในภาคธุรกิจพลังงาน ล้วนเคยเผชิญกับการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ สัดส่วนนี้สูงกว่าภาคส่วนอื่น ๆ เช่น ภาคธุรกิจการผลิต ธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศ และธุรกิจการก่อสร้าง ที่มีสถิติอยู่ที่ 49%

เหตุใดภาคธุรกิจพลังงานจึงเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของการโจมตี และบริษัทต่าง ๆ ควรรับมืออย่างไร?

การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอย่างรวดเร็วของภาคธุรกิจพลังงานนั้น มีการบูรณาการระหว่างเทคโนโลยีเชิงปฏิบัติการ (OT) ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการอัตโนมัติที่ใช้ควบคุมโรงไฟฟ้า และเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูลและแอปพลิเคชันทางธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ระบบปฏิบัติการสำคัญต่าง ๆ ในประเทศไทยไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ ดังนั้น เมื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลทวีความรวดเร็วมากขึ้น ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์จึงจำเป็นต้องพัฒนาควบคู่กันไป เพื่อเป็นการปกป้องระบบปฏิบัติการ เพิ่มความมั่นคงและสร้างความสามารถในการรับมือจากภัยคุกคาม

ผลกระทบของกฎหมายและกฏระเบียบใหม่เกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ที่มีต่อองค์กร

ด้วยความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลไทยได้ออกมาตรการเชิงรุกหลายประการ โดยเริ่มต้นจากการประกาศใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 เพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติและคุ้มครองหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ (CIIO) ในหลากหลายภาคส่วน รวมถึงภาคธุรกิจพลังงาน นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขึ้นมา 2 องค์กร ได้แก่ คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) และสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบายและการบังคับใช้กฎหมาย

คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ได้ออกประกาศสำคัญ 2 ฉบับภายใต้ พ.ร.บ. ฉบับนี้ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2568 ฉบับแรกคือ ประกาศเรื่องมาตรฐานการกำหนดประเภทความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของข้อมูลและระบบสารสนเทศ ซึ่งกำหนดให้องค์กรต้องจำแนกประเภทข้อมูลและระบบสารสนเทศตามผลกระทบที่อาจเกิดจากเหตุการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยพิจารณาจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การเก็บรักษาความลับ ความถูกต้องสมบูรณ์ และความพร้อมใช้งาน ฉบับที่สองคือ ประกาศเรื่องมาตรฐานขั้นต่ำด้านความปลอดภัยของข้อมูลและระบบสารสนเทศ ซึ่งกำหนดมาตรการควบคุมความมั่นคงปลอดภัยขั้นต่ำที่องค์กรต้องปฏิบัติตาม ขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงของระบบปฏิบัติการ

เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศของคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติทั้งสองฉบับที่มีผลบังคับใช้ในปี พ.ศ. 2568 แล้วนั้น หน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ (CIIO) จะต้องจำแนกระบบ IT และ OT ทั้งหมดตามระดับความเสี่ยง ขณะเดียวกันก็ต้องประยุกต์ใช้มาตรการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่เหมาะสม มอบหมายผู้รับผิดชอบ จัดให้มีระบบการรายงานเหตุการณ์ที่รวดเร็ว และจัดทำเอกสารที่ชัดเจนเพื่อรองรับการตรวจสอบ

แนวทางการปฏิบัติตามกฏระเบียบด้วยโซลูชันความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์

เมื่อพิจารณาผลกระทบของกฎระเบียบต่อธุรกิจพลังงาน การมีแนวทางปฏิบัติที่เชื่อถือได้และมีโครงสร้างชัดเจนในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรที่ดำเนินงานในสภาพแวดล้อมที่มีภัยไซเบอร์คุกคามในปัจจุบัน เริ่มด้วยการประเมินความเสี่ยงอย่างครอบคลุม ซึ่งเป็นแนวป้องกันแรก โดยการประเมินเครือข่ายของระบบควบคุม การปฏิบัติการอัตโนมัติ (ICS) ไปจนถึงการประเมินจุดเปราะบางและจัดลำดับความสำคัญของมาตรการแก้ไขปรับปรุง

จากการประเมินความเสี่ยงดังกล่าว องค์กรสามารถลดความเสี่ยงทางไซเบอร์ได้โดยการจัดลำดับความสำคัญของการตรวจจับภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ผ่านเครื่องมือวิเคราะห์สถานะของเครือข่ายข้อมูล และใช้กลยุทธ์การป้องกันแบบหลายชั้น ซึ่งรวมถึงการแบ่งส่วนเครือข่าย การใช้ไฟร์วอลล์ที่เข้มงวด และการป้องกันด้วยอุปกรณ์กายภาพต่าง ๆ การประเมินอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่ามาตรการรักษาความปลอดภัยสอดคล้องกับทรัพย์สินที่มีความสำคัญและให้ผลลัพธ์สูงสุด นอกจากนี้ เมื่อระบบ IT และ OT มีการทำงานร่วมกัน “การบูรณาการความปลอดภัย” ก็จะกลายเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในภาคธุรกิจพลังงานที่ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด

บนพื้นฐานดังกล่าวนี้ องค์กรควรพัฒนาแผนผังรูปแบบโครงสร้างการป้องกันความมั่นคงปลอดภัยทาง ไซเบอร์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งมีการกำหนดกลยุทธ์ การกำหนดเขตข้อมูลปลอดภัย และการปฏิบัติตามกฏหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่การกำหนดนโยบาย มาตรการควบคุม และขั้นตอนการปฏิบัติงานเพื่อการเก็บรักษาความลับ ความถูกต้องสมบูรณ์ และความพร้อมใช้งานของข้อมูล

เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการรับมือภัยคุกคามไซเบอร์ให้ดียิ่งขึ้น องค์กรควรลงทุนในระบบป้องกันที่บูรณาการสำหรับระบบ IT-OT โดยเฉพาะ ซึ่งมีความน่าเชื่อถือและคุ้มค่า เพื่อให้สามารถแจ้งเตือนตามสถานการณ์และเตือนภัยล่วงหน้าได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการฝึกอบรมข้ามฝ่ายระหว่างหน่วยงาน IT และ OT จะช่วยปรับปรุงระบบเครือข่ายโดยรวมและการตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้ดียิ่งขึ้น

การตรวจสอบเฝ้าระวังขั้นสูงถือเป็นสิ่งสำคัญมากขององค์กรในภาคธุรกิจพลังงานที่มีการดำเนินงานที่ซับซ้อนและกระจายศูนย์ โดยเครื่องมือบริหารจัดการเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยของข้อมูล (SIEM) จะช่วยให้มีความสามารถในการมองเห็นที่สูงขึ้นและมีการตรวจจับเหตุการณ์ที่รวดเร็วกว่ามาตรการป้องกันแบบดั้งเดิม ทำให้สามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้อย่างทันท่วงที

เอบีบี ซึ่งเป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรม นำเสนอโซลูชันความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ ซึ่งผสานรวมการตรวจสอบเฝ้าระวังขั้นสูง การวิเคราะห์ข้อมูล และการรับมือกับเหตุการณ์ภัยคุกคามอย่างทันท่วงที เพื่อช่วยให้องค์กรลดผลกระทบจากการหยุดชะงักและรักษาการดำเนินงานได้อย่างสมบูรณ์ต่อเนื่อง โซลูชันเหล่านี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการตรวจจับภัยคุกคาม ทำให้การแก้ไขเหตุการณ์เป็นไปอย่างราบรื่น สนับสนุนความมั่นคงและการปฎิบัติการที่ดีที่สุดในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง

การสร้างอนาคตทางพลังงานที่ปลอดภัยและยั่งยืนสำหรับประเทศไทย

ในขณะที่ประเทศไทยกำลังก้าวไปบนเส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในระบบการผลิตไฟฟ้า การสร้างความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์จึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นวาระสำคัญระดับชาติ ซึ่งการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญไม่ได้หมายถึงเพียงการป้องกันการโจมตีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการรักษาความสมบูรณ์ของข้อมูล ความน่าเชื่อถือในการดำเนินงาน และความไว้วางใจจากสาธารณชน

ประเทศไทยจะสามารถปกป้องอนาคตด้านพลังงานและปลดล็อกศักยภาพเต็มรูปแบบของเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างเต็มที่ ได้ด้วยการดำเนินการเชิงรุก ควบคู่กับการลงทุนในระบบเครือข่ายข้อมูลที่มีความมั่นคงสูง เอบีบี เชื่อมั่นว่าการดำเนินการเชิงรุกคือกุญแจสำคัญ และการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ไม่ได้จำกัดอยู่ที่การป้องกันการโจมตีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปกป้องคุณค่าและความสมบูรณ์ของข้อมูลอีกด้วย

ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการตรวจสอบเฝ้าระวังขั้นสูง ระบบควบคุมอัตโนมัติ และเทคโนโลยีการตรวจจับภัยคุกคาม ภาคธุรกิจพลังงานของไทยไม่เพียงแต่จะสามารถป้องกันความเสี่ยงทางไซเบอร์ได้เท่านั้น แต่ยังสามารถปลดล็อกประสิทธิภาพและนวัตกรรมในระดับที่สูงขึ้นได้อีกเช่นกัน

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้เผยสุดยอดทำเลทองในรอบครึ่งแรกปี 68

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้เผยสุดยอดทำเลทองในรอบครึ่งแรกปี 68

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้เผยสุดยอดทำเลทองในรอบครึ่งแรกปี 68

แม้ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2568 จะชะลอตัวตามสภาพเศรษฐกิจ แต่ยังมีแสงสว่างปลายอุโมงค์จากปัจจัยบวกทั้งจากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐ การผ่อนคลายเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ที่มีความพร้อมทางการเงินในการซื้อบ้าน/คอนโดมิเนียมเป็นของตัวเอง

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยข้อมูลเชิงลึกจากผู้เข้าเยี่ยมชมในเว็บไซต์ www.DDproperty.com ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 (เก็บข้อมูลระหว่างเดือนมกราคม – มิถุนายน 2568) ที่แสดงความสนใจประกาศขาย-ให้เช่า และกรอกข้อมูลให้ติดต่อกลับ ซึ่งถือเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีศักยภาพในการซื้อ-เช่าในอนาคตมากที่สุด

โดยข้อมูลเหล่านี้สะท้อนเทรนด์ความต้องการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคชาวไทยทั่วประเทศ พร้อมอัปเดตทำเลศักยภาพที่น่าจับตามองและมีทิศทางเติบโตในอนาคต ซึ่งทำเลยังคงเป็นปัจจัยอันดับต้น ๆ ที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญเมื่อต้องการซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัย

อย่างไรก็ดี อีกหนึ่งความท้าทายที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 คือภัยธรรมชาติที่คาดเดาไม่ได้อย่างเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเมียนมาและเกิดแรงสั่นสะเทือนที่รับรู้ได้ในไทยเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ได้กลายเป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อการวางแผนเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนั้นได้ส่งผลเชิงบวกต่อตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบที่ได้รับความสนใจซื้อเพิ่มขึ้น โดยความต้องการซื้อทาวน์เฮ้าส์ในกรุงเทพฯ ณ เดือนเมษายน 2568 เติบโตขึ้น 4% จากเดือนมีนาคม 2568 ที่มีเหตุการณ์แผ่นดินไหว ขณะที่ความต้องการซื้อคอนโดฯ ลดลงถึง 31% เนื่องจากผู้บริโภคบางส่วนกังวลเรื่องความปลอดภัยของอาคารสูงเมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหว แม้ว่าคอนโดฯ จะเป็นประเภทอสังหาฯ ที่ได้รับความนิยมและตอบโจทย์วิถีชีวิตในกรุงเทพฯ ก็ตาม ซึ่งคาดว่าเป็นเพียงผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากความต้องการซื้อคอนโดฯ ได้ปรับเพิ่มขึ้น 5% ในเดือนพฤษภาคม ดังนั้นจึงต้องจับตาดูสถานการณ์และปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ในระยะยาวต่อไป

กรุงเทพฯครองแชมป์จังหวัดยอดนิยมของคนหาบ้านทั่วประเทศ

กรุงเทพมหานครยังคงเป็นจังหวัดที่ได้รับความต้องการซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยมากที่สุดในช่วงครึ่งปีแรก โดยจังหวัดที่ได้รับความต้องการซื้อรองลงมา ได้แก่ อันดับ 2 นนทบุรี, อันดับ 3 สมุทรปราการ, อันดับ 4 ชลบุรี และอันดับ 5 ปทุมธานี จะเห็นได้ว่าจังหวัดปริมณฑลยังคงได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ซื้อ โดยได้อานิสงส์จากการขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างใจกลางกรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑลให้สะดวกมากขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคหันไปเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในแถบชานเมืองที่มีราคาย่อมเยากว่าแทน

ขณะที่จังหวัดที่ได้รับความต้องการเช่ารองลงมา ได้แก่ อันดับ 2 สมุทรปราการ, อันดับ 3 นนทบุรี, อันดับ 4 ชลบุรี และอันดับ 5 ภูเก็ต 

สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยในหัวเมืองท่องเที่ยวเติบโตตามการฟื้นตัวของตลาดท่องเที่ยว ผู้บริโภคชาวไทยและชาวต่างชาติต่างมองหาที่อยู่อาศัยเพื่อใช้เป็นบ้านพักตากอากาศ หรือวางแผนอยู่อาศัยในวัยเกษียณ รวมทั้งตอบโจทย์เทรนด์การทำงานยุคใหม่ที่เปลี่ยนสถานที่ท่องเที่ยวให้กลายเป็นที่ทำงานตามเทรนด์ Workation ในปัจจุบัน

เขตวัฒนาฮอตไม่หยุด ขึ้นแทนทำเลยอดนิยมของผู้ซื้อ-ผู้เช่าในเมืองหลวง 

ความหนาแน่นของประชากรที่เข้ามาเรียนและทำงานในเมืองหลวงส่งผลให้ตลาดอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ ยังคงมีทิศทางเติบโต ผู้พัฒนาอสังหาฯ จึงต้องใช้กลยุทธ์สร้างความแตกต่างและเลือกเปิดตัวโครงการในหลากหลายทำเล เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการที่อยู่อาศัยในทุกระดับราคาและทุกประเภทอสังหาฯ ข้อมูลการเข้าชมประกาศอสังหาฯ บนเว็บไซต์ DDproperty.com พบว่า ”เขตวัฒนา” ยังได้รับความนิยมต่อเนื่องอีกปี ครองอันดับ 1 สุดยอดทำเลในกรุงเทพฯ ที่ได้รับความสนใจซื้อและเช่ามากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ถือเป็นอีกหนึ่งทำเลศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ (CBD) ที่น่าจับตามอง โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยทั้งการเดินทางที่สะดวกด้วยรถไฟฟ้า มีระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน จึงเป็นทำเลที่มีศักยภาพในการลงทุนหรือเก็งกำไรในอนาคต

โดย 5 ทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการซื้อมากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ได้แก่

  • อันดับ 1 เขตวัฒนา
  • อันดับ 2 เขตจตุจักร
  • อันดับ 3 เขตประเวศ
  • อันดับ 4 เขตคลองเตย
  • อันดับ 5 เขตห้วยขวาง

ทั้งนี้ เมื่อแบ่งตามประเภทอสังหาฯ พบว่า “เขตวัฒนา” ถือเป็นทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการซื้อคอนโดฯ มากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ขณะที่ “เขตประเวศ” ขึ้นแท่นทำเลยอดนิยมของที่อยู่อาศัยแนวราบ โดยเป็นทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการซื้อบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์มากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 แม้จะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก แต่สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกด้วยรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง อีกทั้งเขตประเวศยังมีห้างสรรพสินค้าและสวนสาธารณะขนาดใหญ่อย่างสวนหลวง ร.9 ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวายในเมือง

ด้านตลาดเช่าที่อยู่อาศัย นอกจาก “เขตวัฒนา” จะเป็นทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการเช่ามากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 แล้ว เมื่อแบ่งตามประเภทอสังหาฯ พบว่า “เขตวัฒนา” ถือเป็นทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการเช่าคอนโดฯ และบ้านเดี่ยวมากที่สุดในรอบครึ่งปีแรก ขณะที่ “เขตสวนหลวง” เป็นทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการเช่าทาวน์เฮ้าส์มากที่สุดในรอบครึ่งปีแรก ด้วยอานิสงส์จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง และการพัฒนาโครงการคมนาคมทั้งการตัดถนนใหม่ ขยายถนน ทำให้เขตสวนหลวงเดินทางได้สะดวกมากขึ้น จึงเป็นอีกย่านที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น

โดย 5 ทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการเช่ามากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ได้แก่

  • อันดับ 1 เขตวัฒนา 
  • อันดับ 2 เขตคลองเตย
  • อันดับ 3 เขตพระโขนง 
  • อันดับ 4 เขตราชเทวี
  • อันดับ 5 เขตปทุมวัน

อัปเดตทำเลแนวรถไฟฟ้ายอดนิยม “BTS อ่อนนุชยืน 1 ทำเลทองอย่างต่อเนื่อง 

นอกจากนี้ DDproperty ยังได้รวบรวมข้อมูลผู้ซื้อ-เช่าที่เข้ามาค้นหาบ้าน-คอนโดฯ โดยมีการพิมพ์ในช่องค้นหาตามสิ่งที่สนใจ (Free Text) ค้นหาจากคำสำคัญ (Keyword) หรือใช้ฟิลเตอร์ต่าง ๆ บนเว็บไซต์ สะท้อนให้เห็นเทรนด์ที่อยู่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงไปตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ไม่หยุดนิ่ง

การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าถือว่าตอบโจทย์วิถีชีวิตชาวกรุงที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็ว ส่งผลให้ทำเลแนวรถไฟฟ้าทั้งเส้นทางที่เปิดให้บริการแล้วและที่ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างมีความต้องการซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าทุกสายในราคาไม่เกิน 20 บาทตลอดสาย และจะเริ่มโครงการในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 นี้ ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกที่ช่วยส่งเสริมให้ดีมานด์ที่อยู่อาศัยแนวรถไฟฟ้าเติบโตอย่างน่าสนใจ

สำหรับทำเลแนวรถไฟฟ้า BTS และ MRT ที่ได้รับความสนใจซื้อ/เช่ามากที่สุดในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 อันดับ 1 ได้แก่ BTS อ่อนนุช ทำเลศักยภาพแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ยังคงดึงดูดคนหาบ้านได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยทั้งเป็นย่านธุรกิจ แหล่งช้อปปิ้ง รองรับการเดินทางที่หลากหลาย และจุดเด่นที่เป็นสถานีแรกของรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายไปยังสถานีเคหะฯ ในจังหวัดสมุทรปราการ จึงทำให้ไม่ต้องเสียค่าโดยสารส่วนต่อขยายเพิ่ม ประกอบกับการที่โครงการที่อยู่อาศัยในทำเลนี้ยังมีราคาไม่แพง จึงส่งผลให้ทำเลแนวรถไฟฟ้า BTS อ่อนนุช เป็นทำเลศักยภาพที่น่าสนใจอย่างยิ่งทั้งเพื่ออยู่อาศัยเองหรือลงทุน

ตามมาด้วย อันดับ 2 BTS พร้อมพงษ์, อันดับ 3 BTS ทองหล่อ, อันดับ 4 BTS เอกมัย, อันดับ 5 BTS อารีย์, อันดับ 6 MRT พระราม 9, อันดับ 7 BTS อโศก, อันดับ 8 BTS ปุณณวิถี, อันดับ 9 BTS อุดมสุข และอันดับ 10 MRT ลาดพร้าว 

โดย 8 ใน 10 ของสถานีรถไฟฟ้ายอดนิยมในกลุ่มผู้ค้นหาที่อยู่อาศัย เป็นสถานีที่อยู่ในโครงการรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว ซึ่งเชื่อมต่อการเดินทางสู่ใจกลางเมืองซึ่งเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่และย่านธุรกิจสำคัญของประเทศ ส่งผลให้รถไฟฟ้าสายสีเขียวมีปริมาณผู้ใช้บริการสูงที่สุด และเป็นโอกาสของผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่จะพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายเหล่านี้

ทำเลใกล้สถานศึกษายังมาแรง ย่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครองใจชาวกรุง

เทรนด์การค้นหาที่อยู่อาศัยในทำเลใกล้สถานศึกษา หรือเทรนด์แคมปัสคอนโดฯ (Campus Condo) ยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ โดยมีปัจจัยบวกจากการที่ ธปท. ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ชั่วคราว ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อผู้ปกครองที่วางแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยใกล้สถานศึกษาของบุตรหลาน เพื่อลดระยะเวลาเดินทางในเมืองหลวง

สำหรับทำเลใกล้สถานศึกษาย่าน “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง มีการค้นหาที่อยู่อาศัยเพื่อซื้อและเช่ามากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ด้วยจุดเด่นที่เป็นย่านธุรกิจสำคัญใจกลางเมือง รายล้อมด้วยแหล่งช้อปปิ้งและแหล่งงานสำคัญ มีสถานศึกษาชั้นนำมากมาย รวมทั้งเดินทางได้สะดวกด้วยรถไฟฟ้า BTS และ MRT จึงกลายเป็นทำเลทองที่รวมความต้องการซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยทั้งจากผู้ปกครอง นักเรียน/นักศึกษา บุคลากรสถานศึกษา รวมทั้งวัยทำงานในย่านนี้ โดยข้อมูลการสำรวจการเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลของ บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส พบว่า ทำเลย่านสยาม-ชิดลม-เพลินจิต ถือเป็นทำเลที่มีราคาที่ดินที่แพงที่สุดในไทย ประเมินไว้ที่ 3.85 ล้านบาทต่อตารางวา ราคาเพิ่มขึ้นถึง 2.7% เมื่อเทียบกับราคา ณ ปี 2567 จึงถือเป็นทำเลศักยภาพที่น่าจับตามองทั้งในมุมผู้บริโภคที่สนใจอยู่อาศัยเองและนักลงทุน

สำหรับ 5 ทำเลใกล้สถานศึกษาที่ได้รับความสนใจซื้อมากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ได้แก่

  • อันดับ 1 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • อันดับ 2 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
  • อันดับ 3 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
  • อันดับ 4 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
  • อันดับ 5 มหาวิทยาลัยศรีปทุม 

ขณะที่ 5 ทำเลใกล้สถานศึกษาที่ได้รับความสนใจเช่ามากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ได้แก่

  • อันดับ 1 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • อันดับ 2 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
  • อันดับ 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์)
  • อันดับ 4 NIST International School
  • อันดับ 5 Bangkok Patana School 

ผู้ซื้อ Real Demand มองหาบ้าน/คอนโดฯ ไม่เกิน 2 ล้าน เน้นกะทัดรัดและคุ้มค่า 

จากข้อมูลยังพบว่า ผู้ที่วางแผนซื้อที่อาศัยทั่วประเทศในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ใช้ฟิลเตอร์เพื่อค้นหาบ้าน/คอนโดฯ ที่มี 2 ห้องนอนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ซึ่งเป็นขนาดที่เหมาะสมกับครอบครัวขนาดเล็ก และมีพื้นที่เพียงพอในการแยกสัดส่วนของสมาชิกในครอบครัว อันดับ 2 ได้แก่ ที่อยู่อาศัย 3 ห้องนอน และอันดับ 3 ที่อยู่อาศัย 1 ห้องนอน 

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจซื้อเกือบ 3 ใน 4 (72%) สนใจโครงการที่อยู่อาศัยที่ตกแต่งให้ครบแบบพร้อมเข้าอยู่ (Fully Furnished) เนื่องจากช่วยประหยัดงบในการตกแต่งไม่ให้บานปลาย และสะดวกในการย้ายเข้าอยู่ได้ทันที ขณะที่ 29% มองหาโครงการที่ตกแต่งให้บางส่วน (Fully Fitted) ส่วน 20% เลือกโครงการที่ไม่มีการตกแต่งใด ๆ เลย เพื่อนำไปตกแต่งในสไตล์ที่ชื่นชอบด้วยตนเอง

สำหรับราคาที่ผู้ที่สนใจซื้อนิยมค้นหาบนเว็บไซต์ DDproperty.com พบว่าระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาทมีการค้นหามากที่สุด สะท้อนให้เห็นว่าผู้ที่สนใจซื้อยังคงให้ความสำคัญกับการค้นหาโครงการที่มีราคาจับต้องได้ (Affordable price) มาเป็นอันดับแรก ประกอบกับภาครัฐมีแผนพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าให้ครอบคลุมหลากหลายเส้นทางมากขึ้น จึงทำให้ผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องซื้อที่อยู่อาศัยในย่านใจกลางเมืองที่มีราคาสูง และหันมาเลือกซื้อโครงการในแถบชานเมืองแทน โดยระดับราคาที่อยู่อาศัยที่ชาวไทยสนใจซื้อมากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ได้แก่

  • อันดับ 1 ระดับราคา 1,000,000 – 2,000,000 บาท 
  • อันดับ 2 ระดับราคา 500,000 – 1,000,000 บาท
  • อันดับ 3 ระดับราคา 500,000 – 1,500,000 บาท 

ผู้เช่า 9 ใน 10 เลือกโครงการตกแต่งพร้อมอยู่ เผยค่าเช่าไม่เกิน 15,000 บาท/เดือน ยังตอบโจทย์ 

ข้อมูลจากผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ DDproperty.com พบว่า ผู้ที่วางแผนเช่าที่อาศัยทั่วประเทศในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 สนใจค้นหาบ้าน/คอนโดฯ ที่มี 2 ห้องนอนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 คล้ายกับฝั่งผู้ซื้อ เนื่องจากส่วนใหญ่อยู่อาศัยเป็นครอบครัวขนาดเล็ก ขณะที่อันดับ 2 สนใจเช่าที่อยู่อาศัย 1 ห้องนอน และอันดับ 3 สนใจเช่าที่อยู่อาศัย 3 ห้องนอน 

โดยผู้ที่สนใจเช่าเกือบ 9 ใน 10 (88%) ต้องการเช่าบ้าน/คอนโดฯ ที่ตกแต่งครบครันพร้อมเข้าอยู่ (Fully Furnished) มากที่สุด ตอบโจทย์ความสะดวกในการย้ายเข้า-ออกได้ทันที ไม่ต้องกังวลเรื่องการขนย้ายหากต้องโยกย้ายทำเลในอนาคต นอกจากนี้ ผู้ที่สนใจเช่ายังสามารถนำงบที่จะซื้อเฟอร์นิเจอร์ไปใช้จ่ายด้านอื่นแทนได้ ขณะที่ 20% สนใจโครงการที่ตกแต่งให้บางส่วน (Fully Fitted) โดยมีผู้ที่สนใจเช่าเพียง 9% เท่านั้นที่เลือกบ้านหรือห้องเปล่าที่ไม่มีการตกแต่งใด ๆ 

ขณะที่ระดับค่าเช่าส่วนใหญ่ที่มีผู้เช่าค้นหามากที่สุดอยู่ในช่วงไม่เกิน 15,000 บาท/เดือน ซึ่งถือเป็นค่าเช่าที่อยู่ในระดับปานกลาง ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เช่าที่คาดหวังคุณภาพชีวิตที่ดีผ่านการอยู่อาศัยในย่านที่มีความเจริญ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะอย่างรถไฟฟ้า 

อย่างไรก็ดีหากเทียบกับการซื้อที่อยู่อาศัยแล้ว การเช่าช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินที่อาจได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนได้ดีกว่า และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออมเงินในช่วงที่เศรษฐกิจท้าทายเช่นนี้ โดยระดับราคาที่อยู่อาศัยที่ชาวไทยสนใจเช่ามากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ได้แก่

  • อันดับ 1 ระดับค่าเช่า 10,000 – 15,000 บาท/เดือน
  • อันดับ 2 ระดับค่าเช่า 6,000 – 10,000 บาท/เดือน 
  • อันดับ 3 ระดับค่าเช่า 10,000 – 20,000 บาท/เดือน

Standard Chartered and Alibaba Group Sign Strategic Technology and Growth Partnership

Standard Chartered และ Alibaba Group ลงนามความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีและการสร้างความเติบโต รวมพลังพัฒนาและใช้เทคโนโลยี AI ที่ล้ำหน้า

Standard Chartered and Alibaba Group Sign Strategic Technology and Growth Partnership

Two industry powerhouses will work together to advance development and implementation of AI technologies

Standard Chartered (“the Bank”) and Alibaba Group Holding Limited (“Alibaba” or “Alibaba Group”) have entered into a strategic partnership, utilising Alibaba Cloud’s Artificial Intelligence (AI) technologies to accelerate the pace at which the financial services sector embraces AI.

According to the Memorandum of Understanding, Standard Chartered will work with Alibaba Cloud as its strategic partner for AI technologies to enhance operational efficiency and elevate the customer experience. Leveraging Alibaba Cloud’s intelligent solutions and AI technologies, the collaboration aims to help the Bank elevate its competitive edge. This includes developing AI-powered customer service and sales intelligence to raise the bar on customer engagement, automating AI-driven risk management and compliance, and upskilling its talents through AI workshops and certifications.  

The partnership will also support Alibaba Group’s strategic development globally, with Standard Chartered providing a comprehensive range of banking services that is tailored to meet Alibaba Group’s business needs, from financial support, supply chain financing support, cross border fund management solutions, to deepening the collaboration in financial market. Both parties will also actively enhance cooperation in the areas of sustainable development and sustainable finance. 

Bill Winters, Group Chief Executive of Standard Chartered, said: “We are investing heavily in cutting-edge technologies like AI, which are transforming our own business model and reshaping the future of finance. I am excited to build on our existing relationship with Alibaba Group – a global leader in AI and other areas including e-commerce and retail – and advance our shared commitment to transformative innovation. By combining Alibaba Group’s technological prowess with our financial expertise, we look to harness the full potential of AI technologies to advance on our innovation agenda while also creating long-term value for our clients, colleagues, and communities.” 

Eddie Wu, CEO of Alibaba Group, added: “From education to healthcare and scientific research, AI has already shown its potential to drive transformational change. We are thrilled to partner with Standard Chartered, a global leader in financial services, to shape the transformation in the financial sector. Through this strategic alliance, we will combine Alibaba’s technological expertise with Standard Chartered’s deep industry knowledge to unlock new possibilities.”

Standard Chartered และ Alibaba Group ลงนามความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีและการสร้างความเติบโต รวมพลังพัฒนาและใช้เทคโนโลยี AI ที่ล้ำหน้า

Standard Chartered และ Alibaba Group ลงนามความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีและการสร้างความเติบโต รวมพลังพัฒนาและใช้เทคโนโลยี AI ที่ล้ำหน้า

Standard Chartered และ Alibaba Group ลงนามความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีและการสร้างความเติบโต

รวมพลังพัฒนาและใช้เทคโนโลยี AI ที่ล้ำหน้า

สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (Standard Chartered) และบริษัทอาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด (อาลีบาบา หรือ อาลีบาบา กรุ๊ป) ร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อเร่งนำ AI มาใช้ในภาคบริการทางการเงินให้รวดเร็วยิ่งขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของอาลีบาบา คลาวด์

ภายใต้บันทึกความเข้าใจนี้ สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดจะทำงานร่วมกับอาลีบาบา คลาวด์ ในฐานะพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยี AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการดำเนินงาน และยกระดับประสบการณ์ลูกค้า ความร่วมมือนี้มีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ธนาคารฯ เพิ่มความได้เปรียบทางการแข่งขัน ด้วยการใช้โซลูชันที่ชาญฉลาดและเทคโนโลยี AI ของอาลีบาบา คลาวด์ ซึ่งรวมถึงการพัฒนาบริการลูกค้า และข้อมูลเชิงลึกด้านการขายที่ช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดโดยมี AI เป็นเทคโนโลยีเบื้องหลัง เพื่อให้ลูกค้ามีส่วนร่วมมากขึ้น ใช้การบริหารความเสี่ยงและการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้อย่างอัตโนมัติ และ ยกระดับทักษะความสามารถบุคลากรด้วยการเข้าร่วมเวิร์กช็อปด้าน AI และการได้รับการรับรองต่าง ๆ

ความร่วมมือครั้งนี้ยังเป็นการสนับสนุนการพัฒนากลยุทธ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป ทั่วโลก โดยสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดให้บริการด้านการธนาคารที่ครอบคลุมที่ปรับแต่งให้ตรงตามความต้องการทางธุรกิจของกลุ่มธุรกิจอาลีบาบา กรุ๊ป ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนทางการเงิน การสนับสนุนทางการเงินให้กับระบบซัพพลายเชน โซลูชันบริหารจัดการกองทุนข้ามประเทศ ไปจนถึงการกระชับความร่วมมือในตลาดการเงินเชิงลึก ทั้งนี้ทั้งสองฝ่ายจะเสริมสร้างความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนและด้านการเงินที่ยั่งยืนอย่างแข็งขัน

นายบิล วินเทอร์ส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด กล่าวว่า “เรากำลังลงทุนอย่างมากในเทคโนโลยีล้ำสมัยต่าง ๆ เช่น AI ซึ่งมีบทบาทเข้ามาปรับเปลี่ยนรูปแบบทางธุรกิจของเรา และพลิกโฉมอนาคตด้านการเงิน ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ต่อยอดความสัมพันธ์ที่มีอยู่กับอาลีบาบา กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกด้าน AI และด้านอื่น ๆ เช่น อีคอมเมิร์ซและค้าปลีก รวมถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของเราในการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ตอบรับความต้องการได้อย่างเจาะจง เรามุ่งหวังว่า เมื่อรวมความสามารถทางเทคโนโลยีของอาลีบาบา กรุ๊ป เข้ากับความเชี่ยวชาญด้านการเงินของเรา เราจะสามารถใช้ศักยภาพของ AI อย่างเต็มที่ เพื่อต่อยอดงานด้านนวัตกรรมของเรา ในขณะที่ยังคงสร้างคุณค่าในระยะยาวให้กับลูกค้า ผู้ร่วมงาน และชุมชนของเรา” 

นายเอ็ดดี้ วู ซีอีโอของอาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวเสริมว่า “AI ได้แสดงให้เห็นแล้วถึงศักยภาพในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างหรือเชิงปฏิรูป ไม่ว่าจะเป็นในภาคการศึกษาไปจนถึงการดูแลสุขภาพและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมมือกับสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ซึ่งเป็นบริการด้านการเงินชั้นนำของโลก เพื่อกำหนดทิศทางการเปลี่ยนผ่านในภาคการเงิน การเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ครั้งนี้จะเป็นการผสานรวมความเชี่ยวชาญของอาลีบาบา เข้ากับความรู้เชิงลึกในอุตสาหกรรมของสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด เพื่อปลดล็อกโอกาสและความเป็นไปได้ใหม่ ๆ” 

Alibaba Releases Wan2.2 to Uplift Cinematic Video Production

อาลีบาบา ปล่อย Wan2.2 ยกระดับการผลิตวิดีโอคุณภาพระดับภาพยนตร์

Alibaba Releases Wan2.2 to Uplift Cinematic Video Production

The Industry’s first open-source MoE large video generation models offering superb control for global creators and developers

Alibaba has released Wan2.2, the industry’s first open-source large video generation models incorporating the MoE (Mixture-of-Experts) architecture, that will significantly elevate the ability of creators and developers to produce cinematic-style videos with a single click. 

The Wan2.2 series feature a text-to-video model Wan2.2-T2V-A14B and image-to-video model Wan2.2-I2V-A14B, and Wan2.2-TI2V-5B, a hybrid model that supports both text-to-video and image-to-video generation tasks within a single unified framework. 

Built on the MoE architecture and trained on meticulously curated aesthetic data, Wan2.2-T2V-A14B and Wan2.2-I2V-A14B generates videos with cinematic-grade quality and aesthetics, offering creators precise control over key dimensions such as lighting, time of day, color tone, camera angle, frame size, composition, focal length, etc. 

The two MoE models also demonstrate significant enhancements in producing complex motions – including vivid facial expressions, dynamic hand gestures, and intricate sports movements. Additionally, the models deliver realistic representations with enhanced instruction following and adherence to physical laws.

To address the issue of high computational consumption in video generation caused by long tokens, Wan2.2-T2V-A14B and Wan2.2-I2V-A14B implement a two-expert design in the denoising process of diffusion models, including a high-noise expert focusing on overall scene layout and a low-noise expert to refine details and textures. Though both models comprise a total of 27 billion parameters, only 14 billion parameters are activated per step, reducing computational consumption by up to 50%.

Wan2.2 incorporates fine-grained aesthetic tuning through a cinematic-inspired prompt system that categorizes key dimensions such as lighting, illumination, composition, and color tone. This approach enables Wan2.2 to accurately interpret and convey users’ aesthetic intentions during the generation process. 

To enhance generalization capabilities and creative diversity, Wan2.2 was trained on a substantially larger dataset, featuring 65.6% increase in image data and 83.2% increase in video data compared to Wan2.1. Wan2.2 demonstrates enhanced performance in producing complex scenes and motions, as well as an enhanced capacity for artistic expression. 

A Compact Model to Enhance Efficiency and Scalability

Wan2.2 also introduces its hybrid model Wan2.2-TI2V-5B, a dense model utilizes a high-compression 3D VAE architecture to achieve a temporal and spatial compression ratio of 4x16x16, enhancing the overall information compression rate to 64. The TI2V-5B can generate a 5-second 720P video in several minutes on a single consumer-grade GPU, enabling efficiency and scalability to developers and content creators.  

Wan2.2 models are available to download on Hugging Face and GitHub, as well as Alibaba Cloud’s open-source community, ModelScope. A major contributor to the global open source community, Alibaba open sourced four Wan2.1 models in February 2025 and Wan 2.1-VACE (Video All-in-one Creation and Editing) in May 2025. To date, the models have attracted over 5.4 million downloads on Hugging Face and ModelScope.