ดีดีพร็อพเพอร์ตี้สรุปเทรนด์อสังหาฯ น่าจับตา ส่งท้ายปีฉลู

DDproperty

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้สรุปเทรนด์อสังหาฯ น่าจับตา ส่งท้ายปีฉลู

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในรอบปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ท่ามกลางปัจจัยแวดล้อมที่มีบทบาทกับการเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิต ทัศนคติต่อการอยู่อาศัยให้เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยาวนาน ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัล สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์การดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป ผู้บริโภคใช้ชีวิตภายใต้บริบททางสังคมที่หลากหลายได้ดียิ่งขึ้น สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนในแวดวงอสังหาฯ ขณะที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ได้ปรับตัวพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยให้ความสำคัญกับการอยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในปัจจุบันมากขึ้น ชูจุดเด่นในเรื่องการสร้างสรรค์ประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ดีกว่า เพื่อดึงดูดกำลังซื้อจากผู้ที่กำลังมองหาบ้าน

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย ขอนำเสนอเทรนด์อสังหาริมทรัพย์ที่น่าจับตามองในรอบปี 2564 สรุปทิศทางแนวโน้มที่อยู่อาศัยที่ผู้บริโภคยุคใหม่มองหา เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่ส่งมอบประสบการณ์ และตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่แท้จริงได้อย่างราบรื่น

    • การผสมผสานไลฟ์สไตล์ดิจิทัล (Digital Lifestyle Integration) ปัจจุบันเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามามีบทบาทในการยกระดับและรองรับการใช้ชีวิตยุคใหม่ให้สะดวกสบาย เห็นได้จากการที่หลายโครงการได้นำแนวคิดบ้านอัจฉริยะ (Smart Home) มาใช้มากยิ่งขึ้น จนแทบจะกลายเป็นฟังก์ชั่นการใช้งานพื้นฐานที่ที่อยู่อาศัยยุคใหม่ต้องมี การที่บ้าน/คอนโดฯ ใช้เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) ในการควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในบ้านนั้น นอกจากจะช่วยให้ผู้อยู่อาศัยสะดวกสบายยิ่งขึ้นแล้ว ยังเพิ่มความอุ่นใจในความปลอดภัยมากขึ้น ทั้งในเรื่องการเฝ้าระวัง การตรวจสอบ การเปิดหรือปิดการใช้งานระบบไฟฟ้าได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน
    • การอยู่อาศัยแบบยั่งยืนตอบโจทย์คนหาบ้าน (Sustainable & Green Living) เมื่อผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเทรนด์ความยั่งยืน ภาคธุรกิจรวมถึงตลาดอสังหาฯ จึงต้องปรับตัวเพื่อตอบโจทย์นี้ โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดฯ ที่ผ่านมาที่ผู้บริโภคต้องอยู่กับบ้านมากขึ้น จึงมองหาบ้านที่มาพร้อมฟังก์ชั่นประหยัดพลังงานและรักษ์โลก ข้อมูลจากผลสำรวจ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด เผยว่า คนไทยกว่า 9 ใน 10 (93%) ให้ความสำคัญกับการอยู่อาศัยแบบยั่งยืน โดยมากกว่าครึ่ง (62%) ต้องการบ้าน/คอนโดฯ ที่มีระบบหลังคาโซล่าเซลล์ (Solar Rooftop) เพื่อสร้างพลังงานทางเลือกทดแทนการใช้ไฟฟ้า ตามมาด้วยบ้านที่มีระบบระบายความร้อน (58%) และฟังก์ชั่นดูดซับมลพิษภายในบ้าน (48%) นอกจากนี้หลายโครงการยังได้เพิ่มจุดบริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในพื้นที่ส่วนกลาง รองรับเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังมาแรง
    • บ้านเพื่อผู้สูงอายุ ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society) แล้วในปีนี้ โดยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป ถึง 20% ของประชากรทั้งหมด หลายโครงการที่อยู่อาศัยมีการออกแบบและนำเสนอนวัตกรรมการสร้างบ้านสำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ เพื่อช่วยให้ใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกและราบรื่นยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มราวจับในพื้นที่ต่างระดับ การเลือกประตูที่มีขนาดใหญ่ขึ้นสำหรับรถเข็น และสร้างทางลาดให้รถเข็นเข้า-ออกในตัวบ้านได้ง่ายขึ้น ซึ่งรายละเอียดการออกแบบต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะบ้านที่มีผู้สูงอายุเท่านั้น หากแต่เป็นหลักการออกแบบที่คำนึงถึงความปลอดภัยและรองรับการใช้ชีวิตของทุกช่วงวัยได้เป็นอย่างดี ถือเป็นพื้นฐานการออกแบบที่อยู่อาศัยที่ทุกบ้านต้องมี นอกจากนี้ ยังมีโครงการอสังหาฯ หลายแห่งที่ร่วมมือกับโรงพยาบาลหรือศูนย์บริการสุขภาพในการเพิ่มบริการดูแลสุขภาพไว้รองรับ ถือเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับครอบครัวที่มีผู้สูงอายุ
ddproperty
    • ที่อยู่อาศัย Pet Friendly สำหรับคนรักสัตว์ เทรนด์สัตว์เลี้ยงถือเป็นอีกไลฟ์สไตล์ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภค แต่ก็กลายเป็นอีกข้อจำกัดเมื่อต้องเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยเช่นกัน ในอดีตโครงการคอนโดฯ ส่วนใหญ่มักไม่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้ เนื่องจากอาจก่อให้เกิดเสียงดังรบกวนเพื่อนร่วมคอนโดฯ หรือมีปัญหาเรื่องความสะอาด ที่อาจก่อให้เกิดข้อพิพาทตามมาในภายหลังได้ อย่างไรก็ตาม กลุ่มคนรักสัตว์มีจำนวนไม่น้อยและถือเป็นอีกกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อในตลาด ทำให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ มองเห็นโอกาสและหันมาเจาะกลุ่มคนรักสัตว์โดยเปิดตัวโครงการคอนโดฯ ที่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้ (Pet Friendly) พร้อมทั้งมีพื้นที่ส่วนกลางที่ให้เจ้าของและสัตว์เลี้ยงได้ทำกิจกรรมร่วมกันอีกด้วย
    • เทรนด์เช่ามาแรง ลดภาระค่าครองชีพ การชะลอตัวของเศรษฐกิจและการแพร่ระบาดฯ ที่ยังมีความผันผวนอยู่ ทำให้ผู้บริโภคชาวไทยชะลอการซื้อที่อยู่อาศัยออกไปก่อน และวางแผนการเงินอย่างรัดกุม เลือกเก็บเงินสดไว้กับตัว ส่งผลให้เทรนด์การเช่าที่อยู่อาศัยกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อาทิ ค่าบำรุงรักษา รวมไปถึงค่าภาษีและดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายเมื่อตัดสินใจซื้อบ้าน/คอนโดฯ ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบางและไม่มีมาตรการช่วยเหลือที่ครอบคลุมเพียงพอ การเช่าที่อยู่อาศัยจะช่วยให้กลุ่มคนรุ่นใหม่สามารถเลือกเช่าที่อยู่อาศัยใกล้ที่ทำงานได้ในราคาที่เอื้อมถึง โดยไม่มีภาระผูกมัดระยะยาว และยืดหยุ่นกว่าเมื่อคิดจะเปลี่ยนงานใหม่ นอกจากนี้การเปิดประเทศและนโยบายจากภาครัฐจะสนับสนุนให้ Digital Nomad หรือผู้ประกอบอาชีพด้านดิจิทัลชาวต่างชาติเลือกเข้ามาทำงานและพักอาศัยในไทยมากขึ้น ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนให้ตลาดเช่าที่อยู่อาศัยเติบโตเช่นกัน
    • สร้างบรรยากาศแบบ Holiday at Home การใช้เวลาอยู่ที่บ้านมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา จึงทำให้เกิดแนวคิดการออกแบบที่อยู่อาศัยที่ให้ความรู้สึกของการพักผ่อนที่เหมือนได้ท่องเที่ยวพักผ่อนในต่างจังหวัดแม้จะอยู่ที่บ้าน รวมทั้งการตกแต่ง การจัดสวนให้มีมุมพักผ่อนที่ได้ใกล้ชิดธรรมชาติ สมาชิกในครอบครัวสามารถเลือกนั่งทำงานหรือเรียนออนไลน์ในบรรยากาศที่แตกต่างออกไป ลดความจำเจเมื่อต้องทำงานที่บ้านเป็นระยะเวลานาน และยังสามารถใช้พื้นที่ในสวนเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่บ้านร่วมกันได้อีกด้วย ตอบโจทย์การออกแบบที่อยู่อาศัยให้ยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ตามไลฟ์สไตล์ของคนในครอบครัว
    • สกุลเงินดิจิทัลกับโอกาสเป็นเจ้าของอสังหาฯ กระแสของสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ในไทยน่าจับตามองและมีบทบาทมากขึ้นในหลายอุตสาหกรรม ไม่เพียงแต่ด้านฟินเทค (Fintech) เท่านั้นแต่รวมไปถึงในธุรกิจค้าปลีก ความบันเทิง และอสังหาฯ โดยในกลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่ที่กล้ารับความเสี่ยง มองว่าสกุลเงินดิจิทัลเป็นอีกทางเลือกในการลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนคุ้มค่าไม่ต่างจากการลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยให้ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นทรัพย์สินที่มีราคาสูงและระยะเวลาผ่อนชำระยาวนาน ผู้ยื่นกู้จำเป็นต้องมีประวัติการเงินที่ดีและมีศักยภาพในการผ่อนชำระจึงจะได้รับการอนุมัติจากธนาคาร ถือเป็นอุปสรรคในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่หรือวัยเริ่มทำงาน ในขณะที่ผลตอบแทนจากการลงทุนสกุลเงินดิจิทัลที่ได้ในระยะเวลาไม่นาน ช่วยลดข้อจำกัดเหล่านี้และเปิดโอกาสให้นักลงทุนรุ่นใหม่เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถนำอสังหาฯ นี้ไปลงทุนขายต่อหรือปล่อยเช่าได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ต้องจับตามองต่อไปว่านอกจากการประกาศใช้สกุลเงินดิจิทัลในการซื้ออสังหาฯ หรือจ่ายค่าส่วนกลางและค่าบริการอื่น ๆ ในบางโครงการแล้ว ในอนาคตเทรนด์สกุลเงินดิจิทัลจะสามารถกลายเป็นอีกช่องทางหลักของการซื้อขายในตลาดอสังหาฯ ได้หรือไม่
DDproperty
    • Metaverse ยกระดับประสบการณ์ที่อยู่อาศัยบนโลกเสมือน เทรนด์มาแรงที่สั่นสะเทือนทุกธุรกิจส่งท้ายปี ได้แก่ Metaverse นวัตกรรมที่สร้างสรรค์และผสมผสานสภาพแวดล้อมของโลกจริงเข้ากับโลกเสมือนจริง ให้กลายเป็นชุมชนโลกเสมือนจริงผ่านการใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่รองรับการเข้าถึงโลกเสมือนอย่าง Augmented Reality (AR) และ Virtual Reality (VR) ถือเป็นแนวคิดที่จะเข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงตลาดอสังหาฯ ไปไม่น้อย นอกจากผู้บริโภคจะสามารถซื้อโครงการที่อยู่อาศัยในชีวิตจริงแล้ว ยังสามารถเป็นเจ้าของโครงการในโลกเสมือนได้ผ่านการเชื่อมโยงของ Metaverse อีกด้วย นอกจากนี้ยังนำไปใช้เพื่อยกระดับการเยี่ยมชมที่อยู่อาศัยก่อนตัดสินใจซื้อแบบ Virtual Tour ในอนาคตให้ได้รับประสบการณ์ที่สมจริงยิ่งขึ้นเหมือนเดินชมที่สำนักงานขายด้วยตนเอง พร้อมทั้งสร้างโอกาสทางธุรกิจในการเปิดพื้นที่ใน Metaverse ให้สามารถซื้อขายที่ดินเพื่อพัฒนาห้างสรรพสินค้าและโครงการอสังหาฯ ต่าง ๆ เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตแบบไร้รอยต่อระหว่างโลกจริงและโลกเสมือนให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

Restaurant Brands International จับมือแอนท์กรุ๊ป เร่งทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นสำหรับธุรกิจร้านอาหารทั่วเอเชีย-แปซิฟิก

Restaurant Brands International

Restaurant Brands International จับมือแอนท์กรุ๊ป เร่งทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นสำหรับธุรกิจร้านอาหารทั่วเอเชีย-แปซิฟิก

Restaurant Brands International Inc. (“RBI”) หนึ่งในบริษัทที่ทำธุรกิจร้านอาหารบริการด่วนที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นเจ้าของแบรนด์ เช่น TIM HORTONS®, BURGER KING® และ POPEYES® ประกาศความร่วมมือระดับภูมิภาคกับแอนท์กรุ๊ป (Ant Group) โดยจะใช้ประโยชน์จากโซลูชั่นดิจิทัลของแอนท์กรุ๊ปเพื่อเร่งการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัล หรือดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นในการดำเนินธุรกิจร้านอาหารทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมการดำเนินงานของ RBI เพื่อสนับสนุนการทำงานของร้านอาหารแฟรนไชส์และการขยายธุรกิจในตลาดเอเชีย-แปซิฟิก

ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว แอนท์กรุ๊ปจะทำงานร่วมกับร้านอาหารแฟรนไชส์ของ RBI ในแต่ละประเทศ เพื่อติดตั้งการใช้งานโซลูชั่นดิจิทัล รวมถึงโซลูชั่นมินิโปรแกรมในรูปแบบของ Software-as-a-Service (SaaS) และ Alipay+ ซึ่งเป็นโซลูชั่นด้านการตลาดและการชำระเงินระหว่างประเทศที่ครอบคลุมทั่วโลก ความร่วมมือในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อมอบประสบการณ์หลากหลายช่องทาง (omni-channel) ที่ราบรื่นและสะดวกมากขึ้นสำหรับลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของร้านอาหาร

ด้วยโซลูชั่นมินิโปรแกรม SaaS แอนท์กรุ๊ปจะพัฒนามินิโปรแกรมสำหรับแต่ละแบรนด์ของ RBI ซึ่งได้แก่ Tim Hortons, Burger King และ Popeyes โดยมีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาพตลาดของแต่ละประเทศ ภายใต้มินิโปรแกรมนี้ ร้านอาหารแฟรนไชส์ของ RBI ในแต่ละประเทศจะสามารถผนวกรวมการดำเนินงานทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ และช่วยให้สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการดำเนินงานได้อย่างละเอียดและเจาะลึกมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ลูกค้าของร้านอาหารจะสามารถเข้าถึงบริการเพิ่มเติมได้ เช่น เมนูและการชำระเงินแบบไร้สัมผัส (Contactless) การสั่งอาหารทางออนไลน์แล้วไปรับที่ร้าน หรือการส่งถึงบ้าน ฟังก์ชั่นการสแกนและสั่งอาหารภายในร้าน เป็นต้น นอกจากนั้น มินิโปรแกรมยังผนวกรวมกับ Loyalty Program ที่มีอยู่ในแต่ละแบรนด์ของ RBI และนำเสนอฟีเจอร์ด้านการตลาดดิจิทัลเพิ่มเติม เช่น การแจกคูปองส่วนลดแบบดิจิทัล ฯลฯ

เพื่อช่วยให้ร้านอาหารของ RBI เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น มินิโปรแกรมดังกล่าวจะถูกบูรณาการเข้ากับแพลตฟอร์มดิจิทัลอื่น ๆ ในระดับประเทศและระดับภูมิภาค รวมถึงแพลตฟอร์มของ Chope ซึ่งเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพชั้นนำด้านเทคโนโลยี F&B ระดับภูมิภาค และบริการอีวอลเล็ทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นต้น

ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว RBI จะใช้ประโยชน์จากโซลูชั่น Alipay+ ของแอนท์กรุ๊ป เพื่อขยายทางเลือกในการชำระเงินสำหรับร้านอาหาร เว็บไซต์ แอพ และมินิโปรแกรมที่เกี่ยวข้อง ด้วยการผนวกรวมโซลูชั่นต่างๆ ของ Alipay+ การดำเนินงานของ RBI จะรองรับการชำระเงินต่าง ๆ เช่น ทรูมันนี่ วอลเล็ท (True Money Wallet) ในไทย, Touch ‘n Go eWallet ในมาเลเซีย, GCash ในฟิลิปปินส์, Kakao Pay ในเกาหลีใต้ และอื่น ๆ อีกมากมาย

เอเครม โอเซอร์ ประธานประจำภูมิภาค APAC ของ Restaurant Brands International กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ประกาศการเป็นพันธมิตรครั้งสำคัญกับแอนท์กรุ๊ป ซึ่งจะช่วยสนับสนุนภารกิจของเราเพื่อเพิ่มความสะดวกกับลูกค้าในการสั่งและรับประทานอาหารที่ง่ายขึ้น รวมถึงการชำระเงินผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่สะดวก และตรงความต้องการของลูกค้า ผู้ดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ในเอเชียจะได้รับประโยชน์จากการปรับเปลี่ยนการดำเนินงานสู่ดิจิทัล และการรวมมินิโปรแกรมเข้ากับแพลตฟอร์มดิจิทัลอื่น ๆ เช่นกัน”

แองเจล เจา ประธานกลุ่มธุรกิจระหว่างประเทศของแอนท์กรุ๊ป กล่าวว่า “การนำระบบการชำระเงินดิจิทัลและนวัตกรรมทางการตลาดมาใช้เป็นเรื่องสำคัญต่ออุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อให้บริการแบบไร้การสัมผัส (Contactless) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และเพื่อให้แบรนด์สามารถปรับตัวได้เท่าทันต่อตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ แอนท์กรุ๊ปมุ่งมั่นในการสนับสนุนกลุ่มธุรกิจ RBI ต่อการมุ่งสู่เส้นทางดิจิทัลทรานฟอร์เมชั่น เพื่อนำเสนอประสบการณ์แก่ลูกค้าในรูปแบบใหม่ เชื่อมต่อลูกค้ากับแบรนด์ในเครือ RBI ทั้งในช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เพื่อมอบประสบการณ์เหนือระดับให้แก่ลูกค้า”

การปรับใช้โซลูชั่นดังกล่าวจะครอบคลุม 8 ตลาดในเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งประกอบด้วยร้านอาหาร 1,500 สาขาภายใต้ 3 แบรนด์หลักของ RBI

อ่านข้อมูล business partnership อื่น ๆ ของแอนท์กรุ๊ป: iQiyi ใช้ Alipay+ ขยายตลาด พัฒนาการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ทั่วเอเชีย

ดีลอยท์เผยรายงาน “การค้าดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี” ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

Deloitte report_ดีลอยท์

ดีลอยท์เผยรายงาน “การค้าดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี” ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

    • การค้าดิจิทัลในภูมิภาคนี้ถูกคาดการณ์ว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลมาจากกิจกรรม cross-border e-commerce ที่คึกคัก ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนสู่ความเป็นดิจิทัลไลฟ์สไตล์อย่างรวดเร็ว การพัฒนาต่อยอดด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และความร่วมมือระดับภูมิภาคที่แข็งแกร่งภายใต้ข้อตกลง RCEP
    • ประเทศไทย ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “ตลาดที่กำลังพัฒนา” ในด้านของการพัฒนา Cross-border E-commerce และ Digitalization เช่นเดียวกับ มาเลเซีย อินโดนิเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์
    • การชำระเงินและการขาย เป็นสองฟังก์ชั่นทางการค้าที่มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสูงสุด

ดีลอยท์ (Deloitte) เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับ “การค้าดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี” (Technology-empowered Digital Trade in Asia Pacific) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับเทรนด์ล่าสุดด้านการค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคที่ทุกสิ่งกำลังพัฒนาไปสู่คดิจิทัล เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และอนาคตที่ยั่งยืน โดยธุรกิจขนาดเล็กและผู้ประกอบการรายย่อยมีบทบาทสำคัญอย่างมาก

รายงานดังกล่าวอ้างอิงผลการสำรวจความคิดเห็นขององค์กรธุรกิจที่มีส่วนร่วมในระบบการค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคนี้ โดยคาดการณ์ว่าการค้าดิจิทัลในภูมิภาคนี้จะเติบโตรวดเร็วขึ้น เนื่องจากกิจกรรม cross-border e-commerce ที่คึกคัก ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัลไลฟ์สไตล์อย่างรวดเร็ว รวมถึงมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง และความร่วมมือระดับภูมิภาคที่แข็งแกร่งภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรี RCEP ซึ่งคาดว่าภูมิภาคนี้จะเข้าสู่ยุคทองของการค้าดิจิทัลในอีกสามปีข้างหน้า

เทยเลอร์ แลม รองประธานและหัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยี มีเดียและเทเลคอมมูนิเคชั่น ดีลอยท์ ประเทศจีน กล่าวว่า “ช่วงการแพร่ระบาด การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลและความร่วมมือระหว่างภูมิภาคได้พัฒนาไปสู่การค้าดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งนำเสนอโอกาสการพัฒนาของแบรนด์ใหม่ ๆ และ ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรี RCEP นั้นจะช่วยสนับสนุนความร่วมมือระหว่างภูมิภาค และอำนวยความสะดวกในกิจกรรมการค้าดิจิทัลต่าง ๆ”

แกรี่ วู หัวหน้าทีมฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ของตลาดทั่วโลก, ดีลอยท์ กล่าวว่า “เทคโนโลยีดิจิทัลได้เข้ามาช่วยผู้ค้าทั่วโลกให้สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการค้าระหว่างประเทศ โดยปราศจากมาตรการกีดกันทางการค้าใด ๆ การพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลอย่างต่อเนื่องจะช่วยแก้ปัญหาที่เป็นข้อจำกัดทางการค้าระหว่างประเทศหลัก ๆ สองประการ ได้แก่ ลอจิสติกส์ และ การชำระเงิน ได้เป็นอย่างดี ขณะที่ เทคโนโลยีบล็อกเชนก็มีส่วนช่วยสร้างพื้นที่ใหม่ ๆ ในการค้าดิจิทัล”

ข้อมูลเชิงลึกในระดับภูมิภาค
การค้าโลกเข้าสู่ยุคของระบบอัจฉริยะ

      • ขณะที่เทคโนโลยีดิจิทัลได้รับการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในด้านการค้าก็ขยายตัวเป็นวงกว้างและเจาะลึกมากขึ้น กล่าวได้ว่าการค้าโลกได้ก้าวเข้าสู่ยุคของระบบอัจฉริยะ และดาต้าจะมีบทบาทสำคัญอย่างมาก
      • โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น ระบบ 5G จะช่วยสร้างแพลตฟอร์มการกระจายข้อมูลและสถาปัตยกรรมเครือข่ายใหม่ๆ และรองรับ Internet of Everything (IoE) ขณะเดียวกัน การเก็บรวบรวมบิ๊กดาต้าจำนวนมหาศาล ประกอบกับการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจที่ชาญฉลาด
      • ในภาพรวม การค้าโลกในปัจจุบันกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจาก “ระบบดิจิทัล”ไปสู่ “ระบบอัจฉริยะ” โดย “การค้าดิจิทัล” เป็นรูปแบบการพัฒนาล่าสุด

พัฒนาการและการเติบโตของการค้าดิจิทัลในเอเชีย-แปซิฟิก

    • เศรษฐกิจระดับภูมิภาคส่วนใหญ่ถูกประเมินเพื่อการพัฒนาการและการเติบโตของการค้าดิจิทัล โดยอ้างอิงดัชนีชี้วัดสองอย่างคือ อี-คอมเมิร์ซระหว่างประเทศ (60%) และการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัล (40%) และผลลัพธ์ที่ได้มีดังนี้:
        • ตลาดที่พัฒนาแล้ว: จีน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และญี่ปุ่น
        • ตลาดกำลังพัฒนา: ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์
        • ตลาดที่อยู่ในขั้นเริ่มต้น: เมียนมาร์ กัมพูชา ลาว และบรูไน
    • ในประเทศไทย อัตราการขยายตัวของตลาด cross-border e-commerce ถือว่าค่อนข้างสูง และมีโครงสร้างทางด้านดิจิทัลที่แข็งแรง แต่การพัฒนายังอยู่ในระดับที่จำกัด
Deloitte_ดีลอยท์ รีพอร์ต

การเติบโตขององค์กรธุรกิจข้ามชาติขนาดเล็ก (Micro-Multinational Enterprise – mMNE) เป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนการค้าดิจิทัลในเอเชีย-แปซิฟิก

      • ธุรกิจขนาดเล็กและผู้ประกอบการรายย่อยใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อเป็นองค์กรธุรกิจข้ามชาติขนาดเล็ก หรือ mMNE เพราะเข้าร่วมใน cross-border e-commerce ในตลาดต่างๆ ทั่วโลก
      • ธุรกิจรายย่อยเหล่านี้นำเสนอ “ผลิตภัณฑ์ชุมชนท้องถิ่น” หลากหลายประเภท ควบคู่กับการปรับรูปแบบบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั่วโลก โดยธุรกิจในกลุ่มนี้ครองสัดส่วนกว่า 85% ของกิจกรรม cross-border e-commerce ในเอเชีย-แปซิฟิก
      • คุณลักษณะที่สำคัญของ mMNE:
          • ใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มดิจิทัลได้อย่างคล่องแคล่ว
          • มีขนาดเล็ก โดยทั่วไปแล้วมีพนักงานไม่ถึง 100 คน
          • มีการดำเนินงานครอบคลุมทั่วโลก โดยเฉลี่ยแล้วมีร้านสาขาในต่างประเทศ 3.56 แห่ง

“การชำระเงิน และการขาย” เป็นสองฟังก์ชั่นทางการค้าที่มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสูงสุด

      • ระบบชำระเงินดิจิทัลมีอัตราการใช้งานอยู่ที่ 55% ส่วนระบบการขายแบบดิจิทัลมีอัตราการใช้งาน 53%
      • ตลาดที่พัฒนาแล้วมีการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมากกว่า ทั้งในส่วนของการชำระเงิน การขาย และลอจิสติกส์
      • ในตลาดกำลังพัฒนา การปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัลในด้านการผลิตและการค้าอยู่ในระดับที่สูง
Deloitte_ดีลอยท์ รีพอร์ต

แฟรงกี้ ฟาน ผู้บริหาร WorldFirst ประจำประเทศจีน ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำด้านการชำระเงินระหว่างประเทศ กล่าวว่า “ธุรกิจเอสเอ็มอีจะมีบทบาทอย่างมากต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจในภูมิภาค”

“การมีการซื้อขายออนไลน์ระหว่างประเทศและการชำระเงิน รวมถึงข้อตกลงการค้าเสรี RCEP ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปีหน้า เอสเอ็มอีในภูมิภาคจะได้รับความมั่นคงในการค้าระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น ที่ WorldFirst เรามุ่งมั่นในการนำเสนอบริการด้านการเงินแบบครบวงจรแบบ one-stop ครอบคลุมทั้งการชำระเงิน การเก็บเงิน และการแลกเปลี่ยนเงินให้แก่บริษัทต่าง ๆ ไม่ว่าจะขนาดใหญ่หรือเล็กก็ตาม เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างการเติบโตทางธุรกิจได้อย่างเต็มที่” แฟรงกี้ กล่าว

การแก้ไขปัญหาขยะอาหารในเอเชีย ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มจะเป็นผู้นำในการลดขยะอาหารได้อย่างไร

infor

การแก้ไขปัญหาขยะอาหารในเอเชีย ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มจะเป็นผู้นำในการลดขยะอาหารได้อย่างไร

Infor

บทความโดย นายฟาบิโอ ทิวิติ รองประธานและผู้จัดการทั่วไป บริษัท อินฟอร์ อาเชียน-อินเดีย

รายงานฉบับใหม่ของ Food Waste Index Report ของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UN Environment Programme) เปิดเผยว่า ในแต่ละปีมีอาหารกว่า 1.3 พันล้านตันถูกทิ้งเป็นขยะ ซึ่งคิดเป็นประมาณเกือบหนึ่งในสามของอาหารที่ผลิตได้ทั้งหมด โดยเป็นขยะอาหารจากครัวเรือนสูงถึง 60% ของจำนวนทั้งหมด และที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้น คือ ขยะอาหารทั่วโลกมากกว่าครึ่งเกิดขึ้นในเอเชียนี่เอง

ตัวเลขของขยะอาหารเป็นเรื่องที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก เพราะขยะอาหารในทุกวันนี้ได้กลายเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกใหญ่เป็นอันดับสาม ทำให้ระบบอาหารทั่วโลกกลายเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพทางภูมิอากาศมากที่สุด และปริมาณการสูญเสียอาหารก็เป็นเรื่องจริงที่ยากจะทำใจยอมรับได้

สำหรับประเทศไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดการณ์ว่า มีปริมาณขยะอาหารประมาณ 78.69 กิโลกรัมต่อคนต่อปี และยังขาดการติดตามและจัดเก็บข้อมูลด้านการสูญเสียและขยะอาหารอย่างเป็นระบบ กรมควบคุมมลพิษจึงร่วมกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ภายใต้โครงการการจัดการของเสียแบบผสมผสานเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก (Integrated Waste Management for GHG Reduction) จัดทำ “การจัดทำแผนที่นำทางการจัดการขยะอาหารของประเทศไทย (ผู้จำหน่ายอาหาร ผู้ประกอบอาหาร และผู้บริโภค)” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนสถานการณ์การจัดการขยะอาหารในประเทศไทย นำเสนอดัชนีขยะอาหาร (Food Waste Index) รวมถึงความคิดเห็นในการจัดทำแผนที่นำทางการจัดการขยะอาหารของประเทศไทย พ.ศ. 2564–2573 ที่ตั้งเป้าให้ลดปริมาณขยะอาหารลงร้อยละ 25 ภายในปี พ.ศ. 2568 และร้อยละ 50 ภายในปี พ.ศ. 2573

นอกจากนี้ จากข้อมูลของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยระบุว่า สํานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. ยังให้เงินอุดหนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษาในการสํารวจปริมาณและที่มาของขยะอาหารและแนวทางในการลดขยะอาหาร โดยมีโรงแรมหลายแห่งเข้าร่วมโครงการ และมอบหมายให้องค์กรอิสระ Scholars of Sustenance (SOS) ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากําไรที่มีระบบในการขนส่งอาหารที่ได้มาตรฐาน ทำหน้าที่กระจายอาหารส่วนเกินจากโรงแรม ภัตตาคาร ร้านค้าปลีก ไปยังสถานสงเคราะห์หรือชุมชนที่ต้องการ

โชคดีที่ยังมีการรับรู้ถึงปัญหาเร่งด่วนนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลายหน่วยงานทั่วภูมิภาคเอเชียได้พยายามอย่างมากที่จะลดขยะอาหาร โดยมุ่งเน้นไปที่เรื่องวันที่ควรบริโภคก่อน (best-before date) ซึ่งเป็นช่วงที่สินค้าจะมีคุณภาพดีที่สุด กับวันที่สินค้าหมดอายุ (use-by date) อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว และส่งผลกระทบต่อเนื่องทั่วทั้งภาคส่วน ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเป็นผู้นำ โดยใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมและโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยซอฟต์แวร์อัจฉริยะ เพื่อสกัดกั้นปัญหาตั้งแต่ต้นทาง

รายละเอียดทุกอย่างปรากฎอยู่บนฉลาก

ประเด็นสำคัญประการหนึ่งที่ต้องแก้ไข คือ ความสับสนของผู้บริโภคเกี่ยวกับวันที่ที่ระบุไว้บนผลิตภัณฑ์ ในประเทศเกาหลี ผลสำรวจที่จัดทำโดยสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสุขภาพแห่งเกาหลี (Korea Health Industry Development Institute) พบว่า 56.4% ของผู้บริโภค จะโยนอาหารทิ้งก่อนเวลาอันควร โดยดูจาก “ควรบริโภคภายในวัน” (“sell-by” dates) ซึ่งระบุว่าของชิ้นนั้นจะวางอยู่ในร้านได้ไม่เกินวันที่ระบุข้างกล่อง แทนที่จะดู “วันหมดอายุ” (“use-by” dates) เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาเนื่องจากการระบุวันสำหรับร้านค้าแบบแรกมักจะทำให้เข้าใจผิด เพราะโดยปกติแล้วจะหมายถึงอายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ที่ 60-70% เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ กระทรวงความปลอดภัยด้านอาหารและยาของเกาหลีจึงกำหนดให้ปรับปรุงระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการติดฉลากอาหาร โดยใช้การระบุวันหมดอายุแทนวันสำหรับร้านค้าทั้งหมด ซึ่งจะเป็นอายุที่นานกว่า และไม่มีผลกระทบด้านความปลอดภัยใด ๆ หากผลิตภัณฑ์ได้รับการเก็บรักษาอย่างเหมาะสม

เมื่อเกิดความสับสนและความเข้าใจผิดกันอย่างมากเกี่ยวกับฉลากวันที่ของผลิตภัณฑ์ การที่ผู้บริโภคมีความตระหนักรู้และข้อมูลที่มากขึ้น จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการลดการสูญเสียอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่สามารถดำเนินการเชิงรุก เพื่อสร้างความตระหนักรู้ของผู้บริโภค ในเรื่องการระบุวันที่ที่ผลิตภัณฑ์จะมีคุณภาพดีที่สุด (best-before) ไม่ใช่วันหมดอายุ ตลอดจนการใช้กฎระเบียบติดฉลากมาตรฐานตามที่เกาหลีได้ทำไว้

ชั้นวางสินค้าอัจฉริยะ และการแจ้งเตือนวันหมดอายุสินค้า

ซุปเปอร์มาร์เก็ตบางแห่งได้เริ่มทดลองใช้ชั้นวางสินค้าอัจฉริยะ ซึ่งจะช่วยลดราคาสินค้าให้สอดคล้องกับวันหมดอายุ และวันที่ที่ผลิตภัณฑ์จะมีคุณภาพดีที่สุด ซึ่งเทคโนโลยีนี้มีศักยภาพพอที่จะนำไปใช้งานในบ้านได้ โดยใช้กับตู้เย็นอัจฉริยะที่สามารถแจ้งเตือนผู้บริโภคถึงวันหมดอายุที่ใกล้จะถึง รวมถึงเตือนให้รับประทานผลิตภัณฑ์ก่อนที่จะหมดอายุ

การใช้อายุการเก็บรักษาสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ถูกปรับตามคุณภาพที่แท้จริงของผลิตภัณฑ์นั้น สามารถใช้เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ผลิต ผู้ค้าปลีก และผู้บริโภค เพราะเป็นเรื่องที่ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมนี้มีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว และสามารถเป็นผู้ริเริ่มนำมาใช้ได้ โดยใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อธุรกิจของตน

การเปลี่ยนวิธีการติดฉลากและจัดเก็บผลิตภัณฑ์จะทำให้ผู้ผลิตมีโอกาสจะขึ้นเป็นผู้นำในวงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในแง่ของการยืดอายุการเก็บรักษาให้นานสูงสุด เพื่อลดปริมาณการสูญเสียอาหารที่มากจนน่าตกใจในแต่ละวัน

การรวมโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเข้าไปในสมการ

เมื่อพูดถึงเรื่องอายุการเก็บรักษาของผลิตภัณฑ์ การแก้ไขต้องมีการปรับให้เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ สินค้าที่เน่าเสียง่ายก็ต้องใช้วิธีแบบหนึ่ง และแม้แต่สินค้าที่ไม่เน่าเสียง่ายก็อาจแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละล็อตผลิต ดังนั้น การนำความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI) และแมชชีนเลิร์นนิง (Machine Learning – ML) เข้ามาใช้งานร่วมกันในด้านนี้ จะทำให้ผู้ผลิตสามารถเตรียมพร้อมสำหรับสต็อกสินค้าที่มีตัวแปรต่าง ๆ เกี่ยวข้องในกระบวนการได้ดียิ่งขึ้นในทุกขั้นตอนของซัพพลายเชนตั้งแต่แหล่งผลิตจนถึงมือผู้บริโภค รวมถึงกำหนดอายุการเก็บรักษาแบบไดนามิกสำหรับแต่ละผลิตภัณฑ์

ในทางปฏิบัติ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบสภาพของส่วนผสม และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปลายทาง โดยพิจารณาจากเวลาและปัจจัยแวดล้อมในการจัดเก็บและการขนส่งในทุกระยะ ทั้งก่อน ระหว่างและหลังการผลิต ตลอดจนการจัดทำโปรไฟล์คุณภาพของวัตถุดิบ และการตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นกับผลิตภัณฑ์เมื่อมาถึงร้านค้าปลีก ซึ่งเหมาะต่อการนำอินเทอร์เน็ตออฟธิงค์ (Internet of Things – IoTs) มาใช้เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจาก IoTs สามารถตรวจสอบตัวแปรสำคัญต่าง ๆ และส่งข้อมูลที่สำคัญนี้กลับเข้าสู่ระบบอัจฉริยะเพื่อการวิเคราะห์ได้ โดยจะช่วยกำหนดวันหมดอายุที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งจะสอดคล้องกับคุณสมบัติเฉพาะของผลิตภัณฑ์ในแต่ละล็อตการผลิต

ประโยชน์สามต่อที่ผู้ผลิตจะได้รับ

นอกจากนี้ ผู้ผลิตยังจะได้รับประโยชน์เพิ่มเติมต่าง ๆ จากความละเอียด และการมองเห็นของข้อมูลทั่วทั้งซัพพลายเชนอีกด้วย เนื่องจากระบบที่เหมาะสมสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่จำเป็น เพื่อเป็นแนวทางในการวางแผน และให้ทางเลือกในการจัดหาแหล่งผลิตได้ดียิ่งขึ้น เช่น ผู้ผลิตจะได้รับแจ้งถึงส่วนผสมที่ต้องการและเวลาที่จะได้รับส่วนผสมนั้น ทำให้พวกเขาสามารถเปลี่ยนสูตรเพื่อชดเชยกับความล่าช้า หรือข้อบกพร่องที่อาจเกิดขึ้นกับคุณภาพของส่วนผสม ในทำนองเดียวกัน ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ยังช่วยให้ผู้ผลิตสามารถตรวจสอบหาแหล่งผลิตส่วนผสมจากแหล่งอื่นได้หากพบว่าซัพพลายเออร์รายใดรายหนึ่งขาดสินค้า หรือเปลี่ยนไปใช้การขนส่งแบบอื่นแทนหากวิธีขนส่งที่ใช้อยู่มีส่วนทำให้อายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์สั้นลง

ยิ่งไปกว่านั้น การใช้กลยุทธ์ที่ชาญฉลาดและขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ยังสามารถส่งผลเชิงบวกต่อผลกำไรของธุรกิจได้อีกด้วย ในขณะที่ส่วนผสมที่มีคุณภาพสูงกว่าปกติจะให้อายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ที่นานกว่า ทว่า หากในที่สุดแล้วตัวผลิตภัณฑ์เองยังมีอายุการเก็บรักษาที่จำกัด เราก็ต้องตั้งคำถามถึงประโยชน์ในการจ่ายเพิ่มสำหรับส่วนผสมที่จะต้องมีความเสถียรและอยู่ได้นานขึ้น เรื่องนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ธุรกิจจำนวนมากพยายามที่จะลดการสต็อกสินค้าให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

ในที่สุด การใช้ประโยชน์จากซอฟต์แวร์อัจฉริยะจึงเป็นสิ่งสำคัญ และส่งผลช่วยให้ผู้ผลิตได้รับประโยชน์มากกว่าถึงสามต่อ ทั้งในเรื่องการลดการสูญเสียอาหาร ประหยัดต้นทุนทางธุรกิจ และปรับปรุงการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ธุรกิจที่มองการณ์ไกลในภูมิภาคเอเชียต่างตระหนักดีถึงเรื่องนี้ และนำข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ไปปรับใช้กับซัพพลายเชนทั้งหมดของตน เพื่อปูทางไปสู่การลดปริมาณขยะอาหารทั่วโลก

การสูญเสียอาหารเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มในทุกระดับของระบบนิเวศ โดยมีผลสะท้อนและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยเหตุนี้ ผู้ผลิตทั่วทั้งอุตสาหกรรมจึงค้นหาโซลูชันที่ชาญฉลาดและมีความรับผิดชอบ เพื่อจัดการกับหนึ่งในวิกฤตการณ์เร่งด่วนที่สุดที่เรากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้

อะไรซ่อนอยู่ใน Metaverse

Metaverse

อะไรซ่อนอยู่ใน Metaverse

Selina Yuan

บทความโดย เซลินา หยวน ผู้จัดการทั่วไป หน่วยงานด้านธุรกิจระหว่างประเทศ อาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์

เมตาเวิร์ส (metaverse) คือโลกแห่งความเป็นไปได้อันไม่มีที่สิ้นสุด ที่เราเคยเห็นได้จากนวนิยายทางวิทยาศาสตร์ วิธีการง่ายที่สุดที่จะเข้าใจ metaverse ได้ดีคือการชมภาพยนตร์ฮอลลีวูดยอดนิยม เช่น Avatar และ Ready, Player One

Metaverse

เมตาเวิร์ส (metaverse) คือโลกแห่งความเป็นไปได้อันไม่มีที่สิ้นสุด ที่เราเคยเห็นได้จากนวนิยายทางวิทยาศาสตร์ วิธีการง่ายที่สุดที่จะเข้าใจ metaverse ได้ดีคือการชมภาพยนตร์ฮอลลีวูดยอดนิยม เช่น Avatar และ Ready, Player One

ในภาพยนตร์เหล่านี้ metaverse คือจักรวาลดิจิทัลสามมิติที่นักแสดงสามารถหลีกหนีจากความจริงทางกายภาพ สามารถมีส่วนร่วมกับผู้อื่นผ่านตัวตนจำลองในโลกเสมือนจริง (avatar: อวาตาร์) ของตนที่สร้างขึ้นมา และสามารถหาประสบการณ์จากทุกสิ่งที่ต้องการได้ โดยมีข้อจำกัดเพียงจินตนาการของมนุษย์และเทคโนโลยีเท่านั้น

นอกจาก metaverse จะเป็นคู่แฝดทางดิจิทัลของความเป็นจริงในโลกทางกายภาพที่ยอดเยี่ยมของเราแล้ว ยังมีศักยภาพที่แท้จริงซ่อนอยู่ นั่นคือความสามารถในการใช้ความชาญฉลาดทางดิจิทัลที่เราใช้ประโยชน์อยู่แล้วให้มีประสิทธิผลมากขึ้น และทำให้มองเห็นแนวทางการเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ ที่ไม่เช่นนั้นก็อาจยังคงซ่อนอยู่ออกมา และนี่อาจเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้เราแก้ปัญหาต่าง ๆ ของโลกแห่งความเป็นจริง และสร้างโลกที่เขียวชอุ่มมากขึ้น มีความเสมอภาคและมีส่วนร่วมซึ่งกันและกันมากขึ้น และเป็นโลกที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี

การจัดการผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

Metaverse ไม่เพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการสร้างโลกเวอร์ชวลที่สมบูรณ์แบบเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ ไปใช้จัดการปัญหาเร่งด่วนมากมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น

การคาดการณ์ด้านต่าง ๆ จากรายงานของ Institute of Chartered Accountants in England and Wales และ British Chamber of Commerce Singapore แสดงให้เห็นว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีความสุ่มเสี่ยงมากที่สุดในโลก โดยหกในยี่สิบประเทศทั่วโลกที่มีความสุ่มเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศอยู่ในภูมิภาคนี้ คือ ประเทศอินโดนีเซีย ไทย เมียนมาร์ มาเลเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์

อุทกภัยคร่าชีวิตผู้คนมากกว่า 250,000 ราย และสร้างความเสียหายมากกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2523 คิดเป็นประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของความเสียหายที่เกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้ว เป็นภัยคุกคามที่แท้จริงต่อหมู่เกาะจำนวนมากตามชายฝั่งทะเลที่อยู่ในภูมิภาคนี้และที่มีพื้นที่ลุ่มต่ำ ภัยธรรมชาติเหล่านี้อาจทำลายบ้านเรือนจนอยู่อาศัยไม่ได้ และสร้างความกดดันต่อเนื่องมายังเรื่องของการจัดหาเสบียงอาหารและระบบเศรษฐกิจต่าง ๆ

ในเบื้องต้นอาลีบาบา คลาวด์ ได้สร้างแพลตฟอร์มที่มีการนำข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันมาใช้คาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้น (nowcasting platform) เพื่อใช้คาดการณ์สภาพอากาศในช่วงสั้น ๆ ซึ่งจะช่วยให้ภูมิภาคนี้สามารถควบคุมและรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสภาพอากาศได้ เทคโนโลยีที่ทำงานโดยการดึงภาพถ่ายดาวเทียมด้านอุตุนิยมวิทยาด้วยความแม่นยำสูงและในเวลาเรียลไทม์นี้ สามารถช่วยติดตามปริมาณน้ำฝน ความเร็วลม และสภาพอากาศที่รุนแรงต่าง ๆ เพื่อลดความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตรและปศุสัตว์ให้เหลือน้อยที่สุด ทั้งยังช่วยให้ผู้จัดส่งผลผลิตสามารถจัดเส้นทางการจัดส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แต่หากเราสามารถแปลงความชาญฉลาดนี้ให้กลายเป็น metaverse ได้ จะมีประโยชน์มหาศาล เช่น การแปลงและทำแผนที่ข้อมูลสาธารณะที่เกี่ยวกับสภาพอากาศแปรปรวนที่เกิดในรูปแบบต่าง ๆ หรือความถี่ของการเกิดภัยธรรมชาติให้เป็น metaverse จะช่วยให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ และแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น ในขณะที่การเก็บข้อมูลฝนที่ตกหนักเพียงอย่างเดียวโดยลำพัง จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับช่วงเวลาที่จะเกิดน้ำท่วมรุนแรงได้เท่านั้น

ผลกระทบอันเนื่องมาจากภัยที่เกิดจากสภาพอากาศต่าง ๆ ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่จะเป็นเรื่องหนักหนาขึ้นมาทันที หากภัยเหล่านั้นเกิดขึ้นกับสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยของใครสักคน เช่น ที่บ้าน หรือที่โรงเรียนของบุตรหลาน การสร้างสถานที่ต่าง ๆ ที่จำลองโลกจริงแบบสามมิติ (3D) ช่วยให้เราเห็นภาพภัยพิบัติจริงที่จะเกิดขึ้นในแต่ละสถานที่ที่เราคุ้นเคย โดยที่เหตุการณ์นั้นยังไม่เกิดขึ้นบนโลกจริง ซึ่งหากเกิดขึ้นอาจถึงกับต้องแลกด้วยชีวิต ผลกระทบแบบเสมือนจริงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใน metaverse จะเป็นเหมือนเครื่องเตือนใจที่จริงจังว่ามนุษย์ควรดำเนินชีวิตและปกป้องสิ่งแวดล้อมอย่างไร

ปรับปรุงการดำเนินงานและการออกแบบสิ่งต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นไว้ในสภาพแวดล้อมและในภาคการผลิต ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

metaverse มีความเกี่ยวข้องทันทีกับเมืองต่าง ๆ ที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ การที่เราก้าวเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งเทคโนโลยีคลาวด์และ IoT ต่าง ๆ มีอิทธิพลสูง metaverse จะเป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการจัดการและทดสอบสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ในอนาคต ก่อนที่จะนำไปใช้ในโลกจริง

ลองจินตนาการถึงฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูงมากแห่งหนึ่งที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่เป็นรูปทรงเรขาคณิตได้อย่างรวดเร็ว ถอดผลการคำนวณ และแสดงผลได้แบบเรียลไทม์ ผ่านแผนที่สามมิติที่สื่อสารกันได้ สิ่งนี้คือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ฐานข้อมูลของอาลีบาบา คลาวด์ได้คำนึงถึงเมื่อตอนสร้าง GanosBase ขึ้นมาเป็นครั้งแรก GanosBase เป็นกลไกฐานข้อมูลแบบคลาวด์-เนทีฟ ที่สามารถวิเคราะห์และแปลข้อมูล 3D และ 4D เพื่อสร้างฝาแฝดดิจิทัล ทำการจำลองโลกทางกายภาพ

ในส่วนของการสร้างสภาพแวดล้อมนั้น การใช้ประโยชน์จากความเข้าใจเชิงลึกที่จำลองมาด้วยความชาญฉลาดแบบเรียลไทม์ จะช่วยสร้างโอกาสในการผสมผสานการออกแบบที่ยั่งยืนได้ดีกว่า ผู้ออกแบบสามารถเห็นภาพเสมือนจริงของโครงสร้างในการก่อสร้างอาคารหนึ่ง ๆ ใน metaverse และนำมาใช้ประโยชน์ เช่น เพื่อหาอัตราส่วนที่ลงตัวระหว่างหน้าต่างและผนัง, ใช้แสงจากธรรมชาติให้มากที่สุด, คาดการณ์วัสดุต่าง ๆ ที่ใช้ว่าจะทนทานและยั่งยืนเพียงใด และเพื่อวางแผนแนวทางใหม่ ๆ ในการสร้างพื้นที่สีเขียวและอนุรักษ์ธรรมชาติ

Metaverse

การสร้างสภาพแวดล้อมเสมือนจริงที่สอดคล้องกับแผนการผลิตจริงผ่านเทคโนโลยี AR/VA และโฮโลแกรม (holographic) สามารถทรานส์ฟอร์มอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมการผลิตได้ โรงงานที่มีการนำเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อถึงกัน หรืออุปกรณ์อินเทอร์เน็ตออฟธิงค์ (Internet of Things: IoT) มาใช้ จะช่วยให้ผู้ผลิตสามารถจำลองการตั้งค่าการผลิตจริงใน metaverse ก่อนได้ เพื่อช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานได้ฝึกฝนวิธีควบคุมการทำงานแบบเสมือนจริง และตรวจหาข้อผิดพลาดที่เกิดกับการตั้งค่าการผลิตต่าง ๆ ได้ โดยยังไม่ต้องสร้างสิ่งใดจริง ๆ เลย เช่นในสถานการณ์โควิด-19 ที่มีข้อจำกัดในการเดินทาง พนักงานที่อยู่ต่างประเทศจะได้รับการฝึกอบรมจากระยะไกล เพื่อให้ได้รู้จักและคุ้นเคยกับการทำงานแบบเสมือน ก่อนที่จะได้ทำงานกับเครื่องจักรจริง โดยไม่ต้องเสียเวลารอให้สถานการณ์ดีขึ้นจนเดินทางเข้าอบรมด้วยตนเองได้

เชาวน์ปัญญาที่เกิดใน metaverse นี้ สามารถถ่ายโอนไปยังโลกแห่งความจริงได้ เพื่อนำไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพให้กับ AI algorithms, เพื่อสนับสนุนการทรานส์ฟอร์มที่ชาญฉลาด และอัปเกรดโรงงานต่าง ๆ ทั้งยังใช้เพื่อทำเวิร์กช็อปและกำหนดสายการผลิตโดยไม่ต้องเสียเวลาที่ต้องเดินทางเข้าปฏิบัติงานด้วยตนเอง และลดการสิ้นเปลืองทรัพยากร

เพิ่มสมรรถนะ metaverse ในอนาคต

การเพิ่มสมรรถนะให้กับสี่เทคโนโลยีเลเยอร์ของ metaverse ต้องใช้ความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีอย่างมาก เลเยอร์ที่ 1 จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยี AI, คลาวด์ และ IoT ที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อสร้างแบบจำลองทางเรขาคณิตของสภาพแวดล้อมทางกายภาพ และแสดงผลผ่านอุปกรณ์ปลายทางที่หลากหลาย เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่สมจริง

เทคโนโลยีอื่น เช่น การเรนเดอร์จากระยะไกล ซึ่งทำการสตรีมอินพุตแบบเสมือนไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ แบบเรียลไทม์ และระบบการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างโลกเสมือนให้ใกล้เคียงกับโลกทางกายภาพ และทำให้มั่นใจว่าผู้คนและวัตถุในโลกเสมือนเป็นไปตามหลักเกณฑ์ทางกายภาพที่อยู่ในโลกของความเป็นจริง

การสลายแนวแบ่งเขตของโลกเสมือนและโลกจริงให้หมดไป จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยี AR และ VR เพื่อสร้างแผนที่สามมิติที่มีความแม่นยำสูง ในขณะเดียวกันก็มอบประสบการณ์ที่เป็นการเฉพาะให้ด้วย เช่น การบริการลูกค้าและการให้คำแนะนำแบบเสมือน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีต่าง ๆ เหล่านี้จะต้องทำงานร่วมกันเพื่อเชื่อมสองโลกเข้าด้วยกัน

แม้ว่า metaverse เป็นการพัฒนาที่น่าตื่นเต้น แต่ก็ชัดเจนว่าจะทำให้เกิดความต้องการใช้พลังงานและมีการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก องค์กรต่าง ๆ สามารถจัดการกับความท้าทายเหล่านี้ได้ด้วยการพิจารณาใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้รับการออกแบบ สร้าง และดำเนินงาน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุด โดยผสานกับเทคโนโลยีหลักที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การระบายความร้อนด้วยของเหลวเพื่อลดการใช้พลังงาน การเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลเพื่อประหยัดการใช้ไฟฟ้า การใช้ระบบติดตามตรวจสอบที่เป็นอัตโนมัติ การบำรุงรักษาและการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับงานอื่น ๆ ที่ใช้พลังงานมาก

การที่เราต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น รวมถึงการใช้ metaverse ที่ต้องใช้พลังงานมากขึ้น ทำให้เราต้องยึดมั่นกับแนวทางการทำงานเพื่อความยั่งยืนและมีความรับผิดชอบทั้งในปัจจุบันและในอนาคต