ซีเมนส์ จัดแสดงเทคโนโลยี ระบบไฟฟ้าและโซลูชัน IoT ด้านพลังงาน ที่งาน ASEAN Sustainable Energy Week 2023

ซีเมนส์ จัดแสดงเทคโนโลยี ระบบไฟฟ้าและโซลูชัน IoT ด้านพลังงาน ที่งาน ASEAN Sustainable Energy Week 2023

ซีเมนส์ จัดแสดงเทคโนโลยี ระบบไฟฟ้าและโซลูชัน IoT ด้านพลังงาน ที่งาน ASEAN Sustainable Energy Week 2023

ระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม – 1 กันยายน ศกนี้ ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์ ที่บูธ H9 ฮอลล์ 2

ซีเมนส์มุ่งสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมไทยเดินหน้าสู่อุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน โดยนำเทคโนโลยีและโซลูชันอัจฉริยะจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ Siemens Xcelerator มาร่วมจัดแสดงในงาน “ASEAN Sustainable Energy Week 2023”

ภายใต้แนวคิด “Accelerate Transformation Towards Decarbonization and Sustainable Industry” ซีเมนส์ตั้งเป้าส่งเสริมศักยภาพและสนับสนุนอีโคซิสเต็มส์ในภาคอุตสาหกรรมให้มีความสามารถในการบริหารและจัดการพลังงานไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยคำนึงถึงการลดคาร์บอนจากอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องในกระบวนการปฎิบัติงาน

ข้อมูลจากองค์การพลังงานระหว่างประเทศ (The International Energy Agency: IEA) เผยในปี 2565 ที่ผ่านมา ภาคอุตสาหกรรมเป็นกลุ่มที่ใช้พลังงานภาพรวมมากที่สุดถึง 37% นอกจากนี้ภาคอุตสาหกรรมยังเผชิญความท้าทายในการเดินหน้าสู่ Net Zero ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงรอบด้านในการดำเนินงาน โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้าจะมีความซับซ้อนในระบบจำหน่ายไฟฟ้าที่จะมีการนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ในระบบมากขึ้น ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมต้องเร่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยีอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการต่าง ๆ ให้สามารถใช้พลังงานได้อย่างคุ้มค่า ลดต้นทุน และสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ไปสู่ความยั่งยืนได้

คุณสุวรรณี สิงห์ฤาเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซีเมนส์ ประเทศไทย กล่าวว่า “ซีเมนส์มุ่งมั่น นำเสนอนวัตกรรม โซลูชันและเทคโนโลยีที่ช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถปรับเปลี่ยนกระบวนการไปสู่ระบบดิจิทัล พร้อมรับมือกับต้นทุนด้านพลังงาน โดยยึด 3 แกนหลัก ได้แก่ Decrease CAPEX & OPEX, Enhance Efficiency และ Replace with Technology ซึ่งหมายถึงการใช้เทคโนโลยีในการเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เพื่อส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมให้สามารถขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายการเป็นอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน”

ปัจจุบันการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่สร้างความสำเร็จให้กับภาคอุตสาหกรรม ส่งผลให้เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) และ Digital Transformation มีส่วนสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน  ข้อมูลจาก Association of the Industrial Energy and Power Industry ชี้ว่าภาคอุตสาหกรรมกำลังเผชิญกับความท้าทายในด้านการบริหารและจัดการไฟฟ้า โดย 60% ของผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมต้องประสบปัญหาไฟฟ้าดับอย่างน้อย 1 ครั้ง/ปี และ 80% ต้องปิดระบบแบบกระทันหัน ซึ่งทำให้เกิดความสูญเสียอย่างรุนแรงต่อโรงงาน นอกจากนี้ 53% ของผู้ผลิตไฟฟ้า ยังต้องทำการบำรุงรักษาเชิงป้องกันให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าบ่อยครั้ง เนื่องจากขาดการมองเห็นข้อมูลสถานะที่แท้จริงของอุปกรณ์ และ 50% ยังใช้อุปกรณ์จากซัพพลายเออร์ที่ต่างกัน ทำให้ขาดการเชื่อมต่อของข้อมูลเพื่อควบคุมและบริหารจัดการไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้นับเป็นปัญหาสำคัญที่แก้ไม่ตกของการจัดการพลังงานไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมในปัจจุบัน

นวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบไฟฟ้าและโซลูชัน IoT ด้านพลังงานจากซีเมนส์จะสามารถช่วยเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการและขจัดความท้าทายดังกล่าวได้อย่างครบวงจร โดยโซลูชันและเทคโนโลยีไฮไลท์ที่ซีเมนส์นำมาจัดแสดง ภายในงาน ASEW 2023 ประกอบด้วย

  • โซลูชัน IoT ด้านพลังงานไฟฟ้า (Power IoT solutions) สำหรับภาคอุตสาหกรรม สามารถใช้งานได้ทั้งในโรงไฟฟ้า, สถานีไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรม, สถานีไฟฟ้าย่อยในโรงงาน, ใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าโรงงานอุตสาหกรรม และโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ในนิคมอุตสาหกรรม ประกอบด้วย
  • Microgrids for Sustainability แอปพลิเคชันไมโครกริดช่วยบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งผลิต/กำเนิด/ส่งไฟฟ้ามากกว่า 2 แหล่ง (สถานีไฟฟ้าทั่วไป ไฟฟ้าพลังน้ำ ไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ ฯลฯ) ทำให้สามารถใช้แหล่งพลังงานที่คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ในขณะที่คงความมีเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า
  • IoT Applications and Cybersecurity แอปพลิเคชัน IoT ที่ช่วยควบคุมและตรวจสอบสถานะอุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งแสดงผลข้อมูลและสร้างรายงานดิจิทัลผ่านระบบเซิร์ฟเวอร์ในองค์กร (On-Premises) หรือผ่านระบบคลาวด์ (On-Cloud) ช่วยลดการเกิดไฟดับและการซ่อมบำรุงอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น ทำให้การผลิตมีความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังมั่นใจถึงความปลอดภัยของข้อมูลด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ Energy Automation ที่ได้รับการรับรองด้าน Cybersecurity ตามมาตรฐาน IEC 62443-4-1 เป็นแห่งแรกของโลก
  • Smart Power Monitoring and Management แอปพลิเคชันที่ช่วยตรวจสอบและบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าสำหรับตู้ควบคุมระบบจำหน่ายไฟฟ้าหลัก ทำให้ทราบสถานะของอุปกรณ์และระบบไฟฟ้าแรงดันต่ำภายในโรงงาน จึงสามารถวางแผนใช้พลังงานไฟฟ้าในกระบวนการการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ช่วยวางแผนประหยัดพลังงานและพบกระแสผิดพร่อง(fault)ได้อย่างรวดเร็ว ลดการสูญเสียที่ไม่จำเป็น
  • Scale Up E-Mobility and Manage Loads แอปพลิเคชันควบคุมสถานีบริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ทราบสถานะจุดชาร์จและสามารถควบคุมได้จากระยะไกล ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการและซ่อมบำรุง ทำให้จุดชาร์จทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
  • นวัตกรรมสวิตช์เกียร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Medium-Voltage blue GIS) ใช้ก๊าซสะอาด (Clean Air) ปราศจากก๊าซฟลูออรีน (100% F-gas free) ลดการเกิดภาวะโลกร้อน ไม่ต้องบำรุงรักษา ทำให้ระบบจำหน่ายไฟฟ้ามีความยั่งยืน
  • นวัตกรรมระบบบริหารจัดการมอเตอร์อัจฉริยะ (SIMOCODE pro) ติดตั้งภายในตู้ควบคุมระบบไฟฟ้าหลักในโรงงาน SIVACON S8 Low-Voltage Switchboard ช่วยให้ทราบสถานะการทำงาน การแจ้งเตือนและตัดวงจรก่อนที่มอเตอร์จะเกิดความเสียหาย ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงมอเตอร์ ช่วยให้การผลิตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
  • สถานีไฟฟ้าย่อยแบบ E-House (คล้ายตู้คอนเทนเนอร์ ที่ภายในมีอุปกรณ์ไฟฟ้าที่จำเป็นติดตั้งอยู่) จะช่วยลดเวลาในการทำโครงการให้เสร็จเร็วขึ้น สนับสนุนภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการขยายตัวด้านโครงการอย่างยั่งยืนและรวดเร็ว โดย E-House สามารถเคลื่อนย้าย ดัดแปลง หรือนำไปใช้งานซ้ำในโครงการใหม่ได้

นอกจากนี้ซีเมนส์ยังได้นำ SICHARGE D เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบ DC Charger ประสิทธิภาพสูง ซึ่งได้รับรางวัล iF Design Award 2023 ประเภทยานยนต์ (Automotive) มาจัดแสดงเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

“ภาคอุตสาหกรรมที่กำลังมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำจำเป็นต้องเตรียมพร้อมและมีเทคโนโลยีที่สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านพลังงาน เพราะนอกจากระบบโครงข่ายไฟฟ้าที่จะมีความซับซ้อนมากขึ้นในอนาคต ยังมีความท้าทายในการนำพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) เข้ามาใช้ร่วมกันในระบบอย่างเหมาะสม รวมถึงความซับซ้อนของโหลดงานที่มาเชื่อมต่อกับระบบโครงข่ายไฟฟ้าก็มีบทบาทที่เป็นได้ทั้งผู้บริโภค (Consumer) และผลิตโดยผู้บริโภค (Prosumer) ดังนั้นเทคโนโลยีระบบไฟฟ้าในอนาคตจึงต้องพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เพื่อให้การบริหารจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด มีเสถียรภาพ ยืดหยุ่นต่อการใช้งานที่หลากหลาย และส่งเสริมความยั่งยืน ” คุณสุวรรณี กล่าวสรุป 

Siemens presents €2 billion investment strategy to boost future growth, innovation and resilience

ซีเมนส์ ประกาศกลยุทธ์การลงทุน มูลค่า 2 พันล้านยูโร มุ่งสร้างการเติบโต ขับเคลื่อนนวัตกรรม และเพิ่มความยืดหยุ่นในอนาคต

Siemens presents €2 billion investment strategy to boost future growth, innovation and resilience

    • Ramp up of global investment in new high-tech factories, innovation labs and education centers to expand leadership in digitalization, automation and sustainability
    • Total investments of €2 billion mainly in manufacturing capacity expansion to be disclosed this year
    • Following investments in Germany and in the U.S., Siemens expands its production network and R&D capacities in Asia
    • New high-tech factory in Singapore announced today to serve growing markets in Southeast Asia
    • Expansion of digital factory in Chengdu to boost further growth in China
    • Additional investments in Europe and U.S. to be announced

To boost future growth, drive innovation and increase resilience, Siemens today presented its investment strategy which includes €2 billion mainly for new manufacturing capacity as well as innovation labs, education centers and other own sites. Siemens today announced a new high-tech factory in Singapore, to serve the booming Southeast Asia markets.

“Our technologies address secular growth trends where our customers need our support to become more competitive, resilient and sustainable. Siemens is experiencing significantly above-market growth. Today we announce an investment strategy to boost future growth, drive innovation and increase resilience,” said Roland Busch, President and Chief Executive Officer of Siemens AG.

“The investments underpin our strategy of combining the real and the digital worlds – as well as our focus on diversification and local-for-local business. We are clearly doubling down on our strong global presence to support growth in the most relevant markets in the world.”

In addition, there is an expected increase of around €0.5 billion in research and development (R&D), such as artificial intelligence and the industrial metaverse, in fiscal year 2023 versus prior year. This R&D is focused on strengthening Siemens’ leading position in core technologies including simulation, digital twins, artificial intelligence or power electronics, as well as supporting the development of the Siemens Xcelerator open digital business platform. The company recently announced a partnership with Microsoft to speed up code generation for industry automation by using ChatGPT. With NVIDIA, Siemens is working to build the industrial metaverse to improve design, planning, production and operation of factories and infrastructures.

New and additional capacities in Southeast Asia

To meet growing demand in Southeast Asia, Siemens today announced an entirely new high-tech factory in Singapore, which will be developed using Siemens’ own leading digital twin and innovative, intelligent hardware technologies. Investment in the factory will be around €200 million. The plant will set a new standard for connectivity to showcase the possibilities of digitalization, as well as incorporating highly-automated manufacturing processes. The investment will create over 400 jobs.

All-regions strategy with wave of global investments

As part of its investment strategy and fast-growing business in China, Siemens will also expand its digital factory in Chengdu to serve the local growth opportunities in China for China, investing €140 million (RMB 1.1bn) and creating 400 new jobs. Many of Siemens’ Chinese customers are early adopters of new technologies especially in digitalization and high-tech manufacturing. This is why Siemens also announced the investment in a new digital R&D Innovation Center in Shenzhen to speed up development of motion control systems with digitalization and power electronics technology. The Siemens Xcelerator open digital business platform was launched in China in November 2022.

Series of announcements

Earlier this year, Siemens committed to expand production in Trutnov, Czech Republic, to enhance capacity at its WEF Global Lighthouse (1) Factory in Amberg, Germany. Moreover, Siemens invests €30 million to expand its switchgear plant in Frankfurt-Fechenheim, Germany, while Siemens Mobility recently announced spending $220 million to build a new rolling stock factory in Lexington, North Carolina, to meet growing demand for passenger trains in the United States. The plant will create more than 500 jobs by 2028.

The planned €2 billion investments and expected increase of around €0.5 billion in research and development include Siemens Healthineers.

ซีเมนส์ ประกาศกลยุทธ์การลงทุน มูลค่า 2 พันล้านยูโร มุ่งสร้างการเติบโต ขับเคลื่อนนวัตกรรม และเพิ่มความยืดหยุ่นในอนาคต

ซีเมนส์ ประกาศกลยุทธ์การลงทุน มูลค่า 2 พันล้านยูโร มุ่งสร้างการเติบโต ขับเคลื่อนนวัตกรรม และเพิ่มความยืดหยุ่นในอนาคต

ซีเมนส์ ประกาศกลยุทธ์การลงทุน มูลค่า 2 พันล้านยูโร มุ่งสร้างการเติบโต ขับเคลื่อนนวัตกรรม และเพิ่มความยืดหยุ่นในอนาคต

    • เพิ่มการลงทุนในโรงงานไฮเทค ห้องปฏิบัติการนวัตกรรม และศูนย์การเรียนรู้ใหม่ ๆ ทั่วโลกเพื่อต่อยอดความเป็นผู้นำดิจิทัล ระบบอัตโนมัติ และความยั่งยืน
    • ส่วนใหญ่ของการลงทุนรวม 2 พันล้านยูโร ที่จะเปิดเผยในปีนี้ มุ่งไปที่การขยายกำลังการผลิต เป็นหลัก
    • หลังจากการลงทุนในเยอรมนีและสหรัฐอเมริกา ซีเมนส์เตรียมขยายเครือข่ายการผลิตและศักยภาพการวิจัยและพัฒนาในเอเชีย
    • เตรียมสร้างโรงงานไฮเทคแห่งใหม่ในสิงคโปร์เพื่อรองรับตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กำลังเติบโต
    • ขยายโรงงานดิจิทัลในเฉิงตูเพื่อต่อยอดการเติบโตในจีน
    • เตรียมประกาศการลงทุนเพิ่มเติมในยุโรปและสหรัฐอเมริกา

ซีเมนส์ได้นำเสนอกลยุทธ์การลงทุน มูลค่า 2 พันล้านยูโร เพื่อกระตุ้นการเติบโตในอนาคต พร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรม และเพิ่มความยืดหยุ่น โดยมุ่งเน้นการลงทุนหลักไปที่การเพิ่มกำลังการผลิต ห้องปฏิบัติการนวัตกรรม ศูนย์การเรียนรู้ และโรงงานใหม่ โดยซีเมนส์ประกาศสร้างโรงงานไฮเทคแห่งใหม่ในสิงคโปร์ เพื่อรองรับตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กำลังเติบโตอย่างมาก

โรแลนด์ บุช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและซีอีโอของ ซีเมนส์ เอจี กล่าวว่า “เทคโนโลยีของเราตอบสนองแนวโน้มการเติบโตที่แน่นอนในอนาคต หรือ Secular Growth ที่สนับสนุนให้ลูกค้าของเราสามารถแข่งขัน สร้างความยืดหยุ่นและความยั่งยืนได้มากยิ่งขึ้น ซีเมนส์กำลังเติบโตในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดอย่างมีนัยสำคัญ และล่าสุดเราประกาศกลยุทธ์การลงทุนเพื่อกระตุ้นการเติบโตในอนาคต เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม และเพิ่มความยืดหยุ่น”

“การลงทุนนี้สนับสนุนกลยุทธ์ของเราในการผสานโลกจริงและโลกดิจิทัลเข้าด้วยกัน การมุ่งเน้นการกระจายธุรกิจและธุรกิจท้องถิ่นต่อท้องถิ่น (Local-for-Local Business) การขยายฐานที่ตั้งเพิ่ม Global Presence เพื่อรองรับการเติบโตในตลาดสำคัญ”

ในปีงบประมาณ ค.ศ. 2023 บริษัทฯ คาดว่าจะเพิ่มงบประมาณการวิจัยและพัฒนาอีกประมาณห้าร้อยล้านยูโรเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งจะเน้นในด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) และ

เมตาเวิร์สภาคอุตสาหกรรม (Industrial Metaverse) การวิจัยและพัฒนานี้มุ่งเสริมความแข็งแกร่งในความเป็นผู้นำของซีเมนส์ในเทคโนโลยีหลักๆ ซึ่งรวมถึง Simulation, Digital Twins, Artificial Intelligence หรือ Power Electronics พร้อมสนับสนุน Siemens Xcelerator  ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มธุรกิจดิจิทัลแบบเปิดของบริษัทฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้บริษัทได้ประกาศความร่วมมือกับ Microsoft เพื่อเร่งการสร้างโค้ดสำหรับระบบอัตโนมัติในอุตสาหกรรมโดยใช้ ChatGPT และซีเมนส์ยังกำลังทำงานร่วมกับ NVIDIA เพื่อสร้างเมตาเวิร์สภาคอุตสาหกรรมเพื่อพัฒนาการออกแบบ การวางแผน การผลิต และการดำเนินงานของโรงงานและโครงสร้างพื้นฐาน

กำลังการผลิตใหม่และเพิ่มเติมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซีเมนส์ได้ประกาศสร้างโรงงาน ไฮเทคแห่งใหม่ในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งโรงงานแห่งนี้จะได้รับการพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยี Digital Twin พร้อมนวัตกรรมฮาร์ดแวร์อัจฉริยะของซีเมนส์ โดยใช้งบลงทุนประมาณ 200 ล้านยูโร โรงงานแห่งใหม่ นี้จะกำหนดมาตรฐานใหม่ของการเชื่อมต่อเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยี ดิจิทัลมาเพิ่มศักยภาพรวมถึงการใช้กระบวนการผลิตอัตโนมัติขั้นสูง และการลงทุนนี้ยังสร้างงาน มากกว่า 400 ตำแหน่ง

กลยุทธ์มุ่งเน้นทุกภูมิภาคด้วยแผนการลงทุนทั่วโลก

อีกส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การลงทุนเพื่อรองรับธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศจีน ซีเมนส์จะขยายโรงงานดิจิทัลในเฉิงตู เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตในท้องถิ่นของจีนในแบบ in China for China ด้วยการลงทุน 140 ล้านยูโร (1.1 พันล้านหยวน) สร้างงานใหม่ 400 ตำแหน่ง ลูกค้าในประเทศจีนของซีเมนส์จำนวนมากอยู่ในกลุ่ม Early Adopters ในการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาปรับใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีดิจิทัลและการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง นี่คือเหตุผลที่ซีเมนส์ประกาศการลงทุนในศูนย์นวัตกรรมวิจัยและพัฒนาแบบดิจิทัลแห่งใหม่ในเซินเจิ้น เพื่อเร่งการพัฒนาระบบควบคุมการเคลื่อนไหวด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและ Power Electronics โดยแพลตฟอร์มธุรกิจดิจิทัลแบบเปิด Siemens Xcelerator เปิดตัวในประเทศจีนในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2022

การประกาศการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

ซีเมนส์มีความมุ่งมั่นที่จะขยายการผลิตในเมือง Trutnov ในประเทศสาธารณรัฐเช็ก เพื่อขยายกำลังการผลิตของโรงงานของบริษัทฯ ที่เมือง Amberg ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่าย WEF Global Lighthouse(1) นอกจากนี้ซีเมนส์ยังลงทุนอีก 30 ล้านยูโรเพื่อขยายโรงงานสวิตช์เกียร์ที่ Frankfurt-Fechenheim ในประเทศเยอรมนี ขณะที่ ซีเมนส์ โมบิลิตี้ เมื่อเร็ว ๆ นี้ประกาศการลงทุน 220 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อสร้างโรงงานผลิตตู้รถไฟแห่งใหม่ในเมืองเล็กซิงตัน รัฐนอร์ทแคโรไลนา เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับรถไฟโดยสารในสหรัฐอเมริกา โดยโรงงานแห่งนี้จะสร้างงานมากกว่า 500 ตำแหน่งภายในปี ค.ศ. 2028

แผนการลงทุนมูลค่า 2 พันล้านยูโร และอีกประมาณห้าร้อยล้านยูโรที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสำหรับการวิจัยและพัฒนานั้นรวมถึงการลงทุนใน ซีเมนส์ เฮลท์ธิเนียร์ส

Siemens Accelerates Digital Transformation for Industry Showcasing Sustainability Innovations at ProPak Asia 2023

ซีเมนส์ ร่วมดัน Digital Transformation สำหรับภาคอุตสาหกรรม นำเทคโนโลยีมุ่งเน้นความยั่งยืนระดับโลกมาจัดแสดงในงาน ProPak Asia 2023

Siemens Accelerates Digital Transformation for Industry Showcasing Sustainability Innovations at ProPak Asia 2023

Explore Siemens’ innovations at booth N21, Hall 99, Bangkok International Trade and Exhibition Center (BITEC)

    • Vertical Farming reshaping the food production industry towards sustainability.
    • Opcenter Advanced Planning and Scheduling (APS) Software enhances production efficiency and productivity, reduces machine downtime, and increases on time delivery.
    • Industrial 5G Wireless Network enables seamless communication between devices, sensors, and systems across both Information Technology and Operation Technology (OT) environments.

Siemens is committed to support digital transformation in the industry sector with sustainability technologies and innovations. In fiscal 2022, Siemens products and solutions helped enterprises around the globe avoid approximately 150 million tons of carbon emissions.

As the industry sector faces economic volatility, supply chain disruptions, and skilled labor shortage, the adoption of digital technologies is crucial for driving operations and ensuring a sustainable future in response to climate change.

The food and beverage industry is one of the key sectors facing production and environmental challenges due to the growing global population. Food production and packaging alone account for approximately 30% of the world’s greenhouse gas emissions(1) and consume about 70% of the world’s freshwater supply(2).

In Thailand, the food and beverage industry plays a critical role in the country’s overall economy. According to Statista’s data as of March 2023, the Manufacturing Production Index (MPI) ranks the food products sector of Thailand as the third highest (119.17 points), following the sectors of basic pharmaceutical products and pharmaceutical preparations (132.28 points), while machinery and industrial equipment rank first (142 points).

At ProPak Asia 2023, Siemens showcases cutting-edge solutions that accelerate digital transformation, enabling increased production speed, flexibility, and adaptability while minimizing resource consumption and environmental impact.

Join Siemens at ProPak Asia 2023 to experience the following highlights:

    • Vertical Farming: Revolutionization of food production towards sustainability by minimizing water usage (95% less water used compared to traditional farming), maximizing productivity (300x as much produce per square foot), reducing carbon footprint, and generating less waste. This solution operates on 100% renewable energy and eliminates the need for pesticides.
    • Opcenter Advanced Planning and Scheduling (APS) Software: The complexity of today’s production planning often leads to mistakes, which negatively impact productivity and timely delivery of goods. Opcenter APS Software streamlines the planning and scheduling process, resulting in increased productivity, reduced inventory, and improved ontime delivery. It can serve as the starting point for driving digital transformation within manufacturing organizations.
    • Industrial 5G wireless network: Specifically designed for industrial usethe solution provides high-speed, ultra reliability and ultra-low latency (as low as 1 millisecond), exceptional stability, and robust security to support a range of industrial applications, including for example mobile robots, autonomous logistics, and automated guided vehicles (AGVs). These solutions enable seamless communication among devices, sensors, and systems in both Information Technology (IT) and Operational Technology (OT) environments. This facilitates real-time data exchange and supports Machine-Type Communications (mMTC) capabilities, allowing for the deployment of a large number of IoT devices, further enhancing data collection and analysis.

Siemens has taken environmental, social, and governance (ESG) commitment to the next level with the sustainability framework called “DEGREE” which includes D- Decarbonization, E – Ethics, G – Governance, R – Resource, E- Equity and E- Employability covering all aspects of operations. The company is ready to actively contribute to driving Thailand’s industrial sector towards sustainability in line with the vision of Thailand 4.0 through the advancement of technology and innovation.

ซีเมนส์ ร่วมดัน Digital Transformation สำหรับภาคอุตสาหกรรม นำเทคโนโลยีมุ่งเน้นความยั่งยืนระดับโลกมาจัดแสดงในงาน ProPak Asia 2023

ซีเมนส์ ร่วมดัน Digital Transformation สำหรับภาคอุตสาหกรรม นำเทคโนโลยีมุ่งเน้นความยั่งยืนระดับโลกมาจัดแสดงในงาน ProPak Asia 2023

ซีเมนส์ ร่วมดัน Digital Transformation สำหรับภาคอุตสาหกรรม นำเทคโนโลยีมุ่งเน้นความยั่งยืนระดับโลกมาจัดแสดงในงาน ProPak Asia 2023

ระหว่างวันที่ 14-17 มิถุนายน ศกนี้ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) ที่บูธ N21, Hall 99

    • โซลูชันการเกษตรแนวตั้ง (Vertical Farming) พลิกโฉมอุตสาหกรรมการผลิตอาหารสู่ความยั่งยืน
    • Opcenter Advanced Planning and Scheduling (APS) ซอฟต์แวร์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลการผลิต ลดเวลาที่เครื่องจักรต้องหยุดทำงาน (Downtime) รวมถึงการเพิ่มความสามารถในการส่งมอบสินค้า
    • โซลูชัน Industrial 5G Wireless Networks เชื่อมต่อเครือข่ายการสื่อสารอย่างลื่นไหล ระหว่างอุปกรณ์ เซ็นเซอร์ และระบบต่างๆ ในสภาพแวดล้อมของทั้ง Information Technology  และ Operation Technology (OT)

ซีเมนส์ประกาศสนับสนุน Digital Transformation สำหรับภาคอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเน้นความยั่งยืน โดยในปีงบประมาณ 2565 ของบริษัทฯ ผลิตภัณฑ์และโซลูชันของซีเมนส์ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ถึงประมาณ 150 ล้านตัน ท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจ ปัญหาการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ ทำให้ภาคอุตสาหกรรมมุ่งหน้านำนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงปลายทางที่เป็นผู้ประกอบการ โดยสอดรับกับแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ยึดหลัก “Sustainability” เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) 

ด้วยปริมาณประชากรโลกที่เพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมการผลิตอาหารและเครื่องดื่มถือว่าเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่ต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งทางด้านการผลิตและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยจากสถิติ 30% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกเกิดจากการผลิตและบรรจุอาหาร(1) และ 70% ของปริมาณน้ำจืดบนโลกถูกใช้โดยอุตสาหกรรมอาหาร(2)  สำหรับประเทศไทยอุตสาหกรรมอาหารรวมถึงเครื่องดื่มยังเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยจากข้อมูลของ Statista ระบุ ณ เดือนมีนาคม 2566 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารของประเทศไทยอยู่ใน อันดับที่ 3 (119.17 จุด) รองจากกลุ่มเภสัชภัณฑ์และยาเตรียม (132.28 จุด) และอันดับ 1 คือกลุุ่มเครื่องจักรกลและอุปกรณ์อุตสาหกรรม (142 จุด)

โดยภายในงาน ProPak Asia 2023 ซีเมนส์นำนวัตกรรมและโซลูชันล้ำสมัยที่จะช่วยเร่ง Digital Transformation สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม แบบ End-to-End ช่วยให้สามารถผลิตได้มากขึ้น เร็วขึ้น มีความยืดหยุ่นพร้อมรับความเปลี่ยนแปลง ในขณะที่ใช้ทรัพยากรน้อยลง และยั่งยืนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เทคโนโลยีและโซลูชันไฮไลท์ของซีเมนส์ที่จัดแสดง ในงาน ProPak Asia 2023 (ณ บูธ N21) ได้แก่ 

    • โซลูชันการเกษตรแนวตั้ง (Vertical Farming) พลิกโฉมอุตสาหกรรมการผลิตอาหารสู่ความยั่งยืน ที่สามารถลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมได้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ (End-to-End) โดยประหยัดน้ำได้ถึง 95% เทียบกับการทำเกษตรทั่วไป เพิ่มผลผลิตได้มากกว่า 300 เท่าต่อตารางฟุต ลดคาร์บอนฟุตปริ้นตั้งแต่ฟาร์มจนถึงโต๊ะกินข้าวและก่อให้เกิดขยะน้อยกว่า ที่สำคัญใช้พลังงานหมุนเวียน 100% และไม่มียากำจัดศัตรูพืช
    • ซอฟต์แวร์ Opcenter APS สำหรับวางแผนและจัดตารางการผลิต เนื่องด้วยเครื่องมือที่ใช้ในการวางแผนการผลิตในปัจจุบันมีความหลากหลายซึ่งบ่อยครั้งทำให้เกิดความผิดพลาด ทั้งยังยากในการปรับเปลี่ยน ส่งกระทบต่อผลผลิต และการส่งมอบสินค้า ซอฟต์แวร์ OpCenter APS ช่วยลดความซับซ้อน เพิ่มผลผลิต ลดปริมาณสินค้าคงคลังลดลง และเพิ่มความสามารถในการส่งมอบสินค้า โดย Opcenter APS สามารถเป็นนวัตกรรมเริ่มต้นสำหรับ Digital Transformation ของทุกองค์กรในภาคการผลิต
    • โซลูชัน Industrial 5G wireless networks ที่ออกแบบสำหรับอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ ด้วยการเชื่อมต่อความเร็วสูงที่มีความหน่วงในการส่งข้อมูลต่ำในระดับ 1 มิลลิวินาที มีความเสถียรและปลอดภัยสูง ช่วยรองรับการใช้แอปพลิเคชันอุตสาหกรรม เช่น หุ่นยนต์เคลื่อนที่  (Mobile Robots), การขนส่งอัตโนมัติ (Autonomous Logistics) หรือรถลำเลียงสินค้าที่ทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ  (Automated Guided Vehicles or AGVs) และเพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ เซ็นเซอร์ และระบบการทำงานทั้ง Information Technology (IT) และ Operation Technology (OT) ให้ลื่นไหลไร้รอยต่อ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ สนับสนุน massive Machine-Type Communications (mMTC) ซึ่งทำให้สามารถติดตั้งอุปกรณ์ IoT จำนวนมากได้ เพื่อการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น

ซีเมนส์ได้กําหนดเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและบรรษัทภิบาล (ESG) ไว้ในกรอบกลยุทธ์เฟรมเวิร์ก “DEGREE” เน้นดำเนินการใน 6 ด้าน คือ D – Decarbonization การลดปริมาณคาร์บอน E – Ethics จริยธรรม G – Governance บรรษัทภิบาล R – Resource Efficiency การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ E- Equity ความเสมอภาค และ E- Employability การจ้างงาน ครอบคลุมการดำเนินงานในทุกมิติ และบริษัทฯ พร้อมร่วมผลักดันภาคอุตสาหกรรมไทยให้เดินหน้าไปสู่ความยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ Thailand 4.0 ด้วยการขับเคลื่อนของเทคโนโลยีและนวัตกรรม