Red Hat เปิดตัว Red Hat OpenShift Virtualization Engine

Red Hat เปิดตัว Red Hat OpenShift Virtualization Engine

Red Hat เปิดตัว Red Hat OpenShift Virtualization Engine

ผลิตภัณฑ์ใหม่เน้นด้านเวอร์ชวลไลเซชัน มอบประสบการณ์ในการบริหารจัดการเวอร์ชวลแมชชีน ที่ปรับให้ตรงตามความต้องการขององค์กรแต่ละแห่งได้อย่างเฉพาะตัว พร้อมเส้นทางสู่การปรับแอปพลิเคชันให้ทันสมัย

เร้ดแฮท ผู้ให้บริการระดับโลกด้านโซลูชันโอเพ่นซอร์สประกาศ วางตลาด Red Hat OpenShift Virtualizaion Engine ซึ่งเป็นความก้าวหน้าครั้งใหม่ของ Red Hat OpenShift ที่มอบแนวทางเฉพาะให้องค์กรในการเข้าใช้ฟังก์ชันด้านเวอร์ชวลไลเซชันที่ได้รับการพิสูจน์ประสิทธิภาพแล้ว และพร้อมใช้อยู่บน Red Hat OpenShift

Red Hat OpenShift Virtualization Engine เป็นโซลูชันเฉพาะทางด้านเวิร์กโหลดเวอร์ชวลไลเซชัน มอบทางเลือกที่สามารถปรับแต่งได้อย่างเจาะจง การบริหารจัดการ และการปรับขนาดเวอร์ชวลแมชชีนต่าง ๆ รวมถึงการถอดฟีเจอร์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดการเวอร์ชวลแมชชีนออก เพื่อให้องค์กรมั่นใจได้ว่าจะสามารถใช้คุณประโยชน์จาก OpenShift Virtualization ได้มากที่สุด และสอดคล้องกับความต้องการด้านโครงสร้างพื้นฐานเฉพาะทางของแต่ละองค์กร

แม้ว่าการทำคอนเทนเนอร์จะส่งผลต่อการใช้งานเวอร์ชวลแมชชีนของแอปพลิเคชันบางแอปฯ แต่เวอร์ชวลแมชชีนยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานไอที อย่างไรก็ตามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดเวอร์ชวลไลเซชันเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก องค์กรจำนวนมากต้องเผชิญความท้าทายในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานเวอร์ชวลไลเซชันของตนที่เกิดจากความไม่แน่นอนและค่าใช้จ่ายที่พุ่งสูงขึ้น

Red Hat OpenShift Virtualization Engine นำเสนอโซลูชันเฉพาะด้านเวอร์ชวลไลเซชันที่คุ้มค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็น การใช้งาน การบริหารจัดการ และการปรับขนาดเวอร์ชวลแมชชีนต่าง ๆ

กำหนดนิยามใหม่เวอร์ชวลไลเซชันด้วยแนวทางที่คล่องตัว

Red Hat OpenShift Virtualization Engine ช่วยให้การลงทุนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยการใช้เฉพาะฟีเจอร์ของ OpenShift และส่วนประกอบที่จำเป็นต้องใช้สำหรับเวอร์ชวลไลเซชันเท่านั้น ซึ่งช่วยให้ทำงานง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เบื้องหลังของ Red Hat OpenShift Virtualization Engine คือแรงขับเคลื่อนจาก Red Hat OpenShift Virtualization และ KVM hypervisor ที่อยู่บนดาต้าเซ็นเตอร์ขององค์กรและบนคลาวด์ที่องค์กรใช้ โซลูชันใหม่นี้จึงสามารถรันได้ทั้งในฮาร์ดแวร์ที่รองรับ Red Hat Enterprise Linux ที่อยู่ภายในองค์กร และบนบริการคลาวด์ที่ใช้ภายในองค์กรต่าง ๆ เช่น AWS bare metal instances

Red Hat OpenShift Virtualization Engine ปรับขนาดเพื่อตอบความต้องการของเวิร์กโหลด ในขณะเดียวกันก็มอบความสามารถด้านความปลอดภัยที่ติดตั้งมาเรียบร้อย รวมถึงมีประสิทธิภาพความสม่ำเสมอและสอดคล้องกันมากขึ้นบนไฮบริดคลาวด์

Red Hat OpenShift Virtualization Engine ช่วยให้ย้ายข้อมูลได้ง่ายขึ้น ด้วยการให้ผู้ใช้สามารถเข้าใช้ชุดเครื่องมือเพื่อการโยกย้ายสำหรับเวอร์ชวลไลเซชันโดยเฉพาะได้ เครื่องมือเหล่านี้ใช้ง่าย ช่วยองค์กรย้ายจากแพลตฟอร์มเวอร์ชวลไลเซชันอื่น ช่วยโยกย้ายเวิร์กโฟลว์ได้อย่างไม่ยุ่งยาก ช่วยลดดาวน์ไทม์ ทำให้การทำงานมีความต่อเนื่องมากขึ้น เร้ดแฮทยังนำเสนอ Virtualization Migration Assessment ซึ่งเป็นเวิร์คช็อปแบบมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เชี่ยวชาญของเร้ดแฮทที่จะช่วยประเมินปัจจัยขับเคลื่อนธุรกิจขององค์กร สถานะปัจจุบัน และเส้นทางการโยกย้ายเวอร์ชวลแมชชีนที่มีความเสี่ยงต่ำให้กับองค์กร นอกจากนี้ Red Hat OpenShift Virtualization Engine ยังผสานการทำงานกับ Red Hat Ansible Automation Platform ที่ช่วยให้ทีมไอทีโยกย้ายเวอร์ชวลแมชชีนได้โดยอัตโนมัติ รวมถึงช่วยให้งานด้านการจัดการเวอร์ชวลแมชชีนในแต่ละวันเป็นอัตโนมัติ ทั้งนี้ Red Hat Ansible Automation Platform ช่วยให้องค์กรสามารถสร้างระบบอัตโนมัติและประสานการทำงานร่วมกันให้กับสภาพแวดล้อมเวอร์ชวลไลซ์ต่าง ๆ และงานด้านไอทีอื่น ๆ เพื่อให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ยืดหยุ่น และสอดคล้องกันในวงกว้าง

นอกจากนี้ ระบบนิเวศพันธมิตรของเร้ดแฮทยังให้การสนับสนุน Red Hat OpenShift Virtualization Engine ด้วยความสามารถต่าง ๆ เช่น โซลูชันด้านสตอเรจ ทางเลือกในการสำรองและกู้คืนข้อมูลที่มีอยู่อย่างครอบคลุม และเครื่องมือด้านเครือข่ายต่าง ๆ เพื่อให้สามารถใช้และปรับขนาดโซลูชันให้สอดคล้องกับความต้องการด้านไอทีที่ทันสมัย

เร้ดแฮทยังได้เปิดตัว Red Hat Advanced Cluster Management for Virtualization ศูนย์รวมด้านการบริหารจัดการเวอร์ชวลแมชชีนในระดับที่ต้องการและจำกัดการขยายตัว ความสามารถใหม่ที่อยู่บน Red Hat Advanced Cluster Management for Kubernetes นี้มอบการเข้าใช้งานที่เน้นไปที่ฟีเจอร์ที่มีอยู่ของ Advanced Cluster Management ที่ออกแบบมาเพื่อเป็นศูนย์ในการจัดการไลฟ์ไซเคิลของเวอร์ชวลแมชชีน และเพิ่มประสิทธิภาพงานต่าง ๆ เช่น การเตรียมเวอร์ชวลแมชชีน การติดตามดูความเป็นไป และการปฏิบัติตามกฎระเบียบในแต่ละวัน ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้สภาพแวดล้อมแบบเวอร์ชวลต่าง ๆ ขององค์กร   มีความสอดคล้องกัน

การวางจำหน่าย

Red Hat OpenShift Virtualization Engine และ Red Hat Advanced Cluster Management for Virtualization พร้อมให้บริการแล้ว ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์นี้

คำกล่าวสนับสนุน

Mike Barrett, vice president and general manager, Hybrid Cloud Platforms, Red Hat

โซลูชันเวอร์ชวลไลเซชันเป็นฐานที่มั่นคงให้กับไพรเวทและพับลิคคลาวด์เกือบทั้งหมด ในขณะที่องค์กรต่างกำลังปรับปรุงสภาพแวดล้อมเวอร์ชวลของตนให้ทันสมัย เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงด้านไอทีในปัจจุบัน เราพบว่าองค์กรแต่ละแห่งอยู่ ณ จุดที่แตกต่างกันบนเส้นทางด้านเวอร์ชวลไลเซชัน ซึ่งทำให้แต่ละองค์กรต้องการใช้โซลูชันที่เร้ดแฮทให้บริการในแนวทางที่หลากหลาย เร้ดแฮทจึงปรับเปลี่ยนวิธีการนำเสนอโซลูชันด้านเวอร์ชวลไลเซชัน ให้รองรับความต้องการขององค์กรที่ต้องการใช้เพียงฟีเจอร์ของ Red Hat OpenShift ที่เน้นเฉพาะเรื่องเวอร์ชวลไลเซชัน ทั้งนี้ Red Hat OpenShift Virtualization Engine และ Advanced Cluster Management for Virtualization ช่วยให้เร้ดแฮทปรับราคาโซลูชันลงได้อย่างมากเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้ที่กำลังปรับปรุงระบบให้ทันสมัย”

Stephen Elliott, group vice president, I&O, Cloud Operations, and DevOps, IDC

แม้ว่าจะมีการใช้คอนเทนเนอร์เพิ่มขึ้น แต่โครงสร้างพื้นฐานแบบเวอร์ชวลยังคงเป็นหนึ่งในแกนหลักของการประมวลผลที่ทันสมัยสำหรับแอปพลิเคชันสำคัญ ๆ ที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ เนื่องจากองค์กรจำนวนมากต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านงบประมาณ พวกเขากำลังมองหาทางเลือกด้านการบริหารจัดการเวอร์ชวลแมชชีนที่มีประสิทธิภาพ ที่สามารถลดความซับซ้อน ปรับขนาดได้ ทรงประสิทธิภาพ และ มีความปลอดภัย”

ข้อมูลเพิ่มเติม

The Future of Enterprise: AI and Open Source in 2025

AI และ Open Source เป็นตัวกำหนดอนาคตขององค์กรในปี 2568

The Future of Enterprise: AI and Open Source in 2025

Article by Supannee Amnajmongkol, Country Manager for Thailand, Red Hat

Throughout the year 2024, most of us have moved past the experimental phase for AI, we see businesses increasingly unlocking its value with this transformational technology. As reported in a McKinsey Global Survey, 65% of respondents shared their organizations are now regularly using AI—double the adoption rate in 2023. But with more entrants in the enterprise AI landscape, the challenge lies in creating true competitive differentiation, rather than just keeping up with the status quo.

So how can enterprises prepare for what’s next?

The future of AI lies in open source. As AI expands beyond simple automation into more sophisticated applications like predictive analytics, content generation and even decision-making, it has become essential for enterprises across industries to keep pace. While at varying stages in their AI adoption journey, open source allows businesses to pioneer a new era of innovation. Looking ahead, these are three key trends poised to drive significant changes for enterprises in the APAC region next year.

#1 Discover the open source advantage in AI

Since 2023, the number of open source gen AI projects has surged by 98%, with many of these contributions coming from India, Japan, and Singapore. This reflects the importance of collaboration and accessibility when it comes to new technologies like AI and we are likely to see gen AI activity increase globally. Open source AI platforms and tools, as well as open source-licensed models, are already democratizing innovation by ensuring that its benefits—such as versatile frameworks and tools—are no longer confined to a select few. By making these benefits accessible to organizations of all sizes, the playing field is leveled, allowing even smaller enterprises to discover open source and innovate on a global scale.

Open source solutions also offer businesses flexibility in navigating constraints like cost, data sovereignty, and skill gaps. With a collaborative open source community, enterprises can tailor these solutions to their specific needs while retaining control over sensitive data. Moreover, many eyes make all bugs shallow. With vulnerabilities swiftly identified and addressed, businesses will be able to foster greater trust in AI-driven outcomes.

#2 Make hybrid cloud your default

Open hybrid cloud is no longer an afterthought, but a default. In order to thrive in the age of the customer, businesses in APAC have three main priorities: speed, flexibility, and innovation. Simplifying the integration of AI into daily business operations is critical to achieving these goals. This also enables operational consistency across teams and flexibility to run AI workloads anywhere, ensuring businesses remain agile and adaptable.

In Singapore, we see the financial services industry leading the charge, with both local and regional banks leveraging hybrid cloud for AI workloads. In fact, Singapore is on its way to becoming a launchpad for AI-driven business in Southeast Asia, as investments in AI grow[2]. To fully capitalize on these advancements, organizations in APAC must collaborate with reliable providers that offer the expertise and infrastructure to leapfrog ahead without the need for extensive scaling.

#3 Plan your AI strategy for sustainable growth

ChatGPT has brought gen AI to the forefront of mainstream consciousness, reshaping how businesses approach workflows and drive efficiencies in uncertain times. We might start to see some enterprises that are overly fixated on immediate returns reign in their efforts on AI-driven transformations prematurely. However, to truly unlock AI’s full potential, enterprises need to take a long-term view.

In the AI Readiness Barometer: AI landscape study, conducted by Ecosystm on behalf of IBM[3], AI maturity was assessed based on four main critical criteria: culture and leadership, skills and people, data foundation, and governance framework. Although AI is a business priority for these ASEAN enterprises surveyed, most lack readiness, including the advanced AI and machine learning expertise needed to harness its full potential. In fact, only 17% said their organizations have extensive expertise and dedicated data science teams. Most organizations are still lagging in AI relevant skills; and are also not prioritizing data governance and compliance enough, potentially exposing them to regulation risk. 

To achieve AI maturity, enterprises must adopt a more strategic and patient approach, particularly in more complex areas where AI can drive significant value. Beyond investing in enterprise data and technology to enhance data readiness, organizations need to be prepared at every level. This involves fostering a culture of innovation, upskilling employees to embrace new technologies, and aligning long-term processes with strategic business goals.

What’s next in 2025

In the new year, we will continue to see AI evolve as a cornerstone of innovation, with a deeper integration of AI and open source shaping the future of technology. This not only broadens the accessibility of new technologies but also enhances the adaptability and efficiency of enterprise solutions across industries. At the heart of these advancements, data is the backbone of meaningful, reliable insights. We will see more organizations place greater attention on data provenance, where they have an overview of the origin, integrity, and authenticity of their data, growing deeper trust in an increasingly AI-driven world.

AI และ Open Source เป็นตัวกำหนดอนาคตขององค์กรในปี 2568

AI และ Open Source เป็นตัวกำหนดอนาคตขององค์กรในปี 2568

AI และ Open Source เป็นตัวกำหนดอนาคตขององค์กรในปี 2568

สุพรรณี อำนาจมงคล ผู้จัดการประจำประเทศไทย เร้ดแฮท
บทความโดย สุพรรณี อำนาจมงคล ผู้จัดการประจำประเทศไทย เร้ดแฮท

ตลอดปี 2567 องค์กรธุรกิจต่างได้ทดลองใช้ AI และได้ปลดล็อกศักยภาพของตัวเองด้วยเทคโนโลยีที่เข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลงนี้ ผลสำรวจ McKinsey Global Survey ระบุว่า 65% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่า องค์กรของพวกเขาใช้ AI เป็นประจำ ซึ่งมีอัตราการนำไปใช้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของปี 2566 การที่องค์กรธุรกิจต่างเข้ามามีส่วนร่วมในแลนด์สเคปด้าน AI มากขึ้น ความท้าทายจึงอยู่ที่ธุรกิจแต่ละแห่งจะสร้างความแตกต่างทางการแข่งขันอย่างแท้จริงมากกว่าแค่ตามให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างไร

องค์กรจะเตรียมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างไร

อนาคตของ AI คือโอเพ่นซอร์ส การที่ AI ขยายบทบาทจากการเป็นระบบอัตโนมัติธรรมดาไปเป็นแอปพลิเคชันที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ การสร้างคอนเทนต์ และแม้แต่การตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ทำให้ AI กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรในทุกอุตสาหกรรม แม้ว่าเส้นทางการใช้ AI ของแต่ละองค์กรจะอยู่ในขั้นตอนที่ต่างกัน แต่โอเพ่นซอร์สช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ รุกสู่ยุคใหม่ของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้ แนวโน้มสำคัญสามประการที่กำลังจะเกิดขึ้น และจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสำคัญขององค์กรต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในปี 2568 มีดังนี้

#1 เข้าถึงและใช้ข้อได้เปรียบของโอเพ่นซอร์สใน AI

จำนวนโปรเจกต์ open source gen AI เพิ่มขึ้น 98% ตั้งแต่ปี 2566 โดยโปรเจกต์ส่วนใหญ่ริเริ่มมาจากอินเดีย ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นความสำคัญของการทำงานร่วมกันในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ ๆ และความสามารถในการเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI และมีแนวโน้มว่าเราจะได้เห็นความเคลื่อนไหวของ gen AI เพิ่มขึ้นทั่วโลก แพลตฟอร์มและเครื่องมือที่เป็น open source AI รวมถึงโมเดลที่เป็น open source-licensed ทำให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องสามารถแบ่งปันความคิดและพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ โดยให้ความมั่นใจว่าประโยชน์ต่าง ๆ ของแพลตฟอร์ม เครื่องมือ และโมเดลเหล่านี้ เช่น เฟรมเวิร์กและเครื่องมืออเนกประสงค์ จะไม่จำกัดอยู่เพียงไม่กี่อย่างอีกต่อไป การที่องค์กรทุกขนาดสามารถเข้าใช้ประโยชน์เหล่านี้ได้ จะทำให้การแข่งขันมีความเท่าเทียมกัน แม้แต่องค์กรขนาดเล็กก็สามารถใช้โอเพ่นซอร์สสร้างสรรค์นวัตกรรมในสเกลระดับโลกได้

เมื่อธุรกิจต้องเผชิญกับข้อจำกัดต่าง ๆ เช่น ค่าใช้จ่าย, อำนาจและสิทธิในการควบคุมข้อมูลของตน (data sovereignty), และช่องว่างทางทักษะ โซลูชันโอเพ่นซอร์สสามารถมอบความยืดหยุ่นให้ได้ ผ่านชุมชนโอเพ่นซอร์สที่หลายฝ่ายทำงานร่วมกัน ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับแต่งโซลูชันให้ตรงตามความต้องการเฉพาะของตน และยังสามารถควบคุมข้อมูลที่ละเอียดอ่อนได้ด้วย นอกจากนี้การทำงานร่วมกันของชุมชนโอเพ่นซอร์สจะทำให้มีผู้ทดสอบผลิตภัณฑ์หรือซอฟต์แวร์เพียงพอที่จะสามารถตรวจพบและแก้ไขข้อบกพร่องได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้ธุรกิจเกิดความเชื่อมั่นในผลลัพธ์ในการใช้ AI มากขึ้น

#2 ไฮบริดคลาวด์เป็นตัวเลือกที่ตั้งเป็นค่าเริ่มต้น

โอเพ่นไฮบริดคลาวด์ ไม่ใช่สิ่งที่เอาไว้ค่อยใช้อีกต่อไป แต่ต้องตั้งเป็นค่าเริ่มต้น ธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกควรพิจารณาความสำคัญสามลำดับแรกเพื่อให้ประสบความสำเร็จในยุคที่ลูกค้าเป็นฝ่ายขับเคลื่อน คือ ความเร็ว ความยืดหยุ่น และนวัตกรรม การนำ AI ไปใช้ในการดำเนินธุรกิจในแต่ละวันได้อย่างไม่ยุ่งยาก เป็นสิ่งสำคัญที่จะบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ ทั้งยังช่วยให้การดำเนินงานของแต่ละทีมเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และรันเวิร์กโหลดได้อย่างยืดหยุ่น ณ สภาพแวดล้อมใดก็ได้ เป็นการสร้างความมั่นใจว่าธุรกิจจะสามารถคงความคล่องตัวและปรับตัวได้

ในประเทศสิงคโปร์ เราพบว่าอุตสาหกรรมบริการทางการเงินเป็นผู้นำในเรื่องนี้ โดยธนาคารทั้งในระดับท้องถิ่นและภูมิภาคใช้ประโยชน์จากไฮบริดคลาวด์กับเวิร์กโหลด AI ทั้งนี้ สิงคโปร์กำลังเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมีการลงทุนด้าน AI เติบโตขึ้น[2] การจะใช้ประโยชน์จากความล้ำหน้าเหล่านี้อย่างเต็มประสิทธิภาพได้นั้น องค์กรในเอเชียแปซิฟิกจะต้องร่วมมือกับผู้ให้บริการที่เชื่อถือได้ที่นำเสนอความเชี่ยวชาญและโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยให้เดินหน้าอย่างก้าวกระโดดโดยไม่จำเป็นต้องขยายขนาดการทำงานให้มาก

#3 วางแผนกลยุทธ์ AI เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

ChatGPT เป็นสิ่งที่ทำให้ gen AI โดดเด่นและได้รับการรับรู้ในวงกว้าง พลิกโฉมแนวทางที่ธุรกิจใช้เวิร์กโฟลว์ต่าง ๆ และขับเคลื่อนประสิทธิภาพในเวลาที่เกิดความไม่แน่นอน เราอาจเริ่มเห็นองค์กรบางแห่งยึดติดกับผลตอบแทนแบบทันทีจากการใช้ AI ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงมากเกินไปและก่อนเวลาอันควร อย่างไรก็ตาม เพื่อปลดล็อกศักยภาพสูงสุดของ AI อย่างแท้จริง องค์กรจำเป็นต้องมีมุมมองในระยะยาว

AI Readiness Barometer ซึ่งเป็นการศึกษาแลนด์สเคปของ AI ดำเนินการโดย Ecosystm ในนาม IBM[3] ได้ทำการประเมินความพร้อมของ AI ตามเกณฑ์สำคัญสี่ประการ คือ วัฒนธรรมและความเป็นผู้นำ, ทักษะและบุคลากร, โครงสร้าง-กระบวนการ-กลยุทธ์พื้นฐานที่ใช้บริหารจัดการและใช้ประโยชน์ข้อมูล, และกรอบการกำกับดูแล แม้ว่าองค์กรในอาเซียนที่ตอบแบบสำรวจจะยกให้ AI มีความสำคัญทางธุรกิจเป็นลำดับต้น ๆ แต่ส่วนใหญ่ยังไม่มีความพร้อม รวมถึงขาดความเชี่ยวชาญ AI ขั้นสูงและแมชชีนเลิร์นนิ่งที่จำเป็นเพื่อใช้ประโยชน์อย่างเต็มศักยภาพ มีผู้ตอบแบบสำรวจเพียง 17% ที่กล่าวว่าองค์กรของตนมีความเชี่ยวชาญอย่างมากและมีทีม data science เฉพาะทาง องค์กรส่วนใหญ่ยังคงขาดทักษะที่เกี่ยวข้องกับ AI และยังไม่เห็นว่าการกำกับดูแลและการปฏิบัติตามข้อกำหนด้านข้อมูลมีความสำคัญ ซึ่งอาจทำให้องค์กรเหล่านี้ต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ

การที่จะใช้ AI ได้อย่างสมบูรณ์แบบนั้น องค์กรต้องใช้แนวทางเชิงกลยุทธ์ที่ต้องให้เวลามากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องซับซ้อนที่ AI สามารถขับเคลื่อนคุณประโยชน์ให้ได้อย่างมาก นอกจากการลงทุนด้านข้อมูลองค์กรและเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มความพร้อมของข้อมูลแล้ว องค์กรจำเป็นต้องเตรียมพร้อมทุกระดับ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรม, ยกระดับทักษะของบุคลากรให้เปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ, และปรับกระบวนการระยะยาวต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับเป้าหมายกลยุทธ์ทางธุรกิจ

สิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2568

เราจะยังเห็น AI พัฒนาไปในบทบาทที่เป็นรากฐานสำคัญของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่อย่างต่อเนื่อง การบูรณาการระหว่าง AI และ โอเพ่นเซอร์ที่ลุ่มลึกและแน่นแฟ้นมากขึ้น จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของเทคโนโลยี ซึ่งไม่เพียงหมายถึงการเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ เท่านั้น แต่ยังเพิ่มความสามารถในการปรับตัวและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับโซลูชันที่ใช้ในองค์กรในทุกอุตสาหกรรม ทั้งนี้ หัวใจสำคัญของความก้าวหน้าเหล่านี้อยู่ที่ข้อมูลซึ่งเป็นเสาหลักของข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณประโยชน์และเชื่อถือได้ เราจะได้เห็นองค์กรต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับที่มาของข้อมูลมากขึ้น ทั้งภาพรวมของต้นทางที่เกิดข้อมูล ความสมบูรณ์ และความถูกต้องของข้อมูลขององค์กร และสร้างความไว้วางใจสูงขึ้นมากในโลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI มากขึ้นเรื่อย ๆ

เราก้าวสู่ปี 2568 ปีที่เทรนด์ที่เกี่ยวเนื่องกันเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดแลนด์สเคป AI ที่สมบูรณ์มากขึ้น เป็นการปูทางให้กับอนาคตที่ธุรกิจทุกขนาดสามารถปลดล็อกศักยภาพของข้อมูลและเทคโนโลยีได้ด้วยโอเพ่นซอร์ส

5 benefits to an IT automation mindset

5 benefits to an IT automation mindset

5 benefits to an IT automation mindset

Article by Supannee Amnajmongkol, Red Hat Thailand Country Manager

IT automation has become one of the dominant factors that fosters success in the tech industry, and can be a game-changer for anyone looking to streamline their IT operations. 

What is IT automation?

To put it simply, IT automation is all about using software to handle those repetitive administration tasks we usually do manually. Think of it like setting up a bunch of smart routines that take care of things for you, helping your IT environment run smoothly and scale quickly when needed.

What are the advantages of IT automation?

Incorporating automation into your IT process comes with a bunch of benefits. It’s not just about making things more efficient, it’s about enabling a more secure, innovative and flexible work environment. Here are 5 benefits why adopting an IT automation mindset can boost your IT operations in your organization:

  1. Streamlines IT operations to create space for innovation

Automation can take over many complicated IT tasks, reducing the need for constant intervention and clearing up those pesky bottlenecks. This means your systems can run more reliably and your processes will be more efficient. 

By reducing the number of repetitive tasks your IT team has to manage on a daily basis, automation gives them the time and freedom  to think more creatively and take on new, exciting projects. This helps create an environment that fosters continuous improvement and innovation.

  1. Improves accuracy and reduce errors

Automated processes are less likely to be subject to human error, and will therefore be completed to a much higher standard of accuracy than any human-dependent procedure. This means you can expect tasks to be done with fewer costly mistakes.

  1. Accelerates time-to-market

Automation can help increase team productivity and make development and deployment phases faster and more flexible. This helps you get your products and services to market quicker, giving you a competitive advantage.

With automation, you can gather and rapidly analyze large volumes of data, which comes in handy for making smart decisions and strategic planning.

  1. Strengthens security posture and compliance

Automation can help improve your IT security posture by simplifying the implementation of consistent security policies and compliance measures. For customers like Cepsa, automation allows them to save time and focus on the processes that help with compliance and cyber security. Automation helps make systems more resilient and compliant through precise permission management and enforcement of robust security protocols.

  1. Enhances disaster recovery and business continuity

Imagine your main computer crashes or loses all its data. Disaster recovery is about having a plan to quickly restore your IT systems and data after such a major event, while business continuity means that your essential operations are able to keep running smoothly, no matter what happens. Automated routines for backup and recovery make this process a lot simpler and more reliable.

For example, if you experience a catastrophic system failure, automated processes help restore critical data and system files quickly and reliably. This reduces potential downtime and helps your business maintain routine operations even in times of major disruption.

Automating IT tasks isn’t just about making work more efficient—it can also represent a fundamental shift in organizational strategy. Today’s companies – no matter what industry – need to be flexible and sustainable. Automation can help organizations become more innovative and efficient, while also boosting their overall security posture. It can help organizations become more responsive, too—proactively embracing IT automation is one way tech companies can increase their agility and remain ready for future challenges.

No matter the complexity of your environment or where you are on your IT modernization journey, an IT operations automation strategy can help you improve existing processes. With automation, you can save time, increase quality, improve employee satisfaction and reduce costs throughout your organization.

ความเชื่อเรื่องไอทีอัตโนมัติ สร้างประโยชน์อย่างไร

5 benefits to an IT automation mindset

ความเชื่อเรื่องไอทีอัตโนมัติ สร้างประโยชน์อย่างไร

บทความโดย คุณสุพรรณี อำนาจมงคล ผู้จัดการประจำประเทศไทย เร้ดแฮท

ระบบไอทีที่ทำงานโดยอัตโนมัติ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนความสำเร็จให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และอาจเป็นตัวเปลี่ยนแกมให้กับองค์กรใดก็ตามที่มองหาการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการดำเนินงานด้านไอที

ระบบไอทีที่ทำงานโดยอัตโนมัติคืออะไร

ระบบไอทีอัตโนมัติ คือ การใช้ซอฟต์แวร์จัดการกับงานธุรการที่ต้องทำซ้ำๆ กัน ด้วยวิธีการแบบแมนนวล เสมือนการตั้งค่าการทำกิจวัตรประจำวันอย่างชาญฉลาดมากมายไว้ช่วยองค์กรจัดการงานต่าง ๆ ช่วยให้สภาพแวดล้อมไอทีขององค์กรทำงานอย่างราบรื่น และสเกลได้อย่างรวดเร็วเมื่อต้องการ

ข้อดีของระบบไอทีอัตโนมัติ

การนำระบบอัตโนมัติมาใช้กับกระบวนการด้านไอทีในองค์กรมีคุณประโยชน์หลายประการ ที่ไม่เพียงเกี่ยวกับการทำให้งานต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีความยืดหยุ่น สร้างสรรค์ และปลอดภัย การมีแนวคิดและวิธีคิดในการใช้ไอทีอัตโนมัติ จะช่วยให้ระบบไอทีขององค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น 5 ประการ ดังนี้

  1. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้านไอที เพื่อสร้างพื้นที่ให้กับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ

ระบบอัตโนมัติสามารถรับหน้าที่ทำงานด้านไอทีที่ซับซ้อนจำนวนมากได้ เป็นการลดความจำเป็นที่ต้องใช้คนที่มีทักษะเฉพาะทาง และขจัดปัญหาคอขวดต่าง ๆ ที่สร้างความยุ่งยากลงได้ ระบบต่าง ๆ จึงสามารถทำงานอย่างเชื่อถือได้มากขึ้น และกระบวนการทำงานต่าง ๆ จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ระบบอัตโนมัติช่วยให้ทีมไอทีมีอิสระจากงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ จำนวนมากในแต่ละวัน และนำเวลาที่มีไปใช้เชิงความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น รวมถึงทำโปรเจกต์ที่น่าตื่นเต้นใหม่ ๆ ได้ นับเป็นการช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง

  1. เพิ่มความแม่นยำและลดข้อผิดพลาด

กระบวนการอัตโนมัติต่าง ๆ ทำให้เกิดข้อผิดพลาดจากมนุษย์น้อยลงมาก และงานจะเสร็จสิ้นลงด้วยมาตรฐานความแม่นยำที่สูงกว่ากระบวนการที่ต้องอาศัยมนุษย์ องค์กรจึงคาดหวังได้ว่างานต่าง ๆ จะสำเร็จโดยมีความผิดพลาดที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงน้อยลง

  1. วางตลาดสินค้า/บริการได้เร็วขึ้น

ระบบอัตโนมัติสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของทีม และทำให้ขั้นตอนต่าง ๆ ในการพัฒนาและการปรับใช้รวดเร็วและยืดหยุ่นมากขึ้น ช่วยให้องค์กรส่งผลิตภัณฑ์และบริการสู่ตลาดได้เร็วขึ้น และมีความได้เปรียบทางการแข่งขัน

ระบบอัตโนมัติ ช่วยให้องค์กรสามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณมากได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งพร้อมให้นำมาใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจที่ชาญฉลาดและการวางแผนเชิงกลยุทธ์

  1. เสริมมาตรฐานด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างรัดกุม

ระบบอัตโนมัติสามารถเพิ่มประสิทธิภาพมาตรการรักษาความปลอดภัยด้านไอทีให้กับองค์กร ด้วยการทำให้องค์กรสามารถดำเนินนโยบายด้านความปลอดภัยได้อย่างสอดคล้องกันและปฏิบัติตามมาตรการด้านกฎระเบียบได้อย่างไม่ยุ่งยาก ยกตัวอย่าง Cepsa ที่ใช้ระบบอัตโนมัติ ซึ่งช่วยประหยัดเวลา และเน้นเรื่องกระบวนการต่าง ๆ ที่ช่วยให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบและความปลอดภัยไซเบอร์ ระบบอัตโนมัติช่วยให้ระบบต่าง ๆ มีความยืดหยุ่นและอยู่ในกรอบข้อกำหนดมากขึ้น ผ่านการจัดการสิทธิ์อย่างระมัดระวังและเที่ยงตรง รวมถึงการบังคับใช้โปรโตคอลความปลอดภัยที่รัดกุม

  1. เพิ่มประสิทธิภาพการกู้คืนระบบและคงความต่อเนื่องทางธุรกิจ

การกู้คืนระบบเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำแผนกู้คืนระบบไอทีและข้อมูลขององค์กรอย่างรวดเร็ว หลังเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น คอมพิวเตอร์หลักขององค์กรล่มหรือข้อมูลทั้งหมดสูญหาย ส่วนความต่อเนื่องทางธุรกิจหมายถึง การที่องค์กรสามารถดำเนินงานสำคัญต่อได้อย่างราบรื่นไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น งานที่เกี่ยวกับสำรองและกู้คืนระบบที่เป็นอัตโนมัติ จะช่วยให้กระบวนการนี้ง่ายขึ้นและเชื่อถือได้มากขึ้นอย่างมาก

ตัวอย่าง หากองค์กรประสบปัญหาระบบล้มเหลว กระบวนการอัตโนมัติจะช่วยกู้คืนไฟล์ข้อมูลและระบบอย่างรวดเร็วและเชื่อถือได้ ซึ่งช่วยลดดาวน์ไทม์ที่อาจเกิดขึ้น และช่วยให้ธุรกิจคงไว้ซึ่งความสามารถในการดำเนินงานตามปกติได้แม้จะต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่มีการหยุดชะงักครั้งใหญ่

การทำให้งานด้านไอทีเป็นอัตโนมัติ ไม่เพียงเกี่ยวกับเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้มากขึ้นเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานของกลยุทธ์ขององค์กร บริษัทหลายแห่งในปัจจุบัน ไม่ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมใดก็ตาม ต่างต้องการความยืดหยุ่นและความยั่งยืน ระบบอัตโนมัติสามารถช่วยองค์กรสร้างนวัตกรรมและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้านต่าง ๆ มากขึ้น ทั้งยังส่งเสริมมาตรการด้านความปลอดภัยในภาพรวมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังช่วยให้องค์กรตอบสนองได้ดีขึ้น การนำระบบไอทีอัตโนมัติมาใช้ในเชิงรุก เป็นหนทางหนึ่งที่สามารถเพิ่มความคล่องตัว และสร้างความพร้อมรับความท้าทายในอนาคตให้กับบริษัทด้านเทคโนโลยี

กลยุทธ์การทำงานด้านไอทีอัตโนมัติ สามารถช่วยองค์กรปรับปรุงกระบวนการต่าง ๆ ที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ ทั้งยังช่วยให้ประหยัดเวลา เพิ่มคุณภาพ เพิ่มความพึงพอใจของพนักงาน และลดค่าใช้จ่ายในองค์กร ไม่ว่าสภาพแวดล้อมการทำงานขององค์กรจะซับซ้อนเพียงใด หรือองค์กรกำลังอยู่ ณ จุดไหนบนเส้นทางการปรับระบบไอทีให้ทันสมัยก็ตาม