เร้ดแฮท ชู Red Hat AI เสริมศักยภาพการใช้ AI ขององค์กรบนไฮบริดคลาวด์

เร้ดแฮท ชู Red Hat AI เสริมศักยภาพการใช้ AI ขององค์กรบนไฮบริดคลาวด์

เร้ดแฮท ชู Red Hat AI เสริมศักยภาพการใช้ AI ขององค์กรบนไฮบริดคลาวด์

พอร์ตโฟลิโอ AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ Red Hat OpenShift AI และ Red Hat Enterprise Linux AI เพื่อหนุนให้องค์กรธุรกิจประสบความสำเร็จในการปรับใช้กลยุทธ์ AI

เร้ดแฮท ผู้ให้บริการโซลูชันโอเพ่นซอร์สระดับแนวหน้าของโลก ประกาศการอัปเดทล่าสุดให้กับ Red Hat AI กลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้พัฒนาและปรับใช้โซลูชัน AI บนไฮบริดคลาวด์ทุกแห่ง Red Hat AI เป็นแพลตฟอร์ม AI ระดับองค์กร เพื่อการเทรนและการอนุมานโมเดลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น มอบประสบการณ์การใช้งานที่เรียบง่าย และสามารถนำไปใช้บนไฮบริดคลาวด์ได้ทุกแห่งอย่างยืดหยุ่น

ธุรกิจต่างมองหาวิธีลดค่าใช้จ่ายในการใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) ให้ได้ตามความต้องการและให้เพียงพอต่อกรณีการใช้งานขององค์กรที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ธุรกิจเหล่านี้ก็ยังคงเผชิญกับความท้าทายในการบูรณาการโมเดลเหล่านั้นเข้ากับข้อมูลภายในขององค์กร ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนกรณีใช้งานต่าง ๆ ขององค์กร ในขณะเดียวกันก็ต้องการเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ทุกที่ ไม่ว่าข้อมูลนั้นจะอยู่ในดาต้าเซ็นเตอร์ บนพับลิคคลาวด์ต่าง ๆ หรือแม้แต่ที่ edge

Red Hat AI ประกอบด้วย Red Hat OpenShift AI และ Red Hat Enterprise Linux AI (RHEL AI) สามารถจัดการกับความกังวลดังกล่าวได้ด้วยแพลตฟอร์ม AI ระดับองค์กรที่ช่วยให้ผู้ใช้ปรับใช้โมเดลต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมมากขึ้น ทำการปรับแต่งข้อมูลเฉพาะธุรกิจให้สามารถนำไปใช้ในการเทรนและการอนุมานบนสถาปัตยกรรมการประมวลผลแบบเร่งความเร็วที่หลากหลายบนไฮบริดคลาวด์ได้ทุกแห่ง

Red Hat OpenShift AI

Red Hat OpenShift AI เป็นแพลตฟอร์ม AI ที่สมบูรณ์แบบเพื่อการบริหารจัดการไลฟ์ไซเคิลของ AI เชิงคาดการณ์ (predictive AI) และ generative AI (gen AI) บนไฮบริดคลาวด์ รวมถึงความสามารถต่าง ๆ ของ machine learning operations (MLOps) และ LLMOps แพลตฟอร์มนี้มอบฟังก์ชันที่ใช้สร้างโมเดลเชิงคาดการณ์ต่าง ๆ และฟังก์ชันในการปรับแต่งโมเดล gen AI ทั้งยังมอบเครื่องมือที่ใช้บริหารจัดการโมเดล AI ได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวิทยาการข้อมูล (data science) ไปป์ไลน์โมเดล และการติดตามตรวจสอบโมเดล ไปจนถึงการกำกับดูแล และอื่น ๆ

Red Hat OpenShift AI 2.18 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของแพลตฟอร์มนี้ ได้รับการอัปเดทและเพิ่มความสามารถใหม่ ๆ เพื่อสนับสนุนวัตถุประสงค์ของ Red Hat AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการปรับให้โมเดล AI เหมาะสมที่จะนำไปใช้บนไฮบริดคลาวด์ โดยมีคุณสมบัติสำคัญ เช่น

  • ให้บริการแบบกระจาย (distributed serving): ส่งบริการผ่านเซิร์ฟเวอร์การอนุมาน vLLM ช่วยให้ทีมไอทีแยกการให้บริการโมเดลที่อยู่บนหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) หลายหน่วยออกจากกัน ซึ่งช่วยลดภาระของเซิร์ฟเวอร์ตัวเดียว ช่วยให้การเทรนและการปรับแต่งรวดเร็วขึ้น และใช้ทรัพยากรประมวลผลได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไปพร้อม ๆ กับช่วยกระจายบริการต่าง ๆ ข้ามโหนดให้กับโมเดล AI ต่าง ๆ
  • มอบประสบการณ์การปรับแต่งโมเดลอย่างครบวงจร: ฟีเจอร์นี้ใช้ InstructLab และ Red Hat OpenShift AI data science pipelines ช่วยให้การปรับแต่ง LLMs อย่างละเอียดทำได้โดยไม่ยุ่งยาก สามารถปรับขนาดการใช้งาน เพิ่มประสิทธิภาพและตรวจสอบสภาพแวดล้อมการผลิตขนาดใหญ่ได้มากขึ้น และสามารถบริหารจัดการผ่านแดชบอร์ดของ Red Hat OpenShift AI
  • AI Guardrails: Red Hat OpenShift AI 18 ช่วยเพิ่มความแม่นยำ ประสิทธิภาพ ระยะเวลาในการตอบสนอง และความโปร่งใส ให้กับ LLM ผ่านเทคโนโลยีพรีวิวของ AI Guardrails เพื่อติดตามตรวจสอบและปกป้องทั้งการปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้ผ่านอินพุต และการเอาต์พุตของโมเดลได้ดีมากขึ้น AI Guardrails นำเสนอจุดตรวจจับเพิ่มเติม เพื่อช่วยทีมไอทีระบุและบรรเทาอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากเจตนาร้าย คำพูดที่หยาบคายหรือดูหมิ่น หรือการรั่วไหลของข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนได้ ข้อมูลด้านการแข่งขัน หรือข้อมูลอื่นที่จำกัดการเข้าถึงโดยนโยบายของบริษัท 
  • การประเมินโมเดล: ใช้องค์ประกอบการประเมินโมเดลภาษา (Im-eval) เพื่อมอบข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับคุณภาพโดยรวมของโมเดลนั้น ๆ เพื่อช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลสามารถปรียบเทียบประสิทธิภาพของ LLMs ของตนที่ใช้ทำงานด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้เหตุผลเชิงตรรกะ และคณิตศาสตร์ ไปจนถึงภาษาธรรมชาติ และอื่น ๆ ซึ่งท้ายที่สุดเป็นการช่วยสร้างโมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพ มีความสามารถในการตอบสนอง และเจาะจงตามการใช้งานได้มากขึ้น

RHEL AI

RHEL AI เป็นแพลตฟอร์มโมเดลพื้นฐาน ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้าน AI ของเร้ดแฮท แพลตฟอร์มนี้ใช้สำหรับการพัฒนา ทดสอบ และรัน LLMs เพื่อสนับสนุนแอปพลิเคชันระดับองค์กรได้อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง ทั้งนี้ RHEL AI มอบโมเดล Granite LLMs และเครื่องมือปรับโมเดลให้สอดคล้องกันจาก InstructLab แพ็ครวมเป็น Red Hat Enterprise Linux server image ที่บูตได้ และสามารถนำไปใช้บนไฮบริดคลาวด์ใดก็ได้

RHEL 1.4 เปิดตัวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 มาพร้อมการเพิ่มประสิทธิภาพใหม่หลายรายการ รวมถึง

  • รองรับโมเดล Granite 3.1 8B ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดของตระกูลโมเดล Granite ที่เปิดเป็นโอเพ่นซอร์ส โมเดลนี้รองรับภาษาหลายภาษา เพื่อการอนุมานและการปรับแต่งอนุกรมวิธาน/ความรู้ (พรีวิวสำหรับนักพัฒนา) มาพร้อมความยาวบริบทขนาด 128k เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผลลัพธ์ในการทำสรุป และงานการสร้างแบบเสริมการเรียกค้นต่าง ๆ (RAG)
  • อินเทอร์เฟซกราฟิกสำหรับผู้ใช้งานแบบใหม่ เพื่อมีส่วนร่วมสนับสนุนทักษะและความรู้ พร้อมให้นักพัฒนาได้ใช้งานในขั้นพรีวิว เพื่อลดความซับซ้อนในการนำเข้าและรวมข้อมูล รวมถึงวิธีที่ผู้ใช้เพิ่มทักษะให้กับตนเอง และมีส่วนร่วมสนับสนุนโมเดล AI
  • Document Knowledge-bench (DK-bench) สำหรับเปรียบเทียบการปรับแต่งโมเดล AI ด้วยข้อมูลส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกันได้อย่างไม่ยุ่งยาก ด้วยประสิทธิภาพเดียวกับโมเดลพื้นฐานที่ยังไม่ได้รับการปรับแต่ง

Red Hat AI InstructLab on IBM Cloud

องค์กรต่างมองหาโซลูชัน AI ที่ให้ความสำคัญกับความแม่นยำและความปลอดภัยของข้อมูลมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันยังคงต้องควบคุมค่าใช้จ่าย และลดความซับซ้อน ให้เหลือต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ Red Hat AI InstructLab เป็นบริการบน IBM Cloud ได้รับการออกแบบมาให้ใช้งานง่าย ปรับขนาดได้ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยในการเทรนและพัฒนาโมเดล AI ต่าง ๆ การลดความซับซ้อนของการปรับแต่งโมเดลบน InstructLab ช่วยให้องค์กรสามารถสร้างโมเดลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและปรับให้ตรงกับความต้องการเฉพาะของแต่ละองค์กร และยังคงอำนาจควบคุมข้อมูลของตนไว้ได้

การอบรมด้าน AI Foundations โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

AI คือโอกาสในการทรานส์ฟอร์มที่สามารถเปลี่ยนโฉมวิธีการทำงานและการแข่งขันขององค์กรต่าง ๆ เร้ดแฮทนำเสนอคอร์สการอบรมด้าน AI Foundations ออนไลน์ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อสนับสนุนองค์กรต่าง ๆ ในบริบทที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในปัจจุบัน เร้ดแฮทมอบใบรับรองการเรียนหลักสูตรด้าน AI สองรายการ คือ สำหรับผู้นำอาวุโสที่มีประสบการณ์ และสำหรับมือใหม่ด้าน AI โดยให้ความรู้แก่ผู้ใช้ทุกระดับว่า AI สามารถช่วยทรานส์ฟอร์มการดำเนินงานทางธุรกิจได้อย่างไร สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจและขับเคลื่อนนวัตกรรมได้อย่างไร โดยการอบรม AI Foundations นี้จะแนะนำผู้ใช้ว่าจะสามารถนำความรู้ที่ได้จากการอบรมนี้ไปใช้อย่างไรเมื่อใช้ Red Hat AI

การวางจำหน่าย

Red Hat OpenShift AI 2.18 และ Red Hat Enterprise Linux AI 1.4 วางจำหน่ายแล้ว สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟีเจอร์เพิ่มเติม การเพิ่มประสิทธิภาพด้านต่าง ๆ การแก้ไขจุดบกพร่อง และวิธีการอัปเกรดเป็นเวอร์ชันล่าสุดของ Red Hat OpenShift AI ได้ที่นี่ และเวอร์ชันล่าสุดของ RHEL AI ได้ที่นี่

Red Hat AI InstructLab on IBM Cloud จะวางตลาดเร็ว ๆ นี้ ส่วนการอบรม AI Foundations จากเร้ดแฮทพร้อมให้บริการลูกค้าแล้ว

คำกล่าวสนับสนุน

Joe Fernandes, vice president and general manager, AI Business Unit, Red Hat

“เร้ดแฮทตระหนักดีว่าองค์กรต่างต้องการแนวทางบริหารจัดการค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการนำ generative AI มาใช้ และนำกรณีใช้งานต่าง ๆ เข้าสู่การผลิตและใช้ในงานตามต้องการในวงกว้างมากขึ้น องค์กรเหล่านี้จำเป็นต้องจัดการความท้าทายในการบูรณาการโมเดล AI ต่าง ๆ เข้ากับข้อมูลภายในขององค์กร และทำให้สามารถปรับใช้โมเดลเหล่านี้ได้ทุกที่ไม่ว่าข้อมูลจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม Red Hat AI ช่วยองค์กรจัดการความท้าทายดังกล่าว โดยช่วยให้องค์กรสามารถใช้ประโยชน์จากโมเดลเฉพาะทางได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการเทรนด้วยข้อมูลภายในของตน และช่วยให้อนุมานได้อย่างยืดหยุ่นไม่ว่าจะอยู่ในระบบภายในองค์กร บนคลาวด์ หรือที่ edge”

Régis Lesbarreres, advanced analytics and AI innovation manager, digital innovation, Airbus Helicopters

“ช่วงที่ Airbus Helicopters เริ่มต้นเส้นทางการนำ AI มาใช้ เราต้องการผสานรวม AI เข้ากับสถาปัตยกรรมที่เรามีอยู่แล้ว ต้องการลด shadow IT และรวบรวมการทำงานของ data scientists ของเราไว้บนแพลตฟอร์ม AI เดียว รวมถึงการปรับค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม Red Hat OpenShift AI ช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายความต้องการดังกล่าวทั้งหมด และทำให้เกิดกรณีใช้งานทางธุรกิจที่ใช้ AI เป็นครั้งแรกของเรา วิสัยทัศน์ด้าน AI ของเร้ดแฮท สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทางธุรกิจของเรา และช่วยให้เราตอบโจทย์ความต้องการ พร้อม ๆ กับคงความยืดหยุ่น การเข้าใช้งาน และความโปร่งใสไว้ได้ด้วย”

Javier Olaizola Casin, global managing partner, hybrid cloud and data, IBM Consulting

“ธุรกิจหันมาใช้ AI เพื่อทรานส์ฟอร์มกระบวนการสำคัญทางธุรกิจมากขึ้น และต้องการโซลูชัน AI ที่ยืดหยุ่น คุ้มค่าใช้จ่าย และปรับแต่งด้วยข้อมูลที่เชื่อถือได้ขององค์กรได้  Red Hat AI นำเสนอความสม่ำเสมอ เชื่อถือได้ และความเร็ว ที่องค์กรต้องใช้เพื่อสร้างและปรับใช้โมเดลและแอปพลิเคชัน AI กับการทำงานด้านต่าง ๆ บนไฮบริดคลาวด์ เพื่อตอบความต้องการที่เจาะจงของแต่ละองค์กร นอกจากนี้การรวมโดเมน เทคโนโลยี และความเชี่ยวชาญของ IBM Consulting เข้ากับเทคโนโลยี AI ของเร้ดแฮท ทำให้เราช่วยลูกค้าของเราขับเคลื่อนให้เกิด ROI จากการลงทุนทางเทคโนโลยีของตนได้เป็นอย่างดี”

Torsten Volks, principal analyst, application modernization, ESG

“ทีมงานและหน่วยธุรกิจขององค์กรระดับแนวหน้า ทำการตัดสินใจทางธุรกิจโดยพิจารณาจากข้อมูลเป็นหลัก และใช้ AI เป็นตัวขับเคลื่อน ดังนั้น ปัจจัยที่จะนำสู่ความสำเร็จที่สำคัญ คือ ความสามารถในการพัฒนา ปรับใช้ บูรณาการ ปรับขนาด และควบคุม ความสามารถของ AI ได้อย่างรวดเร็วทุกจุด ซึ่งความสามารถที่กล่าวมานี้ต้องการโครงสร้างรากฐาน AI ที่เปิดกว้างและขยายออกไปได้ ที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าการบูรณาการณ์เข้ากับระบบและกระบวนการต่าง ๆ ที่มีอยู่เป็นไปอย่างราบรื่น มีความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน และสามารถกำกับดูแลได้อย่างต่อเนื่อง การช่วยให้พนักงานและลูกค้าได้รับประโยชน์จากความสามารถต่าง ๆ ของ AI  ได้อย่างรวดเร็ว และครอบคลุมมากขึ้น เป็นสิ่งสำคัญต่อความต่อเนื่องของความสำเร็จทางธุรกิจ”

Anand Swamy, executive vice president  and global head of ecosystems, HCLTech

การผสานรวมความสามารถต่าง ๆ ของ Red Hat AI ซึ่งครอบคลุมถึง RHEL AI และ Red Hat OpenShift AI เพื่อมอบแพลตฟอร์มการใช้ AI ครบวงจร ด้วยบริการด้านโครงสร้างพื้นฐานแบบ cognitive และความเชี่ยวชาญด้าน AI ของ HCLTech ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโซลูชัน HCLTech AI Foundry ช่วยให้ลูกค้าได้รับแนวทางที่ทรงประสิทธิภาพและคล่องตัวเพื่อใช้ปลดล็อกนวัตกรรมด้าน AI และก้าวข้ามความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ความปลอดภัยของข้อมูล การปรับขนาดเวิร์กโหลด AI และการลดค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน

Virtualization in 2025 and beyond

ส่อง! เวอร์ชวลไลเซชันปี 2025 และจากนี้ไป

Virtualization in 2025 and beyond

Article by Senior Manager, Product Management, OpenShift

Looking back, every decade has brought a new wave of innovation based on unmet customer needs and technology advancements. The 1990s brought about the information transition to digitization resulting in the popularity of the World Wide Web. 2000s began with applications gaining hardware independence by adopting server virtualization made possible due to advancements in hypervisor technologies. 2010s introduced on-demand infrastructure and shortening application lifecycles from years to hours through the adoption of DevOps and Kubernetes. The 2020s are shaping up to bring about the adoption of generative AI (gen AI) as well as many customers rethinking their traditional approach to virtualization due to changes in the industry. 

At least two out of three enterprise applications are hosted as virtual machines and critical for every enterprise. As virtualization continues to evolve, many customers are rethinking their traditional approaches. Today, I want to talk about where the virtualization market is headed in 2025, how Red Hat is working with our partner ecosystem to meet new demands and how organizations can protect their critical virtual machine (VM) investments while having a path forward towards modernization when the time is right. 

Where we’re headed 

In 2025 (and beyond), virtualization will be defined by diversification. Many customers are prioritizing the need to avoid vendor lock-in by diversifying their hypervisor vendors. ISVs – especially in storage, backup and disaster recovery integrations are seeing the same diversification wave and rapidly extending support to additional industry standard hypervisors.  To simplify operations and bypass steep learning curves, AI-driven solutions will play a key role, enabling teams to work seamlessly at an operational syntax level rather than mastering complex systems.

We’re going to see greater adoption of modern application development principles. Customers’ familiarity with modern application development and deployment methodologies has increased significantly. The resulting benefits on developer productivity and application delivery agility is prompting customers to evaluate their existing VM-based workloads and classify which ones can benefit from adopting modern practices. Platforms that allow the flexibility to run VMs and containers in a unified manner and provide operational agility and efficiencies will continue to gain popularity. 

Lastly, hybrid cloud adoption will demand operational simplicity. Even as customers embrace multi-cloud strategies for virtualization workloads, they’re simultaneously repatriating some workloads to on-premises. These decisions are increasingly driven by geographic availability, sovereignty concerns and cost optimizations. This growing reliance on diverse cloud providers underscores the need for hybrid cloud solutions that can deliver standardized operations across these clouds with seamless failover capabilities, simplifying management in a complex landscape.

There’s a common theme here, if you couldn’t tell – there is a need for modern virtualization solutions that are adaptable and work across environments, enabling organizations to prepare for future innovation and growth. With the right strategies in place, organizations can align their legacy infrastructure with evolving business strategies.

The need for open, hybrid virtualization solutions

Soaring costs that are squeezing already-slim IT budgets may be the primary catalyst for organizations reevaluating their virtualization solutions, but it’s not the only reason. Modern open source alternatives are gaining momentum, and it’s in part because they meet the needs of where virtualization is headed.

Even if modernization is years away and VMs remain a critical component of an organization’s IT strategy, chances are any future plans involve containers, edge deployments, generative AI (gen AI) and more. Enterprise adoption of AI requires a platform that solves the same challenges of flexibility, collaborative workflows and scaling across hybrid clouds. To take advantage of these innovations without leaving behind VM investments, organizations need solutions that prevent vendor lock-in and provide a unified platform for managing across modern and legacy applications alike and extend to enterprise AI platform deployments.

This is where open source solutions can shine, offering a way to integrate cloud-native technologies without abandoning needed infrastructure. Open source virtualization options give organizations the ability to tap into an entire ecosystem of certified technology, unlocking the flexibility and – most importantly – the control that many IT leaders are looking for in a market that has seen increasing uncertainty. Red Hat OpenShift is built on proven open source technology like Kubernetes, KubeVirt and KVM to provide a consistent management experience across cloud, on-premises and edge environments

Bringing together VMs and containers

The crossroads that many are finding themselves at today – needing to confront immediate virtualization challenges but also wanting to lay the groundwork for future application modernization initiatives – can be an opportunity. Many are not ready to go all in on modernization – whether due to budget constraints, skills gaps, prioritization or a host of other reasons, oftentimes organizations are focused on keeping the lights on and making incremental IT changes vs the sweeping overhaul of their infrastructure they may dream of making. But it doesn’t need to be an all or nothing approach when it comes to virtualization modernization.

We’ve been working to refine Red Hat OpenShift to best meet the needs of virtualized infrastructure while also enabling organizations to take advantage of the latest IT innovations like generative AI. Red Hat OpenShift with OpenShift Virtualization serves as a strategic bridge between traditional virtualization environments and modern, cloud-native applications, simplifying the transition process while maintaining operational continuity. 

Additionally, Red Hat expanded its virtualization portfolio to provide options that meet users wherever they are on their virtualization journey. With the latest edition of Red Hat OpenShift, Red Hat OpenShift Virtualization Engine, organizations now have a streamlined solution entitled to the essential OpenShift features and components required for virtualization with a seamless upgrade path to meet the needs of infrastructure and modernization needs in the future.

Using Red Hat OpenShift Virtualization, organizations like Reist Telecom AG have been able to unify VMs and containers to cut licensing costs in half, bring greater transparency and consistency to its IT security policies, and enable greater cross-team collaboration through the implementation of DevOps practices and tools.

A flexible path forward

Over the past few years the virtualization landscape has seen some fairly significant changes and in 2025 we’ll see some of that dust start to settle. Key decisions are being made when it comes to protecting VM investments while also keeping an eye on the future. While it may seem easier to keep the status quo, with options like Red Hat OpenShift Virtualization Engine, organizations can focus solely on migrating to a stable environment and modernize down the road if and when the time comes.

ส่อง! เวอร์ชวลไลเซชันปี 2025 และจากนี้ไป

ส่อง! เวอร์ชวลไลเซชันปี 2025 และจากนี้ไป

ส่อง! เวอร์ชวลไลเซชันปี 2025 และจากนี้ไป

บทความโดย ซาชิน มัลลิค, ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์, เร้ดแฮท

เมื่อมองย้อนกลับไปจะเห็นได้ว่าทุกสิบปีจะมีคลื่นลูกใหม่ของนวัตกรรมเกิดขึ้น โดยมีพื้นฐานจากความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าที่ยังไม่เติมเต็ม และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ในยุค 1990 เกิดการเปลี่ยนผ่านข้อมูลสู่การเป็นข้อมูลดิจิทัลที่ทำให้ World Wide Web (www) เป็นที่นิยม ต่อมาเราเริ่มต้นปี 2000 ด้วยการใช้เซิร์ฟเวอร์แบบเวอร์ชวลที่เกิดจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีไฮเปอร์ไวเซอร์ ทำให้แอปพลิเคชันไม่ต้องพึ่งพาฮาร์ดแวร์อีกต่อไป ในอีกสิบปีถัดมา (2010) มีการนำโครงสร้างพื้นฐานแบบออนดีมานด์มาใช้ พร้อมกับการเกิดขึ้นของ DevOps และ Kubernetes ที่เข้ามาทำให้สามารถสร้างและปรับใช้แอปพลิเคชันได้เร็วขึ้น จากเดิมที่เคยใช้เวลาเป็นปีเหลือเพียงหลักชั่วโมง และในยุค 2020 เรากำลังเห็นการเติบโตของ Generative AI (Gen AI) รวมถึงการที่ลูกค้าหลายรายเริ่มทบทวนแนวทางการทำเวอร์ชวลไลเซชันแบบดั้งเดิม เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม

อย่างน้อยสองในสามของแอปพลิเคชันสำคัญขององค์กรรันอยู่บนเวอร์ชวลแมชชีน และลูกค้าส่วนใหญ่เริ่มทบทวนแนวทางการใช้เทคโนโลยีเวอร์ชวลไลเซชันดั้งเดิมของตนท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงด้านนี้ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เร้ดแฮทนำเสนอข้อมูลทิศทางของตลาดด้านเวอร์ชวลไลเซชัน ความสำคัญของความร่วมมือกับระบบนิเวศพันธมิตร และแนวทางที่องค์กรสามารถใช้เพื่อให้การลงทุนด้านเวอร์ชวลแมชชีนคุ้มค่า รวมถึงเส้นทางการปรับปรุงให้ทันสมัยเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม

ทิศทางในอนาคต

ในปี 2025 และจากนี้ไป จะมีการให้คำนิยามคำว่าเวอร์ชวลไลเซชันอย่างหลากหลาย ลูกค้าจำนวนมากหลีกเลี่ยงการถูกผูกขาดจากผู้ให้บริการรายเดียว (vendor lock-in) ด้วยการเลือกใช้ไฮเปอร์ไวเซอร์จากผู้ให้บริการหลายราย ในขณะเดียวกัน ผู้พัฒนาและจำหน่ายซอฟต์แวร์อิสระ (ISVs) โดยเฉพาะในด้านการจัดเก็บข้อมูล การสำรองข้อมูล และการกู้คืนระบบจากภัยพิบัติ ก็กำลังเผชิญกับกระแสความหลากหลายนี้เช่นกัน ทำให้ ISVs ต่างขยายให้บริการของตนรองรับการใช้งานกับไฮเปอร์ไวเซอร์มาตรฐานอุตสาหกรรมเพิ่มเติมอย่างรวดเร็ว เพื่อให้การดำเนินงานง่ายขึ้นและลดความซับซ้อนในการเรียนรู้ โซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะมีบทบาทสำคัญ ช่วยให้ทีมทำงานได้อย่างราบรื่นในระดับภาษาคำสั่งปฏิบัติการ (Operational Syntax) โดยไม่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญในระบบที่ซับซ้อน โซลูชันที่ใช้ AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยลดความยุ่งยากในการดำเนินงาน และหลีกเลี่ยงการต้องเรียนรู้ระบบที่ซับซ้อนและเฉพาะทางมากมาย ช่วยให้ทีมงานทำงานได้อย่างราบรื่นโดยใช้คำสั่งในระดับปฏิบัติการทั่วไปที่ไม่ซับซ้อนสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ 

เราจะได้เห็นว่ามีการนำหลักการการพัฒนาแอปพลิเคชันสมัยใหม่มาใช้มากขึ้น ความคุ้นเคยของลูกค้ากับวิธีการพัฒนาและปรับใช้แอปพลิเคชันสมัยใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ผลลัพธ์ที่ได้จากการที่นักพัฒนาสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถให้บริการแอปพลิเคชันได้อย่างคล่องตัว จะกระตุ้นให้องค์กรประเมินเวิร์กโหลดเวอร์ชวลแมชชีนที่ใช้งานอยู่ และพิจารณาว่าเวิร์กโหลดใดเหมาะสมกับการนำแนวทางสมัยใหม่มาใช้ ดังนั้น แพลตฟอร์มที่สามารถรันเวอร์ชวลแมชชีนและคอนเทนเนอร์ร่วมกันได้อย่างราบรื่น และมอบความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการดำเนินงาน จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การใช้งานไฮบริดคลาวด์จะต้องเรียบง่าย แม้ว่าลูกค้าจะใช้กลยุทธ์มัลติคลาวด์สำหรับเวิร์กโหลดเวอร์ชวลไลเซชัน แต่ก็มีแนวโน้มที่จะย้ายเวิร์กโหลดบางส่วนกลับมาไว้ในระบบภายในองค์กร (on-premises) ปัจจัยที่ขับเคลื่อนการตัดสินใจนี้ ได้แก่ ความพร้อมใช้งานในแต่ละภูมิภาค ความกังวลเกี่ยวกับอำนาจในการควบคุมข้อมูล และการปรับค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม การพึ่งพาผู้ให้บริการคลาวด์ที่มีความหลากหลายมากขึ้น ตอกย้ำให้เห็นความจำเป็นที่ต้องใช้โซลูชันไฮบริดคลาวด์ ซึ่งสามารถมอบการทำงานที่เป็นมาตรฐานไม่ว่าจะใช้บนคลาวด์ใดก็ตาม และมาพร้อมความสามารถในการสลับไปยังระบบสำรอง (failover) ที่เชื่อถือได้โดยอัตโนมัติและไม่ติดขัด ช่วยให้บริหารจัดการระบบต่าง ๆ ที่ซับซ้อนง่ายขึ้น

จากที่กล่าวมา เราจะเห็นได้ว่าจำเป็นต้องใช้โซลูชันเวอร์ชวลไลเซชันที่ทันสมัยที่สามารถปรับตัวและทำงานได้กับทุกสภาพแวดล้อม ซึ่งจะช่วยให้องค์กรสามารถเตรียมรับนวัตกรรมและการเติบโตในอนาคต การใช้กลยุทธ์ที่ถูกต้องจะช่วยให้องค์กรสามารถปรับโครงสร้างพื้นฐานแบบดั้งเดิมให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปได้

ความต้องการโซลูชันเวอร์ชวลไลเซชันแบบโอเพ่นและไฮบริด

ต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้นและการจำกัดงบประมาณด้านไอที ไม่ได้เป็นเพียงเหตุผลเดียวที่เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้องค์กรทบทวนการใช้โซลูชันเวอร์ชวลไลเซชันของตนใหม่ ทางเลือกในการใช้โซลูชันโอเพ่นซอร์สที่ทันสมัยกำลังเข้ามามีบทบาท ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสามารถตอบโจทย์ความต้องการที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของเวอร์ชวลไลเซชันในอนาคตได้

แม้การเดินสู่ความทันสมัยต้องใช้เวลาอีกหลายปี และเวอร์ชวลแมชชีนยังคงเป็นองค์ประกอบสำคัญในกลยุทธ์ด้านไอทีขององค์กร แต่มีแนวโน้มว่าแผนงานในอนาคตจะเกี่ยวกับเรื่องของคอนเทนเนอร์, การใช้งานที่ edge, Generative AI (gen AI) และเทคโนโลยีอื่น ๆ อีกมาก การใช้ AI ในองค์กร ต้องการแพลตฟอร์มที่แก้ความท้าทายที่เหมือนกันได้ด้านความยืดหยุ่น เวิร์กโฟลว์การทำงานร่วมกัน และการสเกลไปได้ทุกที่บนไฮบริดคลาวด์ การจะใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมเหล่านี้ โดยไม่ทำให้การลงทุนด้านเวอร์ชวลแมชชีนที่ลงทุนไปแล้วสูญเปล่าได้นั้น องค์กรต้องใช้โซลูชันที่ไม่ผูกขาดอยู่กับเวนเดอร์ใดเวนเดอร์หนึ่ง และมอบแพลตฟอร์มเดียวที่สามารถบริหารจัดการได้ทั้งแอปพลิเคชันรุ่นใหม่และรุ่นเก่าทั้งหมด และต้องเป็นโซลูชันที่รองรับการใช้แพลตฟอร์ม AI ขององค์กร

จุดนี้เองที่โซลูชันโอเพ่นซอร์สแสดงให้เห็นถึงศักยภาพอย่างชัดเจน ด้วยการนำเสนอวิธีผสานรวมเทคโนโลยีคลาวด์เนทีฟโดยไม่จำเป็นต้องละทิ้งโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ เวอร์ชวลไลเซชันแบบโอเพ่นซอร์สเป็นทางเลือกที่เปิดโอกาสให้องค์กรสามารถเข้าถึงระบบนิเวศทั้งหมดของเทคโนโลยีที่ได้รับการรับรอง ได้รับความยืดหยุ่น และที่สำคัญที่สุดคือมอบอำนาจการควบคุมที่ผู้บริหารไอทีกำลังแสวงหาในสภาวะตลาดที่มีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น โซลูชัน Red Hat OpenShift พัฒนาขึ้นบนเทคโนโลยีโอเพ่นซอร์สที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว อาทิ Kubernetes, KubeVirt และ KVM เพื่อมอบประสบการณ์การบริหารจัดการที่เป็นเอกภาพทั้งในสภาพแวดล้อมคลาวด์ ระบบภายในองค์กร (on-premises) และเอดจ์ (edge)

การทำงานร่วมกันของเวอร์ชวลแมชชีนและคอนเทนเนอร์ 

องค์กรหลายแห่งพบว่า ตนเองต้องเผชิญกับความท้าทายเฉพาะหน้าด้านเวอร์ชวลไลเซชันซึ่งเกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด และยังคงต้องการวางรากฐานเพื่อการปรับปรุงแอปพลิเคชันให้ทันสมัยในอนาคต แต่ความท้าทายนี้อาจเป็นโอกาสหนึ่งขององค์กรได้ องค์กรหลายแห่งยังไม่พร้อมทุ่มเทไปกับเรื่องการปรับให้ทันสมัยทั้งหมด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลด้านข้อจำกัดด้านงบประมาณ ช่องว่างทางทักษะ การจัดลำดับความสำคัญ หรือเหตุผลใด ๆ ก็ตาม บ่อยครั้งที่องค์กรเหล่านี้เน้นให้การทำธุรกิจและระบบต่าง ๆ ดำเนินไปได้ก่อน และทำการเปลี่ยนแปลงด้านไอทีเพิ่มทีละน้อย แทนทางเลือกในการยกเครื่องโครงสร้างพื้นฐานไอทีทั้งหมดครั้งใหญ่ที่ใฝ่ฝันอยากจะทำ แต่อย่างไรก็ตาม การทำเวอร์ชวลไลเซชันให้ทันสมัยนั้น ไม่ได้อยู่ในข้อจำกัดที่ว่า จำเป็นต้องทำครั้งเดียวทั้งหมดหรือไม่เช่นนั้นก็ไม่ต้องทำเลย

เร้ดแฮท ทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุง Red Hat OpenShift ให้ตอบสนองความต้องการของโครงสร้างพื้นฐานแบบเวอร์ชวลไลซ์ได้อย่างดีที่สุด พร้อมทั้งช่วยให้องค์กรสามารถใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมไอทีล่าสุด เช่น Generative AI ทั้งนี้ Red Hat OpenShift พร้อม OpenShift Virtualization ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมเชิงกลยุทธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมเวอร์ชวลไลเซชันแบบดั้งเดิมและแอปพลิเคชันสมัยใหม่แบบคลาวด์-เนทีฟ ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนของกระบวนการเปลี่ยนผ่าน ในขณะที่ยังคงรักษาความต่อเนื่องในการดำเนินงาน

นอกจากนี้เร้ดแฮทยังได้ขยายผลิตภัณฑ์ด้านเวอร์ชวลไลเซชันเพื่อรองรับผู้ใช้ในทุกขั้นตอนของการใช้งานเทคโนโลยีเวอร์ชวลไลเซชัน ด้วย Red Hat OpenShift รุ่นล่าสุด Red Hat OpenShift Virtualization Engine องค์กรจะได้รับโซลูชันที่มีประสิทธิภาพ ที่รวมถึงคุณสมบัติและส่วนประกอบหลักของ OpenShift ที่จำเป็นสำหรับการใช้เวอร์ชวลไลเซชัน พร้อมเส้นทางการอัปเกรดที่ราบรื่น และง่ายดาย เพื่อตอบสนองความต้องการด้านโครงสร้างพื้นฐาน การเพิ่มประสิทธิภาพ และความทันสมัยในอนาคต 

Red Hat OpenShift Virtualization ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ เช่น Reist Telecom AG สามารถผสานให้เวอร์ชวลแมชชีนและคอนเทนเนอร์ทำงานร่วมกันได้ ทำให้สามารถลดต้นทุนค่าลิขสิทธิ์ลงครึ่งหนึ่ง เพิ่มความโปร่งใสและความสอดคล้องให้กับนโยบายความปลอดภัยด้านไอที รวมถึงเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างทีมผ่านแนวทาง DevOps และเครื่องมือที่เกี่ยวข้อง

เส้นทางข้างหน้าที่ยืดหยุ่น

ภาพรวมของเวอร์ชวลไลเซชันในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงพอสมควร และในปี 2025 ทิศทางบางอย่างจะเริ่มชัดเจนขึ้น การตัดสินใจครั้งสำคัญ ๆ เกิดขึ้นเมื่อต้องพิจารณาถึงการปกป้องไม่ให้การลงทุนด้านเวอร์ชวลแมชชีนที่ทำไปแล้วเสียเปล่า ในขณะเดียวกันก็จับตาดูอนาคตด้วย ทั้งนี้ แม้การรักษาสถานะเดิมอาจดูเป็นทางเลือกที่ง่ายกว่า แต่ Red Hat OpenShift Virtualization Engine สามารถช่วยให้องค์กรโยกย้ายเวิร์กโหลดไปยังสภาพแวดล้อมที่มั่นคงก่อน แล้วทยอยปรับปรุงให้ทันสมัยเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม  

Red Hat Honours National ITMX Co., Ltd and Government Savings Bank for Pioneering Open Source Initiatives at the Red Hat APAC Innovation Awards 2024 for Thailand

National ITMX และ Government Savings Bank คว้ารางวัล Red Hat APAC Innovation Awards 2024 ด้วยการเป็นผู้นำในการใช้โอเพ่นซอร์ส

Red Hat Honours National ITMX Co., Ltd and Government Savings Bank for Pioneering Open Source Initiatives at the Red Hat APAC Innovation Awards 2024 for Thailand

The winners were handed awards for their achievements in leveraging Red Hat solutions creatively to transform and innovate.

Red Hat, Inc., the world’s leading provider of open source solutions, announced the winners of the Red Hat APAC Innovation Awards 2024 for Thailand today. Red Hat recognised the noteworthy milestones achieved by National ITMX Co., Ltd and Government Savings Bank for their innovative use of Red Hat solutions to address the evolving needs of their customers.

In an ever-evolving global business landscape, the Asia Pacific region (APAC) remains resilient and is, in fact, in the midst of rapid growth. With its dynamic economies, diverse cultures, and vast consumer bases, APAC’s promising territories present growth opportunities for businesses big and small alike. Technology remains a pivotal factor in shaping the business landscape, helping enterprises scale and innovate.

Embodying this year’s theme, “Unlock what’s next”, the Red Hat APAC Innovation Awards celebrates customers who have harnessed the power of open source technologies to drive transformation and innovation. These customers are recognized for demonstrating how enterprises can overcome the dual challenge of managing escalating infrastructure costs alongside evolving business demands. These awards also celebrate the achievements of 31 winners across all 11 countries, showcasing how businesses across the region have successfully leveraged Red Hat solutions to overcome challenges and pioneer new customer-centric solutions.

According to the Red Hat 2024 Global Tech Trends, the top funding priorities for businesses across the APAC region are building cloud-native applications, improving digital user experience and accelerating application/service delivery.  These findings highlight the importance of innovative solutions in the awards’ five key categories that reflect areas that can empower organizations to navigate business challenges faced today: Digital Transformation, Hybrid Cloud Infrastructure, Cloud-Native Development, Automation, and Resilience. 

The winners were chosen for their outstanding use of Red Hat solutions, demonstrating significant contributions to their business objectives. Each organization exemplifies the transformative potential of open source technology, pioneering advancements in business processes, enhancing productivity, fostering innovation and fortifying resilience in the face of challenges. Their success stories underscore the pivotal role of Red Hat in empowering enterprises across the APAC region to achieve unparalleled growth through strategic deployment of open source solutions.

Category: Digital Transformation and Cloud-Native Development

Winner: National ITMX Co., Ltd

National ITMX (National Interbank Transaction Management and Exchange) has been established as Thailand’s National Payment Infrastructure and plays a pivotal role in advancing payment technology to ensure that the country’s payment systems and financial services are inclusive, efficient, and aligned with the evolving digital economy. As digital payments become the preferred choice for consumers and businesses, National ITMX’s responsibilities continue to expand in support of Thailand’s National e-Payment Roadmap. The company is committed to enhancing scalability, interoperability, and security, fostering a seamless and robust financial ecosystem that drives economic growth and global competitiveness.

As PromptPay continues its rapid expansion, with growing numbers of users and transactions, ensuring scalability, reliability, and interoperability has become more crucial than ever. NITMX has invested in a next-generation payment infrastructure to support this growth, leveraging the Red Hat OpenShift Container Platform, Red Hat Enterprise Linux, and Red Hat Ansible Automation Platform. By embracing containerization, automation, and enterprise-grade open-source technologies, NITMX ensures that PromptPay remains a highly scalable, secure, and resilient digital payment system. These advancements strengthen PromptPay’s ability to handle increasing demand while maintaining seamless integration with financial institutions and payment networks. They also reinforce Thailand’s position as a leader in digital payments and economic innovation.

Category: Digital Transformation and Cloud-Native Development

Winner: Government Savings Bank

Government Savings Bank (GSB) is a social bank with two main objectives: “reduce inequality and create fairness in the society” by utilizing profits from commercial missions to support social missions. The bank maintains a customer base of more than 26 million accounts and continues to modernise its image and services to cater to the needs and preferences of all groups of customers. Driven by the high level of competitiveness in launching new, innovative financial services to expand customer base and increase revenue, GSB saw the need to embark on a digital transformation journey.

GSB worked with Red Hat to transform their application development team through a Red Hat Open Innovation Labs residency, using it to develop their pilot project on lending service. Loan customers can now register and pre-screen loan amounts that better understand loan amounts that they can apply for through the Online Lending Advisor platform in selected branches or online using the GSB MyMo mobile app, instead of going through a manual process which typically involves in-person pre-screening and a lead time of one week or more. This accelerated the process of application development compared to past monolithic applications used, resulting in a better time-to-market for the bank. Within the organisation, the application development teams also adopted the DevOps culture which promotes greater collaboration within the team, resulting in cross-sharing of ideas and leveraging the skills of team members to create innovative applications in a timely manner.

Supporting Quotes

Marjet Andriesse, senior vice president and general manager, APJC, Red Hat

“Despite the uncertain economic conditions in 2024, we have seen the remarkable milestones achieved by our customers. This year, we want to highlight the innovative strides of these organisations at the Red Hat APAC Innovation Awards 2024 as they leverage advanced technologies to drive business initiatives. Open source remains the key to help organisations uncover what is next and pave the way for success with the right tools and expertise.”

Mr. Niwat Kanwaset, Senior Assistant Managing Director Platform Ops BU, National ITMX Co., Ltd.

“To date, we have 80.37 (as of 28 Feb 2025) million Thai users who registered for PromptPay and we proceeded with transactions of more than 23,000 million in seconds (real-time) last year via both the credit transfer and the scan of a QR code. Red Hat has allowed us to enhance scalability, efficiency, and integration speed in local and cross-border QR payments to help us provide a better user experience for digital customers.”

Mr. Mana Suangthonglang, Senior Executive Vice President Information Technology Group,, Government Savings Bank
“In order to reduce inequality and create fairness in the society, it was GSB’s priority to modernise ourselves to meet our customers’ needs. Using Red Hat OpenShift, we saw how an application could be developed and produced within three months, compared to what would have taken a year in the past. Red Hat gave us the confidence to service high volumes of customer transactions with increased business agility and we hope our team’s success would spark the start of another team’s digital transformation journey.”

National ITMX และ Government Savings Bank คว้ารางวัล Red Hat APAC Innovation Awards 2024 ด้วยการเป็นผู้นำในการใช้โอเพ่นซอร์ส

National ITMX และ Government Savings Bank คว้ารางวัล Red Hat APAC Innovation Awards 2024 ด้วยการเป็นผู้นำในการใช้โอเพ่นซอร์ส

National ITMX และ Government Savings Bank คว้ารางวัล Red Hat APAC Innovation Awards 2024 ด้วยการเป็นผู้นำในการใช้โอเพ่นซอร์ส

องค์กรทั้งสองแห่งได้รับรางวัลจากความสำเร็จในการใช้โซลูชันของเร้ดแฮท ทรานส์ฟอร์มและสร้างนวัตกรรมให้องค์กรได้อย่างสร้างสรรค์

เร้ดแฮท ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันโอเพ่นซอร์สประกาศรายชื่อองค์กรที่ได้รับรางวัล Red Hat APAC Innovation Awards 2024 ประจำประเทศไทย โดยยกย่องความสำเร็จอันโดดเด่นของ บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด (National ITMX Co., Ltd) และธนาคารออมสิน (GSB) ในการใช้โซลูชันของเร้ดแฮทอย่างสร้างสรรค์ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง 

ในโลกธุรกิจที่พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยังคงมีพลังในการปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลง และกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยโอกาสในการเติบโตของธุรกิจทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ขับเคลื่อนจากเศรษฐกิจที่มีพลวัต วัฒนธรรมที่หลากหลาย และฐานผู้บริโภคขนาดใหญ่ เทคโนโลยียังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดภูมิทัศน์ทางธุรกิจ ขับเคลื่อนการเติบโตและสนับสนุนการสร้างสรรค์นวัตกรรม

Red Hat APAC Innovation Awards ปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Unlock what’s next” มอบรางวัลให้แก่ลูกค้าที่นำศักยภาพของเทคโนโลยีโอเพ่นซอร์สไปใช้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงและสร้างนวัตกรรม โดยองค์กรที่ได้รับรางวัล เป็นองค์กรที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเอาชนะความท้าทายสองประการที่คู่กันมา คือ การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่เพิ่มสูงขึ้น และความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปพร้อม ๆ กันอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้มีองค์กร 31 แห่งจาก 11 ประเทศทั่วภูมิภาคได้รับรางวัล สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจในภูมิภาคประสบความสำเร็จในการนำโซลูชันของเร้ดแฮทมาใช้เพื่อก้าวข้ามอุปสรรคต่าง ๆ และพัฒนาโซลูชันใหม่ ๆ ที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง

ผลสำรวจ Red Hat 2024 Global Tech Trends พบว่า ธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้ความสำคัญกับการลงทุนสามด้านหลัก ได้แก่ การพัฒนาแอปพลิเคชันคลาวด์-เนทีฟ การยกระดับประสบการณ์ดิจิทัลของผู้ใช้ และการเร่งกระบวนการนำเสนอแอปพลิเคชัน/บริการออกสู่ตลาด ผลสำรวจนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมที่ปรากฎอยู่ในประเภทของรางวัลห้าประเภทหลัก ที่สะท้อนถึงเทคโนโลยีโซลูชันและแนวทางที่จะช่วยเสริมศักยภาพให้องค์กรสามารถรับมือกับความท้าทายทางธุรกิจที่เผชิญอยู่ในปัจจุบันได้ ซึ่งประกอบด้วยรางวัลประเภท Digital Transformation (การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล), Hybrid Cloud Infrastructure (โครงสร้างพื้นฐานไฮบริดคลาวด์), Cloud-Native Development (การพัฒนาคลาวด์-เนทีฟ), Automation (ระบบอัตโนมัติ), และ Resilience (ความยืดหยุ่น)

ผู้ชนะคัดเลือกจากองค์กรที่นำโซลูชันของเร้ดแฮทไปใช้และประสบความสำเร็จสูง และแสดงให้เห็นว่าความสำเร็จนั้นเป็นส่วนสำคัญต่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจขององค์กร องค์กรแต่ละแห่งล้วนแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีโอเพ่นซอร์สที่ช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลง เช่น ทำให้เกิดกระบวนการทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพล้ำหน้า เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ส่งเสริมนวัตกรรม และเสริมสร้างความยืดหยุ่นเมื่อต้องเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ เรื่องราวความสำเร็จเหล่านี้ตอกย้ำบทบาทสำคัญของเร้ดแฮทที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับองค์กรทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ให้บรรลุการเติบโตที่เหนือชั้นผ่านการใช้โซลูชันโอเพ่นซอร์สอย่างมีกลยุทธ์

ประเภทรางวัล: Digital Transformation และ Cloud-native Development

ผู้ได้รับรางวัล: บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด (National ITMX Co., Ltd)

บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด (NITMX)  ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านการชำระเงินของประเทศ โดยมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีการชำระเงินเพื่อให้ระบบการชำระเงินและบริการทางการเงินของประเทศให้เกิดความทั่วถึง (Inclusive) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Efficient) รวมถึงมีเสถียรภาพ (Stability) เพื่อให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเติบโตและเพิ่มศักยภาพของประเทศในการแข่งขันระดับสากล

ปัจจุบันการโอนเงินและชำระเงินแบบดิจิทัลกลายเป็นทางเลือกหลักของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ บทบาทของ National ITMX จึงมีความสำคัญในการสนับสนุน Thailand’s National e-Payment Roadmap บริษัทมุ่งมั่นและให้ความสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับปริมาณธุรกรรม (Scalability), การเชื่อมต่อระบบ (Interoperability), และความปลอดภัย (Security) เพื่อสร้างระบบการเงินที่แข็งแกร่งและไร้รอยต่อ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก

ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วของ PromptPay ซึ่งมีจำนวนผู้ใช้งานและปริมาณธุรกรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้การเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับปริมาณธุรกรรมจำนวนมาก, ความเสถียรของระบบ และการเชื่อมต่อกับระบบอื่น ๆ จึงกลายเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่ง เพื่อรองรับการเติบโตดังกล่าว บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด (NITMX) ได้ลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินใหม่ โดยร่วมมือกับเร้ดแฮท เพื่อนำ Red Hat OpenShift Container Platform, Red Hat Enterprise Linux และ Red Hat Ansible Automation Platform มาใช้เป็นเทคโนโลยีหลัก การนำเทคโนโลยีคอนเทนเนอร์ (Containerization) ระบบอัตโนมัติ (Automation) และซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สระดับองค์กรมาใช้ ช่วยเสริมสร้างความสามารถของระบบ PromptPay ให้มีความยืดหยุ่น ปลอดภัย และสามารถรองรับปริมาณธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยการพัฒนาดังกล่าวช่วยให้ระบบ PromptPay สามารถยกระดับการทำงานร่วมกับสถาบันการเงินและเครือข่ายการชำระเงินได้อย่างไร้รอยต่อ ตลอดจนสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านการชำระเงินดิจิทัลและนวัตกรรมทางเศรษฐกิจในระดับสากล

ประเภทรางวัล: Digital Transformation และ Cloud-native Development

ผู้ได้รับรางวัล: ธนาคารออมสิน (GSB)

ธนาคารออมสิน เป็นธนาคารเพื่อสังคมที่มีวัตถุประสงค์หลักสองประการ คือ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างการเข้าถึงแหล่งทุนที่เป็นธรรม ด้วยการนำกำไรจากการดำเนินกิจการเชิงพาณิชย์ไปสนับสนุนภารกิจเพื่อสังคม ปัจจุบันธนาคารมีฐานลูกค้ามากกว่า 26 ล้านบัญชี และยังคงมุ่งมั่นปรับภาพลักษณ์และพัฒนาบริการให้ทันสมัยเพื่อตอบสนองความต้องการและความพึงพอใจของลูกค้าทุกกลุ่ม ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงในการเปิดตัวบริการทางการเงินใหม่ ๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มรายได้ ธนาคารออมสิน เล็งเห็นถึงความจำเป็นในการเดินหน้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation)

ธนาคารออมสินได้ร่วมมือกับเร้ดแฮทเพื่อทรานส์ฟอร์มทีมพัฒนาแอปพลิเคชันของธนาคารฯ ผ่าน Red Hat Open Innovation Labs residency โดยใช้พัฒนาโครงการนำร่องด้านบริการสินเชื่อ ส่งผลให้ปัจจุบันลูกค้าสินเชื่อของธนาคารฯ สามารถลงทะเบียนขอสินเชื่อ และตรวจสอบวงเงินที่สามารถขอสินเชื่อได้ ผ่านแพลตฟอร์ม Online Lending Advisor ในสาขาที่กำหนด หรือผ่านทางแอปพลิเคชันบนมือถือ GSB MyMo แทนกระบวนการแบบเดิมที่ต้องดำเนินการด้วยตนเอง ซึ่งมักจะต้องผ่านขั้นตอนคัดกรองเบื้องต้นที่สาขาและใช้ระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์หรือมากกว่านั้น การดำเนินการดังกล่าว ช่วยให้กระบวนการพัฒนาแอปพลิเคชันทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับแอปพลิเคชันโมโนลิธิก (Monolithic) แบบเดิมที่เคยใช้ ทำให้ธนาคารสามารถนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ทีมพัฒนาแอปพลิเคชันภายในองค์กรของธนาคารออมสิน ยังได้นำวัฒนธรรม DevOps มาใช้ ซึ่งช่วยส่งเสริมการทำงานร่วมกันภายในทีม เปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนแนวคิดและทักษะระหว่างสมาชิกในทีม เพื่อสร้างแอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์และส่งสู่ตลาดได้ในเวลาที่เหมาะสม

คำกล่าวสนับสนุน

มาร์เจ็ต แอนดรีซ รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป เร้ดแฮท เอเชียแปซิฟิก

“แม้จะเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในปี 2024 เร้ดแฮทได้เห็นความสำเร็จอันโดดเด่นและน่าทึ่งที่ลูกค้าของเราบรรลุได้ ในปีนี้เราต้องการเน้นย้ำถึงความก้าวหน้าทางนวัตกรรมขององค์กรเหล่านี้ในงาน Red Hat APAC Innovation Awards 2024 ที่พวกเขาได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อขับเคลื่อนแผนงานทางธุรกิจ และโอเพ่นซอร์สยังคงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรค้นพบสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปและปูทางสู่ความสำเร็จด้วยเครื่องมือและความเชี่ยวชาญที่ถูกต้องเหมาะสม”

นายนิวัฒน์ กัณวเศรษฐ์, Senior Assistant Managing Director Platform Ops BU, National ITMX Co., Ltd.

“ปัจจุบัน PromptPay มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนแล้วจำนวน 80.37 ล้านราย (ข้อมูล ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568) และในปีที่ผ่านมา มีการประมวลผลแบบเรียลไทม์มากกว่า 23,000 ล้านรายการต่อวินาที ผ่านทั้งการโอนเงิน (Credit Transfer) และการสแกน QR Code เพื่อชำระเงิน โดยเร้ดแฮทมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ PromptPay สามารถเพิ่มขีดความสามารถของระบบ (Scalability) ปรับปรุงประสิทธิภาพ (Efficiency) และเพิ่มความเร็วในการเชื่อมต่อ (Integration Speed) เพื่อรองรับการชำระเงินผ่าน QR Code ภายในประเทศและต่างประเทศ การพัฒนาดังกล่าวช่วยให้ PromptPay สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้นแก่ผู้ใช้งานและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบการชำระเงินของไทย”

นายมานะ ทรวงทองหลาง รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ

“การปรับองค์กรให้ทันสมัยเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า เป็นความสำคัญอันดับแรกของธนาคารออมสิน เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ลูกค้าและประชาชนได้มีโอกาสเข้าถึงบริการทางการเงินและแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยที่เป็นธรรมในระบบ ซึ่ง Red Hat OpenShift ช่วยให้เราพัฒนาและผลิตแอปพลิเคชันได้ภายในสามเดือนแทนที่จะเป็นหนึ่งปีเหมือนในอดีต เร้ดแฮทช่วยให้เราสามารถให้บริการธุรกรรมลูกค้าจำนวนมากได้อย่างมั่นใจ พร้อมความคล่องตัวทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น และเราหวังว่าความสำเร็จของทีมเราจะจุดประกายให้ทีมอื่น ๆ เริ่มต้นเส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล”