“พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม” ฟันเฟืองขับเคลื่อนตลาดที่อยู่อาศัย ภายใต้เศรษฐกิจสีรุ้ง (Rainbow Economy)

“พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม” ฟันเฟืองขับเคลื่อนตลาดที่อยู่อาศัย ภายใต้เศรษฐกิจสีรุ้ง (Rainbow Economy)

“พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม” ฟันเฟืองขับเคลื่อนตลาดที่อยู่อาศัย ภายใต้เศรษฐกิจสีรุ้ง (Rainbow Economy)

ปี 2567 ถือเป็นปีที่มีความสำคัญสำหรับกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTQIAN+ ชาวไทย หลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่…) พ.ศ. … หรือร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม วาระที่ 2-3 เมื่อวันที่ 27 มี.ค. ที่ผ่านมานี้ ได้เป็นนิมิตหมายอันดีในการเปิดประตูแห่งความเสมอภาคทางเพศในไทยให้เกิดเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยมีกฎหมายมารองรับและให้สิทธิต่าง ๆ แก่คู่รัก LGBTQIAN+ อย่างเท่าเทียม ลดช่องว่างที่สร้างความไม่เสมอภาคทางเพศให้น้อยลงไป ซึ่งหากมีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการ ไทยจะถือเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จะเปิดโอกาสให้คู่รัก LGBTQIAN+ สมรสกันได้อย่างถูกกฎหมาย

การผ่านร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมจึงถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่สำคัญ และเป็นโอกาสของภาครัฐรวมถึงภาคธุรกิจที่จะดึงดูดกำลังซื้อของผู้บริโภคกลุ่มนี้ให้ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ข้อมูลจาก LGBT Capital คาดการณ์ว่า อำนาจการใช้จ่ายโดยรวมทั่วโลกของฐานผู้บริโภค LGBTQIAN+ (LGBT-GDP) ในปี 2566 จากจำนวนประชากร 388 ล้านคนทั่วโลก (อายุ 15 ปีขึ้นไป) อยู่ที่ประมาณ 4.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยในจำนวนนี้คิดเป็น LGBTQIAN+ ชาวไทยประมาณ 3.7 ล้านคน และมีอำนาจการใช้จ่ายอยู่ที่ 26,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการใช้จ่ายของผู้บริโภคกลุ่มนี้ และยังเป็นโอกาสของภาคธุรกิจอสังหาฯ ในการตอบโจทย์และเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจสีรุ้ง (Rainbow Economy)

พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม บันไดก้าวสู่สิทธิพื้นฐานสำหรับคู่รักทุกเพศ

นอกจาก พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมจะเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศสามารถสมรสกันได้ตามกฎหมายแล้ว ยังมาพร้อมสิทธิในการสมรสที่ครอบคลุมทุกมิติ ดังนี้ 

  • สิทธิในการหมั้น แต่งงาน และหย่าร้าง คู่สมรส LGBTQIAN+ จะได้รับสิทธิตามกฎหมายในการหมั้น หรือแต่งงาน ซึ่งสามารถจดทะเบียนสมรสในไทยและใช้สิทธิคู่สมรสได้อย่างเต็มที่เช่นเดียวกับคู่สมรสชายหญิง รวมไปถึงในกรณีที่ต้องการหย่าร้างทั้งโดยสมัครใจหรือฟ้องหย่า ก็มีสิทธิได้รับความคุ้มครองอย่างเท่าเทียมเช่นกัน
  • สิทธิในการเป็นผู้ปกครองของบุตรบุญธรรมร่วมกัน ช่วยให้คู่สมรส LGBTQIAN+ สามารถรับบุตรบุญธรรมของคู่สมรสอีกฝ่ายเป็นบุตรบุญธรรมของตนได้ ต่างจากเดิมที่กลุ่ม LGBTQIAN+ จะสามารถเป็นผู้ปกครองบุตรบุญธรรมได้เพียงคนเดียว เนื่องจากไม่ได้เป็นคู่สมรสกันตามกฎหมายเหมือนคู่ชายหญิง
  • สิทธิในการดูแลชีวิตของคู่สมรสตามกฎหมาย ซึ่งมีสิทธิในการลงนามยินยอมให้รักษาพยาบาลอีกฝ่ายได้ในฐานะคู่สมรส และเป็นผู้ตัดสินใจแทนเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล นอกจากนี้ คู่สมรส LGBTQIAN+ ยังมีสิทธิรับประโยชน์และสวัสดิการจากรัฐในฐานะคู่สมรสเช่นกัน ซึ่งรวมไปถึงสิทธิเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล และสิทธิประกันสังคม
  • สิทธิในการรับมรดกจากคู่สมรส หากผู้ที่ได้รับมรดกเป็นคู่สมรส LGBTQIAN+ ที่จดทะเบียนอย่างถูกต้อง คู่สมรสจะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีมรดก และหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ คู่สมรสที่ยังมีชีวิตจะถือเป็นทายาทโดยธรรมอันมีสิทธิรับมรดกของคู่สมรสที่เสียชีวิตได้ตามกฎหมายเช่นกัน
  • สิทธิในการจัดการทรัพย์สินหรือสินสมรสร่วมกัน โดยคู่สมรส LGBTQIAN+ จะมีสิทธิในการบริหารจัดการสินสมรสร่วมกันตามกฎหมาย ได้แก่ ทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส เช่น เงินเดือน โบนัส หรือทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยพินัยกรรมหรือการให้เป็นหนังสือโดยระบุว่าเป็นสินสมรส รวมทั้งทรัพย์สินที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว ซึ่งรวมไปถึงการถือครองอสังหาฯ อย่างบ้าน/คอนโดมิเนียมเช่นกัน

จะเห็นได้ว่า พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมเป็นเหมือนบันไดนำพาคู่รัก LGBTQIAN+ ไปสู่สิทธิขั้นพื้นฐานในหลากหลายด้าน รวมไปถึงการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยอย่างการเปิดโอกาสในการกู้ร่วมเพื่อซื้ออสังหาฯ ในฐานะคู่สมรส ข้อมูลจากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในภาพรวมของไตรมาส 1 ปี 2567 ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) เผยว่าผู้บริโภคที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นกลุ่ม LGBTQIAN+ ถึง 4.9% โดยความต้องการที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นปัจจัย 4 ถือเป็นเทรนด์ที่ปราศจากเพศ (Genderless) และผู้บริโภคกลุ่ม LGBTQIAN+ ต่างก็มีความต้องการที่อยู่อาศัยที่ไม่ต่างจากผู้บริโภคในกลุ่มอื่น ดังนั้นจึงควรได้รับสิทธิประโยชน์ในการเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่เท่าเทียมกัน

ปลดล็อกความเสมอภาคในการซื้อที่อยู่อาศัยของคู่รัก LGBTQIAN+ ด้วย พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม 

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยว่า แม้ปัจจุบันสังคมไทยจะเปิดรับความหลากหลายทางเพศมากขึ้น แต่ยังไม่มีการรับรองความสัมพันธ์แบบคู่สมรสอย่างเป็นทางการ จึงส่งผลต่อการใช้สิทธิกู้ร่วมในการซื้ออสังหาฯ ของคู่รัก LGBTQIAN+ โดยทั่วไปแล้วหากเป็นการกู้เพียงลำพัง ชาว LGBTQIAN+ จะสามารถยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ทันทีเพียงแต่จะมีข้อจำกัดอยู่ที่ไม่สามารถขอสินเชื่อในฐานะผู้กู้ร่วมได้ เนื่องจากไม่เข้าเงื่อนไขของธนาคารที่ระบุว่าผู้กู้ร่วมนั้นจะต้องเป็นบุคคลที่มีความใกล้ชิดกัน เป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์ร่วมเชื้อสายเดียวกัน เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง หรือเป็นชายหญิงที่เป็นคู่สมรสกัน ซึ่งจะจดทะเบียนหรือไม่จดทะเบียนก็ได้ ขณะที่ปัจจุบันกฎหมายไทยยังไม่รองรับการจดทะเบียนสมรสของคู่รัก LGBTQIAN+ จึงทำให้ความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่มีผลทางนิตินัย

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันเริ่มมีหลายธนาคารที่จัดแคมเปญพิเศษเพื่อเปิดโอกาสให้คู่รัก LGBTQIAN+ สามารถกู้ซื้อบ้าน/คอนโดฯ ร่วมกันได้ โดยไม่มีข้อจำกัดด้านเพศอีกต่อไป โดยส่วนใหญ่จะมีรายละเอียดเบื้องต้นที่คล้ายคลึงกัน เช่น 

  • มีสัญชาติไทย อายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป
  • มีรายได้มั่นคง โดยมีรายได้ตั้งแต่ 15,000 บาทขึ้นไป ทั้งผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วม (บางธนาคารกำหนดให้ผู้กู้หลักมีรายได้ 50,000 บาทขึ้นไป)
  • พนักงานประจำต้องมีอายุงานรวมที่ทำงานเดิมและปัจจุบันตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป (บางธนาคารไม่มีกำหนด)
  • ผู้กู้ต้องมีเอกสารหรือหลักฐานแสดงความสัมพันธ์หรือการอยู่ร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี หรือตามที่ธนาคารกำหนด เช่น ทะเบียนบ้านที่อยู่ด้วยกัน, เปิดบัญชีเงินฝากร่วมกัน, รูปถ่ายงานมงคลสมรส หรือรูปภาพเพื่อยืนยันว่าเป็นคู่รักกันจริง ๆ เป็นต้น (บางธนาคารไม่มีกำหนด)

นอกจากนี้ ผู้กู้ยังต้องมีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์การขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั่วไป คือต้องมีภาระหนี้ไม่เกิน 30-40% ของรายได้ มีเงินออมอย่างน้อย 10% ของราคาที่อยู่อาศัย รวมทั้งมีบันทึกการเคลื่อนไหวบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน โดยวงเงินกู้ที่ได้รับอาจได้ 100% ตามที่ยื่นกู้หรือแตกต่างกันไปตามเงื่อนไขของแต่ละธนาคาร อย่างไรก็ดี ปัจจุบันธนาคาร/สถาบันทางการเงินมีความเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงในการก่อให้เกิดหนี้เสีย ผู้บริโภคจึงควรเตรียมความพร้อมทางการเงิน โดยมีวินัยในการเก็บออมเงิน ลดภาระหนี้ที่ไม่จำเป็น เพื่อสร้างสภาพคล่องทางการเงินที่ดีและแสดงความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งจะช่วยให้การยื่นกู้ซื้อบ้าน/คอนโดฯ ผ่านไปได้ด้วยดี และได้วงเงินที่ครอบคลุมเพียงพอในการซื้อที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้มากขึ้น

ทางเลือกช่วยให้คู่รัก LGBTQIAN+ กู้ร่วมได้ แม้ยังไม่ได้เป็นคู่สมรส

จากข้อจำกัดในการขอกู้ร่วมของคู่รัก LGBTQIAN+ ตามที่กล่าวมานั้น จึงทำให้เกิดทางเลือกในการใช้สินเชื่อประเภทอื่นในการซื้อที่อยู่อาศัย โดยบางธนาคารจะมีสินเชื่อเพื่อธุรกิจหรือ SME ที่คู่รัก LGBTQIAN+ สามารถขอสินเชื่อเพื่อซื้อสินทรัพย์ถาวรเพื่อประกอบกิจการได้ เช่น สถานประกอบการพร้อมที่ดิน หรือที่ดินเปล่าเพื่อใช้ดำเนินกิจการ 

อย่างไรก็ดี การใช้สินเชื่อเพื่อธุรกิจ SME ถือได้ว่าเป็นเพียงทางเลือกในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย เนื่องจากมาพร้อมความท้าทายที่ควรพิจารณา ทั้งในเรื่องของระยะเวลากู้นานสุดที่ได้เพียง 10 ปีเท่านั้น ต่างจากสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยซึ่งให้ระยะเวลาผ่อนสูงสุดถึง 30-40 ปี และอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อเพื่อธุรกิจ SME ที่มีอัตราสูงกว่าดอกเบี้ยของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยทั่วไปอีกด้วย ดังนั้น คู่รัก LGBTQIAN+ จึงควรพิจารณาและศึกษารายละเอียดของแคมเปญสินเชื่อต่าง ๆ ให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัย โดยคำนึงจากพื้นฐานความเหมาะสมในการอยู่อาศัยจริงและความพร้อมทางการเงินเป็นหลัก 

อย่างไรก็ตาม ข้อควรคำนึงที่สำคัญเมื่อคู่รักทุกเพศวางแผนจะกู้ร่วมคือกรรมสิทธิ์บ้านจะเป็นของทั้งสองฝ่าย หากในอนาคตมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการจะโอนหรือขายให้แก่ผู้อื่น จะต้องได้รับการยินยอมจากผู้กู้ร่วมทุกราย แม้ว่าความจริงผู้กู้หลักจะเป็นผู้ผ่อนแต่เพียงผู้เดียวก็ตาม นอกจากนี้ หากมีปัญหาต้องการกรรมสิทธิ์คืน ผู้กู้อาจจะต้องดำเนินการฟ้องร้องและหาหลักฐานการผ่อนชำระ เพื่อมาสนับสนุนให้เห็นว่าผู้กู้หลักเป็นผู้ผ่อนแต่เพียงผู้เดียวจริง ๆ และอาจใช้เวลาในการฟ้องร้องพอสมควร

ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของวุฒิสภา ก่อนจะประกาศใช้เป็นกฎหมายในอนาคต ถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สำคัญอีกครั้งหนึ่งในไทย อย่างไรก็ดี ปัจจุบันมีหลายธนาคาร/สถาบันการเงินที่เปิดโอกาสให้คู่รัก LGBTQIAN+ สามารถยื่นเรื่องกู้สินเชื่อร่วมกันได้ผ่านแคมเปญพิเศษ โดยมีเงื่อนไขในการพิจารณาที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทยอย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (www.ddproperty.com) ได้รวบรวมข้อมูลธนาคารที่ให้สินเชื่อสำหรับผู้กู้ร่วมที่มีความหลากหลายทางเพศ รวมทั้งข่าวสารและเรื่องราวน่ารู้ในแวดวงอสังหาฯ เพื่อเป็นข้อมูลให้ชาว LGBTQIAN+ ได้ศึกษาประกอบการตัดสินใจก่อนเลือกที่อยู่อาศัย พร้อมเป็นแหล่งรวมประกาศซื้อ-ขาย-เช่าที่อยู่อาศัยในหลากหลายทำเลทั่วประเทศ ช่วยให้ผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยสามารถเตรียมความพร้อมก่อนเป็นเจ้าของบ้านในฝันได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น 

ราคาบ้านขยับตามต้นทุนสวนทางดีมานด์ซื้อยังซบเซา ค่าเช่าพุ่งต่อเนื่อง คาดมาตรการอสังหาฯ ดันตลาดโตครึ่งปีหลัง

ราคาบ้านขยับตามต้นทุนสวนทางดีมานด์ซื้อยังซบเซา ค่าเช่าพุ่งต่อเนื่อง คาดมาตรการอสังหาฯ ดันตลาดโตครึ่งปีหลัง

ราคาบ้านขยับตามต้นทุนสวนทางดีมานด์ซื้อยังซบเซา ค่าเช่าพุ่งต่อเนื่อง คาดมาตรการอสังหาฯ ดันตลาดโตครึ่งปีหลัง

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังเติบโตแบบซึม ๆ อันเนื่องมาจากความท้าทายรอบด้านที่กระทบต่อสถานะทางการเงินของผู้บริโภค ทั้งจากสภาพเศรษฐกิจ ภาวะหนี้ครัวเรือนและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง รวมทั้งภาวะเงินเฟ้อจากปัจจัยภายนอกทั้งภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ภาพรวมความต้องการซื้อทั่วประเทศในไตรมาสล่าสุดลดลง 7% โดยลดลงทุกประเภทที่อยู่อาศัย ขณะที่ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยทั่วประเทศปรับขึ้นเล็กน้อย 1% ตามต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น สะท้อนถึงกำลังซื้อของกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ที่ยังไม่ฟื้นตัว จึงเลือกชะลอแผนการซื้อหรือโยกย้ายที่อยู่อาศัยออกไปก่อน ส่งผลให้ภาพรวมความต้องการเช่าทั่วประเทศลดลง 10% โดยดัชนีค่าเช่าแนวสูงเพิ่มขึ้นถึง 5% และแนวราบเพิ่มขึ้น 4% 

คาดมาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท จะช่วยเพิ่มอัตราการดูดซับที่อยู่อาศัยกลุ่มใหญ่ในกรุงเทพฯ ให้ลดลง และหากมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มกำลังซื้อเข้ามาเสริมจะยิ่งช่วยเติมเชื้อไฟให้ภาคอสังหาฯ เติบโตอย่างเห็นได้ชัดในช่วงครึ่งปีหลัง

ข้อมูลล่าสุดจากรายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q1 2567 ซึ่งวิเคราะห์จากข้อมูลประกาศขาย-เช่าอสังหาฯ บนเว็บไซต์ DDproperty ระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม 2567 เผยภาพรวมดัชนีราคาที่อยู่อาศัยทั่วประเทศปรับเพิ่มขึ้น 1% จากไตรมาสก่อน (QoQ) และเพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งจากราคาวัสดุก่อสร้าง การปรับขึ้นค่าแรง ราคาที่ดินในปัจจุบัน รวมทั้งความผันผวนของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ส่งผลให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ ต้องปรับขึ้นราคาอย่างเลี่ยงไม่ได้ 

เมื่อพิจารณาตามประเภทที่อยู่อาศัย พบว่า ดัชนีราคาของคอนโดฯ และบ้านเดี่ยวในไตรมาสที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้นในสัดส่วนเท่ากัน โดยคอนโดฯ เพิ่มขึ้น 1% QoQ (เพิ่มขึ้น 9% YoY) บ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้น 1% QoQ (เพิ่มขึ้น 3% YoY) ถือเป็นสัญญาณบวกในการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ปีนี้ ส่วนทาวน์เฮ้าส์ยังทรงตัวจากไตรมาสก่อนและปีก่อนหน้า 

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความท้าทายทางการเงินโดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้น้อย-ปานกลาง ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบมาตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อีกทั้งสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซา ส่งผลให้ผู้บริโภคเลือกชะลอแผนการซื้อบ้านออกไปก่อน เห็นได้ชัดจากภาพรวมความต้องการซื้อทั่วประเทศที่ปรับลดลง 7% QoQ และลดลงถึง 31% YoY ซึ่งลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2566 และปรับลดลงในทุกประเภทที่อยู่อาศัย 

ทั้งนี้ คอนโดฯ ยังคงเป็นที่อยู่อาศัยที่มีจำนวนมากที่สุดในตลาดถึง 59% ของจำนวนที่อยู่อาศัยทั้งหมดทั่วประเทศ ตามมาด้วยบ้านเดี่ยว 25% และทาวน์เฮ้าส์ 17% ขณะเดียวกัน ที่อยู่อาศัยระดับราคา 1-3 ล้านบาท ครองตลาดด้วยสัดส่วน 30% ของจำนวนที่อยู่อาศัยทั้งหมดทั่วประเทศ สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคระดับกลาง-ล่างยังคงไม่มีกำลังซื้อเพียงพอที่จะดูดซับอุปทานเหล่านี้ รองลงมาคือระดับราคา 5-10 ล้านบาท (22%) และระดับราคามากกว่า 15 ล้านบาท (19%) ในสัดส่วนที่ไล่เลี่ยกัน 

ค่าเช่าพุ่งต่อเนื่องทั้งแนวสูง-แนวราบ 

ภาพรวมตลาดเช่าที่อยู่อาศัยทั่วประเทศยังคงมีทิศทางเติบโตในแง่ของราคาอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่าดัชนีค่าเช่าที่อยู่อาศัยแนวสูงอย่างคอนโดฯ และอะพาร์ตเมนต์ปรับเพิ่มขึ้น 5% QoQ และเพิ่มขึ้น 22% YoY เช่นเดียวกับดัชนีค่าเช่าที่อยู่อาศัยแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น 4% QoQ และเพิ่มขึ้น 28% YoY แต่สวนทางกับความต้องการเช่าทั่วประเทศที่ปรับลดลง 10% QoQ (ลดลง 25% YoY)

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความต้องการเช่าจะลดลงจากไตรมาสก่อน แต่ถือเป็นการลดแบบชะลอตัวลงจากช่วงที่ผ่านมา (ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2566 มีการปรับลดลงถึง 27% จากไตรมาสก่อนหน้า) สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการเช่าที่กระเตื้องขึ้นมาเล็กน้อย สอดคล้องกับเทรนด์ Generation Rent ที่เน้นเช่ามากกว่าซื้อ และตอบโจทย์ทางการเงินได้ดีกว่า

โดยคอนโดฯ เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการปล่อยเช่าสูงถึง 87% ของจำนวนที่อยู่อาศัยเพื่อเช่าทั้งหมดทั่วประเทศ รองลงมาคือบ้านเดี่ยว 9% และทาวน์เฮ้าส์ 4% ขณะที่ภาพรวมที่อยู่อาศัยเพื่อเช่าในระดับค่าเช่า 10,000-30,000 บาท/เดือน ครองตลาดด้วยสัดส่วนสูงสุดที่ 41% ซึ่งเป็นช่วงราคาที่สามารถจับต้องได้และตอบโจทย์ผู้บริโภคส่วนใหญ่ 

เมื่อแบ่งตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่าคอนโดฯ และทาวน์เฮ้าส์ในระดับค่าเช่า 10,000-30,000 บาท/เดือน มีจำนวนมากที่สุด (43% และ 39% ตามลำดับ) ต่างจากบ้านเดี่ยวที่ระดับค่าเช่ามากกว่า 100,000 บาท/เดือน มีจำนวนมากที่สุด (41%) 

นายวิทยา อภิรักษ์วิริยะ ผู้จัดการทั่วไป Think of Living และ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (ฝั่งดีเวลลอปเปอร์) กล่าวว่า “เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตโดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว รวมทั้งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ล้วนเป็นปัจจัยบวกที่จะขับเคลื่อนให้ตลาดอสังหาฯ ปีนี้มีโอกาสเติบโต 

คาดการณ์ว่าราคาอสังหาฯ และความต้องการซื้อจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 โดยมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านทางภาคอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐเป็นตัวขับเคลื่อนให้ผู้บริโภคที่มีความพร้อมทางการเงินตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น ช่วยเพิ่มโอกาสในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในช่วงที่ตลาดอสังหาฯ ของไทยยังคงชะลอตัวเช่นนี้ 

อย่างไรก็ดี ตลาดอสังหาฯ ยังคงมีปัจจัยท้าทายหลายด้าน อาทิ อัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 10 ปี ทำให้ต้นทุนทางการเงินในการซื้อที่อยู่อาศัยปัจจุบันยังคงสูงเมื่อเทียบกับกำลังซื้อของผู้บริโภค เห็นได้จากข้อมูลของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เผยว่า ณ สิ้นปี 2566 มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) หรือหนี้เสียจากสินเชื่อที่อยู่อาศัย 1.8 แสนล้านบาท ส่วนหนี้บ้านที่ค้างชำระ 30-90 วัน เพิ่มขึ้นถึง 31% YoY มาอยู่ที่ 1.78 แสนล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นบ้านมูลค่าไม่เกิน 3 ล้านบาท ประกอบกับความเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อของธนาคารในเวลานี้ ทำให้ผู้ซื้อต้องมีความพร้อมทางด้านการเงินมากขึ้น 

รวมทั้งผู้บริโภคกลุ่ม Real Demand อาจจะยังชะลอแผนการซื้อที่อยู่อาศัยออกไปก่อนเพื่อรอติดตามสถานการณ์การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งจะมีการประชุมรอบถัดไปในเดือนมิถุนายน 2567 รวมทั้งจับตาทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อลดความเสี่ยงในการเพิ่มภาระหนี้ที่เกินศักยภาพออกไปก่อน 

ขณะเดียวกัน เมื่อราคาบ้าน/คอนโดฯ มีการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นโอกาสของโครงการรีเซลหรือตลาดบ้านมือสองซึ่งมีต้นทุนราคาเดิมที่ถูกกว่าจะกลายเป็นอีกตัวเลือกที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่จำเป็นต้องซื้อที่อยู่อาศัยในเวลานี้แทน” นายวิทยา กล่าวสรุป

ทั้งนี้ จากสถานการณ์ในตลาดอสังหาฯ ปัจจุบันได้ก่อให้เกิดความท้าทายที่ต้องจับตามอง คือ เมื่อความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยอยู่ในช่วงขาลงสวนทางกับราคาที่เพิ่มขึ้นแบบนี้ หากช่องว่างระหว่างแนวโน้มดัชนีความต้องการซื้อกับดัชนีราคาเริ่มกว้างออกจากกันเรื่อย ๆ เมื่อถึง ณ จุดหนึ่ง เชื่อว่าหากดัชนีความต้องการซื้อไม่มีแนวโน้มที่จะกลับมาปรับสูงขึ้น ดัชนีราคาคงจะต้องขยับปรับลดลงตามกลไกของตลาดแทน เพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคหันมาตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น และขับเคลื่อนให้ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในทุกระดับราคาเติบโตต่อไปได้ในอนาคต

เกาะติดตลาดอสังหาฯ เมืองหลวง คนกรุงเมินซื้อบ้าน ดันค่าเช่าเพิ่มทุกประเภท

รายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q1 2567 เผยข้อมูลเชิงลึกของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ในไตรมาสล่าสุด สรุปภาพรวมดัชนีราคา ดัชนีค่าเช่า รวมทั้งความต้องการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัย พร้อมอัปเดตทำเลศักยภาพที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าสนใจและควรจับตามอง

  • ราคาคอนโดฯ เริ่มขยับ สวนทางกับดีมานด์ผู้ซื้อลด 8% ภาพรวมราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ มีทิศทางเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ปี 2566 พบว่าดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ปรับเพิ่มขึ้น 1% QoQ และเพิ่มขึ้น 8% YoY โดยคอนโดฯ ถือเป็นอสังหาฯ ประเภทเดียวที่ดัชนีราคาปรับเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ผ่านมาโดยเพิ่มขึ้น 1% และเพิ่มขึ้นถึง 11% YoY ขณะที่ดัชนีราคาของที่อยู่อาศัยแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์แม้จะทรงตัวจากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นถึง 8% และ 3% YoY ตามลำดับ 

ขณะเดียวกันความต้องการซื้อในกรุงเทพฯ กลับลดลงอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2565 โดยภาพรวมความต้องการซื้อลดลง 8% QoQ (ลดลง 31% YoY) ทั้งนี้ หากแยกตามประเภทอสังหาฯ พบว่า ทาวน์เฮ้าส์มีความต้องการซื้อลดลงมากที่สุดถึง 13% QoQ (ลดลง 38% YoY) รองลงมาคือบ้านเดี่ยวลดลง 8% QoQ (ลดลง 37% YoY) และคอนโดฯ ลดลง 6% QoQ (ลดลง 26% YoY) สะท้อนให้เห็นกำลังซื้อในเมืองหลวงที่ยังคงซบเซาต่อเนื่อง

นอกจากนี้ หลังจากผู้ประกอบการอสังหาฯ หันมาเปิดตัวโครงการแนวราบมากขึ้นและผู้บริโภคที่มีสินค้าแนวราบอยู่ในมือได้นำออกมาขายตามเทรนด์การอยู่อาศัยในช่วงการแพร่ระบาดฯ แต่เมื่อความต้องการซื้อลดลง จึงทำให้ปัจจุบันมีสินค้าแนวราบเหลือขายเพิ่มขึ้น โดยบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้น 7% QoQ และทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 8% QoQ อย่างไรก็ดี คาดการณ์ว่ามาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท จะช่วยเพิ่มอัตราการดูดซับที่อยู่อาศัยกลุ่มใหญ่ในกรุงเทพฯ ให้ลดลงได้

ทั้งนี้ คอนโดฯ ยังครองตลาดโดยมีจำนวนมากที่สุดถึง 80% ของจำนวนที่อยู่อาศัยทั้งหมดในกรุงเทพฯ ขณะที่บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ มีสัดส่วนไล่เลี่ยกันที่ 11% และ 9% ตามลำดับ สำหรับจำนวนที่อยู่อาศัยที่มีสัดส่วนมากที่สุดอยู่ที่ระดับราคา 5-10 ล้านบาท สัดส่วน 25% รองลงมาคือ 1-3 ล้านบาท (สัดส่วน 24%) และราคามากกว่า 15 ล้านบาท (สัดส่วน 23%) เมื่อแบ่งตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่า คอนโดฯ ส่วนใหญ่ในระดับราคา 5-10 ล้านบาท มีสัดส่วนมากที่สุด 26% ส่วนบ้านเดี่ยวระดับราคามากกว่า 15 ล้านบาท มีสัดส่วนมากที่สุด 44% และทาวน์เฮ้าส์ระดับราคา 1-3 ล้านบาท มีสัดส่วนมากที่สุด 39% 

อย่างไรก็ดี แม้ภาพรวมดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ จะไม่ได้เติบโตหวือหวา แต่ยังมีหลายทำเลที่ดัชนีราคาเพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจ โดย 5 ทำเลที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดในกรุงเทพฯ ในไตรมาสล่าสุด ได้แก่

o   อันดับ 1 เขตสะพานสูง ราคากลางเฉลี่ยอยู่ที่ 39,000 บาท/ตารางเมตร เพิ่มขึ้น 6% QoQ และเพิ่มขึ้น 11% YoY

o   อันดับ 2 เขตคลองสาน ราคากลางเฉลี่ยอยู่ที่ 143,000 บาท/ตารางเมตร เพิ่มขึ้น 4% QoQ และเพิ่มขึ้น 7% YoY

o   อันดับ 3 เขตหลักสี่ ราคากลางเฉลี่ยอยู่ที่ 54,000 บาท/ตารางเมตร เพิ่มขึ้น 3% QoQ และเพิ่มขึ้น 12% YoY

o   อันดับ 4 เขตบางขุนเทียน ราคากลางเฉลี่ยอยู่ที่ 29,000 บาท/ตารางเมตร เพิ่มขึ้น 3% QoQ และเพิ่มขึ้น 2% YoY

o   อันดับ 5 เขตยานนาวา ราคากลางเฉลี่ยอยู่ที่ 91,000 บาท/ตารางเมตร เพิ่มขึ้น 2% QoQ และเพิ่มขึ้น 3% YoY

  • ค่าเช่าโตต่อเนื่อง คอนโดฯ ครองตลาดเช่าด้วยสัดส่วน 92% ตลาดเช่าในกรุงเทพฯ ยังคงเติบโตอย่างน่าสนใจ เห็นได้จากดัชนีค่าเช่าในกรุงเทพฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกประเภท โดยค่าเช่าแนวสูงอย่างคอนโดฯ และอะพาร์ตเมนต์ เพิ่มขึ้น 5% QoQ และเพิ่มขึ้น 22% YoY ด้านค่าเช่าแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น 3% QoQ และเพิ่มขึ้น 18% YoY สะท้อนให้เห็นแนวโน้มการเติบโตของราคา อย่างไรก็ดี ภาพรวมความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ยังคงชะลอตัวเช่นเดียวกับภาพรวมทั่วประเทศ โดยปรับลดลง 4% QoQ (ลดลง 24% YoY) 

ขณะเดียวกัน คอนโดฯ มีจำนวนมากที่สุดในตลาดเช่าด้วยสัดส่วน 92% ของจำนวนที่อยู่อาศัยเพื่อเช่าทั้งหมดในกรุงเทพฯ ถือเป็นประเภทที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในเมืองหลวงได้เป็นอย่างดี รองลงมาคือบ้านเดี่ยว 5% และทาวน์เฮ้าส์ 3% 

นอกจากนี้ พบว่าที่อยู่อาศัยให้เช่าส่วนใหญ่จะอยู่ที่ระดับค่าเช่า 10,000-30,000 บาท/เดือน มากที่สุดด้วยสัดส่วน 41% เมื่อแบ่งตามประเภทอสังหาฯ พบว่า คอนโดฯ ในระดับค่าเช่า 10,000-30,000 บาท/เดือน มีจำนวนมากที่สุด 43% ส่วนทาวน์เฮ้าส์ในระดับค่าเช่า 10,000-30,000 บาท/เดือน และ 50,000-100,000 บาท/เดือน ครองตลาดด้วยสัดส่วน 30% เท่ากัน ขณะที่บ้านเดี่ยวส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับค่าเช่ามากกว่า 100,000 บาท/เดือน ด้วยสัดส่วน 56% 

สำหรับทำเลที่มีดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้นมากที่สุดในกรุงเทพฯ ในไตรมาสล่าสุด ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอกและพื้นที่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจ ได้แก่

o   อันดับ 1 เขตทวีวัฒนา ค่าเช่ากลางเฉลี่ยอยู่ที่ 207 บาท/ตารางเมตร/เดือน เพิ่มขึ้น 60% QoQ และเพิ่มขึ้น 40% YoY

o   อันดับ 2 เขตสะพานสูง ค่าเช่ากลางเฉลี่ยอยู่ที่ 458 บาท/ตารางเมตร/เดือน เพิ่มขึ้น 20% QoQ แต่ลดลง 10% YoY

o   อันดับ 3 เขตดินแดง ค่าเช่ากลางเฉลี่ยอยู่ที่ 137 บาท/ตารางเมตร/เดือน เพิ่มขึ้น 19% QoQ และเพิ่มขึ้น 29% YoY

o   อันดับ 4 เขตบางเขน ค่าเช่ากลางเฉลี่ยอยู่ที่ 131 บาท/ตารางเมตร/เดือน เพิ่มขึ้น 14% QoQ และเพิ่มขึ้น 21% YoY

o   อันดับ 5 เขตวังทองหลาง ค่าเช่ากลางเฉลี่ยอยู่ที่ 103 บาท/ตารางเมตร/เดือน เพิ่มขึ้น 11% QoQ และเพิ่มขึ้น 15% YoY

วัดชีพจรตลาดอสังหาฯ อาเซียนปี 67 คนยังอยากมีบ้าน แม้เผชิญอุปสรรค “ดอกเบี้ยสูง – ขาดสภาพคล่อง”

วัดชีพจรตลาดอสังหาฯ อาเซียนปี 67 คนยังอยากมีบ้าน แม้เผชิญอุปสรรค "ดอกเบี้ยสูง - ขาดสภาพคล่อง"

วัดชีพจรตลาดอสังหาฯ อาเซียนปี 67 คนยังอยากมีบ้าน แม้เผชิญอุปสรรค "ดอกเบี้ยสูง - ขาดสภาพคล่อง"

แม้การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา แต่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียนได้เริ่มส่งสัญญาณบวกแล้วในปีนี้ ข้อมูลจากรายงานการวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย Asian Development Outlook (ADO) ฉบับเดือนเมษายน ประจำปี 2567 ของธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2567 จะเติบโต 4.6% จากเดิม 4.1% ในปีก่อนหน้า และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อของหลายประเทศที่เริ่มปรับตัวลดลง ถือเป็นอีกปัจจัยบวกที่ช่วยกระตุ้นให้ความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภคกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง รวมทั้งยังส่งผลดีต่อการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์เช่นกัน

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด และข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคในอาเซียน (ประกอบด้วยประเทศไทย, สิงคโปร์, มาเลเซีย และเวียดนาม) จากเว็บไซต์ในเครือพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป (NYSE: PGRU) พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นด้านอสังหาริมทรัพย์โดยรวมทั้งภูมิภาคยังคงมีทิศทางเป็นบวก โดยดัชนีความเชื่อมั่นของชาวเวียดนามปรับเพิ่มขึ้นสูงที่สุดในอาเซียนมาอยู่ที่ 48% (จากเดิม 43% ในรอบก่อน) โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตามมาด้วยชาวสิงคโปร์อยู่ที่ 44% (จากเดิม 43% ในรอบก่อน) ส่วนชาวมาเลเซียทรงตัวอยู่ที่ 45% มีเพียงชาวไทยที่ปรับลดลงในรอบนี้มาอยู่ที่ 48% (จากเดิม 50% ในรอบก่อน)

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาความพึงพอใจในสภาพตลาดที่อยู่อาศัยปัจจุบัน พบว่าภาพรวมของชาวมาเลเซีย, ชาวเวียดนาม และชาวสิงคโปร์ต่างปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 58%, 53% และ 44% ตามลำดับ (จากเดิม 56%, 50% และ 37% ในรอบก่อน ตามลำดับ) โดยไทยเป็นประเทศเดียวที่ปรับลดลงในรอบนี้มาอยู่ที่ 63% (จากเดิม 65% ในรอบก่อน) แต่ยังคงสูงที่สุดในอาเซียน

อย่างไรก็ดี ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในอาเซียนยังคงมีแนวโน้มสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่มีทิศทางเชิงบวก เห็นได้ชัดจากเกือบ 3 ใน 4 ของชาวสิงคโปร์ (73%) มีการวางแผนซื้อที่อยู่อาศัย รองลงมาคือชาวมาเลเซีย (70%) ชาวเวียดนาม (65%) ส่วนชาวไทยอยู่ที่ 44% ซึ่งต่ำกว่าประเทศอื่นในตลาดอาเซียน อันเป็นผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่ฟื้นตัว ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่สุดในรอบ 10 ปี จึงทำให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยชะลอตัวตามไปด้วย

“ภาครัฐ” ฟันเฟืองสำคัญขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดอสังหาฯ

เมื่อพิจารณาความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัย พบว่าเวียดนามเติบโตสูงที่สุดในตลาดอาเซียนอยู่ที่ 72% โดยมีปัจจัยบวกมาจากการที่ภาครัฐได้ออกมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ และปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ตามมาด้วยชาวไทยอยู่ที่ 59% ทั้งนี้ ไทยถือเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่ดัชนีความเชื่อมั่นด้านอสังหาริมทรัพย์ ความพึงพอใจในสภาพตลาดที่อยู่อาศัย และความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยปรับลดลงทั้งหมดในรอบนี้ ส่วนชาวสิงคโปร์และชาวมาเลเซียมีความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยเท่ากันที่ 46%

ขณะเดียวกัน ชาวเวียดนาม 53% มองว่าภาครัฐมีความพยายามเพียงพอที่จะช่วยให้ซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองได้ ตามมาด้วยชาวสิงคโปร์ (35%) ชาวมาเลเซีย (19%) และชาวไทย (13%) ซึ่งต่ำที่สุดในอาเซียน เนื่องจากในไตรมาส 1 ที่ผ่านมานี้ ภาครัฐยังไม่มีนโยบายกระตุ้นการเติบโตของตลาดอสังหาฯ เพิ่มเติมจากที่มีอยู่เดิม

นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยยังเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้น ๆ ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออสังหาฯ โดยผู้บริโภคชาวอาเซียนส่วนใหญ่ต่างมองว่าอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่อยู่อาศัยในปัจจุบันยังอยู่ในระดับสูง มีชาวเวียดนาม 28% เท่านั้นที่มองว่าอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว ซึ่งมีสัดส่วนสูงที่สุดในอาเซียน ขณะที่ชาวสิงคโปร์และชาวไทยมีสัดส่วนเท่ากันที่ 16% ส่วนชาวมาเลเซียอยู่ที่ 15% เท่านั้น

สะท้อนให้เห็นว่าแม้การกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของภาครัฐจะเป็นอีกหนึ่งกลไกในการขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดอสังหาฯ แต่หากมีมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ มาสมทบ จะยิ่งช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภคให้ดียิ่งขึ้น และช่วยเพิ่มโอกาสให้กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ให้มีโอกาสเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น

อัปเดตเทรนด์ที่อยู่อาศัยชาวอาเซียน “ความท้าทายทางการเงิน” ฉุดคนไม่พร้อมมีบ้าน

ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัยล่าสุดใน 4 ตลาดหลักของอาเซียน เผยมุมมองความต้องการที่อยู่อาศัย พร้อมอัปเดตเทรนด์อสังหาฯ ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตของผู้บริโภค ท่ามกลางความท้าทายทางการเงินที่สั่นคลอนแผนซื้อที่อยู่อาศัย ผลักดันให้เทรนด์เช่าหรือ Generation Rent เข้ามาทดแทน

  • 2 ใน 5 (40%) ของชาวสิงคโปร์มองว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายการพัฒนาโครงการแฟลตของการเคหะแห่งชาติสิงคโปร์ (Housing & Development Board หรือ HDB) เนื่องในวันชาติสิงคโปร์ประจำปี 2566 จะทำให้แฟลต HDB มีราคาจับต้องได้มากขึ้นและทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่าย ถือเป็นปัจจัยบวกที่กระจายโอกาสในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย โดยโครงการแฟลต HDB ที่ขายโดยการเคหะแห่งชาติสิงคโปร์ถือเป็นประเภทอสังหาฯ ที่ชาวสิงคโปร์ต้องการซื้อมากที่สุดถึง 32% รองลงมาคือแฟลต HDB มือสอง 22% เนื่องจากเป็นโครงการที่มีคุณภาพและมีราคาย่อมเยากว่าโครงการเอกชน จึงตอบโจทย์ทางการเงินได้เป็นอย่างดี

ขณะเดียวกัน กว่า 1 ใน 3 (34%) ของผู้เช่าชาวสิงคโปร์ได้วางแผนเช่าเพียง 2 ปี จากนั้นจะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง แม้จะมีการคาดการณ์ว่าตลาดเช่าในสิงคโปร์จะชะลอตัวลง แต่ผู้เช่าส่วนใหญ่กว่า 4 ใน 5 (85%) ต่างมองว่าค่าเช่าในปัจจุบันยังคงสูงเกินไป นอกจากนี้หากโครงการที่เช่าอยู่ในปัจจุบันปรับขึ้นค่าเช่า ผู้เช่าส่วนใหญ่ 38% เผยว่าจะมองหาโครงการอื่นที่มีค่าเช่าถูกกว่าแทน ขณะที่ 34% จะลดค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพื่อนำมาจ่ายค่าเช่าที่สูงขึ้น และ 28% จะชะลอแผนการซื้อที่อยู่อาศัยออกไปก่อน

เมื่อพิจารณาปัจจัยภายในที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยของชาวสิงคโปร์ ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับราคาเฉลี่ยต่อพื้นที่ใช้สอย และขนาดที่อยู่อาศัยมากที่สุดในสัดส่วนเท่ากันที่ 67% ขณะที่ปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ/เช่านั้น จะเน้นไปที่ความสะดวกในการเดินทางเป็นหลัก โดยมากกว่าครึ่ง (52%) เลือกจากโครงการที่สามารถเดินไปยังสถานีรถไฟฟ้า MRT (Mass Rapid Transit) ได้ ซึ่งถือเป็นระบบขนส่งสาธารณะหลักที่มีความสะดวกและครอบคลุมการเดินทางในชีวิตประจำวัน

  • เหตุผลหลักที่ชาวมาเลเซียวางแผนซื้อที่อยู่อาศัยนั้น มากกว่าครึ่ง (58%) ต้องการซื้อเพื่อลงทุนมากที่สุด อย่างไรก็ดี เกือบ 2 ใน 5 (38%) ของผู้ที่วางแผนซื้อบ้าน/คอนโดฯ เผยว่ามีเงินออมเพียงพอที่จะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองแล้ว ขณะที่เกือบครึ่ง (49%) เก็บเงินได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น ส่งผลให้ต้องเผชิญความท้าทายเมื่อขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยอุปสรรคสำคัญมาจากมีอาชีพไม่มั่นคงและรายได้ไม่แน่นอน 43% ตามมาด้วยมีเงินดาวน์ไม่พอ 38% และ 26% ไม่เคยขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยมาก่อน จึงไม่มีประสบการณ์ในการเตรียมตัวที่ดีพอ

นอกจากนี้ ความท้าทายทางการเงินยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ต้องหันไปเช่าแทน เกือบ 3 ใน 4 (74%) ของผู้ที่เลือกเช่าที่อยู่อาศัยเผยว่ายังไม่มีเงินเก็บเพียงพอในการซื้อบ้าน/คอนโดฯ ทั้งนี้ ผู้เช่าชาวมาเลเซีย 29% เผยว่าได้วางแผนเช่าไว้ 2 ปี ก่อนจะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง ขณะที่กว่า 1 ใน 3 (37%) ไม่แน่ใจว่าจะเช่าต่อไปอีกนานแค่ไหน ซึ่งมีสัดส่วนสูงที่สุดในอาเซียน

อย่างไรก็ดี ราคาขายเฉลี่ยต่อพื้นที่ใช้สอยถือเป็นปัจจัยภายในที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยของชาวมาเลเซียมากที่สุด (39%) สอดคล้องกับเป้าหมายในการซื้อที่เน้นการลงทุนเป็นหลัก จึงพิจารณาเรื่องความคุ้มค่ามาก่อน ด้านปัจจัยภายนอกของโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ/เช่านั้น ส่วนใหญ่ (39%) จะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของโครงการมาเป็นอันดับแรก

  • 3 ใน 5 (60%) ของชาวเวียดนามเผยว่าเหตุผลสำคัญในการซื้อที่อยู่อาศัยเนื่องจากต้องการลงทุนเช่นเดียวกับชาวมาเลเซีย และเมื่อพิจารณาความพร้อมทางการเงินพบว่ามากกว่าครึ่ง (55%) เก็บเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยได้ครึ่งทาง ขณะที่ 38% มีเงินออมเพียงพอในการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองแล้ว อย่างไรก็ดี ชาวเวียดนามส่วนใหญ่ (55%) เผยว่าความไม่มั่นคงในอาชีพและรายได้เป็นอุปสรรคสำคัญเมื่อต้องขอสินเชื่อบ้านมากที่สุด เนื่องจากมีผลโดยตรงต่อการพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้

ทั้งนี้ ที่ดินถือเป็นประเภทอสังหาฯ ที่ชาวเวียดนามสนใจซื้อมากที่สุดถึง 33% สอดคล้องกับเหตุผลในการซื้ออสังหาฯ ที่เน้นไปที่การลงทุนมาเป็นอันดับแรก เนื่องจากที่ดินไม่มีการเสื่อมสภาพเหมือนอสังหาฯ ประเภทอื่น และมักปรับขึ้นราคาตามความเจริญในพื้นที่ รองลงมาคือทาวน์เฮ้าส์ 26% และอะพาร์ตเมนต์/คอนโดฯ 24%

ขณะเดียวกัน เทรนด์การเช่าที่อยู่อาศัยถือเป็นอีกทางเลือกที่ตอบโจทย์การเงินของชาวเวียดนาม โดย 1 ใน 3 (33%) ของผู้เลือกเช่าเผยว่ายังไม่มีเงินเพียงพอในการซื้อที่อยู่อาศัยตอนนี้ ตามมาด้วยไม่ต้องการตั้งถิ่นฐานถาวรเพียงที่เดียวและชอบความยืดหยุ่นของการเช่ามากกว่า 27% โดยผู้เช่ากว่า 2 ใน 5 (42%) ได้วางแผนเช่าประมาณ 2 ปี ก่อนจะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง นอกจากนี้ หากโครงการที่เช่าอยู่มีการปรับขึ้นค่าเช่า ผู้เช่าส่วนใหญ่ (37%) มองว่าทำให้จำเป็นต้องใช้เงินเก็บมากขึ้น รองลงมาคือจะมองหาโครงการใหม่ที่ค่าเช่าถูกกว่าแทน และจะลดค่าครองชีพเพื่อมาจ่ายค่าเช่า ในสัดส่วนเท่ากันที่ 29%

  • เหตุผลที่ชาวไทยส่วนใหญ่ตัดสินใจซื้อที่อาศัยมาจากความต้องการของตนเองเป็นหลัก ต่างจากชาวมาเลเซียและชาวเวียดนามที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนมากกว่า โดยชาวไทย 44% ตัดสินใจซื้อบ้าน/คอนโดฯ เพื่อเพิ่มพื้นที่ส่วนตัวมากที่สุด รองลงมาคือเลือกซื้อเพื่อลงทุน 29%

อย่างไรก็ตาม พบว่า มีเพียง 1 ใน 3 (33%) ของผู้ที่วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยเท่านั้นที่มีเงินเก็บเพียงพอที่จะซื้อแล้ว ขณะที่เกือบครึ่ง (47%) เก็บเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น นอกจากนี้ ความท้าทายจากสภาพเศรษฐกิจยังคงส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของผู้บริโภคระดับกลางและล่างที่จำเป็นต้องขอสินเชื่อจากธนาคาร โดยมากกว่าครึ่ง (56%) เผยว่าอุปสรรคหลักในการขอสินเชื่อบ้านมาจากรายได้และอาชีพที่ไม่มั่นคง ตามมาด้วยมีประวัติทางการเงินที่ไม่ดี 38% และมีเงินดาวน์ไม่พอ 31%

ขณะที่กว่า 3 ใน 5 (61%) ของผู้บริโภคชาวไทยที่เลือกเช่าที่อยู่อาศัยเผยว่ายังไม่มีเงินเก็บเพียงพอที่จะซื้อ และ 38% มองว่าที่อยู่อาศัยมีราคาแพงเกินไปจึงเลือกเก็บออมเงินไว้ก่อน อย่างไรก็ดี ผู้เช่าส่วนใหญ่ 31% เผยว่าได้วางแผนเช่าที่อยู่อาศัยไว้ 2 ปี ก่อนจะซื้อบ้าน/คอนโดฯ เป็นของตัวเองในภายหลัง เนื่องจากยังต้องจับตามองแนวโน้มเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด

 

สำหรับปัจจัยภายในที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยของชาวไทย เกือบครึ่ง (46%) จะพิจารณาจากขนาดที่อยู่อาศัยเป็นอันดับแรก ขณะที่ปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่านั้น มากกว่าครึ่ง (47%) ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของโครงการมากที่สุด ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยในระยะยาว

จับตาเทรนด์ที่อยู่อาศัยวัยเก๋า บ้านแบบไหนตอบโจทย์ชาว Silver Gen

จับตาเทรนด์ที่อยู่อาศัยวัยเก๋า บ้านแบบไหนตอบโจทย์ชาว Silver Gen

จับตาเทรนด์ที่อยู่อาศัยวัยเก๋า บ้านแบบไหนตอบโจทย์ชาว Silver Gen

ปัจจุบันประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society) แล้ว ข้อมูลจากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยเผยว่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 ประเทศไทยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปคิดเป็น 20% จากจำนวนประชากรทั้งประเทศ และจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากอัตราการเกิดใหม่ที่ลดลงอย่างชัดเจน โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ประเทศไทยจะก้าวสู่สังคมสูงอายุขั้นสุดยอด (Super-Aged Society) ในปี 2572 เร็วขึ้นกว่าที่เคยประเมินไว้ว่าจะเกิดขึ้นในปี 2574

อย่างไรก็ดี การเข้าสู่สังคมสูงวัยของไทยเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายที่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต้องจับตามอง ข้อมูลจาก Krungthai COMPASS คาดว่ามูลค่าตลาดกลุ่มผู้สูงอายุหรือ Silver Gen ของไทยจะสูงขึ้นต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 4.4% มาอยู่ที่ 2.6 ล้านล้านบาทใน ปี 2573 หรือเทียบเท่า 12% ของมูลค่าเศรษฐกิจไทย จึงทำให้เกิดเทรนด์ธุรกิจเพื่อรองรับผู้บริโภคกลุ่มนี้โดยเฉพาะ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายและมีความพร้อมทางการเงิน หลายธุรกิจรวมถึงตลาดที่อยู่อาศัยจึงปรับกลยุทธ์เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่นี้

อัปเดตดีมานด์ผู้สูงวัย “เชียงใหม่” ครองใจเมืองพักผ่อนวัยเกษียณ

ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุดของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยว่ากว่า 3 ใน 5 (62%) ของผู้บริโภคชาวไทยคิดเรื่องการวางแผนเกษียณบ่อยขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มวัยใกล้เกษียณและผู้ที่มีรายได้ปานกลาง ในขณะที่เชียงใหม่เป็นเมืองที่ผู้บริโภคต้องการไปใช้ชีวิตหลังเกษียณมากที่สุด (27%) ด้วยจุดเด่นจากสภาพแวดล้อมที่ใกล้ชิดธรรมชาติและมีความเจริญในหลายด้าน ตามมาด้วยกรุงเทพฯ (15%), เชียงราย (12%), เพชรบูรณ์ (10%) และภูเก็ต (9%) ในขณะที่ 16% ยังไม่มีทำเลในใจ

ทั้งนี้ เป้าหมายสำคัญของชีวิตหลังเกษียณส่วนใหญ่เน้นไปที่เรื่องการเงิน กว่า 2 ใน 3 (70%) หวังปลอดภาระหนี้ ตามมาด้วยมีอิสระทางการเงิน และมีเงินออมเพียงพอสำหรับค่ารักษาพยาบาล (ในสัดส่วนไล่เลี่ยกันที่ 63% และ 61% ตามลำดับ) สะท้อนให้เห็นว่าสภาพคล่องทางการเงินและการวางแผนค่าใช้จ่ายเพื่อดูแลสุขภาพเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตช่วงเกษียณมากที่สุด

  • ผู้สูงวัย 48% มีเงินพร้อมซื้อบ้านใหม่ ข้อมูลจากแบบสอบถาม DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด เผยความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคชาวไทยอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป พบว่าเกือบครึ่ง (48%) มีเงินออมเพียงพอที่จะซื้อที่อยู่อาศัยแล้ว ซึ่งมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าผู้บริโภคในช่วงวัยอื่น ๆ ขณะที่อีก 42% เผยว่าเก็บเงินออมได้ครึ่งทางแล้ว ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูงและน่าจับตามองในเวลานี้ ในขณะที่กว่า 1 ใน 3 (37%) มีการวางแผนซื้อที่อยู่อาศัยในอีก 1 ปีข้างหน้า โดยเหตุผลสำคัญในการซื้อที่อยู่อาศัยมาจากต้องการพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น 45% ตามมาด้วยซื้อเพื่อการลงทุน และขายบ้านหลังเดิมได้ราคาดี (ในสัดส่วนเท่ากันที่ 32%)
  • โฟกัส “ขนาดบ้าน – ใกล้ขนส่งสาธารณะ” มาก่อน ปัจจัยภายในที่ผู้สูงอายุให้ความสำคัญในการตัดสินใจซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยมากที่สุด ได้แก่ ขนาดที่อยู่อาศัย 58% เน้นไปที่พื้นที่ใช้สอยที่เพียงพอในการรองรับกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งอำนวยความสะดวกในการอยู่อาศัยมาเป็นอันดับแรก ตามมาด้วยราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตร 49%, สิ่งอำนวยความสะดวกภายในที่อยู่อาศัย 39%, การออกแบบและการก่อสร้าง 27% ส่วนมาตรการ/โครงการที่จะช่วยให้มีบ้านเป็นของตัวเองง่ายขึ้น และชื่อเสียงของผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯ มีสัดส่วนเท่ากันที่ 23%

ขณะที่ปัจจัยภายนอกโครงการที่ผู้สูงอายุใช้พิจารณาเมื่อเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยนั้น มากกว่าครึ่ง (56%) ต้องการโครงการที่เดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทาง และลดความเสี่ยงในการขับขี่ด้วยตนเองเนื่องจากสภาพร่างกายอาจไม่พร้อม รองลงมาคือความปลอดภัยของทำเล 52%, ทำเลที่ตั้งโครงการ 43%, โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกในย่านนั้น 31% ส่วนความเจริญของทำเล และใกล้โรงพยาบาล/สถานพยาบาล มีสัดส่วนเท่ากันที่ 26% เพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกในการพบแพทย์หรือรับบริการทางสุขภาพต่าง ๆ

  • หวังรีโนเวท “ห้องนั่งเล่น” ตอบโจทย์การใช้ชีวิต สำหรับพื้นที่ในบ้านที่ผู้สูงอายุต้องการปรับเปลี่ยนมากที่สุดเพื่อรองรับการใช้ชีวิตวัยเกษียณนั้น อันดับแรกคือห้องนั่งเล่น 23% ถือเป็นพื้นที่หลักที่ผู้สูงอายุใช้ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ มากที่สุด จึงต้องการปรับเปลี่ยนให้ตอบโจทย์ตามไลฟ์สไตล์และกิจวัตรประจำวัน รองลงมากคือห้องนอนและห้องน้ำ (16% และ 12% ตามลำดับ) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ผู้สูงอายุจำเป็นต้องปรับปรุงให้พร้อม มีความปลอดภัยและมั่นคงรองรับการเคลื่อนไหวที่ต้องใช้ความระมัดระวัง ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิตประจำวัน

เคล็ด (ไม่) ลับเตรียมบ้านให้พร้อมรองรับวัยเกษียณ

“อารยสถาปัตย์ หรือ Universal Design” เป็นแนวคิดเรื่องการออกแบบสิ่งแวดล้อม การสร้างสถานที่ และสิ่งของต่าง ๆ เพื่อให้ทุกคนที่อยู่ในสังคมสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่และเท่าเทียมกัน ไม่ต้องมีการออกแบบดัดแปลงพิเศษเพื่อบุคคลกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดโดยเฉพาะ คำนึงถึงการใช้งานที่ครอบคลุมสำหรับทุกคน โดยไม่จำกัดอายุ เพศ หรือลักษณะทางร่างกาย

ส่งผลให้หลัก Universal Design เป็นเทรนด์การออกแบบที่มีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการออกแบบที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน เพื่อให้สามารถรองรับการอยู่อาศัยของผู้บริโภคทุกช่วงวัยได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ

นอกจากการซื้อบ้านในโครงการที่มาพร้อม Universal Design แล้ว ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เผยแนวทางการออกแบบและปรับพื้นที่บ้านให้รองรับการอยู่อาศัยของผู้สูงวัย ภายใต้หลักที่ให้ความสำคัญกับการเพิ่มความปลอดภัย ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุและปิดจุดบอดที่เป็นพื้นที่อันตราย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ผู้สูงอายุสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมั่นใจด้วยตัวเอง โดยมี 5 พื้นที่สำคัญที่ควรปรับเพื่อรองรับบ้านผู้สูงอายุ ดังนี้

  • ห้องนั่งเล่น เป็นพื้นที่ที่ผู้สูงอายุใช้เวลาในการทำกิจกรรมระหว่างวันไม่น้อย พื้นที่ในห้องนี้จึงควรออกแบบให้มีความปลอดโปร่งและอากาศถ่ายเทได้สะดวกตลอดทั้งวัน จัดวางต้นไม้เพื่อเพิ่มความสดชื่นในห้อง หรือติดตั้งเครื่องฟอกอากาศเพื่อสร้างอากาศบริสุทธิ์และสะอาดตลอดทั้งวัน โดยควรเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มีฟังก์ชั่นไม่ซับซ้อน สะดวกในการใช้งาน และมีขนาดที่เหมาะสม ไม่ใหญ่เกินไปจนเกะกะและทำให้ห้องดูอึดอัด ควรเน้นการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ให้ชิดผนังเพื่อให้มีพื้นที่โล่งมากที่สุด ไม่ควรมีของวางเกะกะตามพื้นเพื่อให้ผู้สูงอายุเดินได้สะดวกและป้องกันการสะดุดล้ม รวมทั้งรองรับการใช้งานรถเข็นได้สะดวก

นอกจากนี้ ควรจัดวางของใช้ประจำวัน งานอดิเรก รวมทั้งของใช้จำเป็นหรือยาไว้ที่โต๊ะ ชั้นวาง หรือตู้ที่มีความสูงเหมาะสมและอยู่ในระยะที่ผู้สูงอายุสามารถเอื้อมถึงเองได้ โดยที่ไม่ต้องก้มต่ำเกินไปเมื่อต้องการหยิบใช้งาน การจัดสรรพื้นที่ให้รองรับไลฟ์สไตล์ประจำวันจะช่วยให้ผู้สูงอายุทำกิจวัตรต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น และเมื่อมีการพึ่งพาตนเองมากขึ้นก็จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเองตามไปด้วย

  • ห้องนอน ส่วนสำคัญของบ้านที่ผู้สูงอายุใช้เวลาส่วนใหญ่เพื่อพักผ่อน โดยห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุควรอยู่ชั้นล่างเพื่อลดการขึ้น-ลงบันได และอยู่ในบริเวณที่มีความสงบ มีความเป็นส่วนตัว และมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก โดยควรออกแบบให้ครอบคลุมการอยู่อาศัย เช่น
    • ควรปูพื้นด้วยวัสดุลดแรงกระแทกและไม่ควรมีพื้นที่ต่างระดับ เพื่อป้องกันการสะดุดและหกล้ม
    • เตียงนอนต้องมีขนาดที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ ปรับระดับความสูงได้ มีราวจับข้างเตียง ฟูกที่นอนไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป พร้อมพื้นที่บริเวณข้างเตียง 90-100 เซนติเมตร เพื่อรองรับการใช้งานรถเข็น หรือบุตรหลานสามารถเข้าไปช่วยดูแลได
    • ติดตั้งราวจับบริเวณที่มีการลุกนั่ง และมีไฟส่องสว่างอัจฉริยะที่สามารถเปิด-ปิดอัตโนมัติที่ตรวจจับการเคลื่อนไหวเพื่อนำทางจากเตียงนอนไปกลับห้องน้ำ หรือเลือกใช้ไฟที่เปิด-ปิดได้ด้วยรีโมท
    • มีโต๊ะข้างเตียงที่หยิบของได้สะดวก โดยเฟอร์นิเจอร์อย่างตู้เสื้อผ้าหรือชั้นวางของควรมีระดับความสูงที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ ไม่อยู่สูงจนเกินไปเมื่อต้องใช้งาน
    • ไม่ควรมีธรณีประตูเพื่อป้องกันการสะดุด เลือกประตูแบบบานเลื่อนเปิด-ปิด ที่มีระบบรางแขวนด้านบนตัวล็อกที่ใช้งานง่าย ใช้แรงน้อย รองรับการเข้าออกของรถเข็นได้สะดวก
    • ห้องน้ำ เป็นอีกหนึ่งห้องที่ควรให้ความสำคัญ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการลื่นล้มสูง นอกจากขนาดของห้องน้ำที่ควรกว้างอย่างน้อย 200 เซนติเมตร เพื่อรองรับการใช้รถเข็นแล้ว ควรมีการแบ่งพื้นที่โซนห้องน้ำเพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน
      • พื้นที่โซนแห้ง เลือกใช้อ่างล้างหน้าแบบแขวนผนังที่สามารถรองรับน้ำหนักการเท้าแขนของผู้สูงอายุ หรือเลือกอ่างแบบฝังครึ่งเคาน์เตอร์เพื่อให้มีพื้นที่ใต้อ่างสะดวกต่อการใช้งานรถเข็น โดยก๊อกน้ำควรเป็นแบบก้านโยกหรือก้านปัด ส่วนโถสุขภัณฑ์ควรเป็นแบบนั่งราบ มีระดับความสูงที่เหมาะสม และติดตั้งราวจับบริเวณข้างโถสุขภัณฑ์เพื่อช่วยให้ลุกนั่งได้ง่าย
      • พื้นที่โซนเปียก บริเวณที่นั่งอาบน้ำต้องมีความแข็งแรง ขนาดและความสูงเหมาะกับผู้สูงอายุ และติดตั้งราวจับเพื่อช่วยในการลุกนั่ง โดยฝักบัวควรติดตั้งอยู่บริเวณด้านข้างของที่นั่ง เลือกใช้ฝักบัวที่ปรับระดับความสูงได้และเลือกใช้วาล์วเปิด-ปิดน้ำที่คุมอุณหภูมิได้ ที่สำคัญควรใช้กระเบื้องปูพื้นที่มีค่าความฝืดตั้งแต่ R10 ขึ้นไป หรือใช้น้ำยาทากันลื่นมาช่วยเคลือบหน้ากระเบื้องเพื่อป้องกันการลื่นล้มเมื่อพื้นเปียก
      • พื้นที่ขึ้นลงบันได หากห้องนอนผู้สูงอายุอยู่ชั้นบน หรือมีเหตุจำเป็นต้องขึ้นไปชั้นบนของบ้านอาจทำให้ปวดเข่าเวลาขึ้น-ลงบันได หรือมีโอกาสที่อาจจะสะดุดพลัดตกจากบันไดได้ ดังนั้น จึงควรปรับบันไดภายในและภายนอกบ้านให้มีความกว้างที่เหมาะสม ลูกตั้งบันไดสูงไม่เกิน 15 เซนติเมตร ลูกนอนกว้างอย่างน้อย 30 เซนติเมตร

จมูกบันไดควรมีสีแตกต่างจากพื้นผิวของบันไดเพื่อให้สังเกตเห็นความแตกต่างของบันไดได้ชัดเจน ควรมีราวบันไดทั้ง 2 ข้างในระยะ 80 เซนติเมตรจากพื้น และมีแสงสว่างให้เพียงพอ นอกจากนี้ยังแนะนำให้ติดตั้ง “ลิฟต์บันได” เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงอายุในการขึ้นลงชั้นบนโดยไม่ต้องเดินเอง

  • สวนและภูมิทัศน์รอบบ้าน อีกหนึ่งพื้นที่ที่ผู้สูงอายุนิยมใช้ในการพักผ่อนหย่อนใจ และทำสวนปลูกต้นไม้เป็นงานอดิเรกในยามว่าง จึงควรปรับพื้นที่ให้ร่มรื่น และเป็นระเบียบ
    • ทางเข้าบ้านและบริเวณสวนควรทำให้เป็นพื้นทางเดินเรียบ ไม่ขรุขระ และไม่ปูพื้นทางเดินด้วยหินที่อาจทำให้เสียการทรงตัวและมีโอกาสลื่นได้ หากพื้นที่สวนมีบริเวณกว้าง ควรมีที่นั่งสำหรับชมธรรมชาติเป็นระยะ โดยที่นั่งพักควรมีราวจับหรือเท้าแขน เพื่อช่วยในการพยุงตัวลุกได้สะดวก
    • ในกรณีที่มีทางลาดเข้าบ้าน ควรมีความชันไม่เกิน 1:12 มีพื้นที่ว่างหน้าทางลาดไม่น้อยกว่า 150 เซนติเมตร มีขอบกั้นและราวจับตลอดแนวทางลาด ใช้วัสดุพื้นผิวไม่ลื่น หรือติดเทปกันลื่นเพิ่มเพื่อช่วยให้รองเท้าสามารถยึดเกาะพื้นได้ดีขึ้น สำหรับความกว้างทางเดินควรกว้างอย่างน้อย 90 เซนติเมตรเพื่อรองรับการใช้รถเข็น
    • หากผู้สูงอายุชอบการทำสวน ควรเลือกการปลูกในกระบะที่ระยะความสูงประมาณ 60-80 เซนติเมตร หรือปลูกต้นไม้แบบสวนแนวตั้ง เพื่อลดการก้มเงยหรือลุกนั่งบ่อย ๆ ที่อาจจะทำให้ปวดหลัง หรือก่อให้เกิดอาการหน้ามืดและหกล้มได้

เพิ่มโอกาสในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของผู้สูงวัยด้วย “Reverse mortgage”
อย่างไรก็ดี ผู้สูงอายุยังคงมีความท้าทายเมื่อยื่นขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยเช่นกัน โดยพบว่าอุปสรรคสำคัญในการขอสินเชื่อบ้านมาจากรายได้และอาชีพที่ไม่มั่นคง 75% เนื่องจากอาจจะไม่ได้ทำงานประจำที่มีรายได้แน่นอนแล้ว ตามมาด้วยมีเงินดาวน์ไม่พอ 63% และขาดเอกสารประกอบในการยื่นกู้ 38% ด้วยเหตุนี้ “Reverse Mortgage หรือสินเชื่อบ้านสำหรับผู้สูงอายุ” จึงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจในการช่วยให้ผู้สูงวัยมีโอกาสเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น รูปแบบการจำนองจะเหมือนการทยอยขายบ้านให้กับธนาคาร โดยผู้สูงวัยยังคงมีที่อยู่อาศัยในบั้นปลายชีวิตและได้รับรายได้แบบรายเดือน

โดยผู้สูงอายุสัญชาติไทยอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 80 ปี สามารถนำบ้าน/คอนโดฯ ที่ถือครองกรรมสิทธิ์อยู่มาจำนองไว้กับธนาคาร จากนั้นธนาคารจะตีมูลค่าบ้านพร้อมกับประเมินอายุเฉลี่ยของผู้กู้และทยอยจ่ายเงินค่าบ้านให้ผู้กู้เป็นรายเดือน ตัดปัญหาค่าใช้จ่ายในวัยเกษียณ โดยที่ผู้กู้ยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านหลังนั้นและสามารถอาศัยอยู่ในบ้านได้จนกระทั่งเสียชีวิตหรือตัดสินใจขายบ้านไปก่อน เมื่อครบกำหนดตามสัญญาแล้ว บ้าน/คอนโดฯ นั้นจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคาร ซึ่งธนาคารสามารถนำไปขายทอดตลาดได้

Reverse Mortgage นับว่าเป็นอีกทางเลือกน่าสนใจที่ช่วยลดความกังวลของผู้สูงอายุที่ต้องการมีบ้านเพื่ออยู่อาศัยในวัยเกษียณ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าครองชีพในอนาคต ทั้งนี้ แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย อย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (www.ddproperty.com) ได้รวบรวมข่าวสารและบทความน่ารู้ในแวดวงอสังหาฯ ที่เป็นประโยชน์กับผู้บริโภคทุกช่วงวัยที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ มาพร้อมข้อมูลประกาศซื้อ/ขาย/ให้เช่า รวมทั้งรีวิวโครงการอสังหาฯ ที่น่าสนใจในหลากหลายทำเลทั่วประเทศ ช่วยให้ทุกคนเตรียมความพร้อมก่อนตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัยได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

SC ASSET X Think of Living จัดกิจกรรม A Place Called Home ครั้งที่ 3 ชวนร่วมประกวดถ่ายภาพบ้าน 4 โครงการใหม่ ในคอนเซ็ปต์ “สวยอยู่ได้” ลุ้นรางวัลกว่า 240,000 บาท

SC ASSET X Think of Living จัดกิจกรรม A Place Called Home ครั้งที่ 3 ชวนร่วมประกวดถ่ายภาพบ้าน 4 โครงการใหม่ ในคอนเซ็ปต์ “สวยอยู่ได้” ลุ้นรางวัลกว่า 240,000 บาท

SC ASSET X Think of Living จัดกิจกรรม A Place Called Home ครั้งที่ 3 ชวนร่วมประกวดถ่ายภาพบ้าน 4 โครงการใหม่ ในคอนเซ็ปต์ “สวยอยู่ได้” ลุ้นรางวัลกว่า 240,000 บาท

Think of Living เว็บไซต์รีวิวโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศ ร่วมกับ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ผู้นำอสังหาริมทรัพย์คุณภาพสูง และ มีนวัตกรรม เปิดตัวโครงการประกวดถ่ายภาพ “A Place Called Home ครั้งที่ 3″ ในหัวข้อ “สวย อยู่ ได้” เชิญชวนผู้ที่มีใจรักในการถ่ายภาพร่วมถ่ายทอดมุมมองความสวยงามของการออกแบบและตกแต่งบ้านที่ผสมผสานอยู่ในทุกการอยู่อาศัย เพียงส่งผลงานภาพถ่ายหรือคลิปวิดีโอเพื่อคัดเลือกร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมประกวดภาพถ่าย โดยผู้ผ่านการคัดเลือกเพียง 20 ท่านจะได้สิทธิ์ในการร่วมถ่ายภาพสุด Exclusive กับ โครงการใหม่ของ SC ASSET พร้อมลุ้นเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า 240,000 บาท ผู้สนใจสามารถส่งผลงานภาพถ่ายและคลิปวิดีโอได้ตั้งแต่วันนี้10 เมษายนนี้ ผ่านทาง https://thinkofliving.com/events

SC ASSET X Think of Living launch the 3rd A Place Called Home
บรรยายใต้ภาพ (จากซ้ายไปขวา): นายสมยศ วรวุฒิยานนท์ รองหัวหน้าสายงาน ฝ่ายนวัตกรรมสื่อสารการตลาด SC ASSET และ นายวิทยา อภิรักษ์วิริยะ ผู้จัดการทั่วไป Think of Living และ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (ฝั่งดีเวลลอปเปอร์)

นายสมยศ วรวุฒิยานนท์ รองหัวหน้าสายงาน ฝ่ายนวัตกรรมสื่อสารการตลาด SC Asset กล่าวว่า “นอกเหนือจากการพัฒนาที่อยู่อาศัยคุณภาพ และ มีนวัตกรรมแล้ว  SC ยังให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ผลงานดีๆ  ผ่านกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ปีนี้นับเป็นครั้งที่ 3 แล้ว ที่ได้ร่วมกับ Think of Living จัดกิจกรรม A Place Called Home หลังจากปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากช่างภาพมืออาชีพและผู้สนใจทั่วไป  โดย SC มีโครงการบ้านซีรีส์ใหม่หลากหลาย Segment พร้อมฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์กับพฤติกรรมผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม เราหวังว่าจะช่วยจุดประกายไอเดียสร้างสรรค์ให้กับผู้เข้าร่วมประกวดได้ครีเอทภาพ และ วิดีโอ ถ่ายทอดออกมาได้หลากหลายมุมมอง และ น่าสนใจมากยิ่งขึ้น”

นายวิทยา อภิรักษ์วิริยะ ผู้จัดการทั่วไป Think of Living และ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (ฝั่งดีเวลลอปเปอร์) กล่าวว่า “การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน นอกจากจะต้องคำนึงถึงคุณภาพการก่อสร้าง เทคโนโลยีที่เอื้อต่อการอยู่อาศัย รวมถึงสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ภายในโครงการแล้ว การออกแบบที่อยู่อาศัยให้สวยงามน่าอยู่ ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเพิ่มความสุขให้กับผู้อยู่อาศัยและสร้างสุนทรียภาพในการอยู่อาศัย

Think of Living ในฐานะของเว็บไซต์รีวิวโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศ หนึ่งในหน้าที่ของเราคือการถ่ายทอดความสวยงามของการออกแบบโครงการ ความใส่ใจ และความพิถีพิถันให้กับผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย

โดย SC Asset  ถือเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯ ชั้นนำ ที่ให้ความสำคัญกับการออกแบบโครงการให้สวยงาม และใส่ใจกับทุกรายละเอียดของการออกแบบไม่ยิ่งหย่อนกว่าปัจจัยอื่น ๆ สะท้อนให้เห็นได้จากทุกโครงการที่อยู่อาศัยของ SC Asset โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยว ที่มีการออกแบบอย่างมีเอกลักษณ์และโดดเด่น ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของผู้บริโภค

ดังนั้น Think of Living จึงได้ร่วมมือกับ SC Asset จัดกิจกรรมประกวดถ่ายภาพและคลิปวิดีโอ “A Place Called Home ครั้งที่ 3” เพื่อเป็นเวทีให้ผู้ที่มีใจรักในการถ่ายภาพและวิดีโอ ได้แสดงความคิดสร้างสรรค์และร่วมถ่ายทอดความสวยงามของที่อยู่อาศัยใน 4 แบรนด์โครงการบ้านเดี่ยวของ SC ASSET ที่ได้รับการออกแบบอย่างใส่ใจและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยกิจกรรมครั้งที่ผ่านมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากช่างภาพมืออาชีพและผู้สนใจทั่วไป  

สำหรับการประกวดในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ภายใต้หัวข้อ “สวยอยู่ได้” เพื่อเชิญชวนให้ทุกคนมาร่วมถ่ายทอดมุมมองความสวยงามที่สามารถอยู่อาศัยได้ ซึ่งความพิเศษในปีนี้คือ สามารถเลือกส่งผลงานได้ทั้งภาพถ่ายและคลิปวิดีโอสั้น (Short Video) เพิ่มโอกาสในการสร้างสรรค์ผลงานที่หลากหลายมากขึ้น โดยผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเพียง 20 ท่านจะได้รับสิทธิ์ในการร่วมกิจกรรมถ่ายภาพสุด Exclusive กับ 4 โครงการบ้านเดี่ยวของ SC ASSET พร้อมลุ้นรับเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า 240,000 บาท

เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการนี้จะช่วยจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ให้กับผู้ที่ชอบการถ่ายภาพและวิดีโอ รวมทั้งเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้แสดงความสามารถและร่วมถ่ายทอดมุมมองความสวยงามที่สามารถอยู่อาศัยได้ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการซื้อที่อยู่อาศัยและตกแต่งบ้านเพื่อเติมเต็มความสุขในอนาคต” นายวิทยา กล่าวสรุป

โดยผู้ที่ผ่านการคัดเลือก 20 ท่าน จะได้รับสิทธิ์ในการร่วมกิจกรรมถ่ายภาพสุด Exclusive ในโครงการบ้านเดี่ยว 4 โครงการจาก SC ASSET ในวันเสาร์ที่ 27 เมษายน 2567 ประกอบด้วย

  • แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา-เกษตรนวมินทร์ คฤหาสน์หรู 5 ห้องนอน เป็นส่วนตัวเพียง 70 ยูนิต แปลงมุมทุกหลัง ที่ดินใหญ่ 200 ตารางวา ภายใต้บรรยากาศเมือง FLORENCE ประเทศอิตาลี
  • เดอะ เจนทริ เกษตร-นวมินทร์ วิลล่าหรู หลังใหญ่สไตล์ MODERN LUXURY พร้อมพื้นที่นั่งเล่นแบบ Double Volume และลิฟต์ภายในบ้าน ยูนิตน้อยเป็นส่วนตัว เพียง 57 ยูนิต
  • บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา 109 บ้านเดี่ยว 5 ห้องนอน 365 ตารางเมตร บ้านหรู ลา-ไน ซีรีส์ บรรยากาศ AUTUMN IN PARIS นครแห่งความโรแมนติก
  • เวนิว ไอดี รามอินทรา-มีนบุรี บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดซีรีส์ใหม่สไตล์ MODERN SIMPLICITY

พร้อมส่วนกลางกว่า 2 ไร่ ทำให้การอยู่อาศัยในทุกวันรู้สึกเหมือนอยู่รีสอร์ต บนบรรยากาศ KARUIZAWA เมืองรีสอร์ตของญี่ปุ่น

นอกจากนี้ ผู้ที่ผ่านการคัดเลือก 20 ท่านและร่วมกิจกรรมดังกล่าว จะได้รับค่ากรรมสิทธิ์ภาพ 8,000 บาท พร้อมทั้งมีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัล BEST PHOTOGRAPHY, BEST SHORT CLIP VDO และ Popular Vote รวมมูลค่ากว่า 240,000 บาท

พิเศษ! ประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้ร่วมประกวด สามารถร่วมสนุกกับโครงการนี้ได้ง่าย ๆ เพียงกด Like และกด Share พร้อมโหวตภาพที่ประทับใจผ่านทาง Facebook: SC ASSET ระหว่างวันที่ 8-31 พฤษภาคม 2567 ก็มีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลพิเศษ บัตร Sizzler มูลค่า 1,000 บาท จำนวน 5 รางวัล (สุ่มรางวัลจากหน้า Facebook เท่านั้น) ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการหรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่้ https://thinkofliving.com/events 

รายละเอียดของโครงการประกวดถ่ายภาพ “A Place Called Home ครั้งที่ 3”

A Place Called Home 2024_Infographic (3)

ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่วันนี้-10 เมษายน 2567 เพียงส่งรายละเอียดและรูปถ่ายที่เข้ากับหัวข้อ “สวยอยู่ได้” ผ่านทาง https://thinkofliving.com/events 

  • ผู้สมัคร 1 คนสามารถเลือกได้ 1 ประเภทการแข่งขันเท่านั้น แบ่งเป็นภาพนิ่ง และวิดีโอ โดยไม่จำกัดจำนวนชิ้นงานที่ส่งเข้าร่วมกิจกรรม (ภาพและวิดีโอที่ส่งเข้าประกวดต้องเป็นภาพและวิดีโอที่ผู้สมัครถ่ายด้วยตนเอง)
  • ส่งผลงานถ่ายภาพและวิดีโอโดยการแนบลิงก์ผลงานเพื่อพิจารณาผ่านทาง  https://thinkofliving.com/events
  • หากมีช่องทาง Social Media ที่เผยแพร่ผลงานอยู่แล้ว สามารถแนบลิงก์เพิ่มเติมได้
  • หากได้รับการคัดเลือกแล้ว ต้องสามารถเข้าร่วมกิจกรรมในวันเสาร์ที่ 27 เมษายน 2567 ได้

การคัดเลือก

  • ทาง Think of Living และ SC ASSET จะทำการคัดเลือกผู้สมัครให้เหลือเพียง 20 ท่านเท่านั้น โดยจะประกาศผลผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรม 20 ท่าน ผ่านทาง  https://thinkofliving.com/events และ Facebook: Think of Living ในวันที่ 18 เมษายน 2567
  • ผู้ที่ได้รับคัดเลือก 20 ท่าน จะได้ร่วมกิจกรรมถ่ายภาพ 4 โครงการใหม่ของ SC ASSET ในวันเสาร์ที่ 27 เมษายน 2567 โดยทุกท่านจะได้รับค่ากรรมสิทธิ์ภาพ มูลค่า 8,000 บาท 

วันและสถานที่เข้าร่วมกิจกรรมสำหรับผู้ที่ผ่านการคัดเลือก

กิจกรรมถ่ายภาพจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 27 เมษายน 2567 ณ โครงการบ้านเดี่ยว 4 โครงการจาก SC ASSET ได้แก่ 

  • แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา-เกษตรนวมินทร์
  • เดอะ เจนทริ เกษตร-นวมินทร์
  • บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา 109
  • เวนิว ไอดี รามอินทรา-มีนบุรี

ของรางวัล 

คณะกรรมการจะทำการคัดเลือกรางวัล BEST PHOTOGRAPHY และ BEST SHORT CLIP VDO และเปิดให้ประชาชนทั่วไปร่วมโหวตรางวัล Popular vote (Photo) และ Popular vote (Short Clip VDO) โดยประกาศผลรางวัลผ่านทาง https://thinkofliving.com/events สำหรับของรางวัลมีรายละเอียดดังนี้

  • BEST PHOTOGRAPHY จำนวน 1 รางวัล มูลค่า 20,000 บาท                          
  • BEST SHORT CLIP VDO จำนวน 1 รางวัล มูลค่า 20,000 บาท            
  • Popular vote (Photo) จำนวน 1 รางวัล มูลค่า 20,000 บาท                                     
  • Popular vote (Short Clip VDO) จำนวน 1 รางวัล มูลค่า 20,000 บาท 

พิเศษ! สำหรับประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้ส่งรูปถ่ายและวิดีโอเข้าประกวด สามารถร่วมสนุกกับโครงการนี้ได้ง่าย ๆ เพียงกด Like และกด Share พร้อมโหวตภาพที่ประทับใจผ่านทาง Facebook: SC ASSET ตั้งแต่วันที่ 8-31 พฤษภาคม 2567 ทั้งนี้ ผู้ร่วมโหวตมีสิทธิ์ลุ้นรางวัลพิเศษ บัตร Sizzler มูลค่า 1,000 บาท จำนวน 5 รางวัล (สุ่มรางวัลจากหน้า Facebook เท่านั้น) โดยผลงานที่ได้รับรางวัล Popular Vote จะนับจากภาพและวิดีโอที่มียอด Like & Share มากที่สุด 

หมายเหตุ

  • คณะผู้จัดงานและทีมงานผู้เกี่ยวข้องไม่มีสิทธิ์ได้รับของรางวัลใด ๆ จากโครงการประกวด
  • ผู้ที่ได้รับรางวัลจะต้องเป็นผู้ชำระภาษี ณ ที่จ่าย 5%
  • ของรางวัลไม่สามารถเปลี่ยนมือหรือโอนสิทธิให้ผู้อื่นได้ และไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้
  • Think of Living ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงของรางวัล กติกาหรือเงื่อนไขในการประกวดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

#สวยอยู่ได้ #APlaceCalledHome #SCASSETxThinkofLiving #SCxTOL