ไขข้อสงสัยคนอยากมีบ้าน “เครดิตบูโร” นั้นสำคัญไฉนเมื่อกู้ซื้อบ้าน?

ไขข้อสงสัยคนอยากมีบ้าน “เครดิตบูโร” นั้นสำคัญไฉนเมื่อกู้ซื้อบ้าน?

ไขข้อสงสัยคนอยากมีบ้าน “เครดิตบูโร” นั้นสำคัญไฉนเมื่อกู้ซื้อบ้าน?

ท่ามกลางสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่รุมล้อมสังคมไทยมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จนถึงเวลานี้ที่ผู้บริโภคต้องรับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มพุ่งสูงต่อเนื่อง ส่งผลต่อแผนการใช้จ่ายของผู้บริโภคอย่างเลี่ยงไม่ได้ และนำไปสู่การก่อหนี้เพิ่มขึ้นทั้งโดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ เห็นได้ชัดจากผลสำรวจสถานภาพแรงงานไทย: กรณีศึกษากลุ่มตัวอย่างแรงงานไทยที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน ปี 2565 โดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า แรงงานไทยมีหนี้ถึง 99% ส่งผลให้ปีนี้ภาระหนี้ของครัวเรือนเพิ่มขึ้น 5.09% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำสถิติสูงสุดในรอบ 14 ปี โดยแรงงาน 31.5% ยังเคยผิดนัดชำระหนี้อีกด้วย

แม้ปัจจัยแวดล้อมมากมายจะสร้างความท้าทายทางการเงินให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใดที่อยู่อาศัยก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับผู้บริโภค แม้จะเป็นการเพิ่มภาระหนี้ก้อนใหญ่แต่มาพร้อมความมั่นคงในชีวิตและความคุ้มค่าของการลงทุนในระยะยาว จึงเป็นอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคต้องการยื่นกู้ซื้อบ้านแม้จะมีภาระหนี้สินอยู่ก็ตาม

ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด เผยว่า อุปสรรคใหญ่เมื่อยื่นขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมาจากรายได้และอาชีพที่ไม่มั่นคงถึง 59% ตามมาด้วยมีประวัติทางการเงินที่ไม่ดี (46%) และไม่มีเอกสารประกอบที่เพียงพอ (38%) สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาการเงินมีความสำคัญอันดับต้น ๆ ซึ่งกลายเป็นความกังวลและพัฒนาต่อเนื่องไปเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่า การมีประวัติหนี้สินแสดงอยู่บนเครดิตบูโรจะทำให้ถูกปฏิเสธสินเชื่อหรือยื่นกู้ไม่ผ่าน ซึ่งแท้จริงแล้วนี่เป็นความเข้าใจผิดที่สะสมมานาน สร้างความกังวลใจเกินกว่าเหตุและทำให้คนที่ต้องการมีบ้านจำนวนมากพลาดโอกาสเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในช่วงเวลาที่เหมาะสมตามไปด้วย

“เครดิตบูโร” ไม่ใช่แบล็คลิสต์!
“เครดิตบูโร” หรือ “บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด” เป็นองค์กรเอกชนที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางจัดเก็บข้อมูลประวัติธุรกรรมทางการเงินของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อบัตรกดเงินสด สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน ผ่อนรถยนต์ และอื่น ๆ รวมไปถึงประวัติด้านการเงินเกี่ยวกับธุรกรรมต่าง ๆ ทั้งการกู้ ผ่อน จ่ายทั้งหมดของเจ้าของข้อมูล ซึ่งจะปรากฏในรายงานข้อมูลเครดิตของบุคคลนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นประวัติดีหรือประวัติไม่ดีก็ตามเพียงเท่านั้น โดยไม่มีหน้าที่หรืออำนาจในการอนุมัติสินเชื่อใด ๆ

ส่วนหน้าที่ของการอนุมัติการกู้เงินจะเป็นของธนาคารหรือสถาบันการเงิน ซึ่งเมื่อผู้กู้ยื่นขอสินเชื่อต่อธนาคาร/สถาบันการเงินใด ๆ ธนาคาร/สถาบันการเงินนั้นจะนำข้อมูลจากเครดิตบูโรมาตรวจสอบคุณสมบัติต่าง ๆ ของผู้กู้ อาทิ พฤติกรรมการใช้เงินและวินัยในการผ่อนชำระหนี้ การผิดนัดชำระหนี้ ฯลฯ เพื่อประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ

อย่างไรก็ดี การยื่นขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้าน/คอนโดฯ ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีราคาสูงและระยะเวลาผ่อนชำระยาวนาน ธนาคาร/สถาบันการเงินจึงมีเกณฑ์พิจารณาจากหลายปัจจัยประกอบกันและให้เป็นคะแนน (หรือเรียกว่าเป็นเครดิตสกอร์) หากผู้ขอยื่นกู้มีประวัติการชำระหนี้ที่ดีอย่างต่อเนื่อง คะแนนส่วนนี้สูงก็มีแนวโน้มที่จะได้รับการอนุมัติสูง แต่ถ้าหากผู้กู้มีประวัติการชำระหนี้ไม่ดี ผ่อนชำระหนี้ไม่ตรงตามกำหนด หรือมียอดค้างชำระหนี้เป็นจำนวนมาก ทำให้คะแนนส่วนนี้ต่ำกว่าเกณฑ์จะส่งผลให้ธนาคาร/สถาบันการเงินมีแนวโน้มที่จะไม่อนุมัติสินเชื่อได้ ดังนั้น “การติดแบล็คลิสต์” จึงเป็นเพียงคำนิยามของผู้ที่มีประวัติในการผ่อนชำระหนี้ที่ไม่ดีหรือไม่เป็นไปตามข้อตกลงเท่านั้น

“มีบ้านเมื่อ (เงิน) พร้อม” เจอประวัติหนี้เสีย เคลียร์อย่างไรก่อนกู้ซื้อบ้าน
ประวัติธุรกรรมทางการเงินที่ดีถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการอนุมัติสินเชื่อซึ่งคนอยากมีบ้านไม่ควรมองข้าม ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่ส่งผลให้รายได้ผู้บริโภคผันผวนตามไปด้วย การซื้อบ้าน/คอนโดฯ ที่ถือเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างครอบครัวก็อาจสะดุดลงได้ หากผู้บริโภคยังมีหนี้สินมากเกินไป ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย แนะนำแนวทางเตรียมความพร้อมทางการเงินเพื่อซ่อมประวัติหนี้เสียบนเครดิตบูโร อุ่นเครื่องวินัยทางการเงินก่อนยื่นกู้ซื้อบ้าน ปูทางไปสู่การมีบ้านเมื่อพร้อม

    1. รู้เขารู้เรา เข้าใจสถานะเครดิตบูโร ผู้บริโภคควรตรวจสถานะเครดิตบูโรของตนก่อนจะยื่นขอกู้ซื้อบ้าน/คอนโดฯ เพื่อให้ทราบประวัติทางการเงินที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไร รวมทั้งได้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลด้วย หากมีประวัติเครดิตบูโรที่ดีจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการยื่นขอสินเชื่อมากขึ้น หรือกรณีที่มีประวัติการเงินที่ไม่ค่อยสวยงาม ผู้บริโภคจะได้สามารถวางแผนแก้ไขได้ทันท่วงที ปกติแล้วรายงานข้อมูลเครดิตจะเก็บข้อมูลเครดิตที่ได้จากธนาคาร/สถาบันการเงินย้อนหลังเป็นเวลาไม่เกิน 36 เดือนหรือ 3 ปี โดยระบุสถานะบัญชีด้วยตัวเลขที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
        • 10 คือ สถานะปกติ เจ้าของบัญชีมีการชำระสินเชื่อตามจำนวนยอดเงินปกติ ตรงตามเงื่อนไข และไม่มียอดค้างชำระ
        • 11 คือ สถานะปิดบัญชี เจ้าของบัญชีได้ทำการชำระหนี้ตามยอดค้างหมดแล้ว
        • 12 คือ สถานะในการพักชำระหนี้ เจ้าของบัญชีได้ทำการขอพักชำระหนี้ที่เคยมียอดค้างชำระหนี้ตามนโยบายของรัฐ
        • 20 คือ สถานะในการค้างชำระหนี้ในระบบเกิน 90 วัน ซึ่งสถานะนี้ส่งผลเสียต่อเจ้าของบัญชี เนื่องจากมียอดค้างชำระหนี้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

    2. เติมเต็มวินัยจัดการหนี้อย่างเป็นระบบ หากผู้บริโภคมีสถานะบัญชีเครดิตบูโรปกติ ขั้นตอนถัดมาคือควรวางแผนจัดการการเงินปัจจุบันให้เป็นระบบ โดยสรุปรายการภาระหนี้ทั้งหมดว่าเหลือจำนวนเท่าไร ใช้ระยะเวลาผ่อนชำระอีกนานเท่าใด ในระหว่างนี้มีเงินเหลือเพื่อเก็บออมไว้ใช้ในยามฉุกเฉินหรือไม่ และประเมินว่าหากมีภาระในการผ่อนหนี้บ้านเพิ่มขึ้นมา สภาพคล่องทางการเงินจะอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้หรือไม่ ส่วนในกรณีที่มีประวัติผิดนัดชำระหนี้ ผู้บริโภคควรสรุปรายรับและรายจ่ายที่มีก่อนเพื่อวางแผนการเงินใหม่ และประเมินความสามารถในการชำระหนี้คงค้างตามกำลังที่ตนไหว จากนั้นจึงขอเจรจากับธนาคาร/สถาบันการเงินเจ้าหนี้เพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้ หรือขอพักชำระหนี้ หรือขอชำระหนี้ตามจำนวนขั้นต่ำ เพื่อให้สามารถปิดบัญชีหนี้คงค้างทั้งหมดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และหยุดการสร้างหนี้ใหม่สักระยะควบคู่ไปกับเริ่มออมเงิน โดยคำนวณว่าหากต้องผ่อนชำระหนี้บ้านต่อเดือนเท่านี้จะกระทบกับแผนการใช้จ่ายเพียงใด และทดลองเก็บเงินค่าผ่อนบ้านสำรองไว้ประมาณ 3-6 เดือน เพื่อเป็นการซ้อมและเช็กความพร้อมก่อนเป็นหนี้จริง
แนวทางเตรียมความพร้อมทางการเงินเพื่อซ่อมประวัติหนี้เสียบนเครดิตบูโร
    1. เช็กสุขภาพการเงิน สร้างประวัติดีก่อนกู้ เมื่อผู้บริโภคเคลียร์ปัญหาหนี้คงค้างให้กลับมามีสถานะบัญชีปกติแล้ว หากต้องการยื่นกู้เพื่อขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย ควรเริ่มสร้างเครดิตใหม่ เช่น ขอสินเชื่อบัตรเครดิตที่จำเป็นต้องใช้และชำระเต็มวงเงินหรือตามข้อตกลงอย่างสม่ำเสมอ ไม่ขาดชำระ เพื่อสร้างเครดิตประวัติดีขึ้นมาทดแทน หรือขอยื่นกู้ซื้อที่อยู่อาศัยร่วมกับคนในครอบครัวที่มีประวัติเครดิตบูโรที่ดี เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อ นอกจากนี้ ผู้บริโภคควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมก่อนกู้ซื้อบ้าน/คอนโดฯ ว่า ฐานเงินเดือนที่มีนั้นสามารถขอวงเงินกู้สูงสุดได้เท่าไร เป็นการวางกรอบในการเลือกซื้ออสังหาฯ ในราคาที่ไม่สร้างภาระจนเกินกำลัง พร้อมเปรียบเทียบแคมเปญสินเชื่อที่มีดอกเบี้ยและเงื่อนไขที่เหมาะสม และเตรียมเอกสารต่าง ๆ ให้พร้อมก่อนทำการยื่นกู้ แม้เครดิตบูโรจะเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ แต่การมีประวัติการเงินที่ดีก็ถือเป็นแต้มต่อสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ได้รับการอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยนั้น ธนาคาร/สถาบันการเงินมีเกณฑ์ในการพิจารณาจากหลายองค์ประกอบและมีนโยบายที่แตกต่างกันออกไป ข้อมูลเครดิตบูโรจึงเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาเท่านั้น ไม่มีบทบาทกับการอนุมัติโดยตรงอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด และในกรณีที่กู้ไม่ผ่าน ผู้ยื่นกู้จะได้รับหนังสือชี้แจงเหตุผลที่ไม่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อจากธนาคาร/สถาบันการเงิน ซึ่งจะเป็นแนวทางให้ผู้กู้สามารถนำมาใช้ปรับปรุงข้อมูลเพื่อแสดงศักยภาพในการผ่อนชำระ ก่อนจะขอยื่นกู้ใหม่อีกครั้งในอนาคตได้ เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทยอย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (https://www.ddproperty.com) ได้รวบรวม “เครื่องคำนวณดอกเบี้ย & สินเชื่อ” เพื่อให้ผู้บริโภคที่อยากเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ลองคำนวณข้อมูลทางการเงินที่สำคัญ ช่วยตรวจสอบความพร้อมก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน/คอนโดฯ พร้อมอัปเดตข้อมูลข่าวสาร/ความรู้ในแวดวงอสังหาฯ ที่คนอยากมีบ้านต้องรู้และไม่ควรพลาด ช่วยเตรียมความพร้อมให้ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของบ้านหลังใหม่ได้อย่างมั่นใจ 

วัดชีพจรอสังหาฯ อาเซียน คนพร้อมมีบ้านมากแค่ไหนในยุคโควิด

วัดชีพจรอสังหาฯ อาเซียน คนพร้อมมีบ้านมากแค่ไหนในยุคโควิด

วัดชีพจรอสังหาฯ อาเซียน คนพร้อมมีบ้านมากแค่ไหนในยุคโควิด

แม้ผู้บริโภคจะเรียนรู้ที่จะปรับตัวเพื่อใช้ชีวิตในยุคโควิด-19 แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลจากการแพร่ระบาดฯ ที่ยาวนานส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ กระทบต่อภาคธุรกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคอย่างหนักหน่วง ข้อมูลจากรายงาน “Southeast Asia Rising from the Pandemic” ของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) เผยว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ในปี 2564 ประชากรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 4.7 ล้านคนอยู่ในระดับความยากจนขั้นรุนแรง นอกจากนี้ยังคาดว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนในปี 2565 จะส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ลดลง 0.8% เช่นกัน สะท้อนให้เห็นว่าปีนี้ยังคงต้องจับตามองสภาพคล่องและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอย่างใกล้ชิดต่อไป

ตลาดอสังหาริมทรัพย์นั้นได้รับผลกระทบโดยตรงในช่วงแรก ทำให้ผู้ประกอบการต่างงัดกลยุทธ์มาใช้เพื่อช่วยขับเคลื่อนการเติบโตในตลาดและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคที่ต้องการมีบ้านอย่างต่อ​เนื่อง ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัยในไทย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study และแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคในอาเซียนรอบล่าสุด (ประกอบด้วยประเทศสิงคโปร์, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และเวียดนาม) จากเว็บไซต์ในเครือ PropertyGuru Group (พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป) พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นด้านอสังหาริมทรัพย์โดยรวมของทั้งภูมิภาคมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคสามารถปรับตัวให้พร้อมอยู่ร่วมกับโควิด-19 เพื่อดำเนินชีวิตต่อไปให้เหมือนปกติได้และมีความมั่นใจในการซื้อที่อยู่อาศัย​อีกครั้ง โดยคะแนนดัชนีความเชื่อมั่นของชาวอินโดนีเซียอยู่ที่ 57% ซึ่งสูงที่สุดในอาเซียน ตามมาด้วยของชาวสิงคโปร์อยู่ที่ 51% ชาวเวียดนามอยู่ที่ 47% ด้านชาวมาเลเซียอยู่ที่ 46% ขณะที่ชาวไทยอยู่ที่ 45% ซึ่งต่ำกว่าทุกประเทศในตลาดอาเซียน 

ขณะเดียวกันอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นทรัพย์สินที่มีความผันผวนต่ำเมื่อเทียบกับการลงทุนแบบอื่น แม้ผู้บริโภคไม่ได้อยู่อาศัยเองแต่มองถึงโอกาสต่อยอดลงทุนในระยะยาว จึงเป็นอีกปัจจัยที่ส่งเสริมให้ดัชนีความเชื่อมั่นที่อยู่อาศัยรอบล่าสุดนี้เติบโตเช่นกัน เห็นได้ชัดจากการที่ 3 ใน 4 ของผู้บริโภคในประเทศมาเลเซีย (77%), อินโดนีเซีย (77%), เวียดนาม (77%) และไทย (78%) เผยว่า ตั้งใจจะซื้อบ้านใหม่เพิ่มโดยที่ยังเก็บบ้านเดิมเอาไว้ ขณะที่สิงคโปร์มีเพียงแค่ 46% เนื่องจากมากกว่าครึ่งวางแผนจะขายบ้านเดิมก่อนที่จะซื้อบ้านใหม่ โดยเหตุผลสำคัญในการซื้อบ้านเพิ่มนั้นผู้บริโภคชาวมาเลเซีย (53%) ชาวอินโดนีเซีย (66%) และชาวสิงคโปร์ (63%) มองที่การลงทุนเป็นหลัก ด้านชาวเวียดนามส่วนใหญ่ต้องการซื้อให้บุตรหลาน (54%) ขณะที่เหตุผลชาวไทยซื้อบ้านใหม่เพื่อตั้งใจเก็บไว้อยู่ตอนเกษียณ (31%)

เมื่อโควิดตั้งอยู่และยังไม่ดับไป ส่งผลกระทบอย่างไรต่อคนหาบ้านอาเซียน

ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัยล่าสุดใน 5 ตลาดหลักของอาเซียน เผยให้เห็นมุมมองและความต้องการที่อยู่อาศัยที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคหลังเผชิญการแพร่ระบาดฯ มาอย่างยาวนาน ตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยจึงไม่ใช่แค่ราคาอีกต่อไป แต่คนหาบ้านยังมองเรื่องสุขภาพและความสะดวกในการใช้ชีวิตเป็นหลักด้วย 

    • หลังจากปรับตัวอยู่ร่วมกับการแพร่ระบาดฯ ที่ยาวนาน ชาวสิงคโปร์ส่วนใหญ่เผยว่าเทรนด์ที่อยู่อาศัยที่ต้องการในอนาคตแม้จะไม่มีการแพร่ระบาดฯ แล้วคือ การมีบ้าน/คอนโดฯ ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น (42%) เนื่องจากต้องการพื้นที่ใช้สอยที่รองรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่บ้านของสมาชิกในครอบครัว และมากกว่าครึ่งของชาวสิงคโปร์ (55%) คาดว่าราคาอสังหาฯ จะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นหลังวิกฤติโควิด-19 สิ้นสุดลง ซึ่งเกือบ 3 ใน 4 (73%) ของชาวสิงคโปร์เผยว่าโครงการที่เดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะเป็นคุณสมบัติที่อยู่อาศัยที่สำคัญและจำเป็นต้องมีทั้งในปัจจุบันและยุคหลังโควิด-19 อย่างไรก็ดี ชาวสิงคโปร์นั้นมีมุมมองด้านความต้องการดูแลสุขภาพในอนาคตที่แตกต่างจากประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน โดยส่วนใหญ่ (43%) มองว่าโครงการที่อยู่อาศัยที่ใกล้กับสถานพยาบาล/ศูนย์ดูแลสุขภาพไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัย เนื่องจากทุกพื้นที่ในประเทศสามารถเข้าถึงบริการดังกล่าวได้อย่างเท่าเทียมกันอยู่แล้ว 
    • ขณะที่เทรนด์ที่อยู่อาศัยที่ชาวมาเลเซียมองว่าตอบโจทย์การใช้ชีวิตในอนาคตมากที่สุดคือ บ้าน/คอนโดฯ ที่ใกล้ชิดธรรมชาติมากถึง 53% สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการใช้ชีวิตท่ามกลางพื้นที่สีเขียวทดแทนที่ไม่ได้ไปแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติในยุคโควิด ขณะที่ 2 ใน 3 ของชาวมาเลเซีย (67%) เผยว่า ที่อยู่อาศัยที่ตั้งอยู่ใกล้โรงพยาบาลเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดเมื่อวางแผนซื้อบ้านเพื่อรองรับการดูแลสุขภาพในอนาคต นอกจากนี้ 69% เผยว่าบ้าน/คอนโดฯ ที่ตั้งอยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครันถือเป็นคุณสมบัติหลักที่ที่อยู่อาศัยต้องมีทั้งในปัจจุบันและเมื่อการแพร่ระบาดฯ สิ้นสุด โดยมากกว่าครึ่งของชาวมาเลเซีย (57%) คาดหวังว่าหากการแพร่ระบาดฯ จบลง ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะหันมาแข่งจัดโปรโมชั่นที่คุ้มค่าเพื่อเร่งระบายสินค้าคงค้างในตลาด ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ที่ต้องการมีบ้าน/คอนโดฯ เนื่องจากชาวมาเลเซียส่วนใหญ่ (47%) มองว่าอุปสรรคสำคัญที่สุดในการยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยในตอนนี้มาจากหน้าที่การงานและรายได้ที่ไม่มั่นคง
    • ด้านเทรนด์ความต้องการที่อยู่อาศัยของชาวอินโดนีเซียนั้น เกือบครึ่ง (47%) ต้องการอาศัยในทำเลที่ไม่แออัดหรือย่านชานเมือง เนื่องจากยังมีความกังวลเรื่องสุขอนามัยและการรักษาระยะห่างทางสังคม ครึ่งหนึ่งของชาวอินโดนีเซีย (50%) คาดว่าเมื่อการแพร่ระบาดฯ สิ้นสุดลงจะส่งผลให้ราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้นตามกลไกของตลาดที่ฟื้นตัว สำหรับคุณสมบัติสำคัญอันดับต้น ๆ ที่บ้าน/คอนโดฯ ยุคโควิดต้องมีในมุมมองของชาวอินโดนีเซียนั้นจะให้ความสำคัญใน 2 ปัจจัยเท่ากัน คือ โครงการที่ใกล้ชิดธรรมชาติ (60%) และอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ (60%) อย่างไรก็ดี ปัจจัยหลักที่ชาวอินโดนีเซียใช้พิจารณาเมื่อยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยมาจากอัตราการผ่อนชำระถึง 78% เนื่องจากหลังเผชิญวิกฤติ​การแพร่ระบาดฯ ที่ยาวนาน ส่งผลกระทบต่ออาชีพและรายได้ที่ไม่แน่นอนซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดเมื่อขอสินเชื่อบ้าน (57%)
    • 3 ใน 5 ของชาวเวียดนาม (61%) เผยว่าเทรนด์ที่อยู่อาศัยที่มองหาในอนาคตคือ มีบ้าน/คอนโดฯ ที่ใกล้ชิดธรรมชาติ/มีพื้นที่ทำสวน สอดคล้องกับแผนดูแลสุขภาพที่ชาวเวียดนามส่วนใหญ่ (48%) มองว่าที่อยู่อาศัยในอนาคตต้องตั้งอยู่ใกล้โรงพยาบาล เพื่อรองรับการดูแลสุขภาพยามเจ็บป่วย สะท้อนให้เห็นถึงการเตรียมพร้อม​เพื่อสร้างสุขภาพ​ที่ดีทั้งจากภายนอกและภายใน นอกจากนี้ ชาวเวียดนามให้ความสำคัญกับสมาชิกในครอบครัวมาเป็นอันดับต้น ๆ โดยคุณสมบัติสำคัญของที่อยู่อาศัยในฝันอันดับแรกคือ ต้องมีสนามเด็กเล่นหรือแหล่งเรียนรู้รองรับการใช้ชีวิตของบุตรหลาน (58%) นอกจากนี้ชาวเวียดนาม 48% คาดว่าผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะเปิดตัวโปรโมชั่นมากขึ้นเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยที่คงค้างในยุคหลังโควิด อย่างไรก็ตาม เกือบ 4 ใน 5 (79%) มองว่า ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ควรกังวลและให้ความสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์อุปทานล้นตลาดด้วย หลังจากมีบทเรียนจากภาคอสังหาฯ ในจีนที่เผชิญวิกฤตขาดสภาพคล่อง 
    • ชาวไทยให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยเกือบ 9 ใน 10 (88%) วางแผนเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยที่อยู่ใกล้โรงพยาบาล ซึ่งถือว่าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน โดย 66% มองว่าคุณสมบัติสำคัญที่บ้าน/คอนโด​ฯ ยุคใหม่จำเป็นต้องมีคือ การออกแบบให้อากาศถ่ายเทสะดวกและมีแสงธรรมชาติเพียงพอ นอกจากนี้ มากกว่า 3 ใน 4 ของชาวไทย (77%) เผยว่าอัตราดอกเบี้ยเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่พิจารณาเมื่อต้องยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดย 59% เผยว่าความไม่มั่นคงของหน้าที่การงานและความผันผวนของรายได้ถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 และเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่อง ขณะที่ชาวไทยถึง 95% มองว่า ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ควรกังวลกับภาวะอุปทานล้นตลาดในปัจจุบัน เพื่อป้องกันวิกฤติฟองสบู่ในตลาดอสังหาฯ เนื่องจากกำลังซื้อผู้บริโภคจะยังไม่ฟื้นตัวในเร็ว ๆ นี้ รวมทั้งมาตรการพิจารณาสินเชื่อของธนาคารที่มีความเข้มงวดขึ้น อาจทำให้ดีมานด์การซื้อไม่เพียงพอจะดูดซับอุปทานคงค้างได้ทันท่วงที อย่างไรก็ดี มีเพียงผู้บริโภค​กลุ่มมิลเลนเนียลชาวไทยเท่านั้นที่เผยว่ายังไม่มีแผนย้ายออกจากบ้านพ่อแม่ภายใน 1 ปีข้างหน้า (54%) เนื่องจากต้องการอยู่ดู​แลพ่อแม่ และยังไม่มีเงินเก็บมากพอที่จะซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัย​ของตัวเอง ต่างจากกลุ่มมิลเลนเนียลชาวอินโดนีเซีย, ชาวสิงคโปร์​ และชาวเวียดนามที่มากกว่าครึ่งเผยว่าตั้งใจจะย้ายออกภายในปีหน้า (85%, 76% และ 51% ตามลำดับ) ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตในตลาดอสังหาฯ

สามารถอ่านข้อมูลจากแบบสอบถามฉบับเต็มของแต่ละประเทศได้ที่ 

ส่องเทรนด์สังคมอุดมผู้สูงวัย ที่อยู่อาศัยแบบไหนโดนใจวัยเกษียณ

ส่องเทรนด์สังคมอุดมผู้สูงวัย ที่อยู่อาศัยแบบไหนโดนใจวัยเกษียณ

ส่องเทรนด์สังคมอุดมผู้สูงวัย ที่อยู่อาศัยแบบไหนโดนใจวัยเกษียณ

รายงานจากมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทยเผยว่า ปี 2565 ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Complete Aged Society) ที่ใช้เวลาเพียง 17 ปีนับจากปี 2548 ในการเปลี่ยนผ่านเป็นสังคมสูงอายุ สวนทางกับอัตราเด็กเกิดใหม่ที่ต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด สำนักงานสถิติแห่งชาติแสดงข้อมูลจำนวนการเกิดประจำปี 2564 พบว่า มีประชากรเกิดทั้งหมด 544,570 คน ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่มีการเก็บสถิติ และเป็นปีแรกที่ประเทศไทยมีการเกิดน้อยกว่าการตาย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 รวมไปถึงการที่คนไทยครองตัวเป็นโสดมากขึ้นหรือชะลอการมีบุตรจึงส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลของจำนวนประชากร 

วางแผนพักผ่อนในอนาคต เกษียณแล้วไปไหนดี?

จากแนวโน้มข้างต้นส่งผลให้ผู้บริโภคทั้งที่ครองตัวเป็นโสดหรือไม่มีบุตรหลาน เริ่มหันมาตระหนักถึงการวางแผนช่วงบั้นปลายชีวิตมากขึ้น ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด เผยให้เห็นว่า ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการวางแผนซื้อที่อยู่อาศัยรองรับชีวิตหลังเกษียณมากขึ้น โดยเชียงใหม่ถือเป็นเมืองยอดนิยมอันดับหนึ่งที่ผู้บริโภคต้องการไปใช้ชีวิตหลังเกษียณ (24%) ตามมาด้วยเชียงราย และชลบุรี (10% และ 8% ตามลำดับ) โดยมากกว่าครึ่ง (52%) เผยว่าปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดให้สนใจไปอยู่ทำเลดังกล่าวมาจากการได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติหรือพื้นที่สีเขียว ตามมาด้วยตั้งอยู่ใกล้สถานพยาบาลเพื่อความสะดวกหากต้องไปพบแพทย์ (49%) และอยู่ใกล้ระบบขนส่งมวลชนที่ช่วยให้เดินทางไปที่ต่าง ๆ สะดวกขึ้น (44%)

อย่างไรก็ตาม แม้ผู้บริโภคจะมีความสนใจโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อวัยเกษียณ (Retirement Village) แต่พบว่าอุปสรรคสำคัญในการย้ายออกมาจากเหตุผลด้านการเงินและความผูกพันในครอบครัว โดย 45% ของผู้บริโภคทุกช่วงวัยมองว่าโครงการหมู่บ้านวัยเกษียณมีราคาสูงเกินความสามารถที่จะจ่ายไหว ตามมาด้วยความต้องการอยู่ใกล้ชิดกับครอบครัวและบุตรหลาน (44%) ต้องการอยู่ที่บ้านหลังปัจจุบันมากกว่า (41%) กังวลในเรื่องของความปลอดภัยและสุขภาพ (34%) และมองว่าโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อวัยเกษียณไม่จำเป็น (19%)

5 เหตุผลที่ทำให้คนไม่สนใจบ้านสำหรับวัยเกษียณ

ในขณะที่กลุ่มผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) นั้นก็มีอุปสรรคในการย้ายไปอยู่อสังหาริมทรัพย์สำหรับวัยเกษียณเหมือนกับผู้บริโภคในช่วงวัยอื่น แต่ให้น้ำหนักของความสำคัญ 3 อันดับแรกต่างออกไป โดยมากกว่าครึ่ง (52%) เลือกอยู่บ้านเดิมของตน และต้องการอยู่กับครอบครัว (51%) ตามมาด้วยมองว่ามีราคาแพงเกินไป (43%) สะท้อนให้เห็นว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่นั้นมีความคุ้นเคยและชื่นชอบการใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมเดิมกับครอบครัวมากกว่าการย้ายออกไปอยู่โครงการที่อยู่อาศัยวัยเกษียณที่ต้องปรับตัวใหม่ แม้จะได้พบหรือมีสังคมรุ่นเดียวกันก็ตาม

จับตาความต้องการบ้านผู้สูงวัย เปลี่ยนไปแค่ไหนเมื่อเจอโควิด

    • บ้านที่ดีต้องส่งเสริมสุขภาพ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการจุดประกายให้ผู้บริโภคทุกช่วงวัยเห็นถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุซึ่งถือเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อแล้วป่วยหนัก โดย 3 ใน 4 ของผู้บริโภคอายุ 60 ปีขึ้นไป (75%) เผยว่า โควิด-19 ทำให้หันมาตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างสุขภาพที่ดีมากขึ้น ไม่เพียงแต่มีผลต่อแนวคิดการดำเนินชีวิตเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านความต้องการที่อยู่อาศัยเช่นกัน โดยผู้สูงอายุส่วนใหญ่ 74% เผยว่ายินดีที่จะจ่ายเพิ่มหากโครงการอสังหาริมทรัพย์มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ในขณะที่ 2 ใน 3 ของผู้สูงอายุ (69%) มองว่าระบบระบายอากาศและแสงธรรมชาติที่เพียงพอถือเป็นคุณสมบัติที่สำคัญและมีความจำเป็นสำหรับที่อยู่อาศัย แม้ว่าการแพร่ระบาดฯ จะจบลงก็ตาม เห็นได้ชัดว่าผู้สูงอายุมีความตื่นตัวและให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น ซึ่งเชื่อมโยงกับการเลือกบ้านที่เสริมสร้างความสบายใจในการดูแลสุขภาพ เนื่องจากถือเป็นช่วงวัยที่ได้ใช้เวลาอยู่ที่บ้านมากขึ้นนั่นเอง
    • วัยเก๋าก้าวทันโลก PropTech การแพร่ระบาดฯ ที่ยาวนานถือเป็นอุปสรรคสำคัญเมื่อต้องเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ และกลายเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้ผู้สูงอายุหันมาเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ มาอำนวยความสะดวกในการเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ให้ราบรื่นยิ่งขึ้น ข้อมูลจากแบบสอบถามฯ เผยว่า เกือบครึ่งของผู้บริโภคที่อายุ 60 ปีขึ้นไป (48%) นิยมคัดเลือกโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สนใจผ่านช่องทางออนไลน์ นอกจากนี้ 44% ยังเข้าร่วมงานแสดงที่อยู่อาศัยออนไลน์ รวมไปถึงมีการเยี่ยมชมโครงการเสมือนจริง (Virtual Tour) ถึง 39% สะท้อนให้เห็นว่า ผู้สูงอายุปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์ (PropTech) ได้มากกว่าแค่ใช้เพื่อค้นหาข้อมูลทั่วไป แต่ยังสามารถเลือกใช้ฟีเจอร์ที่เหมาะสมกับความต้องการเพื่อสนับสนุนการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้กลายเป็นคนหาบ้านยุคดิจิทัล ทลายกำแพงผู้สูงวัยที่มีต่อการเรียนรู้เทคโนโลยีและโลกออนไลน์ได้เป็นอย่างดี 
    • ขนาดที่อยู่อาศัยดึงดูดใจเมื่อคิดซื้อบ้าน ปัจจัยภายในโครงการที่มีความสำคัญอันดับต้น ๆ เมื่อผู้สูงอายุตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยมาจากขนาดที่อยู่อาศัยเป็นหลักถึง 55% เนื่องจากมองว่าพื้นที่ใช้สอยในบริเวณบ้านควรมีเพียงพอรองรับการทำกิจกรรมที่หลากหลายของคนในครอบครัวที่มีหลายช่วงวัย ตามมาด้วยการพิจารณาจากสิ่งอำนวยความสะดวกภายในที่อยู่อาศัย และมาตรการ/โครงการที่จะช่วยให้มีบ้านเป็นของตัวเองง่ายขึ้นในสัดส่วนที่ไล่เลี่ยกัน (48% และ 47% ตามลำดับ) สาเหตุมาจากการที่ผู้สูงอายุมองว่าการซื้อบ้านในช่วงที่อายุมากขึ้น อาจเป็นอุปสรรคเมื่อยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยหรือได้ระยะเวลาผ่อนชำระที่น้อยลง หากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐก็จะช่วยให้ผู้สูงอายุที่มีความพร้อมด้านการเงินสามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น 

นอกจากนี้ 3 อันดับแรกของปัจจัยภายนอกโครงการที่ผู้สูงอายุใช้พิจารณาเมื่อเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยจะเน้นไปที่การเพิ่มความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตปัจจุบันเป็นหลัก โดยมากกว่าครึ่ง (56%) ต้องการโครงการที่เดินทางสะดวกและเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ ตามมาด้วยพิจารณาจากทำเลที่ตั้ง (52%) และความปลอดภัยของทำเล (44%) เพื่อรองรับการใช้ชีวิตและทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างสบายใจไร้กังวลแม้อยู่เพียงลำพัง

พักผ่อนวิถีใหม่ “บ้านพักคนชรา VS บ้าน/คอนโดผู้สูงอายุ” แบบไหนคือคำตอบ

ผู้บริโภคในแต่ละช่วงวัยต่างมีความต้องการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันออกไปรวมไปถึงผู้สูงอายุเช่นกัน ผู้สูงอายุบางส่วนอาจต้องการความเป็นส่วนตัว อยากทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนวัยเดียวกัน หรือมองหาที่อยู่อาศัยที่มีบริการด้านสุขภาพมาทดแทนในกลุ่มผู้สูงอายุที่ครองตัวเป็นโสดหรือบุตรหลานไม่มีเวลามาดูแลมากพอ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย แนะนำแนวทางเลือกที่อยู่อาศัยรองรับวัยเกษียณ เพื่อให้ผู้บริโภคได้วางแผนเลือกบ้านหลังสุดท้ายให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตเมื่อถึงวัยพักผ่อนจากการทำงาน

    • บ้านพักคนชรา เป็นโครงการที่อยู่อาศัยที่มีเจ้าหน้าที่และพยาบาลวิชาชีพคอยดูแลตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งมีอุปกรณ์รักษาพยาบาลตามระดับความต้องการของผู้สูงอายุ ซึ่งจำแนกตามความต้องการพึ่งพิงบุคคลอื่นที่แตกต่างกันออกไป จึงเหมาะกับผู้สูงอายุที่ต้องการการดูแลมากเป็นพิเศษ หรือไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ บ้านพักคนชราจะมีบริการอาหารครบ 3 มื้อ และกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้อยู่อาศัย ห้องพักพื้นฐานในแต่ละโครงการจะมีให้เลือกทั้งแบบห้องพักรวม ห้องพักเดี่ยวที่เสียค่าใช้จ่ายเมื่อเข้าพักเป็นรายเดือน หรือบ้านพักแบบพิเศษที่มีลักษณะเป็นบ้านเดี่ยว ซึ่งต้องจ่ายค่าแรกเข้าเพื่อบำรุง/ปรับปรุงที่พักเป็นเงินก้อนและจ่ายค่าเข้าพักรายเดือนเช่นกัน บ้านพักคนชราจึงเหมาะกับผู้สูงอายุที่มีเงินเดือนหรือรายได้ต่อเดือนสม่ำเสมอ หรือมีเงินบำนาญ ปัจจุบันบ้านพักคนชรามีหลายรูปแบบและหลายระดับราคาให้เลือกเริ่มต้นจากหลักพัน โดยคิดราคาจากความต้องการของผู้สูงอายุและความยากง่ายในการดูแล อย่างไรก็ดี จากแนวโน้มผู้สูงอายุในประเทศไทยที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้บ้านพักคนชราบางรูปแบบที่มีราคาไม่แพงมีจำนวนไม่เพียงพอกับความต้องการ ผู้ที่สนใจจึงควรตรวจสอบคุณสมบัติให้พร้อมก่อนวางแผนจองคิวบ้านพักคนชราที่สนใจไว้ล่วงหน้า
    • บ้าน/คอนโดผู้สูงอายุ เป็นโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุยุคใหม่ที่สามารถดูแลตัวเองได้ มีสุขภาพแข็งแรง และยังต้องการเข้าสังคมเพื่อพบปะเพื่อนฝูง โดยบ้าน/คอนโดผู้สูงอายุจะออกแบบที่พักอาศัยโดยคำนึงถึงความสะดวกและความปลอดภัยในการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุเป็นหลัก มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลและให้บริการตลอด 24 ชม. มีพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเหมือนโครงการที่อยู่อาศัยทั่วไป พร้อมทั้งมีกิจกรรมไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ ให้ได้ทำร่วมกับเพื่อนวัยเดียวกัน รูปแบบการซื้อขายมีทั้งแบบขายสิทธิอยู่อาศัย 30 ปี ขายสิทธิการอยู่อาศัยตลอดชีวิต หรือขายขาด ราคาที่พักแต่ละโครงการเริ่มต้นตั้งแต่หลักแสนไปจนถึงหลักล้าน เหมาะกับผู้สูงอายุที่มีเงินเก็บก้อนใหญ่ มีการวางแผนการเงินอย่างเป็นระบบ โดยผู้สูงอายุต้องเตรียมเงินให้พร้อมก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ และต้องมีเงินเก็บสำรองสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอีกด้วย เนื่องจากต้องรับผิดชอบค่าอาหาร ค่าทำความสะอาด ค่ากิจกรรมต่าง ๆ และค่ารักษาพยาบาลเอง แม้บ้าน/คอนโดผู้สูงอายุจะมีราคาค่อนข้างสูงแต่ก็มาพร้อมกับความสะดวกสบายที่ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตตามวิถี Young at heart ได้อย่างเป็นอิสระและปลอดภัย 

โครงการที่อยู่อาศัยสำหรับวัยเกษียณถือเป็นเทรนด์ที่น่าจับตามองท่ามกลางการเติบโตของสังคมผู้สูงอายุในไทย แม้ดูเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับผู้สูงอายุที่วางแผนจะอยู่อาศัยที่บ้านเดิมกับครอบครัว อย่างไรก็ตาม การปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้รองรับการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากผู้สูงอายุไม่สามารถทำกิจกรรมทั่วไปได้คล่องแคล่วเหมือนวัยหนุ่มสาว จึงควรออกแบบและเลือกใช้อุปกรณ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตในบ้านได้อย่างปลอดภัย ลดการเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทยอย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (https://www.ddproperty.com) นำเสนอบทความและข่าวสารความรู้ที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ซื้อ ผู้ขาย รวมถึงคนหาบ้าน เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลประกาศซื้อ/ขาย/เช่าโครงการที่น่าสนใจมากมาย พร้อมช่วยให้ผู้บริโภคสามารถศึกษาและค้นหาบ้านพักที่ตอบโจทย์วัยเกษียณ หรือนำความรู้มาปรับแต่งบ้านให้พร้อมรองรับการใช้ชีวิตของสมาชิกครอบครัวทุกช่วงวัยได้มากที่สุด

ตื่นตัวไม่ตื่นตูม “เงินเฟ้อไม่แผ่ว-โรคระบาด-ผลกระทบความไม่สงบ” อยากมีบ้านช่วงนี้ดีหรือไม่?

ตื่นตัวไม่ตื่นตูม “เงินเฟ้อไม่แผ่ว-โรคระบาด-ผลกระทบความไม่สงบ”

ตื่นตัวไม่ตื่นตูม “เงินเฟ้อไม่แผ่ว-โรคระบาด-ผลกระทบความไม่สงบ” อยากมีบ้านช่วงนี้ดีหรือไม่?

ปี 2565 เป็นอีกปีที่หลายภาคส่วนต้องเผชิญความท้าทายหลายรูปแบบทั้งภายในและภายนอกประเทศ ที่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ยังคงเปราะบางต่อเนื่องนับจากวิกฤติโควิด-19 มาอย่างยาวนาน ไม่เพียงแต่ภาคธุรกิจเท่านั้น แต่ผู้บริโภคต่างได้รับผลกระทบถ้วนหน้าทั้งทางตรงและทางอ้อม แล้วยังมีผลกระทบจากสงครามในยูเครนที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นจนกระทบต่อต้นทุนการผลิตและขนส่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคก็ปรับตัวตามต้นทุนที่สูงขึ้น ผนวกกับสถานการณ์เงินเฟ้อโลกที่จะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ภาวะเงินเฟ้อในไทยสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือนกุมภาพันธ์ 2565 เท่ากับ 104.10 สูงขึ้น 5.28% เทียบเดือนกุมภาพันธ์ 2564 และสูงขึ้น 1.06% จากเดือนมกราคม 2565 โดยถือเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 13 ปี นับจากปี 2551 เลยทีเดียว

ภาวะเงินเฟ้อกระทบต่อตลาดที่อยู่อาศัยอย่างไร

ภาวะเงินเฟ้อกระทบต่อตลาดที่อยู่อาศัยอย่างไร 

ด้านตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่แปรผันตามสภาพเศรษฐกิจนั้น แม้จะมีการรุกตลาดอย่างต่อเนื่องของผู้พัฒนาอสังหาฯ ตั้งแต่ต้นปีเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ แต่ภาวะเงินเฟ้อเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ต่อการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ปีนี้ เนื่องจากมีผลกระทบเกี่ยวพันทั้งระบบนิเวศทางธุรกิจในทุกมิติตั้งแต่ผู้บริโภค ผู้ประกอบการ ผู้ผลิต ไปจนถึงระดับประเทศ 

    • สินค้าทยอยปรับราคา ค่าครองชีพพุ่ง เมื่อมีภาวะเงินเฟ้อผนวกกับต้นทุนค่าขนส่งที่เพิ่มต่อเนื่อง ราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนตามความเป็นจริง หลังผู้ประกอบการและผู้ผลิตต้องแบกรับภาระต้นทุนมาอย่างยาวนานในช่วงที่มีสถานการณ์แพร่ระบาดฯ แม้กำลังซื้อผู้บริโภคจะยังชะลอตัวอยู่ แต่ผู้ผลิตก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องปรับราคาสินค้าเพิ่ม นอกจากนี้อัตราค่าแรงที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับการดำรงชีพในปัจจุบันเป็นอีกต้นทุนสำคัญเช่นกัน ที่ผู้บริโภคต้องใช้เงินมากขึ้นเพื่อซื้อสินค้าเดิม นั่นคืออำนาจซื้อของผู้บริโภคก็น้อยลงตามไปด้วย 

ในขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจ ค่าครองชีพเติบโตสวนทางกัน ทว่าความสามารถในการชำระหนี้ลดลง เมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อเป็นระยะเวลายาวนาน ผู้บริโภคต้องรัดเข็มขัด หรือชะลอการใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป และเมื่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้นขณะที่รายได้เท่าเดิม ย่อมทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลง ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจยังคงซบเซาเนื่องจากไม่มีเงินหมุนเวียนในระบบเพียงพอต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโต 

    • ต้นทุนการก่อสร้างแปรผันตามสถานการณ์โลก ผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนจากการปรับราคาเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่มีการแพร่ระบาดฯ ในจีนที่เป็นประเทศส่งออกเหล็กอันดับ 1 ของโลก นอกจากนี้ผลกระทบที่เห็นได้ชัดจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนคือการปรับตัวของราคาน้ำมันที่กระทบต่อต้นทุนการผลิตและการขนส่งโดยตรง โดยเฉพาะวัสดุที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งทั้งรัสเซียและยูเครนถือเป็นประเทศที่มีความสำคัญกับภาคอสังหาฯ ไม่น้อย เนื่องจากเป็นประเทศผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลก ข้อมูลจากสมาคมเหล็กโลก (World Steel Association) เผยว่า รัสเซียเป็นประเทศที่ส่งออกเหล็กรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก ในขณะที่ยูเครนติดอันดับ 8 ดังนั้น ภาพรวมการก่อสร้างที่อยู่อาศัยปีนี้จึงมีทิศทางปรับราคาขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ 

คนซื้อบ้านต้องรู้ อยากมีบ้านท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อควรทำอย่างไร?

จากปัจจัยต่าง ๆ ที่รุมเร้าตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่เป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่มีความจำเป็นในการดำรงชีวิตของผู้บริโภค ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย แนะแนวทางให้คนอยากมีบ้านตรวจสอบความพร้อมก่อนตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในนาทีนี้ หากซื้อบ้านช่วงนี้ควรเตรียมตัวอย่างไร 

    • ค่าเงินลดลง คนซื้อบ้านต้องเตรียมเงินเพิ่ม ก่อนตัดสินใจซื้อบ้านควรพิจารณาถึงความพร้อมของการซื้ออสังหาฯ ไม่ว่าจะเป็นช่องทางรายได้ทั้งหมดที่มี รวมไปถึงเงินสำรองฉุกเฉินไว้ใช้ในอนาคตด้วย นอกจากนี้การเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมโปรโมชั่นส่วนลด ของแถม หรือเฟอร์นิเจอร์ครบชุด จะเป็นอีกวิธีที่ช่วยเพิ่มความคุ้มค่ามากขึ้นหากต้องซื้อบ้าน/คอนโดฯ ในเวลานี้ ช่วยลดรายจ่ายบางส่วนของคนซื้อบ้านลงไปได้ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อทำให้มูลค่าของเงินลดลง ผู้บริโภคจำเป็นต้องซื้อสินค้าแบบเดิมในราคาที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่รายได้หรือรายรับยังคงเท่าเดิมหรือลดลง ดังนั้น แม้จะมีจำนวนเงินเท่าเดิมแต่จะซื้อสินค้าได้น้อยลง การวางแผนการเงินที่รอบคอบเพื่อรักษาสภาพคล่องในครอบครัวจึงถือเป็นเรื่องสำคัญ
    • ที่อยู่อาศัยในตลาดยังมีราคาเหมาะสม ต้นทุนการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับตัวต่อเนื่องทั้งจากแรงงานที่ขาดแคลนและต้นทุนวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง ทำให้ปีนี้ผู้พัฒนาอสังหาฯ ได้ประกาศถึงทิศทางการปรับขึ้นราคาโครงการใหม่ให้สอดคล้องต้นทุนจริงมากขึ้น ด้านบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่อยู่อาศัยต่างมีแผนปรับขึ้นราคาก่อสร้างอ้างอิงตามราคาวัสดุต่าง ๆ ที่ขึ้นราคาเช่นกัน อย่างไรก็ดี ข้อมูลล่าสุดจากรายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q1 2565 – Powered by PropertyGuru DataSense พบว่า ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ไตรมาสล่าสุดอยู่ที่ 84 จุด หรือลดลงประมาณ 1% จากไตรมาสก่อน เป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ซื้อหรือนักลงทุนที่มีความพร้อมทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการซื้ออยู่เองหรือลงทุนระยะยาว เนื่องจากยังมีสินค้าคงค้างที่คำนวณราคาจากต้นทุนเดิมในตลาดให้เลือกพอสมควร 
    • ลงทุนอสังหาฯ มีมูลค่าเพิ่มในอนาคต เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่หักเงินเฟ้อออกหรือ “อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง” มีค่าลดลงไป ทำให้ดอกเบี้ยที่จะได้รับและเอาไปใช้ซื้อของได้น้อยลงตามไปด้วย การฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์จึงอาจไม่ใช่วิธีที่จะทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีในยุคที่เงินเฟ้อสูง การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์นั้นแม้จะเป็นทรัพย์สินที่มีราคาสูง แต่น่าสนใจตรงที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต นอกจากผู้ซื้อจะใช้เพื่ออยู่อาศัยเองแล้วยังสามารถนำไปปล่อยเช่าสร้างรายได้ในระยะยาว ก่อนประกาศขายในช่วงที่สามารถทำกำไรในตลาดได้ อย่างไรก็ดี การลงทุนในอสังหาฯ ช่วงเงินเฟ้อนั้น ผู้ซื้อควรซื้อด้วยการยื่นกู้ธนาคารมากกว่าใช้เงินสด และควรใช้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยคงที่ระยะยาว เพราะในช่วงที่เกิดภาวะเงินเฟ้อนั้นจะเป็นช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นเช่นกัน
    • ทำเลที่มีศักยภาพสร้างโอกาสเติบโต การเลือกซื้ออสังหาฯ ในทำเลที่มีศักยภาพสามารถเติบโตได้ในอนาคตถือเป็นการวางแผนที่ดีเช่นกัน เพราะหากมีความจำเป็นต้องขาย อสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในทำเลที่มีศักยภาพจะเพิ่มโอกาสให้ได้รับมูลค่าเพิ่มที่คุ้มค่าหรือทำกำไรได้ดีกว่า โดยพิจารณาจากทำเลที่ตั้งโครงการที่มีสิ่งอำนวยความสะดวก อยู่ใกล้แหล่งงาน/ห้างสรรพสินค้า เป็นทำเลที่มีรถไฟฟ้าผ่านหรือมีแผนการก่อสร้างรถไฟฟ้าในอนาคต ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่าเกือบครึ่งของคนหาบ้าน (46%) สนใจซื้อที่อยู่อาศัยในทำเลชานเมืองมาเป็นอันดับหนึ่ง เนื่องจากปัจจุบันรถไฟฟ้ามีการขยายเส้นทางไปยังแถบชานเมืองมากขึ้น จึงทำให้การเดินทางสะดวกกว่าที่เคย นอกจากนี้ โครงการที่อยู่อาศัยในแถบชานเมืองยังมีราคาย่อมเยากว่า จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและคุ้มค่าสำหรับคนหาบ้าน

การวางแผนซื้อที่อยู่อาศัยไม่ใช่เรื่องไกลตัวของทุกคน ยิ่งมีการเตรียมความพร้อมมากเท่าไรก็เป็นผลดีเมื่อต้องตัดสินใจซื้อมากเท่านั้น แม้กำลังซื้อจะชะลอตัวตามสภาพเศรษฐกิจ แต่การวางแผนทางการเงินที่ดีจะช่วยให้สามารถเป็นเจ้าของบ้านได้อย่างมั่นใจตามแผนที่กำหนดไว้ง่ายขึ้น นอกจากนี้การศึกษาข้อมูลความเคลื่อนไหวด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง ถือเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทยอย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (https://www.ddproperty.com) อัปเดตข้อมูลข่าวสารในแวดวงอสังหาฯ และความรู้ที่เป็นประโยชน์ในการซื้อ/ขาย/เช่า รวมทั้งเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลประกาศซื้อ/ขาย/เช่าในหลากหลายทำเลทั่วประเทศ หรือหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับแวดวงอสังหาฯ ก็สามารถเข้าไปฝากคำถามได้ที่หน้าถามกูรู (AskGuru) ที่มีเหล่ากูรูผู้เชี่ยวชาญตัวจริงพร้อมไขข้อสงสัยที่คุณอยากรู้ให้กระจ่าง เพื่อช่วยให้ผู้ที่อยากมีบ้านเป็นของตัวเองสามารถวางแผนเลือกซื้อที่อยู่อาศัยได้อย่างมั่นใจ ไร้กังวลมากขึ้น

PropertyGuru Successfully Completes Business Combination with Bridgetown 2 Holdings

PropertyGuru

PropertyGuru Successfully Completes Business Combination with Bridgetown 2 Holdings

    • Proceeds of ~US$254 million will be used to further accelerate organic growth and pursue M&A opportunities to capture the growth momentum of a recovering Southeast Asia property market driven by long-term macro tailwinds of increasing affluence, digitalization and urbanization
    • Transaction values PropertyGuru at an enterprise value of ~US$1.36 billion and an equity value of ~US$1.61 billion
    • PropertyGuru will ring the NYSE’s opening bell on March 18 and begin trading under the ticker “PGRU”
PropertyGuru

PropertyGuru Pte. Ltd. (“PropertyGuru” or “the Company”), Southeast Asia’s leading1 property technology (“PropTech”) company, today completed its previously announced business combination with Bridgetown 2 Holdings Limited (“Bridgetown 2”) (NASDAQ: BTNB), a special purpose acquisition company formed by Pacific Century Group (“Pacific Century”) and Thiel Capital LLC (“Thiel Capital”). The business combination was approved by Bridgetown 2 stockholders in an Extraordinary General Meeting of Company Shareholders held on March 15, 2022.

PropertyGuru Group Limited’s (“PubCo”) ordinary shares are expected to begin trading on the New York Stock Exchange (“NYSE”) on March 18, 2022 under the ticker symbol “PGRU”.

“We are thrilled to have successfully completed our business combination with Bridgetown 2, which provides additional capital to pursue organic and strategic growth, and will accelerate our ability to access capital markets in pursuit of delivering world-class solutions for our customers,” said Hari V. Krishnan, Chief Executive Officer and Managing Director, PropertyGuru Group. “Over the past 15 years PropertyGuru has helped shape the PropTech industry in Southeast Asia and introduced many first solutions for property seekers, agents, and developers that enabled digitalization of the property industry. As evidenced by the 23% increase in our 2021 revenue – we are entering our next post-Covid phase of growth with significant momentum.

Hari V. Krishnan

“As we look ahead, we will continue to invest in technology and expand our services and offerings to build on our leading positions in Singapore, Vietnam, Malaysia and Thailand.[1] Southeast Asia’s real estate market is beginning to recover from the pandemic and as the region’s increasingly affluent and digitally enabled population moves to urban centers, PropertyGuru is well-positioned to benefit from these long-term trends.” 

Southeast Asia is estimated to be the world’s fourth largest economy by 2030[2], driven by favourable long-term macroeconomic dynamics, creating significant opportunities for PropertyGuru – which has an addressable market of US$8.1 billion according to Frost & Sullivan. Through its continued investments, the Company is positioned to stay ahead of the evolving market demand and extend its leadership position as the region’s property markets recover from the pandemic.

“PropertyGuru is digitally transforming a traditional real estate market in Southeast Asia to create a trusted and transparent online property marketplace,” said Matt Danzeisen, Chairman, Bridgetown 2. “We believe PropertyGuru is just scratching the surface in the world’s most dynamic and fastest growing region, and we are excited to partner with Hari and his talented team to create lasting value for our shareholders, employees, customers and partners.” 

Transaction Details

The completion of the business combination values PropertyGuru at an enterprise value of ~US$1.36 billion and an equity value of ~US$1.61 billion.

PropertyGuru received ~US$254 million in gross proceeds through the contribution of US$122 million of cash held in Bridgetown 2’s trust account, a concurrent US$100 million private placement (“PIPE”) of common stock anchored by Baillie Gifford, Naya, REA Group, Akaris Global Partners, and one of Malaysia’s largest asset managers, priced at US$10.00 per share. REA Group also invested an additional US$32 million. In addition, KKR, TPG Group and REA Group rolled 100% of their equity into PropertyGuru, demonstrating their continued commitment to the Company’s growth strategy. 

Advisors

Merrill Lynch (Singapore) Pte. Ltd. served as exclusive financial advisor to PropertyGuru. Latham & Watkins LLP and Allen & Gledhill LLP served as legal advisors to PropertyGuru.

Merrill Lynch (Singapore) Pte. Ltd., Citigroup Global Markets Inc., KKR Capital Markets Asia Limited and TPG Capital BD, LLC served as placement agents to Bridgetown 2. Skadden, Arps, Slate, Meagher & Flom LLP and Rajah & Tann Singapore LLP served as legal advisors to Bridgetown 2.

Ringing the Bell at the NYSE

On March 18, PropertyGuru’s Chief Executive Officer and Managing Director Hari V. Krishnan will ring the NYSE opening bell at 9:30 a.m. Eastern Time (9:30 p.m. Singapore Time). He will be joined on stage by PropertyGuru’s Leadership team, Founders, Board and Bridgetown 2’s Chairman and CEO. The bell-ringing ceremony will be livestreamed to its gala listing event in Singapore and available on NYSE’s website here: https://www.nyse.com/bell.

PropertyGuru will commemorate its listing by opening the doors to the Company’s five Southeast Asian markets through live-stream door installations between New York and its home markets, that will be set up at the NYSE’s Experience Square. The event will take place at 10:15a.m. Eastern Time.