อาลีบาบา คาดการณ์สุดยอดเทรนด์เทคโนโลยีปี 2566

Alibaba Unveils Top Technology Trend Forecasting for 2023

อาลีบาบาคาดการณ์สุดยอดเทรนด์เทคโนโลยีปี 2566

Alibaba DAMO Academy (“DAMO”) โครงการวิจัยระดับโลกของอาลีบาบา กรุ๊ป เผยการคาดการณ์ประจำปีเกี่ยวกับเทรนด์ทางเทคโนโลยีชั้นนำที่อาจเป็นตัวกำหนดรูปโฉมของอุตสาหกรรมจำนวนมากในอีกหลายปีต่อจากนี้

ในบรรดาเทรนด์เทคโนโลยีชั้นนำต่าง ๆ เป็นที่คาดการณ์ว่า เอไอแบบรู้สร้าง หรือ Generative AI ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากอยู่แล้ว จะได้รับความนิยมมากขึ้นอีกจากการมีชุดแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อนำไปใช้ในการเปลี่ยนผ่านวิธีการผลิตเนื้อหาดิจิทัล ข้อมูลจากการวิจัยของ DAMO ระบุว่า Generative AI ที่อาศัยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแห่งอนาคต และการลดค่าใช้จ่าย จะกลายเป็นเทคโนโลยีเบ็ดเสร็จที่สามารถเพิ่มความหลากหลาย ความคิดสร้างสรรค์ และประสิทธิภาพในการสร้างคอนเทนต์ได้อย่างมีนัยสำคัญ

อีกหนึ่งเทคโนโลยีเกิดใหม่ที่โดดเด่นคือ dual-engine decision intelligence ระบบ dual-engine decision intelligence ที่ได้รับการสนับสนุนจากการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และแมชชีนเลิร์นนิ่งนี้ ช่วยในการจัดสรรทรัพยากรได้แบบไดนามิก ครบถ้วนและเรียลไทม์ เช่น การจ่ายไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ การปรับพอร์ตทรูพุตให้เหมาะสม การกำหนดจุดจอดในสนามบิน และการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกระบวนการผลิตต่าง ๆ ดังนั้นเทคโนโลยีนี้จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานให้กับธุรกิจต่าง ๆ อย่างมาก

นอกจากนี้ยังคาดการณ์ได้ว่าคลาวด์คอมพิวติ้งและเรื่องของความปลอดภัย จะยังคงมีบทบาทสำคัญอย่างต่อเนื่องต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของธุรกิจทั้งหลาย การที่เทคโนโลยีด้านความปลอดภัยและคลาวด์คอมพิวติ้งผสานการทำงานร่วมกันมากขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน ทำให้บริการด้านความปลอดภัยเปลี่ยนไปเป็นบริการในรูปแบบคลาวด์เนทีฟ ใช้แพลตฟอร์มเป็นศูนย์กลาง และมีความชาญฉลาดมากขึ้น

DAMO ได้คาดการณ์ว่าจะมีเทรนด์อื่น ๆ เพิ่มขึ้น เช่น โมเดลโครงสร้างสำเร็จรูปหลากหลายที่ผ่านการเทรนด์มาแล้ว (pre-trained multimodal foundation models), ชิปเล็ต (chiplets), การประมวลผลในหน่วยความจำ (processing in memory), สถาปัตยกรรมคลาวด์คอมพิวติ้งที่รวมเอาฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ไว้ด้วยกัน, โครงสร้างที่คาดการณ์ได้บน Edge-Cloud Synergy (predictable fabric based on edge-cloud synergy), การสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์ (computational imaging) รวมถึงคู่เสมือนทางดิจิทัลของเมื่องใหญ่ (large-scale urban digital twins)

DAMO นำเสนอสุดยอดเทรนด์ทางเทคโนโลยีปี 2566 ที่คาดการณ์ว่าจะเร่งให้เกิดนวัตกรรมและส่งผลในทางที่ดีทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมต่ออุตสาหกรรมสำคัญ ๆ ซึ่งมาจากการรวบรวมและวิเคราะห์จากเอกสารสาธารณะและการจดสิทธิบัตรในช่วงสามปีที่ผ่านมา และการสัมภาษณ์นักวิทยาศาสตร์ผู้ประกอบการ และวิศวกรทั่วโลกมากกว่า 100 ราย

นายเจฟฟ์ ชาง หัวหน้าของ Alibaba DAMO Academy กล่าวว่า “ปี 2566 จะเป็นปีที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ จะขับเคลื่อนให้เกิดการออกแบบการทำงานของซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ร่วมกัน และการผสานรวมของเทคโนโลยีด้านคอมพิวติ้งกับการติดต่อสื่อสาร การนำเทคโนโลยีไปใช้ในวงกว้างจะทำให้มีการใช้ AI และเทคโนโลยีดิจิทัลอื่น ๆ มากขึ้นในตลาดเฉพาะทางต่าง ๆ และกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน และบุคคลทั่วไปเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีและการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย นวัตกรรมที่เกิดจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการใช้งานที่เฉพาะเจาะจงในแต่ละอุตสาหกรรม จะกลายเป็นแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นและไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก”

DAMO คาดว่าในปี 2566 จะได้เห็นความรุดหน้าทางเทคโนโลยีและการเกิดขึ้นอย่างมากมายของแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้

เทรนด์ที่ 1: เอไอแบบรู้สร้าง (Generative AI)

Generative AI สร้างคอนเทนต์ใหม่ตามชุดข้อความ รูปภาพ หรือไฟล์เสียงที่กำหนดไว้ ปัจจุบันมีการใช้ Generative AI ในการผลิตต้นแบบและแบบร่างต่าง ๆ เป็นหลัก รวมถึงใช้กับเกม โฆษณา และกราฟิกดีไซน์ นอกจากจะเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแห่งอนาคตและการลดค่าใช้จ่ายแล้ว Generative AI จะกลายเป็นเทคโนโลยีเบ็ดเสร็จที่สามารถเพิ่มความหลากหลาย ความคิดร้างสรรค์ และการสร้างคอนเทนต์ที่โดดเด่นได้อย่างมีนัยสำคัญ 

Generative-AI

อีกสามปีต่อจากนี้ เราจะได้เห็นรูปแบบทางธุรกิจใหม่ ๆ และระบบนิเวศที่สมบูรณ์เต็มที่ เพราะมีการนำ Generative AI ไปใช้อย่างแพร่หลาย รูปแบบที่เป็น Generative AI จะโต้ตอบได้มากขึ้น ปลอดภัยและชาญฉลาดมากขึ้น ทั้งยังจะช่วยมนุษย์ทำงานสร้างสรรค์ต่าง ๆ ให้ลุล่วงได้อย่างดี 

เทรนด์ที่ 2: การตัดสินใจที่ชาญฉลาดด้วยการวิจัยเชิงปฏิบัติการและแมชชีนเลิร์นนิ่ง (Dual-engine Decision Intelligence)

วิธีการตัดสินใจแบบเดิมในอดีตนั้นพึ่งพาการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ซึ่งมีข้อจำกัดในการจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ที่มีความไม่แน่นอนสูงและตอบสนองต่อปัญหาใหญ่ ๆ ได้ช้า ดังนั้น สถาบันทางการศึกษาและภาคอุตสาหกรรมจึงได้เริ่มใช้แมชชีนเลิร์นนิ่งเข้ามาเสริม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการตัดสินใจด้านต่าง ๆ เครื่องมือทั้งสองนี้เป็นองค์ประกอบที่ลงตัวของกันและกัน และเมื่อได้ใช้ควบคู่กันไปจะช่วยเพิ่มความเร็วและคุณภาพของการตัดสินใจต่าง ๆ และเป็นที่คาดการณ์ว่า เทคโนโลยีนี้จะใช้กันอย่างแพร่หลายในสถานการณ์หลากหลายในอนาคต เพื่อช่วยให้สามารถจัดสรรทรัพยากรได้แบบไดนามิก ครบถ้วนและเรียลไทม์ เช่น การจ่ายไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ การปรับพอร์ตทรูพุตให้เหมาะสม การกำหนดจุดจอดในสนามบิน และการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกระบวนการผลิตต่าง ๆ เป็นต้น

Dual-engine-Decision-Intelligence

ในอนาคต dual-engine decision intelligence จะใช้ในงานด้านต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวน entities และขยายขนาดการจัดสรรทรัพยากรตามภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุผลในการจัดสรรทรัพยากรแบบไดนามิก ครบถ้วนและเรียลไทม์

เทรนด์ที่ 3: ระบบความปลอดภัยที่รองรับการประมวลผลบนคลาวด์ (Cloud-native Security)

การใช้ระบบความปลอดภัยที่รองรับการทำงานบนคลาวด์ (Cloud-native security) นั้น ไม่เพียงมอบสมรรถนะด้านความปลอดภัยบนโครงสร้างพื้นฐานบนคลาวด์เท่านั้น แต่ยังเพิ่มประสิทธิภาพให้กับบริการด้านความปลอดภัยต่าง ๆ ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีคลาวด์-เนทีฟ การรวมเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยต่าง ๆ และคลาวด์คอมพิวติ้งเข้าด้วยกันกำลังเกิดขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งเราเห็นได้จากการใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาจากการใช้คอนเทนเนอร์ไปเป็นไมโครเซอร์วิส จนถึงรูปแบบที่ไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ (serverless model) และบริการด้านความปลอดภัยที่ยกระดับสู่การเป็นคลาวด์-เนทีฟ มีความรัดกุม ใช้แพลตฟอร์มเป็นศูนย์กลาง และชาญฉลาด

ในสามถึงห้าปีจากนี้ การรักษาความปลอดภัยแบบคลาวด์-เนทีฟจะหลากหลายมากขึ้น นำไปใช้กับสถาปัตยกรรมมัลติ-คลาวด์ได้ง่ายขึ้น และเอื้อต่อการสร้างระบบความปลอดภัยแบบไดนามิก ครบวงจร แม่นยำ และใช้กับสภาพแวดล้อมแบบไฮบริดได้

เทรนด์ที่ 4: โมเดลโครงสร้างสำเร็จรูปหลากหลายที่ผ่านการเทรนด์มาแล้ว (pre-trained multimodal foundation models)

Pre-trained multimodal foundation models กลายเป็นแบบอย่างและโครงสร้างพื้นฐานแบบใหม่
ในการสร้างระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) รูปแบบเหล่านี้สามารถรับความรู้จากแบบวิธีต่าง ๆ และนำเสนอความรู้นั้นตามกรอบการเรียนรู้ด้านการแสดงออกที่รวมเป็นหนึ่งเดียว ในอนาคต foundation models จะถูกกำหนดขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานปกติของระบบ AI ที่ใช้ทำงานต่าง ๆ เช่น รูปภาพ ข้อความ และเสียง เป็นการเสริมศักยภาพระบบ AI ด้วยความสามารถด้านสติปัญญาในการให้เหตุผล การตอบคำถาม การสรุป และการสร้างสรรค์

เทรนด์ที่ 5: สถาปัตยกรรมคลาวด์คอมพิวติ้งที่รวมฮาร์ดแวร์-ซอฟต์แวร์

คลาวด์คอมพิวติ้งกำลังพัฒนาเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ Cloud Infrastructure Processor (CIPU) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ใช้ฮาร์ดแวร์เร่งความเร็วในการทำงานและควบคุมการทำงานด้วยซอฟต์แวร์ โดยจะช่วยเร่งการใช้แอปพลิเคชันบนคลาวด์ ในขณะเดียวกันยังคงความยืดหยุ่นและความคล่องตัวสูงไว้เพื่อการพัฒนาแอปพลิเคชันบนคลาวด์ CIPU จะกลายเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับทั่วไปของคลาวด์คอมพิวติ้งยุคหน้า และนำมาซึ่งโอกาสด้านการพัฒนาใหม่ ๆ จำนวนมากในด้านการวิจัยและพัฒนาซอฟต์แวร์และการออกแบบ dedicated chip

เทรนด์ที่ 6: โครงสร้างที่คาดการณ์ได้บน Edge-Cloud Synergy

โครงสร้างที่คาดการณ์ได้ (predictable fabric) เป็นระบบเน็ตเวิร์กที่ออกแบบร่วมกันโดยโฮสต์และเครือข่าย ขับเคลื่อนโดยความล้ำสมัยของคลาวด์คอมพิวติ้ง และมีจุดประสงค์เพื่อนำเสนอบริการเน็ตเวิร์กที่มีประสิทธิภาพสูง และเป็นเทรนด์ที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะความสามารถด้านคอมพิวติ้งและเน็ตเวิร์กในปัจจุบันค่อย ๆ รวมตัวเข้าด้วยกัน และด้วยสมรรถนะของนวัตกรรมแบบฟูลสแต็ก จาก cloud-defined protocols, ซอฟต์แวร์, ชิป, ฮาร์ดแวร์, สถาปัตยกรรม และแพลตฟอร์มต่าง ๆ ทำให้คาดการณ์ได้ว่า predictable fabric จะเข้ามาแทนที่สถาปัตยกรรมเน็ตเวิร์ก TCP แบบดั้งเดิม และกลายเป็นส่วนหนึ่งของเน็ตเวิร์กหลักในดาต้าเซ็นเตอร์รุ่นต่อไป ความก้าวล้ำด้านนี้ยังขับเคลื่อนการใช้ predictable fabric จากเน็ตเวิร์กของดาต้าเซ็นเตอร์ ไปจนถึงเน็ตเวิร์กหลักบนคลาวด์ที่กว้างขวาง

เทรนด์ที่ 7: การสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์ (Computational Imaging)

การสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์ (computational imaging) เป็นสหวิทยาการเทคโนโลยีเกิดใหม่อย่างหนึ่ง ซึ่งตรงข้ามกับเทคนิคการถ่ายภาพแบบเดิม โดยคอมพิวเตอร์สร้างภาพจากรูปแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ต่าง ๆ และความสามารถในการประมวลผลสัญญาณต่าง ๆ จำนวนมาก จึงสามารถวิเคราะห์ข้อมูลสนามแสงเชิงลึกที่ไม่เคยทำได้มาก่อนได้ เทคโนโลยีนี้มีใช้แล้วในวงกว้าง เช่น การถ่ายภาพของโทรศัพท์มือถือ, การถ่ายภาพทางการแพทย์, และยานยนต์อัตโนมัติ ในอนาคตการสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์จะยังคงปฏิวัติเทคโนโลยีการถ่ายภาพแบบเดิม และทำให้เกิดนวัตกรรมและการสร้างสรรค์ เช่น การถ่ายภาพแบบไม่ต้องใช้เลนส์ และการถ่ายภาพแบบไม่อยู่ในแนวสายตา (Non-line-of-sight: NLOS)

เทรนด์ที่ 8: ชิปเล็ต (Chiplet)

การใช้ชิปเล็ตหรือชิปขนาดย่อย (chiplet) ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถแบ่งระบบต่าง ๆ ที่รวมกันอยู่บนชิปตัวหนึ่ง (system on a chip: SoC)  ออกเป็น chiplet หลายตัว ทำการผลิต chiplet แยกกันและใช้กระบวนการผลิตที่แตกต่างกันแล้วรวม chiplet ทุกตัวไว้ใน SoC ผ่านการเชื่อมต่อกันภายในและแพคเกจจิ้ง ทั้งนี้การรวมมาตรฐานการเชื่อมต่อกันของ chiplet ต่าง ๆ ให้เป็นมาตรฐานเดียว เป็นการเร่งกระบวนการพัฒนา chiplet ในระดับอุตสาหกรรม เทคโนโลยีแพคเกจจิ้งที่ล้ำหน้าช่วยเสริมให้ chiplet เป็นคลื่นลูกใหม่ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของกระบวนการวิจัยและพัฒนาวงจรรวมและเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมชิป

เทรนด์ที่ 9: การประมวลผลในหน่วยความจำ (PIM)

เทคโนโลยีการประมวลผลในหน่วยความจำ (Processing in Memory: PIM) เป็นการรวมหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) และหน่วยความจำไว้บนชิปเดียว ซึ่งช่วยให้ประมวลผลข้อมูลในหน่วยความจำได้โดยตรง คาดว่าจะมีการใช้ชิปที่เป็นแบบประมวลผลในหน่วยความจำกับแอปพลิเคชันที่มีความสามารถสูง มากขึ้นในอนาคต เช่น การอนุมานที่อยู่บนคลาวด์ และชิปลักษณะนี้จะยกระดับสถาปัตยกรรมที่ยึดการประมวลผลเป็นศูนย์กลางแบบเดิม ไปเป็นสถาปัตยกรรมแบบยึดข้อมูลเป็นสำคัญ ซึ่งจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น คลาวด์คอมพิวติ้ง, AI และอินเทอร์เน็ตออฟธิงค์ (IoT)

เทรนด์ที่ 10: คู่เสมือนทางดิจิทัลของเมืองใหญ่ (Large-scale Urban Digital Twins)

คอนเซปต์ของคู่เสมือนดิจิทัลของเมือง (urban digiital twins) ได้กลายเป็นแนวทางใหม่ในการดูแลเมืองที่มีประสิทธิภาพ ณ ปัจจุบัน urgan digital twins ขนาดใหญ่มีบทบาทในการพัฒนาการทำงานสำคัญด้านต่าง ๆ เช่น การดูแลการจราจร การป้องกันและการจัดการภัยทางธรรมชาติ การวิเคราะห์จุดสูงสุดและความเป็นกลางทางคาร์บอน เป็นต้น ทั้งนี้ urban digital twins ขนาดใหญ่จะทำงานโดยอิสระได้ด้วยตนเองและมีหลากหลายมิติมากขึ้นในอนาคต

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จากรายงานฉบับเต็มที่ลิงก์นี้

Alibaba Cloud to Introduce Blockchain Node Service to Facilitate Growth of Web 3.0 Ecosystem

Alibaba Cloud to Introduce Blockchain Node Service to Facilitate Growth of Web 3.0 Ecosystem

Alibaba Cloud to Introduce Blockchain Node Service to Facilitate Growth of Web 3.0 Ecosystem

Leading cloud service provider aims to empower developers with a scalable, efficient, and secure PaaS platform

Alibaba Cloud, the digital technology and intelligence backbone of Alibaba Group, today announced a roadmap for the launch of its first Blockchain Node Service. Scheduled for the first quarter of 2023, the Blockchain Node Service will support the growth of the evolving Web3.0 ecosystem and better serve developers with Alibaba Cloud’s scalable, efficient and secure infrastructure for a more user-friendly and immersive experience.

The new PaaS platform aims to aid developers by reducing operational and maintenance time while they are building and deploying new products. Leveraging Alibaba Cloud’s scalable, high performance and stable infrastructure, the node-hosting service actively monitors the nodes and automatically switches in case of an outage. As it doesn’t require hands-on monitoring or problem mitigation, developers are free to concentrate on product development and thus speed up the pace of the product roll-out process.

With Alibaba Cloud’s world-class security and global compliance capabilities, the Blockchain Node Service is backed with security configurations that can help prevent unauthorized access to the nodes. The nodes are placed behind the cloud firewall and only verified users and machines are allowed to communicate with client endpoints. Moreover, Alibaba Cloud security solutions can further protect nodes from DDoS attacks.  

“Driven by enterprises’ increasing demand for simplifying the complex inter-silo dependencies, we can see the popularity of nodes has grown significantly in recent years in Asia,” said Raymond Xiao, Head of International Industry Solutions and Architect, Alibaba Cloud Intelligence. “On top of its flexibility and efficiency, Alibaba Cloud’s stable and reliable enterprise-class node service backed with comprehensive security features, offers developers an extra layer of confidence as they navigate seamlessly across different frameworks.”

To prepare for the launch early next year, Alibaba Cloud has already started offering partners a scalable, highly efficient and secure infrastructure to help build the Web3.0 ecosystem and community with developers from across the world.

For example, Alibaba Cloud has recently expanded its line of infrastructure technology and intelligence tools to the Avalanche public blockchain (AVAX). This enables users to launch validator nodes through the service and access computing, storage, and distribution resources through Alibaba Cloud’s suite of products in Asia. The two sides will also work together to support innovative Web3.0 projects, including hackathons, developer education and mentorship programs, to help Web2.0 developers transition to Web3.0. 

It has also created an infrastructure and technology platform for Web3.0 developers in partnership with HashKey Group, a Hong Kong-based end-to-end digital asset financial services group and Web3.0 infrastructure provider, and PlatON, a next-generation internet infrastructure protocol based on the fundamental properties of blockchain and supported by the privacy-preserving computation network.

“Web 3.0 is currently at an early stage, and with it being the next generation of the Internet, it is already being embraced by users, especially in Southeast Asia,” said Dr Derek Wang, General Manager of Singapore, South Asia and Thailand, Alibaba Cloud Intelligence, “Alibaba Cloud’s strong infrastructure across APAC and global leading security and compliance capabilities put us in a strong position to support the growth of the Web 3.0 ecosystem. We are committed to better serving customers to help explore new business opportunities, while supporting consumers to ensure a more user-friendly and immersive experience.”

As part of the evolution of the Web 3.0 ecosystem, initially 100 users will be recruited in an open beta test for the launch of the Node Service, while a series of Web 3.0 Hackathon Campaigns will be held in Singapore, Japan, Thailand and Hong Kong, early next year.

New Web 3.0 industry offerings in E-sports and the metaverse

As a global leading IaaS and PaaS provider, Alibaba Cloud aims to provide robust, secure and high-performance technology platforms and intelligence tools for worldwide Web3.0 developers to build their own applications, in the metaverse, gaming environments and across social media platforms for example.

Alibaba Cloud launched the “Cloud ME” hologram powered by its real-time communication (RTC) solution at the Olympic Winter Games Beijing 2022. The technology facilitates social interactions for people keen to explore bona fide meeting experiences during the Olympic Winter Games, enabling them to meet and enjoy real-time conversations via life-sized, true-to-life projection.

Alibaba Cloud and Japan’s leading development studio, JP Games, have also jointly launched a series of new services developed to create realistic virtual spaces and avatars for global customers who venture into space. The service includes the automatic creation of visually stunning 3D virtual spaces, high-quality graphics from 2D landscape photos as well as the automatic creation of user avatars, simply by taking selfie photos.

อาลีบาบา คลาวด์ สนับสนุนระบบนิเวศ Web 3.0 ด้วย Blockchain Node Service

Alibaba Cloud to Introduce Blockchain Node Service to Facilitate Growth of Web 3.0 Ecosystem

อาลีบาบา คลาวด์ สนับสนุนระบบนิเวศ Web 3.0 ด้วย Blockchain Node Service

มุ่งเสริมสมรรถนะให้กับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ด้วยแพลตฟอร์ม PaaS ที่ปรับขนาดได้ตามต้องการ เปี่ยมประสิทธิภาพ และปลอดภัย

อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป เปิดตัว Blockchain Node Service เป็นครั้งแรกและพร้อมให้บริการในไตรมาสแรกของปี 2566 โดย Blockchain Node Service นี้จะสนับสนุนระบบนิเวศ Web3.0 ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และช่วยให้นักพัฒนาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผ่านโครงสร้างพื้นฐานของอาลีบาบา คลาวด์ ที่ปรับขนาดการใช้งานได้ตามต้องการ มีประสิทธิภาพสูง และมีความปลอดภัย เพื่อเพิ่มประสบการณ์การใช้งานที่น่าประทับใจและใช้งานง่ายให้กับผู้ใช้งาน

แพลตฟอร์ม PaaS ใหม่นี้ ตั้งเป้าเพื่อช่วยลดเวลาการทำงานในการสร้าง ดูแลรักษา และการใช้งานผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้กับนักพัฒนาทุกคน บริการ node-hosting service ใช้คุณสมบัติจากโครงสร้างพื้นฐานที่ปรับขนาดการทำงานได้ มีประสิทธิภาพสูง และมีความเสถียรของอาลีบาบา คลาวด์ จึงสามารถติดตามตรวจสอบโหนดต่าง ๆ ได้อย่างคล่องตัว และหากเกิดไฟดับก็สามารถสลับการใช้งานได้อัตโนมัติ โดยไม่ต้องพึ่งพาคนมาทำการตรวจสอบหรือแก้ปัญหาด้วยตนเอง นักพัฒนาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ และหันไปให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งส่งผลให้กระบวนการสร้างและส่งผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดทำได้เร็วขึ้น 

ระบบความปลอดภัยที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก และความสามารถในการปฏิบัติตามกฎระเบียบต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั่วโลกของอาลีบาบา คลาวด์ ทำให้ Blockchain Node Service ได้รับการสนับสนุนจากคอนฟิก กูเรชันด้านความปลอดภัยต่าง ๆ ที่ช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้าถึงโหนดต่าง ๆ ได้ โดยวางโหนดทุกโหนดไว้หลังไฟร์วอลล์ของคลาวด์ และมีเพียงผู้ใช้และเครื่องมือที่ได้รับการตรวจสอบแล้วเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้สื่อสารกับอุปกรณ์ปลายทางที่เป็นจุดติดต่อกับภายนอกได้ นอกจากนี้ โซลูชันด้านความปลอดภัยของอาลีบาบา คลาวด์ ยังสามารถปกป้องโหนดต่าง ๆ จากการโจมตี DDoS ได้ด้วย

นายเรย์มอนด์ เซียว Head of International Industry Solutions and Architect ของอาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “การที่องค์กรต่าง ๆ ในเอเชีย ต้องการลดความซับซ้อนระหว่างการใช้งานไซโลต่าง ๆ ทำให้มีการใช้โหนดแพร่หลายมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นอกจากความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพแล้ว อาลีบาบา คลาวด์ ยังให้บริการโหนดสำหรับการใช้งานระดับองค์กรที่เสถียรและเชื่อถือได้ที่มีฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยครบวงจรสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาที่ทำงานข้ามไปมาระหว่างเฟรมเวิร์กต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่นและมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง”

อาลีบาบา คลาวด์ เตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดตัวบริการนี้ในต้นปีหน้า โดยได้เริ่มนำเสนอโครงสร้างพื้นฐานที่ปรับขนาดได้ มีประสิทธิภาพสูงและปลอดภัยนี้ให้กับพันธมิตรแล้ว เพื่อช่วยสร้างระบบนิเวศและชุมชน Web3.0 ร่วมกับนักพัฒนาจากทั่วโลก

เช่น เมื่อเร็ว ๆ นี้ อาลีบาบา คลาวด์ได้ขยายสายผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานและเครื่องมืออัจฉริยะไปยัง Avalanche public blockchain (AVAX) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานเปิดใช้โหนดที่มีหน้าที่ตรวจสอบผ่านบริการและการเข้าใช้การประมวลผล สตอเรจ และดิสทริบิ้วชันรีสอร์สผ่านชุดผลิตภัณฑ์ในเอเชียของอาลีบาบา คลาวด์ บริษัททั้งสองแห่งยังจะทำงานร่วมกันเพื่อสนับสนุนโครงการ Web3.0 ใหม่ ๆ เช่น แฮ็กกาธอน การให้ความรู้กับนักพัฒนา และโปรแกรมการให้คำปรึกษา เพื่อช่วยให้นักพัฒนา Web2.0 เปลี่ยนผ่านสู่การพัฒนา Web3.0

บริษัทฯ ยังได้สร้างแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีให้นักพัฒนา Web3.0 โดยร่วมมือกับ HashKey Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่ให้บริการสินทรัพย์การเงินดิจิทัลครบวงจรตั้งอยู่ที่ฮ่องกง และเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ Web3.0 นอกจากนี้ยังร่วมมือกับ PlatON ซึ่งเป็นโปรโตคอลโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตตามคุณสมบัติพื้นฐานของบล็อกเชนเน็ตรุ่นต่อไปที่ได้รับการสนับสนุนจากเครือข่ายคอมพิวติ้งที่ปกปิดความเป็นส่วนตัวได้

ดร. เดเรก หวัง ผู้จัดการทั่วไปประจำสิงคโปร์ เอเชียใต้และประเทศไทย, อาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “ปัจจุบัน Web 3.0 ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และด้วยความที่เป็นอินเทอร์เน็ตยุคต่อไป มันจึงได้รับการยอมรับจากผู้ใช้ โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาลีบาบา คลาวด์ อยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งที่สามารถสนับสนุนการเติบโตของระบบนิเวศ Web 3.0 เพราะมีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรงที่ได้รับการยอมรับทั่วเอเชียแปซิฟิก และมีระบบรักษาความปลอดภัยรวมถึงความสามารถในการปฏิบัติตามกฎระเบียบอยู่ในระดับชั้นนำของโลก เรามุ่งมั่นให้บริการลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น เพื่อช่วยให้ลูกค้าได้พบกับโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ในขณะเดียวกันก็สนับสนุนผู้บริโภคให้ได้รับประสบการณ์ที่น่าประทับใจและการใช้งานที่ง่ายอย่างแท้จริง”

ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาระบบนิเวศของ Web 3.0 ผู้ใช้งาน 100 รายแรกจะได้รับการคัดเลือกให้ทดสอบแบบเบต้าในการเปิดตัว Node Service นอกจากนี้ ต้นปีหน้าเราจะจัด Web 3.0 Hackathon Campaign ในประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่น ไทย และฮ่องกง 

ข้อเสนอใหม่สำหรับอุตสาหกรรม Web 3.0 ด้านอีสปอร์ตและเมตาเวิร์ส 

อาลีบาบา คลาวด์ ในฐานะหนึ่งในผู้ให้บริการ IaaS และ PaaS ชั้นนำระดับโลก ตั้งเป้าที่จะนำเสนอแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง ปลอดภัย ประสิทธิภาพสูง และเครื่องมืออัจฉริยะสำหรับนักพัฒนา Web3.0 ทั่วโลกที่ต้องการสร้างแอปพลิเคชันของตนเอง เช่น ในเมตาเวิร์ส เกม และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เป็นต้น

ในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่ปักกิ่ง 2022 อาลีบาบา คลาวด์ ได้เปิดตัวโฮโลแกรม “Cloud ME” ที่ขับเคลื่อนด้วยโซลูชันการสื่อสารแบบเรียลไทม์ (real-time communication: RTC) ทั้งนี้ระหว่างการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว Cloud ME ได้ช่วยให้ผู้คนได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น สามารถสื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และได้สัมผัสประสบการณ์เสมือนอยู่ในเหตุการณ์จริงด้วยกัน ผู้คนได้พบปะและเพลิดเพลินกับการสนทนาแบบเรียลไทม์ผ่านการยิงภาพเท่าของจริงเหมือนอยู่ในสถานการณ์จริง

อาลีบาบา คลาวด์ และ JP Games ซึ่งเป็นสตูดิโอด้านการพัฒนาทางเทคโนโลยีระดับแนวหน้าของญี่ปุ่นได้ร่วมกันเปิดตัวชุดบริการใหม่ที่พัฒนาขึ้นเพื่อสร้างพื้นที่เสมือนจริงและอวาตาร์สำหรับลูกค้าทั่วโลกที่ชอบผจญภัยในอวกาศ บริการนี้ประกอบด้วยการสร้างพื้นที่เสมือนจริง 3 มิติ ที่สวยงามแบบอัตโนมัติ กราฟิกคุณภาพสูงจากภาพถ่ายทิวทัศน์ 2 มิติ รวมถึงการสร้างอวาตาร์ของผู้ใช้งานได้แบบอัตโนมัติง่าย ๆ ด้วยการถ่ายภาพเซลฟี่

A More Efficient, Innovative and Greener 11.11 Runs Wholly on Alibaba Cloud

มหกรรมช้อปปิ้ง 11.11 ทุกกิจกรรม เกิดขึ้นบนอาลีบาบา คลาวด์ เน้นมีประสิทธิภาพ สร้างสรรค์ และ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

A More Efficient, Innovative and Greener 11.11 Runs Wholly on Alibaba Cloud

Global leading cloud provider achieving more with less whilst doubling the use of clean energy at key data centers during the world’s largest global shopping festival

Alibaba Cloud, the digital technology and intelligence backbone of Alibaba Group, has once again excelled in its mission of supporting the group’s 11.11 Global Shopping Festival, thanks to its high-performance computing and innovative technology.

Drawing on self-developed infrastructure upgrades, the group saw an 8% year-on-year saving in computing cost per resource unit from April 1 to November 11.

“The breadth and depth of cloud technology deployment during this year’s 11.11 has once again showcased Alibaba’s best cloud and technology practice; be it through fundamental architecture like self-proprietary technology powering high-performance computing and database products, or consumer-facing XR (extended reality) and livestreaming technologies. We intend to continue applying these proven capabilities to even better serve our customers and help them to be more efficient, innovative and greener in their own digital transformation journeys,” said Li Cheng, Chief Technology Officer (CTO) of Alibaba Group.

Doing more with less through cloud-native and serverless innovations

This year’s 11.11 was powered by Alibaba Cloud’s dedicated processing unit for the Apsara Cloud operating system. The upgraded infrastructure system, significantly improved efficiency of computing, storage and network in data centers supporting the event, while also reducing network latency. For example, with this new upgrade supported by cloud-native technology, ordering, pre-sale balance payment and refunding could be launched simultaneously with an enhanced scalability and lower latency.

During this year’s 11.11, the front page of Taobao, one of Alibaba’s e-commerce platforms, was upgraded by the latest serverless technology, allowing for automatic scaling with extreme elasticity based on actual workloads.

Alibaba Cloud’s cloud-native database products also significantly expanded the capacity of consumers’ shopping carts by more than a double, from 120 items to 300. The ApsaraDB for Redis Enhanced Edition (Tair), a cloud-based in-memory database service for enterprises, supports new functions such as product grouping and sorting, enabling consumers to organize their shopping cart according to their own preferences. They could also make use of the ‘select’ function to enjoy cross-merchant discounts, to pre-order goods and use vouchers for a more rewarding shopping experience.

Innovative technology delivers more immersive consumer experience

A more immersive shopping experience was created this year thanks to Alibaba’s proprietary technology in supporting extended reality. Alibaba’s technology in 3D modeling leverages a neural radiance field (NeRF), a neural network technology for generating novel views of complex 3D scenes. During this year’s 11.11, it assisted luxurious retail and furniture brands, like Burberry, Estee Lauder and SK-II, to build virtual stores on the e-commerce platform Tmall.

Through self-developed 3D renderings that realistically represent natural light, flames and natural flowing water, an outdoor nature scene was built for sportswear brands including Descente (Japan), to showcase its latest products in a vibrant and invigorating environment. Consumers can also view the products in three dimensions, enabling them to inspect details up close, or try on their chosen watches and accessories virtually thanks to AR technologies. Consumers are also free to arrange different items of furniture indoors, or tents for outdoor camping.

Another new expressive interaction came from an XR-powered marketplace on Tmall and Taobao. Using the automatic 3D space creation technology from Alibaba’s research institute DAMO Academy, a virtual shopping street was built, featuring over 700 products from 70 brands including 30 internationally-recognized franchises, such as Sanrio’s iconic Hello Kitty, and Hollywood’s franchise Minions. Shoppers can choose their own avatars, check out the products and place them in their virtual shopping carts.

During this year’s 12-day festival from October 31 to November 11, nearly 2 million packages were delivered by Xiaomanlv vehicles, Alibaba’s last-mile logistics vehicle. This is double the package delivery volume from the same period last year. The logistics robot was deployed in over 400 campuses across China, which has greatly reduced the time of queuing for package deliveries during peak hours.

A greener 11.11 powered by clean energy

In addition to its cloud computing solutions helping to reduce energy consumption, Alibaba Cloud’s five hyper-scale data centers across China also doubled the amount of clean energy used to support this year’s 11.11 compared to last year. More than 32 million kilowatt-hours of electricity used by Alibaba Cloud to support 11.11 this year came from renewable energy, up by 30% on a daily basis average compared to last year. Additionally, Alibaba Cloud’s Heyuan data center, the cloud company’s largest hyper-scale data center in South China, now runs entirely on clean energy. Alibaba Cloud’s self-developed immersion cooling technology has reduced the energy consumption of the data centers, with power usage effectiveness (PUE) reaching as low as 1.09 – a world-leading level.

Alibaba Cloud has also worked with Tmall to leverage the carbon management platform, Energy Expert. It provided online carbon footprint modeling, calculations and certifications for more than 40 brands in various sectors, including paper & pulp, food and personal care, to help them categorize low-carbon products, identify carbon emission resources and conduct informed sustainability practices to reduce carbon emissions.

มหกรรมช้อปปิ้ง 11.11 ทุกกิจกรรม เกิดขึ้นบนอาลีบาบา คลาวด์ เน้นมีประสิทธิภาพ สร้างสรรค์ และ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

มหกรรมช้อปปิ้ง 11.11 ทุกกิจกรรม เกิดขึ้นบนอาลีบาบา คลาวด์ เน้นมีประสิทธิภาพ สร้างสรรค์ และ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

มหกรรมช้อปปิ้ง 11.11 ทุกกิจกรรม เกิดขึ้นบนอาลีบาบา คลาวด์ เน้นมีประสิทธิภาพ สร้างสรรค์ และ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

ระหว่างเทศกาลช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผู้ให้บริการคลาวด์ระดับโลก บรรลุผลสำเร็จมากขึ้นด้วยการใช้พลังงานและต้นทุนน้อยลง และใช้พลังงานสะอาดในดาต้าเซ็นเตอร์หลักเพิ่มขึ้นสองเท่า

อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป ประสบความสำเร็จอย่างงดงามอีกครั้งในการนำระบบประมวลผลสมรรถนะสูงและนวัตกรรมทางเทคโนโลยีมาใช้สนับสนุนเทศกาลช้อปปิ้งระดับโลก 11.11 การที่กลุ่มบริษัท ได้อัปเกรดโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่พัฒนาขึ้นเองหลายรายการ ทำให้สามารถประหยัดต้นทุนการประมวลผลต่อหน่วยทรัพยากรเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาได้ 8% จากวันที่ 1 เมษายน ถึงวันที่ 11 พฤศจิกายน

นายหลี่ เฉิง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี ของ อาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวว่า “การใช้เทคโนโลยีคลาวด์ทั้งในเชิงลึกและครอบคลุม ในช่วงเทศกาล 11.11 ปีนี้ ตอกย้ำให้เห็นแนวทางการใช้คลาวด์และเทคโนโลยีที่ประสบผลสำเร็จที่สุดของอาลีบาบา ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เทคโนโลยีที่เป็นของตนเอง (self-proprietary technology) ที่ใช้รองรับการประมวลผลประสิทธิภาพสูง และ ผลิตภัณฑ์ด้านดาต้าเบส หรือเทคโนโลยีที่ XR (extended reality) และไลฟ์สตรีมมิ่งต่าง ๆ ที่ผู้บริโภคได้สัมผัสประสบการณ์การใช้งานจริง เราตั้งเป้านำความสามารถที่ได้รับการพิสูจน์ประสิทธิภาพแล้วเหล่านี้ไปใช้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บริการลูกค้าได้ดีขึ้น และช่วยให้ลูกค้าของเราสามารถเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในแนวทางที่เป็นนวัตกรรม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น”

ประสิทธิภาพสูงขึ้น สิ้นเปลืองทรัพยากรน้อยลง ด้วยการใช้นวัตกรรมด้าน cloud-native และ serverless

มหกรรม 11.11 ปีนี้ ขับเคลื่อนด้วยหน่วยประมวลผลเฉพาะที่ใช้กับระบบปฏิบัติการ Apsara Cloud ของอาลีบาบา คลาวด์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับการอัปเกรดนี้ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพมหาศาลให้กับการประมวลผล การจัดเก็บ และเน็ตเวิร์กในดาต้าเซ็นเตอร์ต่าง ๆ ที่รองรับปริมาณงานในช่วง 11.11 และช่วยลดระยะเวลาในการตอบสนองของเน็ตเวิร์กควบคู่กันไปด้วย เช่น การอัปเกรดใหม่นี้ใช้เทคโนโลยีคลาวด์-เนทีฟ (cloud-native) ช่วยให้การสั่งซื้อ การชำระเงินให้ครบจากสินค้า pre-sale และการคืนเงิน สามารถทำได้ในเวลาเดียวกัน ด้วยความสามารถในการปรับขนาดได้มากขึ้นและระยะเวลาในการตอบสนองที่เร็วขึ้น

ในช่วงงาน 11.11 ปีนี้ ได้มีการอัปเดตหน้า front page ของแอปพลิเคชัน Taobao ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มด้านอีคอมเมิร์ซของอาลีบาบาด้วยเทคโนโลยี serverless ล่าสุด ช่วยให้สามารถปรับขนาดการใช้งานได้อัตโนมัติตามปริมาณงานที่เกิดขึ้นจริง ด้วยความยืดหยุ่นเต็มพิกัด

ผลิตภัณฑ์ด้านดาตาเบสที่เป็นแบบ cloud-native ของอาลีบาบา คลาวด์ ได้เพิ่มความจุให้กับตะกร้าสินค้าของผู้บริโภคมากกว่าสองเท่า จาก 120 รายการเป็น 300 รายการ ทั้งนี้ ApsaraDB for Redis Enhanced Edition (Tair) ซึ่งเป็นบริการฐานข้อมูลในหน่วยความจำที่ทำงานบนคลาวด์สำหรับองค์กรต่าง ๆ สามารถรองรับฟังก์ชันใหม่ ๆ เช่น การจัดกลุ่มและการจัดเรียงผลิตภัณฑ์ ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคจัดระเบียบตะกร้าสินค้าของตนได้ตามต้องการ ทั้งยังสามารถใช้ฟังก์ชัน ‘select’ เพื่อรับส่วนลดจากร้านค้าต่าง ๆ เพื่อสั่งสินค้าล่วงหน้า และเพื่อใช้บัตรกำนัลต่าง ๆ เพื่อให้ได้รับประสบการณ์การช้อปปิ้งที่คุ้มค่ามากขึ้น

นวัตกรรมทางเทคโนโลยีมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้ผู้บริโภค

เทคโนโลยีกรรมสิทธิ์ของอาลีบาบาที่ขยายการใช้งาน AR จำลองวัตถุเสมือนสู่โลกความจริง ช่วยให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์สุดพิเศษในการช้อปปิ้งปีนี้ เทคโนโลยี 3D modeling ของอาลีบาบาใช้ประโยชน์จาก neural radiance field (NeRF) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีโครงข่ายประสาทเทียมสำหรับการสร้างมุมมองฉาก 3D ที่ซับซ้อน ได้ช่วยให้แบรนด์ค้าปลีกและเฟอร์นิเจอร์ เช่น Burberry, Estee Lauder และ SK-II สร้างร้านค้าเสมือนจริงบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Tmall 

ฉากธรรมชาติกลางแจ้งสร้างขึ้นจาก 3D renderings ที่พัฒนาขึ้นเอง ที่ทำการเรนเดอร์แสงธรรมชาติ ความเจิดจรัส และธรรมชาติการไหลของน้ำที่สมจริง เพื่อให้แบรนด์สินค้ากีฬาต่าง ๆ เช่น Descente ของญี่ปุ่น ใช้เป็นฉากจัดแสดงผลิตภัณฑ์ล่าสุดในสภาพแวดล้อมที่สดใสมีชีวิตชีวา เทคโนโลยี AR ยังช่วยให้ผู้บริโภคสามารถดูผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในรูปแบบสามมิติ จึงสามารถตรวจสอบข้อมูลของผลิตภัณฑ์ได้อย่างละเอียด หรือลองใช้นาฬิกาและอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ได้แบบเวอร์ชวล หรือสามารถสัมผัสและรู้ว่าเมื่อจัดวางเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ในบ้านแล้วจะออกมาในรูปแบบใด ให้ความรู้สึกแบบไหน หรือหากกลางเต็นท์สำหรับการตั้งแคมป์กลางแจ้งแล้วจะอยู่ในลักษณะใด

การปฏิสัมพันธ์อีกหนึ่งรูปแบบที่เกิดขึ้นใหม่มาจากมาร์เก็ตเพลสที่ขับเคลื่อนด้วย XR บน Tmall และ Taobao มาจากถนนช้อปปิ้งเสมือนจริงที่สร้างขึ้นด้วยการใช้เทคโนโลยีในการสร้าง automatic 3D space จากสถาบันวิจัย DAMO Academy ของอาลีบาบา โดยมีผลิตภัณฑ์มากกว่า 700 รายการ จาก 70 แบรนด์ อยู่บนถนนสายนี้ รวมทั้งแฟรนไชส์ที่ได้รับการยอมรับในนานาประเทศ 30 แห่ง เช่น Hello Kitty ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ Sanrio และ Minions ซึ่งเป็นแฟรนไชส์ของ Hollywood  นักช้อปทั้งหลายยังสามารถเลือกรูปอวาตาของตนเอง ตรวจสอบสินค้าและเพิ่มสินค้าเหล่านั้นไว้ในตะกร้าช้อปปิ้งเสมือนจริงของตนได้

ในช่วงเวลา 12 วันของเทศกาลปีนี้ ซึ่งเริ่มจาก 31 ตุลาคม ถึง 11 พฤศจิกายน มีพัสดุเกือบ 2 ล้านชิ้นส่งผ่าน Xiaomanlv ซึ่งเป็นพาหนะขนส่งสินค้าถึงมือลูกค้าของอาลีบาบา จำนวนพัสดุปีนี้เพิ่มขึ้นสองเท่าจากปีที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกัน มีการนำหุ่นยนต์ด้านโลจิสติกส์นี้ไปใช้มากกว่า 400 แห่งทั่วประเทศจีน ซึ่งช่วยลดเวลารอคิวจัดส่งพัสดุในเวลาเร่งด่วน

 เทศกาล 11.11 ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนี้ ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี

นอกจากโซลูชันคลาวด์คอมพิวติ้งที่ช่วยประหยัดพลังงานแล้ว ไฮเปอร์-สเกล ดาต้าเซ็นเตอร์ห้าแห่งทั่วประเทศจีนของอาลีบาบา คลาวด์ ยังช่วยเพิ่มปริมาณพลังงานสะอาดที่ใช้ในมหกรรม 11.11 ปีนี้ได้สองเท่าของปีที่ผ่านมา ในมหกรรม 11.11 ปีนี้ อาลีบาบา คลาวด์ ใช้ไฟจากพลังงานสะอาดมากกว่า 32 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็นการใช้พลังงานสะอาดเพิ่มขึ้น 30% ต่อวันโดยเฉลี่ยเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว นอกจากนี้ ในปัจจุบัน ดาต้าเซ็นเตอร์ Heyuan ของอาลีบาบา คลาวด์ ซึ่งเป็นไฮเปอร์-สเกล ดาต้าเซ็นเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทคลาวด์ในประเทศจีนตอนใต้ ใช้พลังงานสะอาดทั้งหมด เทคโนโลยี immersion cooling ที่พัฒนาขึ้นเองของอาลีบาบา คลาวด์ ช่วยลดการใช้พลังงานของดาต้าเซ็นเตอร์ทั้งหลายด้วยประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ที่ต่ำถึง 1.09 ซึ่งนับเป็นระดับที่อยู่ในแนวหน้าของโลก

อาลีบาบา คลาวด์ ยังทำงานร่วมกับ Tmall เพื่อใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มบริหารจัดการคาร์บอนที่เรียกว่า Energy Expert โดยการจัดทำแบบจำลองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ การคำนวณ และการรับรองต่าง ๆ ผ่านทางออนไลน์ ให้กับแบรนด์ต่าง ๆ มากกว่า 40 แบรนด์จากหลากหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ เช่น กระดาษและเยื่อกระดาษ อาหาร และของใช้ส่วนตัว เพื่อช่วยจัดหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ แจกแจงที่มาของการปล่อยคาร์บอน และปฏิบัติตามแนวทางด้านความยั่งยืนเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน