ดีดีพร็อพเพอร์ตี้เผยสุดยอดทำเลทองครองใจคนหาบ้านประจำปี 65

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้เผยสุดยอดทำเลทองครองใจคนหาบ้านประจำปี 65

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้เผยสุดยอดทำเลทองครองใจคนหาบ้านประจำปี 65

คอนโดฯ Affordable โดนใจผู้ซื้อชาวกรุง สวนกระแสบ้านหรูครองใจผู้ซื้อบ้านเดี่ยว 

ปี 2565 เป็นปีแห่งความหวังของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย แต่กลายเป็นว่าต้องเผชิญมรสุมความท้าทายทั้งจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ผนวกกับภาวะเงินเฟ้อที่ผลักดันให้ต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ล้วนส่งผลให้ทิศทางการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ปีนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่คิดไว้ อย่างไรก็ดีมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ ของภาครัฐอย่างต่อเนื่องและการผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-Value: LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะสิ้นสุดลงในปลายปีนี้ ยังคงเป็นปัจจัยบวกที่ดึงดูดให้กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในปีนี้มากขึ้น ข้อมูลจากผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนพฤศจิกายน 2565 ของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (Consumer Confidence Index: CCI) ปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 46.1 เป็น 47.9 ซึ่งเป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 20 เดือนนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 เป็นต้นมา ถือเป็นสัญญาณบวกสะท้อนให้เห็นว่าความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภคได้กลับมาแล้ว  

ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่า ปัจจัยภายนอกที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญอันดับต้น ๆ เมื่อเลือกซื้อที่อยู่อาศัยนั้น มากกว่าครึ่งต้องการโครงการที่เดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ (53%) ตามมาด้วยเลือกจากทำเลที่ตั้งของโครงการ (50%) สะท้อนให้เห็นว่าคนหาบ้านปัจจุบันยังคงให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อบ้าน/คอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพ พร้อมรองรับการเดินทางไปทำงานและไลฟ์สไตล์ทุกด้านด้วยนั่นเอง 

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยข้อมูลเชิงลึกจากผู้เข้าเยี่ยมชมในเว็บไซต์ www.ddproperty.com และแอปพลิเคชัน DDproperty ในรอบปี 2565 (เก็บข้อมูลระหว่างเดือนมกราคม – พฤศจิกายน 2565) สะท้อนเทรนด์ความต้องการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคชาวไทยทั่วประเทศ

21-Dec_Buyer-search-from-DDproperty_resize-(1)

โดย 10 ทำเลในกรุงเทพฯ ที่ได้รับความสนใจซื้อมากที่สุดในรอบปี 2565 ได้แก่ 

    • อันดับ 1 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง
    • อันดับ 2 แขวงบางจาก เขตพระโขนง
    • อันดับ 3 แขวงบางนา เขตบางนา
    • อันดับ 4 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา 
    • อันดับ 5 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว
    • อันดับ 6 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง
    • อันดับ 7 แขวงจอมพล เขตจตุจักร
    • อันดับ 8 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ
    • อันดับ 9 แขวงดินแดง เขตดินแดง
    • อันดับ 10 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาทำเลในกรุงเทพฯ ที่ได้รับความสนใจซื้อมากที่สุด เมื่อแบ่งตามประเภทของอสังหาฯ แล้วพบว่า 

    • ทำเลในกรุงเทพฯ ที่ได้รับความสนใจซื้อคอนโดฯ สูงสุดในรอบปี 2565 ได้แก่ แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา
    • ทำเลในกรุงเทพฯ ที่ได้รับความสนใจซื้อบ้านเดี่ยวสูงสุดในรอบปี 2565 ได้แก่ แขวงประเวศ เขตประเวศ
    • ทำเลในกรุงเทพฯ ที่ได้รับความสนใจซื้อทาวน์เฮ้าส์สูงสุดในรอบปี 2565 ได้แก่ แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน

“บางจาก” ทำเลศักยภาพมาแรง ผู้เช่าค้นหามากที่สุดแห่งปี

ท่ามกลางความท้าทายทางการเงินจากสภาพเศรษฐกิจและการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาเลือกเช่าแทนการซื้อที่อยู่อาศัย เนื่องจากช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและสะดวกในการโยกย้ายถิ่นฐานมากกว่า ข้อมูลจากจำนวนการเข้าชมประกาศอสังหาฯ ให้เช่า บนเว็บไซต์ DDproperty พบว่า ในปี 2565 นี้ “บางจาก” เป็นทำเลที่ได้รับความสนใจเช่ามากที่สุด ด้วยความโดดเด่นจากการเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยยอดนิยมของวัยทำงานทั้งชาวไทยและต่างชาติ อยู่ใกล้ใจกลางเมือง รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และมีรถไฟฟ้าผ่าน ส่งผลให้ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีคอนโดฯ ที่มีราคาเอื้อมถึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

โดย 10 ทำเลในกรุงเทพฯ ที่ได้รับความสนใจเช่ามากที่สุดในรอบปี 2565 ได้แก่ 

    • อันดับ 1 แขวงบางจาก เขตพระโขนง
    • อันดับ 2 แขวงบางนา เขตบางนา
    • อันดับ 3 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา 
    • อันดับ 4 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง
    • อันดับ 5 แขวงพระโขนง เขตคลองเตย
    • อันดับ 6 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง
    • อันดับ 7 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา
    • อันดับ 8 แขวงดินแดง เขตดินแดง
    • อันดับ 9 แขวงจอมพล เขตจตุจักร
    • อันดับ 10 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ

ขณะที่ทำเลที่ได้รับความสนใจเช่ามากที่สุดในรอบปี เมื่อแบ่งตามประเภทของอสังหาฯ พบว่า “สวนหลวง” ครองอันดับ 1 ของการค้นหาที่อยู่อาศัยแนวราบเพื่อเช่า เนื่องจากเป็นย่านที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงระดับบนที่สามารถเดินทางได้สะดวก 

    • ทำเลในกรุงเทพฯ ที่ได้รับความสนใจเช่าคอนโดฯ สูงสุดในรอบปี 2565 ได้แก่ แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง 
    • ทำเลในกรุงเทพฯ ที่ได้รับความสนใจเช่าบ้านเดี่ยวสูงสุดในรอบปี 2565 ได้แก่ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง
    • ทำเลในกรุงเทพฯ ที่ได้รับความสนใจเช่าทาวน์เฮ้าส์สูงสุดในรอบปี 2565 ได้แก่ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง

คอนโดฯ – ทาวน์เฮ้าส์ราคาจับต้องได้ตอบโจทย์ผู้ซื้อ ด้านกลุ่มรายได้สูงมองหาบ้านเดี่ยว

ขณะที่ประเภทอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ ที่มีความสนใจซื้อมากที่สุดในรอบปี 2565 พบว่า ผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง (55%) ค้นหาคอนโดฯ มาเป็นอันดับ 1 สะท้อนให้เห็นว่า คอนโดฯ ยังคงมีดีมานด์ทั้งจากผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยหรือนักลงทุน เนื่องจากมีกลุ่มเป้าหมายในการอยู่อาศัยชัดเจน และมีจุดเด่นที่อำนวยความสะดวกให้ใช้ชีวิตในเมืองหลวงได้คล่องตัวกว่า ตามมาด้วยบ้านเดี่ยว (28%) และทาวน์เฮ้าส์ (17%) โดยระดับราคาที่อยู่อาศัยที่ชาวกรุงสนใจซื้อมากที่สุดในรอบปี 2565 เมื่อแบ่งตามประเภทอสังหาฯ พบว่า

    • ระดับราคาคอนโดฯ ที่มีการค้นหามากที่สุดในรอบปี ได้แก่ ระดับราคา 1-3 ล้านบาท มีการค้นหามากถึง 42% สะท้อนให้เห็นดีมานด์ของกลุ่มลูกค้าในตลาดกลาง-ล่างที่ต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในราคาจับต้องได้ (Affordable price) หรือซื้อที่อยู่อาศัยเป็นครั้งแรก จึงเลือกที่เหมาะสมกับกำลังซื้อ และคุ้มค่าเมื่อพิจารณาจากปัจจัยบวกที่ได้จากมาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์-ค่าจดจำนอง เหลือเพียง 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-Value: LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้สามารถกู้ได้เต็ม 100% ภายในสิ้นปี 2565 นี้ ตามมาด้วยระดับราคา 5-10 ล้านบาท และ 3-5 ล้านบาท (ในสัดส่วน 18% และ 16% ตามลำดับ) 
    • สวนทางกับระดับราคาบ้านเดี่ยวที่มีความสนใจซื้อมากที่สุดในรอบปี ได้แก่ ระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยสัดส่วน 36% ตามมาด้วยระดับราคา 5-10 ล้านบาท (30%) และระดับราคา 3-5 ล้านบาท (20%) สะท้อนให้เห็นถึงดีมานด์ในกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงและมีเงินเก็บเพียงพอ ที่สนใจเป็นเจ้าของบ้านหรู (Luxury) โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ และผู้บริโภคที่ต้องการพื้นที่รองรับการอยู่อาศัยของสมาชิกในครอบครัว จำเป็นต้องเลือกพิจารณาบ้านเดี่ยวที่ราคาสูงขึ้น เพื่อแลกกับพื้นที่ใช้สอยที่ตอบโจทย์
    • ส่วนระดับราคาของทาวน์เฮ้าส์ที่มีความสนใจซื้อมากที่สุดในรอบปี พบว่า ผู้บริโภคเกือบครึ่ง (48%) ค้นหาทาวน์เฮ้าส์ในระดับราคา 1-3 ล้านบาทมากที่สุด ตามมาด้วยระดับราคา 3-5 ล้านบาท ( 27%) และ 5-10 ล้านบาท (15%) จะเห็นว่าผู้บริโภคให้ความสนใจเลือกซื้อทาวน์เฮ้าส์ในระดับราคาที่จับต้องได้ เช่นเดียวกับในกลุ่มคอนโดฯ 

คอนโดฯ – ทาวน์เฮ้าส์ต่ำ 2 หมื่น ครองใจผู้เช่า

ในฝั่งตลาดเช่าที่อยู่อาศัยพบว่า “คอนโดฯ” ยังคงครองความนิยมและเป็นประเภทอสังหาฯ สำหรับเช่าที่มีคนค้นหามากที่สุดในรอบปี 2565 ด้วยสัดส่วนถึง 86% เนื่องด้วยเป็นรูปแบบที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในสังคมเมือง ซึ่งมีทั้งวัยทำงานและวัยเรียนเข้ามากระจุกตัวเป็นจำนวนมาก ด้านที่อยู่อาศัยแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์นั้นมีความสนใจเช่าในสัดส่วนเท่ากันที่ 7% เมื่อพิจารณาระดับค่าเช่าต่อเดือนที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในรอบปี แบ่งตามประเภทอสังหาฯ พบว่า

    • ระดับค่าเช่าคอนโดฯ ที่มีคนค้นหามากที่สุดในรอบปี เกือบ 4 ใน 5 ของผู้เช่า (74%) สนใจค้นหาที่ระดับราคาไม่เกิน 20,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสมเมื่อเปรียบเทียบความคุ้มค่าในการเช่าคอนโดฯ บนทำเลที่เดินทางสะดวก มีระบบความปลอดภัยที่ไว้วางใจได้ และระบบบริหารจัดการที่ได้มาตรฐาน 
      • อันดับ 1 ระดับค่าเช่า 10,000-20,000 บาท สัดส่วน 38% 
      • อันดับ 2 ระดับค่าเช่า ไม่เกิน 10,000 บาท สัดส่วน 36% 
      • อันดับ 3 ระดับค่าเช่า 30,000 บาทขึ้นไป สัดส่วน 15%
  • ระดับค่าเช่าบ้านเดี่ยวที่มีคนค้นหามากที่สุดในรอบปี ผู้เช่ามากกว่าครึ่ง (59%) สนใจเช่าที่ระดับราคา 30,000 บาทขึ้นไป โดยให้ความสำคัญไปที่การเช่าบ้านเดี่ยวที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตั้งอยู่ในทำเลทองที่หาซื้อบ้านใหม่ในราคาที่เหมาะสมได้ยาก มีพื้นที่เพียงพอรองรับการใช้ชีวิตของสมาชิกในครอบครัว ซึ่งถือว่าคุ้มค่าหากเทียบกับการมีภาระหนี้ก้อนโตในระยะยาวจากการซื้อบ้านในเวลานี้
      • อันดับ 1 ระดับค่าเช่า 30,000 บาทขึ้นไป สัดส่วน 59%
      • อันดับ 2 ระดับค่าเช่า 10,000-20,000 บาท สัดส่วน 19%
      • อันดับ 3 ระดับค่าเช่า 20,000-30,000 บาท สัดส่วน 16% 
  • ระดับค่าเช่าทาวน์เฮ้าส์ที่มีคนค้นหามากที่สุดในรอบปี ผู้เช่าส่วนใหญ่ (38%) ต้องการเช่าที่ระดับราคาไม่เกิน 20,000 บาท โดยมองว่าเป็นราคาที่สอดคล้องและสมเหตุสมผลในการเช่าทาวน์เฮ้าส์ ที่ได้พื้นที่ส่วนตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าการเช่าห้องพักหรือคอนโดฯ ซึ่งสามารถต่อยอดในการทำธุรกิจได้ด้วย       
      • อันดับ 1 ระดับค่าเช่า 10,000-20,000 บาท สัดส่วน 38%
      • อันดับ 2 ระดับค่าเช่า 30,000 บาทขึ้นไป สัดส่วน 27%
      • อันดับ 3 ระดับค่าเช่า 20,000-30,000 บาท สัดส่วน 20% 

CIMB Thai Bank and KASIKORN Business-Technology Group Announced as Winners of the Red Hat APAC Innovation Awards 2022 for Thailand

CIMB Thai Bank และ KBTG สององค์กรไทย ได้รับรางวัล APAC Innovation Awards ประจำปี 2565 จาก Red Hat

CIMB Thai Bank and KASIKORN Business-Technology Group Announced as Winners of the Red Hat APAC Innovation Awards 2022 for Thailand

The winners were recognized for using Red Hat open source to enhance customer experiences and to boost productivity to adapt in a fast-changing business landscape

Red Hat, Inc., the world’s leading provider of open source solutions, today announced the winner of the Red Hat APAC Innovation Awards 2022 for Thailand. CIMB Thai Bank and KASIKORN Business-Technology Group (KBTG) were honored at the Red Hat Summit: Connect today for leveraging Red Hat solutions to enhance their customers’ experiences and accelerate their infrastructure team’s productivity in an evolving business landscape.

In line with this year’s theme of “Explore what’s next”, the Red Hat Summit: Connect celebrates organizations’ ability to adapt to rapidly changing business environments, transform their business models and deliver better experiences to customers with open source. This year, the Red Hat APAC Innovation Awards recognizes the digital transformation success of 26 organizations in the region for their creative use of Red Hat solutions to stay ahead of industry trends and customer needs.

In today’s fast changing business environment, agility and innovation are crucial for business success. According to Red Hat’s State of Enterprise Open Source 2022 report, 95 percent of Asia Pacific enterprises say that open source is important to their organization’s overall enterprise infrastructure software strategy, helping them stay nimble and respond to changing customer demands in the long run.

The winners showcased the positive impact of their Red Hat deployments to support their business vision, workplace culture, industry and communities. They demonstrate how open source tools and culture have the power to accelerate business processes, enhance productivity, stimulate innovation and address future challenges.

The awards comprise five categories: Digital Transformation, Hybrid Cloud Infrastructure, Cloud-native Development, Automation and Resilience.

Category: Digital Transformation and Hybrid Cloud Infrastructure
Winner: CIMB Thai Bank

CIMB Thai Bank Public Company Limited (CIMB Thai Bank), envisions becoming a leading digital bank within ASEAN and aims to shape itself as a high-performing sustainable organization to advance customers and society through leveraging best-in-class financial solutions, ASEAN networks and technology. Today, CIMB Thai Bank is the 8th largest commercial bank in Thailand and is listed on the Stock Exchange of Thailand.

To fulfill their vision of becoming a leading digital bank and better meet the demands of their digitally savvy customers, CIMB Thai Bank prioritized the development of digital banking solutions, such as e-payments and cross bank transfer services. In their initial efforts to build these solutions, CIMB Thai Bank wanted to accelerate their development cycles as their digital infrastructure needed to support a higher volume of workloads. In order to ensure the building and scaling of innovative applications, and to deliver these apps at accelerated speeds, CIMB Thai Bank identified the need for a new digital banking platform.  CIMB Thai Bank leveraged open source solutions Red Hat OpenShift and Red Hat OpenShift on AWS (ROSA) to provide the new banking platform’s agility, scalability and resiliency to support high development volumes on both cloud and on-premise environments.

The solutions have managed to speed up the delivery of new digital banking solutions which has also contributed to improvements in their customer experience scores. The Bank’s infrastructure team has also experienced cost savings, and now has greater flexibility to build more digital business functions and leverage new technologies thanks to the benefits offered by open source solutions.

Category: Digital Transformation and Cloud-Native Development
Winner: KASIKORN Business-Technology Group (KBTG)

KASIKORNBANK (KBank) is a banking group founded in 1945 that provides services to a comprehensive set of consumers, including commercial and corporate banking products such as foreign exchange, lending, credit card, and personal-home-car loan and hire purchases. KBank is currently Thailand’s number one mobile banking provider with more than 18.6 million users on K PLUS. As of 2022, KBank is ranked the fourth highest bank in Thailand in terms of assets and deposits, and ranked third in terms of loans market share. KBTG is the dedicated IT arm of the bank that maintains its digital infrastructure and develops technology for the future of KBank.

To maintain their leadership as Thailand’s top digital banking provider and to support continuous business growth, KBTG looked to further modernize their digital infrastructure and continue delivering a broader range of digital services and offerings. KBTG sought greater flexibility and agility than its previous platform, in order to deploy more services and applications that would keep pace with the rapid growth of digital transactions. This required KBTG to enhance their platform to speed up the time-to-market for digital channel services and products. In January 2022, KBTG expanded their use of open source solutions Red Hat OpenShift and Red Hat Advanced Cluster Management, which helped orchestrate, build and deploy new applications on-premise quickly by modernizing key infrastructure technologies such as programming languages and containers. Leveraging Red Hat’s solutions enabled KBTG’s infrastructure team to reduce time to provision systems and deploy applications from 3 days to within a day, improving the team’s speed in delivering new applications and features.

Supporting Quotes

Marjet Andriesse, senior vice president and general manager, APJC, Red Hat
“As digital transformation via the Thailand 4.0 plan continues to accelerate, we celebrate the achievements of our customers who have demonstrated how open source can help them stay agile and responsive to market and customer trends. Our Thailand winners have showcased exceptional agility and innovation when it comes to using technologies like hybrid cloud to increase application development speed and time-to-market for their business and customers. I hope that they will serve as an inspiration for more organizations in Asia Pacific to unlock the potential of open source.”

Paisan Thumpothong, Head of Technology and Data , CIMB Thai Bank

“As part of our efforts to remain competitive in Thailand’s financial landscape, CIMB Thai Bank has prioritized the need for more personalized digital banking solutions for our customers. To ensure that our digital infrastructure could keep up with the increased pace of product development efforts, we built a new digital banking platform to harness the flexibility and scalability of hybrid cloud technologies. Red Hat’s open source solutions were instrumental in supporting this shift by providing the ability, scalability and resiliency capabilities for this platform on both our on premise and cloud environments.”

Tawan Jithavech, Chief Technology Officer, KBTG

“KBank has been the number one digital bank in Thailand, and we are constantly innovating to make sure we maintain that position. Modernizing our application infrastructure was thus a necessity for us to ensure that we could continue enhancing our customers’ digital experiences by delivering new digital services and offerings. Red Hat’s solutions ensured that our infrastructure’s key components, such as our programming languages and containers, were optimized to deliver new applications and features to market quickly.”

CIMB Thai Bank และ KBTG สององค์กรไทย ได้รับรางวัล APAC Innovation Awards ประจำปี 2565 จาก Red Hat

CIMB Thai Bank และ KBTG สององค์กรไทย ได้รับรางวัล APAC Innovation Awards ประจำปี 2565 จาก Red Hat

CIMB Thai Bank และ KBTG สององค์กรไทย ได้รับรางวัล APAC Innovation Awards ประจำปี 2565 จาก Red Hat

พิจารณาจากความสำเร็จในการใช้โซลูชันด้านโอเพ่นซอร์สของ Red Hat เพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อปรับกระบวนทัพให้ทันกับแนวทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

Red Hat, Inc. ผู้ให้บริการโซลูชันโอเพ่นซอร์สระดับแนวหน้าของโลก ประกาศรายชื่อผู้ประกอบการไทยที่ได้รับรางวัลนวัตกรรมดีเด่นระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (Red Hat APAC Innovation Awards) ประจำปี 2565 ได้แก่ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) (CIMB Thai Bank) และ กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ณ งาน Red Hat Summit: Connect รางวัลนี้พิจารณาจากการนำโซลูชันของ Red Hat ไปใช้เพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า และเร่งให้ทีมงานด้านโครงสร้างพื้นฐานไอทีดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างรวดเร็ว รองรับแนวทางการดำเนินธุรกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลง

การจัดงาน Red Hat Summit: Connect ภายใต้ธีม “Explore what’s next” ในปีนี้ได้ยกย่องความสามารถขององค์กรต่าง ๆ ที่นำเทคโนโลยีโอเพ่นซอร์สไปใช้เพื่อปรับตัวได้ทันกับสภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ปรับเปลี่ยนรูปแบบในการทำธุรกิจได้อย่างเหมาะสม และมอบประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งในปีนี้ Red Hat APAC Innovation Awards ให้การยกย่ององค์กรจำนวน 26 แห่งในภูมิภาคที่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล จากการนำโซลูชันของRed Hat ไปใช้อย่างสร้างสรรค์ เพื่อก้าวล้ำเทรนด์ต่าง ๆ ในอุตสาหกรรม และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทันท่วงที

ความคล่องตัวและนวัตกรรมมีความสำคัญมากต่อความสำเร็จของธุรกิจในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน รายงาน State of Enterprise Open Source 2022 ของ Red Hat ระบุว่า 95 เปอร์เซ็นต์ขององค์กรในเอเชียแปซิฟิกกล่าวว่า โอเพ่นซอร์สเป็นเทคโนโลยีสำคัญต่อกลยุทธ์ด้านซอฟต์แวร์โครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดขององค์กร โอเพ่นซอร์สช่วยให้องค์กรมีความคล่องตัว ปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปได้ในระยะยาว

ผู้ได้รับรางวัลในสาขาต่าง ๆ จะต้องแสดงให้เห็นถึงผลกระทบเชิงบวกจากการนำโซลูชันของ Red Hat ไปใช้สนับสนุนวิสัยทัศน์ทางธุรกิจ วัฒนธรรมองค์กร อุตสาหกรรมและชุมชนต่าง ๆ โดยต้องแสดงให้เห็นว่าเครื่องมือและวัฒนธรรมแบบโอเพ่นซอร์สสามารถเร่งให้กระบวนการทางธุรกิจ และการทำงานรวดเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น กระตุ้นให้เกิดนวัตกรรม และสามารถแก้ไขความท้าทายต่าง ๆ ในอนาคตได้อย่างไร

รางวัลในปีนี้แบ่งเป็นห้าสาขา ได้แก่ ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น (Digital Transformation), โครงสร้างพื้นฐานไฮบริดคลาวด์ (Hybrid Cloud Infrastructure), การพัฒนาคลาวด์-เนทีฟ (Cloud-native Development), ระบบอัตโนมัติ (Automation) และความยืดหยุ่น (Resilience) สำหรับประเทศไทยมีองค์กรได้รับรางวัลสอง แห่ง คือ CIMB Thai Bank และ KBTG

สาขา: Digital Transformation และ Hybrid Cloud Infrastructure
องค์กรที่ได้รับรางวัล: ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) (CIMB Thai Bank)

ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) (CIMB Thai Bank) มีวิสัยทัศน์ในการเป็นธนาคารดิจิทัลระดับแนวหน้าในอาเซียน และมุ่งมั่นสร้างองค์กรให้เป็นธนาคารที่มีสมรรถนะสูงอย่างยั่งยืน เพื่อเสริมสร้างความก้าวล้ำให้ลูกค้าและสังคม ผ่านบริการทางการเงินที่ดีที่สุดในแต่ละด้าน ผ่านความแข็งแกร่งของเครือข่ายของธนาคารในอาเซียน และด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สุด ปัจจุบันธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของประเทศไทย

เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ในการเป็นธนาคารดิจิทัลระดับแนวหน้าและตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ทำธุรกรรมผ่านดิจิทัลจำนวนมาก ธนาคารจึงได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบริการต่าง ๆ ในรูปแบบธนาคารดิจิทัล เช่น การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-payments) และบริการโอนเงินระหว่างธนาคาร เป็นต้น ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของธนาคารฯ จำเป็นต้องมีวงจรในการพัฒนาให้รวดเร็วขึ้น รองรับปริมาณเวิร์กโหลดที่มากขึ้น เพื่อให้สามารถสร้างและปรับขนาดแอปพลิเคชันใหม่ ๆ และส่งแอปพลิเคชันเหล่านี้ออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น ธนาคารฯ จึงเห็นความจำเป็นที่จะต้องนำแพลตฟอร์มใหม่ด้านธนาคารดิจิทัลมาใช้ โดย Red Hat OpenShift และ Red Hat OpenShift on AWS (ROSA) เป็นโซลูชันด้านโอเพ่นซอร์สแพลตฟอร์มที่จะช่วยให้บริการด้านธุรกรรมการเงินของธนาคารมีความคล่องตัว ปรับขนาดการทำงานได้ตามต้องการ และมีความยืดหยุ่น สามารถรองรับปริมาณงานพัฒนาแอปพลิเคชันจำนวนมากทั้งบนระบบคลาวด์และในระบบภายในองค์กรได้ 

โซลูชันดังกล่าว ช่วยให้ธนาคารฯ สามารถทำการพัฒนาและส่งมอบแอปพลิเคชัน รวมทั้งบริการด้านธนาคารดิจิทัลใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น ซึ่งส่งผลถึงการเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้มากขึ้น ควบคู่ไปกับการดูแลต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ การสร้างฟังก์ชั่นทางธุรกิจในรูปแบบดิจิทัลได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น ทั้งยังได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่โซลูชันด้านโอเพ่นซอร์สมีให้อีกด้วย

สาขา: Digital Transformation และ Cloud-Native Development
องค์กรที่ได้รับรางวัล: กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG)

ธนาคารกสิกรไทย (KBank) ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2488 เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการธนาคารแบบครบวงจรแก่ผู้บริโภค การพาณิชย์ และองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ การให้กู้ยืม บัตรเครดิต สินเชื่อรถยนต์ส่วนบุคคล สินเชื่อบ้าน รถ และสินเชื่อเช่าซื้อ เป็นต้น ปัจจุบัน KBank เป็นผู้ให้
บริการ K PLUS โมบายแบ้งกิ้งอันดับหนึ่งของประเทศไทยที่มียอดผู้ใช้งานมากกว่า 18.6 ล้านคน และในปี พ.ศ. 2565 KBank เป็นธนาคารที่มีสินทรัพย์และเงินฝากสูงสุดเป็นอันดับสี่ในประเทศ ทั้งยังมีส่วนแบ่ง ตลาดด้านสินเชื่อมากสุดเป็นอันดับสาม โดย KBTG หน่วยงานด้านไอทีของ KBank ทำหน้าที่ดูแล Infrastrucutre และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรองรับธุรกิจของธนาคารทั้งในปัจจุบันและอนาคต

KBTG จำเป็นต้องพัฒนาระบบ Infrastructure ของธนาคารให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อรองรับการให้บริการลูกค้า และนำเสนอผลิตภัณฑ์ดิจิทัลใหม่ ๆ ที่หลากหลาย รวมถึงการคงสถานะการเป็นผู้นำทางด้านธนาคารดิจิทัลของไทย KBTG จึงมองหาแพลตฟอร์มที่มีความยืดหยุ่น คล่องตัว และมีประสิทธิภาพการทำงานเท่าทันการเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกรรมดิจิทัล ให้สามารถรองรับแอปพลิเคชันจำนวนมาก ทั้งยังทวีความรวดเร็วในการส่งผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลออกสู่ตลาด เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2565 KBTG ได้นำ Red Hat OpenShift และ Red Hat Advanced Cluster Management ซึ่งเป็นโซลูชันด้านโอเพ่นซอร์สที่ช่วยอำนวยความสะดวก ให้การสร้างและออกแอปพลิเคชันใหม่ ๆ แบบ On-premise สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการปรับปรุงเทคโนโลยี Infrastructure ที่สำคัญให้ทันสมัยมากขึ้น เช่น ภาษาที่ใช้เขียนโปรแกรม และคอนเทนเนอร์ การนำโซลูชันของ Red Hat มาใช้ ช่วยให้ KBTG สามารถลดเวลาในการจัดเตรียมระบบ และออกแอปพลิเคชันจาก 3 วัน เหลือเพียงวันเดียว ทำให้เราสามารถส่งมอบแอปพลิเคชันและฟีเจอร์ใหม่ ๆ ได้เร็วขึ้น

คำกล่าวสนับสนุน

Marjet Andriesse, senior vice president and general manager, APJC, Red Hat

“ในขณะที่การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลตามแผน Thailand 4.0 ยังคงดำเนินไปอย่างรวดเร็ว Red Hat ขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของลูกค้าของเรา ที่ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าโอเพ่นซอร์สสามารถช่วยให้พวกเขามีความคล่องตัวและตอบสนองเทรนด์ของตลาดและลูกค้าได้อย่างไร ลูกค้าไทยของเราที่ได้รับรางวัลล้วนยืนยันให้เห็นถึงความคล่องตัว และสมรรถนะของนวัตกรรมในแง่มุมของการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น ไฮบริดคลาวด์ เพื่อให้สามารถพัฒนาแอปพลิเคชัน และส่งผลิตภัณฑ์/บริการออกสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็วขึ้น เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจและลูกค้าขององค์กรเหล่านั้น ฉันหวังว่าความสำเร็จเหล่านี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับองค์กรอื่น ๆ ในเอเชียแปซิฟิกให้ปลดล็อก และใช้ประโยชน์จากศักยภาพของโอเพ่นซอร์สได้เต็มประสิทธิภาพ”

นายไพศาล ธรรมโพธิทอง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เทคโนโลยีและวิทยาการข้อมูล ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย

“ความมุ่งมั่นอย่างหนึ่งของเราเพื่อคงความสามารถในการแข่งขันในตลาดด้านการเงินในประเทศไทย คือการให้ความสำคัญกับการให้บริการลูกค้าด้วยบริการธนาคารดิจิทัลที่ปรับให้เจาะจงตามความต้องการของแต่ละบุคคลมากขึ้น และเพื่อให้มั่นใจได้ว่าโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของเราจะสามารถรองรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์/บริการที่เพิ่มมากขึ้นได้ เราจึงสร้างแพลตฟอร์มธนาคารดิจิทัลขึ้นมาใหม่ เพื่อใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับขนาดการทำงานซึ่งเป็นคุณสมบัติของเทคโนโลยีไฮบริดคลาวด์ เราใช้โซลูชันโอเพ่นซอร์สของ Red Hat เป็นเทคโนโลยีสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านนี้ เราจึงมั่นใจว่าแพลตฟอร์มที่เราใช้มีประสิทธิภาพ สามารถปรับขนาดการทำงานได้ตามความเหมาะสม และมีความยืดหยุ่น ทั้งการใช้งานในระบบที่อยู่ภายในองค์กรและบนคลาวด์ต่าง ๆ”

นายตะวัน จิตรถเวช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี, KBTG

“ในฐานะที่ KBank เป็นธนาคารดิจิทัลอันดับหนึ่งของไทย เราจำเป็นที่จะต้องสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่าง ต่อเนื่องเพื่อคงจุดยืนนี้ไว้ ดังนั้นการปรับโครงสร้างพื้นฐานแอปพลิเคชันของธนาคารฯ ให้ทันสมัยอยู่เสมอจึงเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อให้เราสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการหลากหลาย ที่จะช่วยเพิ่มประสบการณ์ในโลกดิจิทัลของลูกค้า โซลูชันของ Red Hat ช่วยให้เรามั่นใจว่าองค์ประกอบสำคัญใน Infrastructure ของเรา เช่น ภาษาที่ใช้การเขียนโปรแกรมและคอนเทนเนอร์ นั้นมีประสิทธิภาพสูงสุด และเราจะสามารถส่งมอบแอปพลิเคชันและฟีเจอร์ใหม่ ๆ สู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว”

Ericsson & depa Join Forces to Drive 5G Digital Transformation in Thailand

Ericsson & depa Join Forces to Drive 5G Digital Transformation in Thailand

Ericsson & depa Join Forces to Drive 5G Digital Transformation in Thailand

    • Collaboration will focus on driving digitization in Thailand
    • An innovation lab to be set up in Thailand Digital Valley that will serve as a 5G testbed

Ericsson (NASDAQ: ERIC) and the Digital Economy Promotion Agency (depa) today signed a Memorandum of Understanding to collaborate towards driving 5G based digital transformation in Thailand. The collaboration entails sharing best practices, advanced understanding and Ericsson’s state-of-the-art technology to accelerate Thailand’s journey towards becoming a digital economy.

As part of the MoU, Ericsson and depa will establish an innovation lab (Innolab) in depa’s Thailand Digital Valley in Chonburi province that will serve as a 5G testbed and service center for trials of new wireless and network technologies, spectrum sharing, as well as new applications and services in Thailand.

“Ericsson will continue to work closely with key stakeholders to drive the vision of Thailand 4.0 and support the development of the 5G ecosystem. As the global 5G technology leader, Ericsson will bring its state-of-the -art technology and solutions together with our global experience and expertise to realize Thailand’s goal of becoming a digital economy and society,” states Igor Maurell, Head of Ericsson Thailand.

“We will be working with Ericsson as our strategic partner in driving the ecosystem development in Thailand. Our key mission is to partner with stakeholders in the industry to come up with strategic plans to enhance the digital economy together with fostering innovations that are relevant to depa’s goal of creating better living and bolstering the competitiveness of the country,” said Asst.Prof. Dr. Nuttapon Nimmanphatcharin, depa’s President & CEO.

The collaboration also aims at creating new opportunities for business development, capability and skill development and encouraging foreign direct investments, while strengthening the role of Thailand Digital Valley in the development of next generation 5G products, services, and applications.

Both organizations share their common goal of supporting 5G based innovation and applications across sectors ranging from manufacturing, service, smart city, agriculture to social development. They also aim to bolster knowledge sharing and develop training programs in terms of technology, applied cases and regulations.

“Digital infrastructure plays a critical role in our society, with communication technologies help to address social, environmental, and economic challenges all across the globe,” Igor said. “We are working to ensure that the robust 5G network platform of today continues to evolve towards the 6G era, delivering new capabilities and superior performance.”

Ericsson is a global 5G leader and today powers 134 live 5G networks in 59 countries with 17 live 5G standalone networks across the world.

อีริคสันและดีป้าผนึกกำลังร่วมกันขับเคลื่อนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันด้วยเครือข่าย 5G ในประเทศไทย

อีริคสันและดีป้าผนึกกำลังร่วมกันขับเคลื่อนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันด้วยเครือข่าย 5G ในประเทศไทย

อีริคสันและดีป้าผนึกกำลังร่วมกันขับเคลื่อนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันด้วยเครือข่าย 5G ในประเทศไทย

    • โดยความร่วมมือในครั้งนี้มุ่งช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยให้เดินหน้าไปสู่ดิจิทัล
    • พร้อมเตรียมจัดตั้งห้องปฏิบัติการด้านนวัตกรรม (Innovation Lab) ใน Thailand Digital Valley เพื่อเป็นสนามทดสอบเครือข่าย 5G

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) เพื่อขับเคลื่อนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชันผ่านการใช้เครือข่าย 5G ในประเทศไทย ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวจะประกอบด้วยการแบ่งปันแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด ความรู้ความเข้าใจขั้นสูง และเทคโนโลยีล้ำสมัยของอีริคสันเพื่อเร่งเดินหน้าประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล

ส่วนหนึ่งในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือนี้ยังระบุว่า อีริคสันและดีป้าจะจัดตั้งห้องปฏิบัติการด้านนวัตกรรม (Innolab) ใน Thailand Digital Valley ของดีป้าในจังหวัดชลบุรี เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์ทดสอบเครือข่าย 5G และศูนย์บริการสำหรับการทดสอบเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายและเครือข่ายใหม่ ๆ อาทิ การแบ่งปันคลื่นความถี่ (Spectrum Sharing) ตลอดจนการพัฒนาแอปพลิเคชันและบริการดิจิทัลใหม่ ๆ ในประเทศไทย

 มร. อิกอร์ มอเรล ประธานบริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “อีริคสันจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ Thailand 4.0 พร้อมสนับสนุนการพัฒนาระบบนิเวศ 5G ในฐานะผู้นำเทคโนโลยี 5G ระดับโลก อีริคสันจะนำเทคโนโลยีและโซลูชันล้ำสมัยมาผสานรวมเข้ากับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญระดับโลกของเรา เพื่อช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายในการสร้างเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล”

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า กล่าวว่า “เราจะทำงานร่วมกับอีริคสันในฐานะพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partner) ของเรา เพื่อผลักดันการพัฒนาระบบนิเวศดิจิทัลในประเทศไทย ทั้งนี้การร่วมมือกับพันธมิตรต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมจัดทำแผนยุทธศาสตร์สำหรับยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลควบคู่ไปกับการส่งเสริมนวัตกรรม ถือเป็นอีกภารกิจสำคัญของดีป้า โดยมุ่งสู่การสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ”

ความร่วมมือนี้ยังช่วยสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการพัฒนาธุรกิจ พัฒนาศักยภาพและทักษะของบุคลากร รวมถึงกระตุ้นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ขณะเดียวกันยังเป็นกลไกขับเคลื่อนระบบนิเวศดิจิทัลครบวงจรที่จะเกิดขึ้นใน Thailand Digital Valley ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และแอปพลิเคชัน 5G ในเจเนอเรชั่นถัดไป

นอกจากนี้อิริคสันและดีป้ายังมีเป้าหมายร่วมกันในการสนับสนุนนวัตกรรมและแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นจากเครือข่าย 5G ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยทั่วทั้งภาคส่วนต่าง ๆ ตั้งแต่ ภาคการผลิต การบริการ การพัฒนาสมาร์ทซิตี้ การเกษตร ไปจนถึงการพัฒนาสังคม อีกทั้งยังส่งเสริมการแบ่งปันองค์ความรู้และร่วมกันพัฒนาโปรแกรมฝึกอบรมด้านเทคโนโลยี การนำกรณีการใช้งาน 5G ต่าง ๆ มาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ รวมถึง กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง

“โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในสังคมของเรา ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารต่าง ๆ ช่วยให้เราจัดการกับความท้าทายทางสังคม สิ่งแวดล้อม และทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก ดังนั้นเราจึงมุ่งมั่นทำงานเพื่อให้ทุกภาคส่วนมั่นใจว่าแพลตฟอร์มเครือข่าย 5G ที่มีประสิทธิภาพสูง ณ ปัจจุบันจะเดินหน้าพัฒนาไปสู่ยุค 6G พร้อมส่งมอบความสามารถใหม่ ๆ และประสิทธิภาพที่เหนือกว่า” มร อิกอร์ กล่าวเพิ่มเติม

อีริคสันเป็นผู้นำเครือข่าย 5G ระดับโลก ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้ขยายการให้บริการเครือข่าย 5G ไปแล้วจำนวน 134 เครือข่าย ใน 59 ประเทศ พร้อมเครือข่าย 5G แบบ Standalone จำนวน 17 เครือข่ายทั่วโลก