SAP และ Red Hat กระชับความร่วมมือ เสริมประสิทธิภาพ SAP® Software Workloads ด้วย Red Hat Enterprise Linux

CIMB Thai Bank และ KBTG สององค์กรไทย ได้รับรางวัล APAC Innovation Awards ประจำปี 2565 จาก Red Hat

SAP และ Red Hat กระชับความร่วมมือ เสริมประสิทธิภาพ SAP® Software Workloads ด้วย Red Hat Enterprise Linux

    • SAP เสริมศักยภาพแลนด์สเคปด้านไอทีภายในองค์กร ใช้โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์เพิ่มอย่างต่อเนื่อง ด้วยการใช้แพลตฟอร์ม Linux ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดับองค์กรคุณภาพแนวหน้า เป็นหนึ่งในระบบปฏิบัติการมาตรฐานให้กับ software-as-a-service applications เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านไฮบริดคลาวด์และเพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้ามากขึ้น
    • SAP และ Red Hat ขยายการสนับสนุนการใช้ RISE with SAP solution บน Red Hat Enterprise Linux ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่เหมาะสมกับแหล่งรายได้ใหม่ของธุรกิจที่ใช้ RISE with SAP solution 

SAP SE (NYSE: SAP) และ Red Hat, Inc., ผู้ให้บริการด้านโซลูชันโอเพ่นซอร์สชั้นนำของโลก ประกาศขยายความร่วมมือ เพื่อเพิ่มการใช้งานและการสนับสนุนที่สำคัญให้กับการใช้ SAP บน Red Hat Enterprise Linux ความร่วมมือครั้งนี้มีจุดหมายเพื่อให้การปฏิบัติงานทางธุรกิจมีความชาญฉลาดมากขึ้น รองรับการทรานส์ฟอร์มสู่คลาวด์ของอุตสาหกรรมทุกประเภท และขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านไอทีแบบองค์รวม

บริษัททั้งสองแห่งมีความร่วมมือกันมาอย่างยาวนาน ทั้งนี้ SAP กำลังย้ายแลนด์สเคปด้านไอทีภายในส่วนหนึ่งของบริษัท และพอร์ตโฟลิโอของ SAP® Enterprise Cloud Services ไปยังโครงสร้างพื้นฐานที่มีมาตรฐานของ Red Hat Enterprise Linux อย่างต่อเนื่อง การโยกย้ายนี้มุ่งตอบสนองความต้องการด้านไอทีและธุรกิจที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของ SAP ได้ดีขึ้น โดยส่วนหนึ่งของโรดแมปการโยกย้ายนี้ คือ SAP กำลังส่งเสริมการให้การสนับสนุน RISE with SAP solution ให้ใช้ Red Hat Enterprise Linux เป็นระบบปฏิบัติการให้กับแหล่งรายได้ใหม่ของธุรกิจ (net new business) ที่ใช้ RISE with SAP solution

Red Hat Enterprise Linux เป็นระบบปฏิบัติการ Linux ที่แข็งแกร่งและพร้อมใช้กับนวัตกรรมด้านไฮบริดคลาวด์ที่ได้รับความไว้วางใจจากองค์กรใหญ่ ๆ ระดับโลก และอุตสาหกรรมทุกประเภททั่วโลก เป็นแพลตฟอร์มที่สร้างขึ้นมาพร้อมความเชื่อมั่นเพื่อให้บริการโครงสร้างพื้นฐานที่เสถียรและเชื่อถือได้ให้กับการใช้ซอฟต์แวร์ของ SAP และเป็นฐานที่แข็งแกร่งตามมาตรฐานของ Linux ที่ให้การสนับสนุนลูกค้าของ SAP บนทั้งไฮบริดและมัลติคลาวด์

สภาพแวดล้อมไอทีภายในองค์กรของ SAP และ SAP Enterprise Cloud Services ที่ใช้ Red Hat Enterprise Linux จะมีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพื่อตอบสนองความต้องการของเทคโนโลยีสมัยใหม่และเทคโนโลยีในอนาคต ทั้งนี้เมื่อทำงานร่วมกับ RISE with SAP solution แล้ว Red Hat Enterprise Linux นำเสนอความสามารถต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นให้กับลูกค้า เพื่อรองรับการใช้ RISE with SAP solution กับสภาพแวดล้อมคลาวด์ทั้งหมด ช่วยให้การใช้และการทรานส์ฟอร์มสู่คลาวด์เป็นไปอย่างราบรื่น ในเวลาที่ลูกค้าวางแผนนวัตกรรมด้านไอที และในปีหน้า Red Hat และ SAP จะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อสนับสนุนเวิร์กโหลด RISE with SAP solution บน Red Hat Enterprise Linux อย่างเข้มข้น และสนับสนุนให้ SAP นำ Red Hat Enterprise Linux ไปใช้งานในวงกว้างมากขึ้นได้เร็วขึ้น

Red Hat จัดหาวิศวกรด้านผลิตภัณฑ์ และจัดหาทรัพยากรให้ไว้ ณ สถานที่ทำงาน เพื่อช่วยทีมด้านวิศวกรรมและเทคนิคของ SAP ขับเคลื่อนการกำหนดมาตรฐานบน Red Hat Enterprise Linux และขับเคลื่อนความสามารถในการทำงานร่วมกันให้กับโซลูชันของ SAP และ Red Hat ทั้งนี้เป็นการสนับสนุน SAP ให้ใช้ Red Hat Enterprise Linux ได้ในวงกว้างมากขึ้น ผู้ร่วมงานของ SAP สามารถพัฒนาทักษะทางเทคนิคสำคัญ ๆ และเพิ่มความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับเทคโนโลยีไฮบริดคลาวด์ของ Red Hat ผ่านคอร์สอบรมแบบเวอร์ชวลโดยมีผู้สอนของเร้ดแฮท และ hands-on labs ผ่าน Red Hat Learning Subscription Premium

ความร่วมมือในการขยาย SAP software workloads ไปยัง Red Hat Enterprise Linux นี้มุ่งให้ลูกค้าของ SAP มีความคล่องตัวทางธุรกิจ ใช้คลาวด์ได้เร็วขึ้น และขับเคลื่อนนวัตกรรมทางธุรกิจ ด้วยการใช้และทำงานบนโครงสร้างพื้นฐานโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ที่ยืดหยุ่นและปรับขนาดได้ของ Red Hat ได้อย่างไม่ยุ่งยาก ปัจจุบันลูกค้าสามารถขับเคลื่อนโปรเจกต์การทรานส์ฟอร์มสู่คลาวด์ได้คล่องตัวมากขึ้นโดยใช้ซอฟต์แวร์ของ SAP รวมถึง SAP S/4HANA® ที่ทำงานบน RISE with SAP solution ที่มี Red Hat Enterprise Linux เป็นฐานที่แข็งแกร่ง

คำกล่าวสนับสนุน

Lalit Patil, CTO, SAP Enterprise Cloud Services, SAP SE 

“Red Hat Enterprise Linux ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานแบบเปิดที่แข็งแกร่ง เพื่อรองรับการใช้ซอฟต์แวร์ของ SAP และมอบโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคงให้กับเวิร์กโหลดที่ทำงานบนไฮบริดคลาวด์ เรามุ่งมั่นที่จะร่วมสร้างมรดกทางนวัตกรรมร่วมกับ Red Hat เพื่อเสริมแกร่งให้ลูกค้าของเราผ่านความยืดหยุ่นและความคล่องตัวในการใช้สภาพแวดล้อมคลาวด์ทั้งหมด”

Gunnar Hellekson, vice president and general manager, Red Hat Enterprise Linux Business Unit, Red Hat 

“การที่องค์กรต่าง ๆ ต้องการเพิ่มการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดผ่านระบบการวิเคราะห์ต่าง ๆ บนโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ องค์กรเหล่านั้นจำเป็นต้องมีพื้นฐานระบบปฏิบัติการที่ได้รับการทดสอบและตรวจสอบแล้ว และต้องเชื่อถือได้ เพื่อรองรับปฏิบัติการสำคัญ ๆ ทุกด้าน Red Hat Enterprise Linux ทำหน้าที่เป็นเสมือนแกนหลักที่เชื่อถือได้ให้กับองค์กรใน Fortune 500 ทั่วโลก และเรายินดีที่ได้มีโอกาสขยายความเชื่อถือได้นี้มายัง SAP และลูกค้าของเราทั้งสองบริษัทฯ ในฐานะระบบปฏิบัติการพื้นฐานที่รองรับ SAP software workloads และการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ”

2023 Technology Trends for the Enterprise

Supply Chain’s Wild Ride Continues

2023 Technology Trends for the Enterprise

By Terry Smagh, Senior Vice President and General Manager for Asia Pacific and Japan, Infor

As we usher in the new year, enterprise cloud solution providers are looking to expand their focus to business buyers, not just IT/development teams. 

As Gartner® notes in its Top Strategic Technology Trends for 2023[1] presentation, given by Gartner analysts at its 2022 IT Symposia globally, “senior IT and business leaders need to prepare to optimize, scale, or pioneer. 

    • To optimize resilience, operations or trust
    • To scale your vertical solutions, product delivery, or … everywhere
    • To pioneer customer engagement, accelerated responses or opportunity”

From an Infor perspective, we also see the growing need for combinations of technologies to address disruptions in any given industry or market.

With these market dynamics as the backdrop, here are four of our technology predictions for 2023: 

    1. The Composable Reality

For the last few years, many of the top market research and analyst firms have talked about the need and recommendation for purchasing best-of-breed applications and “composing” them together in a harmonious way, known as the “composable ERP.” 

This challenges the notion of a monolithic ERP system itself as the center of gravity for an organization. However, what hasn’t yet been formally addressed is the means by which to accomplish this composition. While many pure-play vendors in the market have their specific versions of iPaaS (infrastructure platform-as-a-service), no-code development frameworks, machine learning platforms, and more, no one has fully expanded their portfolio to cover the complete breadth for an end-to-end innovation use case. This is where GSIs (global system integrators) have traditionally played a large role, but the demand from buyers will likely be that this is an easier and faster process to procure, personalize, and deploy. Many larger software companies have procured more capabilities, but the vast majority are not natively integrated yet with their existing cloud services. This will be the year to make that the reality through a true digital transformation platform that becomes the standard glue for any given organization.

    1. Mainstream Hyperautomation

With the continuous pressure on cost efficiency and market influence, there is a conflicting need for new business models & differentiation while also being cost conscious. Organizations need to prove ROI faster while also focusing on the areas of their business where the largest cost and risk occurs. More often than not this tends to center around operations and people. 

What we should expect is that simply automating one given task is not enough. That may simply begin the journey. Instead, this will be a journey of continuous improvement even if a sense of automation exists. Can I make this faster, more accurate, more proactive, more intelligent? Can this continue to automate across disparate systems? Can this reach into my legacy on-premise systems and knowledge? This will become the expectation that IT teams request, as they are pressured by the business.

    1. Enterprise Simulations

Similar to the hyperautomation trend, businesses will want to explore if new paths can help them receive inventory faster, sell more product, reduce waste, move into new markets, or even assess how they can react to new market situations. Performing large-scale simulations like this can certainly be done in test environments but that comes with an excessively large overhead of data migrations or refreshes, process refinements, and eventual porting of changes to production. My expectation is that business users will want access to simulations in the context of their daily work. For instance, if a procurement specialist is working on an order and thinks this might be her opportunity to work with a new vendor of choice, then perhaps technology will enable her to simulate that decision based on the mass data profiles and machine learning & optimization models running in the background. If the user likes the result, then they can gain more confidence in the path and ultimately make better decisions that affect the overall business significantly. It should no longer be the bottleneck for changing a business process for better decision making.

    1. Enterprises becoming Creative Agencies

As an aggregator of the previous trends, the overarching movement is that, as the workforce evolves and the business becomes increasingly more pressured for ROI-based innovation, the C-suite will want technology solutions that empower their workers to be creative in safe yet measured ways. They will want to exploit the creativity of every member of every department without having to procure a myriad of tools and put stress on IT to provide project spaces. Instead, this should be engrained into the enterprise software experience to encourage such behavior. Employees will be better able to manage supply chains, resolve issues and escalations, optimize planning and inventory, and more. Companies will look for a trusted partner in an enterprise software vendor to empower and embrace the fact that lack of standardization in innovation can actually make you differentiated in your market. 

Gartner is a registered trademark of Gartner, Inc. and/or its affiliates in the U.S. and internationally and is used herein with permission. All rights reserved.

[1] Gartner® “Top Strategic Technology Trends for 2023” presentation, Gilbert van der Heiden, David Groombridge and others, October 2022; given by Gartner analysts at its 2022 IT Symposia globally.

 

เทรนด์เทคโนโลยีปี 2566 ที่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญ

Supply Chain’s Wild Ride Continues

เทรนด์เทคโนโลยีปี 2566 ที่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญ

บทความโดย เทอร์รี สมา, รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น, บริษัทอินฟอร์

เมื่อย่างเข้าสู่ปีใหม่ ผู้จำหน่ายโซลูชันคลาวด์ระดับองค์กรก็ต่างพากันมองหาลู่ทางขยายฐานลูกค้าเพิ่ม โดยไม่เน้นที่ทีมพัฒนาหรือทีมไอทีเท่านั้นอีกต่อไป

ข้อมูลจาก Top Strategic Technology Trends for 2023[1] ที่นักวิเคราะห์ของ Gartner® ได้นำเสนอในงานระดับโลก IT Symposia 2022 ระบุว่า “ผู้นำด้านไอทีและธุรกิจจำเป็นต้องเตรียมพร้อมที่จะเพิ่มประสิทธิภาพ ปรับขยายหรือเป็นผู้ริเริ่ม ในประเด็นต่อไปนี้:

    • เพิ่มประสิทธิภาพด้านความยืดหยุ่น การดำเนินงาน หรือความไว้วางใจให้เหมาะสมที่สุด
    • ปรับขยายโซลูชันซอฟต์แวร์แบบครบวงจรที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมหรือธุรกิจเฉพาะ (vertical solutions) ตลอดจนการส่งมอบผลิตภัณฑ์ หรือกระบวนการอื่น ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการได้จากทุกที่
    • เป็นผู้นำในการมีส่วนร่วมกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยการตอบสนองต่อความต้องการ และสร้างโอกาสในการปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าอย่างรวดเร็ว”

จากมุมมองของ Infor เราสังเกตเห็นถึงความต้องการการผสานรวมเทคโนโลยีหลากหลายที่เพิ่มขึ้น เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตลาดหรืออุตสาหกรรมต่าง ๆ 

4 เทคโนโลยีที่ Infor คาดการณ์ โดยคำนึงถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลาในตลาดเหล่านี้ มีดังนี้:

    1. ความเป็นจริงที่ประกอบได้

      ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทวิจัยและวิเคราะห์ตลาดชั้นนำหลายแห่งต่างระบุถึงความต้องการและให้คำแนะนำในการซื้อแอปพลิเคชันที่ดีที่สุด และ “จัดองค์ประกอบ” ของแอปพลิเคชันเหล่านี้เข้าด้วยกันแบบไร้รอยต่อที่รู้จักกันในนาม “composable ERP” ซึ่งเป็นวิธีที่จะช่วยให้องค์กรสามารถปรับแต่งระบบ ERP ได้อย่างรวดเร็ว และง่ายดายเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะทางธุรกิจ

      วิธีแบบนี้ขัดกับแนวคิดที่ว่าระบบ ERP เป็นระบบหลักที่สำคัญขององค์กร  แต่วิธีการที่จะทำให้องค์ประกอบนี้สำเร็จยังไม่ได้รับการกล่าวถึงอย่างเป็นทางการ  ในขณะที่ผู้ให้บริการแบบ Pure-Play ที่ขายผลิตภัณฑ์หรือบริการเฉพาะจำนวนมากในตลาดจะมี iPaaS (แพลตฟอร์มบริการโครงสร้างพื้นฐาน) เฟรมเวิร์กการพัฒนาแบบไม่ใช้โค้ด ตลอดจนแพลตฟอร์มแมชชีนเลิร์นนิงและอื่น ๆ ที่เป็นเวอร์ชันเฉพาะของตนเองก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีบริษัทใดพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมนวัตกรรมแบบครบวงจรได้ทั้งหมด  ซึ่งเป็นจุดที่เดิม GSIs (ผู้รวมระบบทั่วโลก) เข้ามามีบทบาทสำคัญมาโดยตลอด แต่ผู้ซื้อก็มักจะต้องการกระบวนการจัดซื้อ การปรับแต่ง และการปรับใช้ที่ง่ายและรวดเร็วขึ้น 

      ที่จริง บริษัทซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่หลายแห่งได้เพิ่มขีดความสามารถในด้านต่าง ๆ มาโดยตลอด แต่ส่วนใหญ่ก็ยังไม่สามารถผสานรวมเข้ากับบริการคลาวด์ที่มีอยู่ได้โดยตรง  ดังนั้น ปีนี้จึงเป็นปีที่จะทำให้การจัดซื้อ การปรับแต่งและการปรับใช้ที่ง่ายดาย รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นจริงขึ้นมาได้ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันที่แท้จริง ที่กำลังกลายเป็นเป็นแพลตฟอร์มมาตรฐานที่เชื่อมต่อ ตลอดจนรวมบริการคลาวด์และซอฟต์แวร์ต่าง ๆ สำหรับทุกองค์กร  

    1. ไฮเปอร์ออโตเมชันกระแสหลัก – แนวคิดในการทำให้การทำงานทุกอย่างภายในองค์กรเป็นอัตโนมัติ

      ด้วยแรงกดดันด้านประสิทธิภาพของต้นทุนและอิทธิพลของตลาดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธุรกิจเกิดความต้องการที่ขัดแย้งระหว่างรูปแบบธุรกิจใหม่กับการสร้างความแตกต่างที่ต้องคำนึงถึงต้นทุนด้วยในเวลาเดียวกัน  ดังนั้น องค์กรจึงจำเป็นต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ให้เร็วขึ้น และต้องให้ความสำคัญกับการดำเนินงานที่มีค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงมากที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานและผู้คน

      ดังนั้น ธุรกิจควรคำนึงไว้เสมอว่าการทำให้งานหนึ่งงานเป็นอัตโนมัตินั้นไม่พอ มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะระบบอัตโนมัตินั้นจะต้องมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ข้อเรียกร้องต่อทีมไอทีให้ตอบสนองความต้องการของธุรกิจ รวมไปถึงการทำให้กระบวนการต่าง ๆ เร็วขึ้น แม่นยำขึ้น เป็นเชิงรุกมากขึ้น ชาญฉลาดขึ้น สามารถทำได้โดยขยายความสามารถด้านการทำงานระบบอัตโนมัตินี้ไปยังระบบต่าง ๆ ทั้งที่เป็นระบบดั้งเดิมและความรู้ในองค์กรที่ไม่ได้บูรณาการหรือทำงานอัตโนมัติในปัจจุบัน  

    1. โปรแกรมเพื่อวิเคราะห์และทดสอบสถานการณ์ทางธุรกิจในสภาพแวดล้อมจำลอง

ธุรกิจต้องการวิธีใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้พวกเขาได้รับสินค้าคงคลังเร็วขึ้น ขายสินค้าได้มากขึ้น
ลดของเสีย ย้ายไปตลาดใหม่ ๆ หรือแม้กระทั่งประเมินวิธีการตอบสนองต่อสถานการณ์ตลาดใหม่ ซึ่งคล้าย ๆ กับเทรนด์ด้านไฮเปอร์ออโตเมชันที่เป็นการผสานรวมเทคโนโลยีแมชชีนเลิร์นนิง ซอฟต์แวร์สำเร็จรูป และเครื่องมือต่างๆ สำหรับระบบงานอัตโนมัติเข้าไว้ด้วยกัน  อนึ่ง การจำลองงานสเกลใหญ่ขนาดนี้จะสามารถทำได้อย่างแน่นอนในสภาพแวดล้อมเพื่อการทดสอบ แต่นั่นก็มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่สูงมากในการย้ายหรือรีเฟรชข้อมูล การปรับแต่งกระบวนการ และการถ่ายโอนการเปลี่ยนแปลงไปสู่การผลิตในตอนท้าย   

สำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการเข้าถึงการจำลองในบริบทของการทำงานประจำ เช่น หากผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดซื้อจัดจ้างรายหนึ่งกำลังทำคำสั่งซื้อ และคิดว่านี่อาจเป็นโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับเวนเดอร์รายใหม่ ก็อาจใช้เทคโนโลยีนี้ช่วยจำลองการตัดสินใจได้ โดยอิงจากโปรไฟล์ข้อมูลจำนวนมาก แมชชีนเลิร์นนิงและโมเดลเพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจ  ซึ่งหากผู้ใช้พอใจในผลลัพธ์ก็จะทำให้มั่นใจและตัดสินใจได้ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อธุรกิจโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญในท้ายที่สุด โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาติดขัดในการปรับเปลี่ยนกระบวนการทางธุรกิจเพื่อการตัดสินใจที่ดีขึ้นอีกต่อไป

    1. องค์กรธุรกิจจะกลายเป็นหน่วยงานที่สร้างสรรค์

ในฐานะที่ Infor เป็นผู้รวบรวมเทรนด์ต่าง ๆ ก่อนหน้านี้ เราพบว่าความเคลื่อนไหวโดยรวมคือ เมื่อพนักงานมีการเปลี่ยนแปลง และธุรกิจต้องเผชิญกับแรงกดดันมากขึ้นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ที่พิจารณาจากผลตอบแทนการลงทุนเป็นหลัก  สิ่งนี้จะทำให้ผู้บริหารระดับสูงในองค์กรต้องการโซลูชันเทคโนโลยีที่ช่วยให้พนักงานรังสรรค์งานด้วยวิธีที่ปลอดภัยและวัดผลได้ เป็นการใช้ประโยชน์จากความคิดสร้างสรรค์ของสมาชิกทุกคนในทุกแผนก โดยไม่ต้องจัดหาเครื่องมือมากมายหรือสร้างแรงกดดันให้กับฝ่ายไอทีในการจัดหาพื้นที่สำหรับโครงการต่าง ๆ  และควรใช้ซอฟต์แวร์ระดับองค์กรส่งเสริมการกระทำดังกล่าว ซึ่งจะช่วยให้พนักงานบริหารจัดการซัพพลายเชน แก้ไขปัญหาและยกระดับการทำงาน พร้อมปรับปรุงการวางแผนและสินค้าคงคลังและอื่น ๆ ได้ดีขึ้น  ทั้งนี้ ธุรกิจจะต้องมองหาพันธมิตรที่เชื่อถือได้จากผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์ระดับองค์กร เพื่อเพิ่มศักยภาพและน้อมรับแนวทางและเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อสร้างโซลูชันที่ไม่เหมือนใครและเป็นนวัตกรรม ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นในอุตสาหกรรมและยังคงแข่งขันได้

Gartner is a registered trademark of Gartner, Inc. and/or its affiliates in the U.S. and internationally and is used herein with permission. All rights reserved.

[1] Gartner® “Top Strategic Technology Trends for 2023” presentation, Gilbert van der Heiden, David Groombridge and others, October 2022; given by Gartner analysts at its 2022 IT Symposia globally.

The hybrid employee experience – why HR should be involved in IT decision making

ทำไม HR ควรมีส่วนรวมในการตัดสินใจด้านไอที เพื่อประสบการณ์ที่ดีของพนักงานที่ทำงานแบบไฮบริด

The hybrid employee experience – why HR should be involved in IT decision making

Article by Han Chon, managing director, Nutanix ASEAN

The pandemic has completely rewritten the rule book when it comes to the workplace. After more than two years of total disruption, it’s clear we’re never going back to ‘business-as-usual’. Although enabling remote workforces might have started out as a temporary measure, the newfound freedom it provided workers means they don’t want to go back to the way things were. Hybrid working is here to stay.

A 2021 McKinsey report showed that work-life balance, flexibility and mental health are now front of mind for employees; and they want these issues prioritised in the workplace. Faced with a plethora of new employee demands, HR Managers are needing to implement new procedures and policies, in addition to new IT solutions, which enable a more flexible working environment. 

IT may not have formed an integral part of the HR role before. But with the growing number of remote and hybrid workers, HR and IT have become inextricably linked. When legacy and poorly designed IT infrastructure compromises the employee experience, it impacts the core HR function. The issue HR Managers are facing, is that many of the IT systems put in place during the pandemic were done so in haste – a temporary, band-aid solution to keep businesses up and running in an emergency. But now, as organisations transition out of crisis mode and into ‘living with the pandemic’, those systems need to be re-evaluated and re-implemented in a way that better suits long-term organisational needs. And because the employee experience must be at the heart of those IT decisions, HR needs to have a say when it comes to IT infrastructure design. 

Designing IT for employee experience 

There is no doubt that a flexible, hybrid working environment will be a hallmark of the new normal. A 2022 PWC report shows that three quarters (74%) of Australian employees now want to work from home at least three days a week, and Gartner reports that organisations who demand employees return to a fully on-site arrangement are at risk of losing up to 39% of their workforce. This new way of working not only offers employees greater flexibility, but removing geographical constraints means businesses can benefit from access to a broader talent pool; plus fewer on-site staff can reduce real estate and operating expenses.

However, a highly effective and agile workforce isn’t quite as simple as letting employees stay home. In order to be productive, employees must have ease of access to corporate applications and resources and the ability to seamlessly collaborate with their teams. This requires an on-demand, secure cloud-based infrastructure that gives organisations the flexibility to scale up and back as needed.

Outdated technology and legacy infrastructure that can’t keep up with the demands of a remote workforce severely impacts the hybrid employee experience. Employees require high-grade solutions that provide an equality of experience no matter where they choose to work. Whether that’s easily accessible virtual workspaces or videoconferencing and collaboration tools, digital connectivity is critical to ensure that employees feel connected to their teams, and are empowered to perform their best. When it comes to catering for a hybrid workforce, there’s no one-size-fits all solution. HR managers need to understand different employee preferences and varying work styles, and use these insights to ensure IT infrastructure is designed with employee experiences in mind.  

Keeping businesses and employees secure 

Because hybrid work can lead to an increase in potential cyberattacks, more complex security measures are needed to keep both employees and critical business IP safe. However, many companies that face challenges with legacy or poorly designed infrastructure, are also faced with major security, business continuity and disaster recovery risks. 

To overcome the security challenges of public cloud and remote environments, many organisations are instead turning toward hyperconverged infrastructures – a type of IT architecture which gives organisations the best of both worlds. Hyperconverged infrastructure allows businesses to continue supporting the agile demands of a remote workforce, without compromising critical data or the hybrid employee experience. For IT teams, it’s easier to manage and can be easily scaled up and down as needed, while for HR Managers, it ensures that employee experiences remain at the heart of the solution. 

A people-centric digital transformation

In the future, there is no doubt we will look back on 2020 as one of the most pivotal years in modern history. Not only did the pandemic turn the entire world on its head, it has permanently altered the relationship employees have with their work; shifting the concept of work from ‘somewhere you go’ to ‘something you do’. 

As businesses fast-track their digital transformation strategies to support a remote workforce, it’s important to remember that digital transformation isn’t just about the technology – it’s about improving the way work and the way we communicate. As organisations re-evaluate their IT systems, they should be doing so with a human-centred focus in mind. HR and IT need to join forces to ensure employee experience is at the heart of all IT decisions.

ทำไม HR ควรมีส่วนรวมในการตัดสินใจด้านไอที เพื่อประสบการณ์ที่ดีของพนักงานที่ทำงานแบบไฮบริด

ทำไม HR ควรมีส่วนรวมในการตัดสินใจด้านไอที เพื่อประสบการณ์ที่ดีของพนักงานที่ทำงานแบบไฮบริด

ทำไม HR ควรมีส่วนรวมในการตัดสินใจด้านไอที เพื่อประสบการณ์ที่ดีของพนักงานที่ทำงานแบบไฮบริด

บทความโดยฮัน ชอน กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคอาเซียนของนูทานิคซ์

การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ที่กินเวลามากกว่าสองปีที่ผ่านมา เป็นปัจจัยที่ทำให้บริบทของคำว่า “สถานที่ทำงาน” เปลี่ยนแปลงไป และแน่นอนว่าจะไม่กลับไปเหมือนเดิม แม้ว่าการให้พนักงานทำงานจากระยะไกลเป็นการเริ่มต้นจากมาตรการชั่วคราวในช่วงการระบาด แต่ความเป็นอิสระของวิถีการทำงานแบบนั้นทำให้พนักงานได้เรียนรู้ว่าไม่จำเป็นต้องกลับไปใช้ชีวิตการทำงานแบบเดิมที่ต้องเดินทางเข้าไปทำงานที่สำนักงาน และสามารถทำงานได้แบบไฮบริด

รายงานของ McKinsey ในปี 2564 แสดงให้เห็นว่าพนักงานให้ความสำคัญเรื่องความสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัว ความยืดหยุ่น และสุขภาพจิตที่ดี เป็นลำดับแรก ๆ และต้องการได้สิ่งเหล่านี้จากสถานที่ทำงาน เมื่อฝ่ายทรัพยากรบุคคลต้องเผชิญกับความต้องการใหม่ ๆ จำนวนมากเหล่านี้จากพนักงาน ผู้ดูแลด้านนี้จึงต้องนำกระบวนการและนโยบายใหม่รวมถึงโซลูชันด้านไอทีใหม่ ๆ มาใช้เพื่อช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น

ในอดีตฝ่ายไอทีอาจไม่เชื่อมโยงกับฝ่ายทรัพยากรบุคคลโดยตรง แต่เมื่อมีพนักงานทำงานแบบไฮบริดและทำงานที่บ้านเพิ่มขึ้น ทำให้ฝ่ายไอทีและฝ่ายทรัพยากรบุคคลต้องทำงานร่วมกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โครงสร้างพื้นฐานไอทีที่ออกแบบมาไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรและล้าสมัยทำให้ประสบการณ์ที่พนักงานได้รับเป็นไปในทางลบ และส่งผลกระทบต่อการทำงานหลักของฝ่ายทรัพยากรบุคคล ทั้งนี้ปัญหาต่าง ๆ ที่ผู้รับผิดชอบด้านทรัพยากรบุคคลกำลังเผชิญ คือการนำระบบไอทีจำนวนมากมาใช้อย่างเร่งรีบระหว่างการระบาดเพื่อทำให้ธุรกิจดำเนินงานต่อไปได้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งระบบเหล่านั้นเป็นโซลูชันชั่วคราวที่ไม่ได้แก้ไขต้นตอของปัญหา ในปัจจุบัน การที่องค์กรต่างเปลี่ยนจากการทำงานในภาวะวิกฤตเข้าสู่รูปแบบการทำงานที่ต้องสามารถ “อยู่ร่วมกับการระบาด” ได้นั้น องค์กรจำเป็นต้องประเมินระบบเหล่านี้ใหม่ และนำมาปรับใช้ในรูปแบบที่เหมาะกับความต้องการระยะยาวขององค์กร นอกจากนี้ การที่ประสบการณ์ของพนักงานเป็นหัวใจสำคัญต่อการตัดสินใจด้านไอที ฝ่ายทรัพยากรบุคคลจึงควรมีสิทธิ์มีเสียงในการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานไอที

การออกแบบไอทีเพื่อประสบการณ์ของพนักงาน

สภาพแวดล้อมการทำงานแบบไฮบริดที่ยืดหยุ่นเป็นลักษณะเด่นของ new normal อย่างไม่ต้องสงสัย รายงาน PWC ประจำปี 2565 แสดงให้เห็นว่าสามในสี่ของพนักงานชาวออสเตรเลีย (74%) ปัจจุบันต้องการทำงานจากบ้านอย่างน้อยสามวันต่อสัปดาห์ และรายงานของ Gartner ระบุว่า องค์กรที่ต้องการให้พนักงานกลับมาทำงานที่สำนักงานทุกวันนั้นเสี่ยงต่อการสูญเสียพนักงาน 39% ของพนักงานทั้งหมด รูปแบบการทำงานใหม่นี้ ไม่เพียงช่วยให้พนักงานมีความยืดหยุ่นสูงมากเท่านั้น แต่ยังทำให้ข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์หมดไปด้วย โดยธุรกิจจะสามารถเข้าถึงกลุ่มบุคคลที่มีความสามารถสูงได้กว้างขึ้น และการที่พนักงานเข้ามายังสำนักงานน้อยลง ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้

อย่างไรก็ตาม บุคลากรที่ทำงานมีประสิทธิภาพสูงและคล่องตัวนั้น ไม่ใช่เพียงการอนุญาตให้พนักงานนั้น ๆ ทำงานจากที่บ้านได้เพียงอย่างเดียว  เพื่อการทำงานที่มีประสิทธิผล พนักงานเหล่านี้ต้องเข้าใช้งานแอปพลิเคชันและทรัพยากรขององค์กรได้อย่างไม่ยุ่งยาก และสามารถทำงานร่วมกับทีมงานของตนได้อย่างราบรื่น การจะทำเช่นนี้ได้องค์กรต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่ทำงานบนคลาวด์ได้อย่างปลอดภัยและเรียกใช้ได้ตามต้องการ ซึ่งช่วยให้องค์กรมีความยืดหยุ่นในการปรับเพิ่มหรือลดขนาดการทำงานได้ตามต้องการ

เทคโนโลยีที่ล้าสมัยและโครงสร้างพื้นฐานแบบดั้งเดิมที่ไม่ตอบโจทย์ความต้องการต่าง ๆ ให้กับการทำงานจากระยะไกลของบุคลากร และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประสบการณ์การทำงานแบบไฮบริดของพนักงาน พนักงานทุกคนต้องการโซลูชันคุณภาพสูงที่มอบประสบการณ์ที่เท่าเทียมและเหมือนกันไม่ว่าเขาจะทำงานจากที่ใด การเชื่อมต่อทางดิจิทัลเป็นสิ่งสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นการทำงานแบบเวอร์ชวลที่เข้าถึงได้ง่าย หรือการประชุมผ่านวิดีโอและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ทำงานร่วมกัน  เพื่อให้แน่ใจว่าพนักงานทุกคนรู้สึกเชื่อมต่อถึงกันกับทีมของเขา และมีเครื่องมือพร้อมที่จะสามารถทำงานได้อย่างดีที่สุด ในการจัดเตรียมความพร้อมให้กับบุคลากรที่ทำงานแบบไฮบริด ไม่มีโซลูชันใดเหมาะกับทุกสถานการณ์ ผู้รับผิดชอบฝ่ายทรัพยากรบุคคลจำเป็นต้องเข้าใจความต้องการของพนักงานและสไตล์การทำงานที่แตกต่างกัน และใช้ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้เป็นข้อมูลในการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่ยึดประสบการณ์ของพนักงานเป็นสำคัญ

คงความปลอดภัยให้กับธุรกิจและพนักงาน

การทำงานแบบไฮบริดอาจนำไปสู่โอกาสการโจมตีทางไซเบอร์มากขึ้น เครื่องมือรักษาความปลอดภัยที่ซับซ้อนมากขึ้นจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อคงความปลอดภัยให้กับพนักงานและ IP ที่สำคัญของธุรกิจ อย่างไรก็ตาม บริษัทหลายแห่งที่เผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดจากโครงสร้างพื้นฐานแบบดั้งเดิมที่ออกแบบมาไม่ดีเท่าที่ควร ยังพบกับความเสี่ยงสำคัญ ๆ ด้านความปลอดภัย ความต่อเนื่องทางธุรกิจ และการกู้คืนระบบ

องค์กรจำนวนมากหันมาใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมด้านไอทีที่ช่วยให้องค์กรได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ทั้งจากระบบที่อยู่ในองค์กรและบนพับลิคคลาวด์ แทนโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิม เพื่อก้าวข้ามความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดจากการใช้พับลิคคลาวด์และสภาพแวดล้อมการทำงานจากระยะไกล โครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จช่วยให้ธุรกิจสามารถรองรับความต้องการด้านความคล่องตัวให้กับบุคลากรที่ทำงานจากระยะไกลได้อย่างต่อเนื่อง โดยยังคงความปลอดภัยของข้อมูลสำคัญ และประสบการณ์ที่ดีของพนักงานไว้ได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้ทีมไอทีบริหารจัดการได้อย่างไม่ยุ่งยาก สามารถปรับขนาดการทำงานขึ้นลงได้ง่ายตามต้องการ ในขณะเดียวกัน ผู้รับผิดชอบฝ่ายทรัพยากรบุคคลก็มั่นใจได้ว่าโซลูชันที่ใช้ยังคงยึดประสบการณ์ของพนักงานเป็นหัวใจสำคัญ

ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันที่ยึดคนเป็นศูนย์กลาง

ในอนาคต ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เราจะมองย้อนกลับมายังปี 2563 ว่าเป็นหนึ่งในปีที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ไม่เพียงทำให้โลกเปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมเท่านั้นแต่ยังเปลี่ยนความสัมพันธ์ที่พนักงานมีต่องานของตนอย่างถาวร เปลี่ยนคอนเซปต์การทำงานจาก “ไปทำงานที่ไหนสักแห่ง” เป็น “งานที่คุณทำได้”

การประเมินระบบไอทีขององค์กรใหม่ ควรคำนึงถึงและยึดคนเป็นศูนย์กลาง ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและฝ่ายไอทีจำเป็นต้องผนึกพลังกันเพื่อให้ประสบการณ์ที่ดีของพนักงานเป็นหัวใจสำคัญของการตัดสินใจด้านไอทีทั้งหมด