“หนี้บ้าน” มรดกที่ควรได้หรือภาระที่ต้องจ่าย

DDProperty

“หนี้บ้าน” มรดกที่ควรได้หรือภาระที่ต้องจ่าย

การกู้ซื้อที่อยู่อาศัยถือเป็นการกู้ที่มีวงเงินสูง และมีระยะเวลาผ่อนชำระสินเชื่อที่ยาวนาน ธนาคารจึงมีหลักเกณฑ์พิจารณาที่เข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อจากความสามารถของผู้ขอสินเชื่อ และหลักทรัพย์ที่นำมาเป็นหลักประกัน นอกจากนี้เพื่อกระจายความเสี่ยงในการค้างชำระหนี้ ธนาคารจะมีการนำเสนอประกันต่าง ๆ ที่มีความคุ้มครองในหลายรูปแบบเพื่อให้ผู้กู้ได้พิจารณาผลประโยชน์ที่ได้รับ ช่วยลดปัญหาการเกิดภาระหนี้จากเหตุสุดวิสัย รวมทั้งแนะนำประกันที่ช่วยลดความเสี่ยงในการผลักภาระการผ่อนชำระนี้ให้เป็นมรดกหนี้ก้อนโตตกทอดไปสู่ทายาทของผู้กู้แบบไม่ได้ตั้งใจ หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดกับผู้กู้อีกด้วย ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงให้กับธนาคารจากการไม่ได้รับชำระหนี้ด้วยเช่นกัน

อสังหาริมทรัพย์ถือเป็นทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในมุมมองผู้บริโภคจึงถือเป็นมรดกชิ้นสำคัญที่พ่อแม่จะส่งมอบให้กับบุตรหลานในอนาคต ข้อมูลจากผลสำรวจ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่า แผนการซื้อที่อยู่อาศัยของกลุ่มมิลเลนเนียลชาวไทยซึ่งอยู่ในวัยทำงาน เกือบครึ่งนึง (49%) ยังต้องการอยู่บ้านเดิมเพื่อดูแลพ่อแม่อย่างใกล้ชิด ตามมาด้วย ยังไม่มีเงินออมเพียงพอสำหรับเช่าหรือซื้อบ้านเป็นของตนเองถึง 43% ในขณะที่อีก 22% มีความตั้งใจจะรับช่วงต่อบ้านหลังเดิมจากพ่อแม่อยู่แล้ว สะท้อนให้เห็นว่าการซื้อบ้านใหม่อาจจะยังไม่ใช่สิ่งจำเป็นมากนักเมื่อประเมินจากสภาพคล่องทางการเงินของผู้บริโภคในเวลานี้ นอกจากนี้ การรับมรดกที่อยู่อาศัยต่อจากพ่อแม่หรือผู้ปกครองก็เป็นความหวังในการมีบ้านเป็นของตัวเองที่หลายคนรอคอยเช่นกัน  

DDproperty

โดยทั่วไปแล้วผู้บริโภคส่วนใหญ่มักมีภาระในการผ่อนชำระสินเชื่ออื่น ๆ ไปพร้อมกับสินเชื่อที่อยู่อาศัย ทำให้เมื่อประเมินภาระหนี้แล้ว จำเป็นต้องกู้ร่วมกับคู่รักหรือญาติพี่น้องเพื่อให้ได้สินเชื่อบ้านตามวงเกินที่ต้องการ อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคต้องไม่ลืมที่จะวางแผนสำรองเพื่อเตรียมรับมือเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดในระยะยาวด้วย อาทิ ผู้กู้ร่วมอาจประสบปัญหาทางการเงินหรือตกงาน การเลิกรา/หย่าร้างของผู้กู้ร่วมในกรณีที่เป็นคู่รัก หรือการเสียชีวิตของตัวผู้กู้เอง หรือผู้กู้ร่วม ซึ่งล้วนมีผลต่อการผ่อนชำระหนี้โดยตรง อาจทำให้ต้องแบกรับภาระหนี้บ้านเพียงลำพังที่หนักเกินไป นอกจากนี้ยังอาจส่งผลให้เกิดปัญหาด้านกรรมสิทธิ์ของบ้าน/คอนโดฯ ที่เป็นเจ้าของร่วมกันตามมาได้ในภายหลัง

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย ชวนผู้บริโภคมาทำความเข้าใจเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ควรรู้เมื่อคิดกู้ซื้อที่อยู่อาศัย พร้อมทำความเข้าใจบทบาทของสินเชื่ออสังหาฯ ว่าจะกลายเป็นมรดกตกทอดไปสู่ทายาทได้หรือไม่ หากผู้กู้เสียชีวิตระหว่างผ่อนชำระและไม่มีการทำพินัยกรรมไว้ก่อน

เมื่อผู้กู้จากไป กรรมสิทธิ์ “ที่อยู่อาศัย” ถือเป็นมรดกหรือไม่?

ปกติแล้วเมื่อผู้กู้ผ่อนชำระสินเชื่อบ้านครบเรียบร้อยแล้วกรรมสิทธิ์จะเป็นของผู้กู้โดยตรง หากในกรณีการกู้ร่วม ผู้กู้ร่วมจะต้องตกลงกันว่าจะให้ใครถือกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ หรือจะถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน หรือจะระบุเจาะจงลงไปในสัญญาว่าเมื่อผ่อนชำระเรียบร้อยแล้วจะมอบกรรมสิทธิ์ให้ผู้ใด

แต่หากในระยะเวลาที่ผ่อนชำระเกิดเหตุไม่คาดคิดที่ทำให้ผู้กู้เสียชีวิตไปก่อน ในทางกฎหมายถือว่าอสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นทรัพย์สินของผู้ซื้อตามกฎหมาย ทรัพย์สินดังกล่าวจะกลายเป็นมรดกตกทอดไปสู่ทายาทโดยธรรมตามลำดับ

หรือหากผู้ซื้อทำพินัยกรรมไว้ ทายาทตามพินัยกรรมก็จะถือเป็นคนแรกที่ได้รับผลประโยชน์ ซึ่งมรดกที่ทายาทจะได้รับนั้นรวมไปถึงสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ ของผู้ซื้อที่เสียชีวิตไปแล้วด้วย ซึ่งหมายรวมถึงทรัพย์สินที่มีและหนี้สินที่ยังต้องผ่อนชำระที่จะตกทอดมาสู่ผู้รับมรดกให้ต้องรับผิดชอบภาระทั้งหมดนั้นด้วยเช่นกัน ยกเว้นในกรณีที่เจ้ามรดกมีหนี้สินมากกว่าทรัพย์มรดก หรือมีแต่หนี้สิน ไม่มีการส่งมอบทรัพย์สินใด ๆ ให้แก่ทายาทเลย ทายาทจะไม่ต้องรับผิดชอบชำระหนี้สินเกินกว่ามรดกที่ตนได้รับ

สัญญากู้บ้านยังมีผลหรือไม่ หากผู้กู้ร่วมเสียชีวิตไปก่อน

การเสียชีวิตของผู้กู้ร่วมไม่กระทบต่อสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ยังอยู่ในระหว่างสัญญา โดยสัญญากู้เงินที่ทำกับธนาคารนั้นไม่ได้ระงับไปด้วย และสถานะของผู้กู้ร่วมแต่ละฝ่ายยังคงอยู่ในสภาพเดิมเหมือนก่อนเสียชีวิต แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของสินเชื่อบ้าน เมื่อมีผู้ที่เกี่ยวข้องแจ้งให้ธนาคารทราบว่าผู้กู้ร่วมเสียชีวิต เมื่อนั้นธนาคารจะเรียกให้ทายาทหรือผู้จัดการมรดกของผู้เสียชีวิตเข้ามาลงชื่อเพื่อแสดงเจตนาที่จะรับสภาพหนี้ภายใน 1 ปี และจะมีผลผูกพันทำให้ทายาทที่รับสภาพหนี้เข้ามาอยู่ในฐานะลูกหนี้ของธนาคารแทนที่ผู้กู้ร่วมที่เสียชีวิต โดยทายาทที่จะสามารถรับสภาพหนี้ได้นั้นจะต้องเป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้วเท่านั้น

ในส่วนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น จากเดิมที่กรรมสิทธิ์ในบ้านเป็นของผู้กู้ร่วมแต่ละฝ่ายคนละครึ่ง แต่เมื่อผู้กู้ร่วมฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตจะส่งผลให้กรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่งตกทอดไปสู่ทายาท ซึ่งอาจต้องมีการตกลงกันใหม่ว่าทายาทของผู้เสียชีวิตนั้นมีความพร้อมและยินยอมที่จะผ่อนชำระต่อหรือไม่

นอกจากนี้ ผู้กู้ร่วมยังสามารถหาผู้กู้ร่วมรายใหม่มาช่วยผ่อนสินเชื่อบ้านต่อได้ ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าผู้กู้ร่วมใหม่จะต้องมีความสัมพันธ์ในเชิงเครือญาติกัน โดยต้องแจ้งความต้องการเปลี่ยนผู้กู้ร่วมใหม่แก่ธนาคารเพื่อให้ประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ร่วมรายใหม่ต่อไป หรือในกรณีที่ผู้กู้ร่วมอีกฝ่ายมีความสามารถที่จะผ่อนชำระสินเชื่อในส่วนของตนเองและส่วนของผู้กู้ร่วมที่เสียชีวิตไปด้วย ก็สามารถเลือกผ่อนชำระต่อไปได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องติดต่อทางธนาคาร แต่จะมีประเด็นที่น่ากังวลในเรื่องกรรมสิทธิ์อสังหาฯ ที่อีกครึ่งหนึ่งยังคงตกทอดสู่ทายาทของผู้กู้ร่วมฝ่ายที่เสียชีวิตเช่นเดิม

ได้รับ “มรดกหนี้บ้าน” แบบไม่ทันตั้งตัว ควรรับมืออย่างไร

อย่างไรก็ตาม ในทางกฎหมายแล้วสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างผ่อนชำระของผู้กู้ที่เสียชีวิตนั้นถือเป็นกรรมสิทธิ์ที่ตกทอดมายังทายาทโดยธรรมและทายาทตามพินัยกรรม ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) ขอแนะนำแนวทางรับมือเมื่อผู้บริโภคต้องกลายเป็นทายาทที่ได้รับมรดกหนี้บ้านแบบไม่ทันตัว เพื่อช่วยให้ค้นหาวิธีจัดการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของแต่ละคนและแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด

ทายาทมีสิทธิเลือกปฏิเสธ หากไม่พร้อมและไม่มีความจำเป็น เมื่อทราบว่าผู้กู้ได้เสียชีวิตลงและมีภาระในการชำระสินเชื่ออสังหาฯ ค้างอยู่ ในเบื้องต้นบรรดาทายาทจะต้องทำการประเมินความพร้อมทางด้านการเงินของตนเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะประเมินระดับความจำเป็นว่าการมีบ้าน/คอนโดฯ เพื่ออยู่อาศัยหรือเก็บไว้ลงทุนเพิ่มขึ้นนั้น มีความคุ้มค่าเพียงพอกับการต้องรับภาระหนี้ระยะยาวเหล่านี้หรือไม่ เนื่องจากทายาทมีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่รับทรัพย์สินที่จะตกทอดเป็นมรดกจากผู้เสียชีวิตได้เช่นกัน โดยสถาบันการเงิน/ธนาคารผู้ปล่อยกู้ในฐานะเจ้าหนี้โดยตรงจะดำเนินการยึดทรัพย์สินนั้น ๆ ของผู้เสียชีวิตเพื่อนำไปขายทอดตลาดและนำเงินที่ได้จากการขายมาชำระหนี้บ้านต่อไป ซึ่งหากจำนวนเงินเพียงพอที่จะชำระหนี้ที่ค้างอยู่ได้หมด ทายาทก็ไม่ต้องรับภาระหนี้ใด ๆ ต่อจากผู้เสียชีวิตเลย อย่างไรก็ตาม การที่ธนาคารนำทรัพย์สินไปขายทอดตลาดส่วนใหญ่นั้นมักได้ราคาที่ต่ำกว่ายอดหนี้ จึงอาจส่งผลให้ทายาทยังคงต้องรับภาระหนี้ที่เหลือบางส่วนต่อไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

เช็กสภาพคล่องทางการเงินให้มั่นใจ ก่อนยินยอมรับทรัพย์สิน ในกรณีที่ทายาทได้พิจารณาและประเมินความคุ้มค่าเปรียบเทียบระหว่างกรรมสิทธิ์จากทรัพย์สินมรดกที่ได้และหนี้สินที่ต้องรับภาระต่อแล้ว สามารถแจ้งความจำนงขอรับทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตได้เช่นกัน โดยต้องไม่ลืมที่จะประเมินสภาพคล่องทางการเงินและวางแผนความมั่นคงทางการเงินในอนาคตให้พร้อมด้วย เพราะนอกจากความยินยอมรับมรดกหนี้ตามกฎหมายแล้วทายาทยังต้องมีความพร้อมในการผ่อนชำระต่อด้วย เนื่องจากสินเชื่ออสังหาฯ เป็นสินเชื่อที่มีระยะเวลาผ่อนชำระค่อนข้างนาน ทายาทผู้รับมรดกบ้านต่อจึงจำเป็นต้องได้รับการประเมินสภาพหนี้ใหม่โดยสถาบันการเงิน/ธนาคาร เช่นเดียวกับการยื่นกู้ใหม่ โดยจะประเมินจากจำนวนหนี้ที่เหลือและความสามารถในการผ่อนชำระของทายาท หากทายาทมีความสามารถผ่อนต่อได้หรือกู้ผ่าน ก็สามารถรับหน้าที่ผ่อนต่อไปจนหมด แต่หากทายาทไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ต่อหรือกู้ไม่ผ่าน จะทำให้แนวทางการชำระหนี้อสังหาฯ มีรูปแบบเหมือนกับกรณีที่ทายาทปฏิเสธไม่รับทรัพย์สิน ซึ่งสถาบันการเงิน/ธนาคารจะทำการยึดทรัพย์สินเพื่อขายทอดตลาด และนำเงินที่ได้จากการขายมาชำระหนี้บ้านที่เหลือต่อไป

การจากไปของคนในครอบครัวถือเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดและไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เมื่อไม่สามารถเลี่ยงได้ การวางแผนเตรียมความพร้อมจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน นอกเหนือจากประกันอัคคีภัยที่ผู้กู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจำเป็นต้องทำไว้แล้ว ยังมี “ประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองทรัพย์สิน หรือ ประกัน MRTA” ที่ถือเป็นอีกทางเลือกในการป้องกันความเสี่ยงในกรณีที่ผู้กู้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพ โดยสถาบันการเงิน/ธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้จะได้รับการชำระเงินกู้ต่อจากบริษัทที่รับทำประกันแทนผู้กู้จนครบสัญญา นอกจากจะมีประโยชน์ในมุมที่ไม่ก่อให้เกิดการผลักภาระหนี้ไปยังลูกหลานโดยไม่ได้ตั้งใจแล้ว ทายาทของผู้กู้ยังจะได้รับอสังหาฯ นั้นเป็นมรดกแบบไร้หนี้สินอีกด้วย อย่างไรก็ดี ผู้กู้ควรศึกษา ประเมินความคุ้มค่า และทำความเข้าใจเงื่อนไขที่บริษัทประกันระบุไว้อย่างครบถ้วนก่อนตัดสินใจอีกครั้ง เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย อย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (https://www.ddproperty.com/) ได้รวบรวมข่าวสารในแวดวงอสังหาฯ และบทความที่น่าสนใจเพื่อเป็นแหล่งความรู้ให้ผู้บริโภคที่กำลังวางแผนอยากมีบ้านได้เข้ามาศึกษา รวมทั้งมีข้อมูลประกาศซื้อ-ขาย-เช่าที่อยู่อาศัยในหลากหลายทำเล เพื่อให้ทุกคนเตรียมความพร้อมเป็นเจ้าของบ้านได้อย่างมั่นใจ และค้นหาบ้านในฝันได้ง่ายยิ่งขึ้น

เตรียมพร้อมสู่ยุคใหม่ของความปลอดภัยและสุขภาพ

Fabio Tiviti

เตรียมพร้อมสู่ยุคใหม่ของความปลอดภัยและสุขภาพ

บทความโดย นายฟาบิโอ ทิวิติ รองประธาน ประจำภูมิภาคอาเชียน บริษัท อินฟอร์

ไม่มีใครทราบเลยว่า การแพร่ระบาดของโควิดนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด และโลกของการทำงานจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรหลังจากเหตุการณ์นี้ แต่ที่แน่ ๆ ดูเหมือนว่าเราจะรับรู้ได้ถึงผลกระทบและปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตเรานี้ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงมากมายที่เราได้ประสบในช่วง 12-18 เดือนที่ผ่านมา จะพบว่า การทำงานเสมือนจริงไม่ว่าจะเป็นแบบไฮบริดที่ทำงานจากบ้านหรือจากที่ใดก็ตาม หรือเข้าออฟฟิศทุกวันเต็มเวลา ดูเหมือนว่าการทำงานแบบนี้จะยังคงอยู่กับเราต่อไปอีกนาน

ในมุมหนึ่ง โควิดให้โอกาสพิสูจน์แนวคิดเรื่องการทำงานจากที่บ้าน (work from home = WFH) ว่าเป็นไปได้จริงหรือไม่ จากการศึกษาล่าสุดของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดแสดงให้เห็นว่า พนักงานที่ได้รับอนุญาตให้ WFH มีความสามารถในการทำงานเพิ่มขึ้น เทียบได้กับการทำงานเต็มวันในทุกสัปดาห์ ยิ่งไปกว่านั้น ผลสำรวจเพิ่มเติมจากรายงานฉบับนี้ยังแสดงให้เห็นว่า การ WFH ทำให้การลาออกของพนักงานลดลง 50% และมีการลาป่วยน้อยลงอีกด้วย ซึ่งสิ่งที่ตอกย้ำข้อเท็จจริงนี้คือ การลดพื้นที่สำนักงานได้ช่วยประหยัดเงินค่าเช่าลงได้อย่างมาก โดยผลการศึกษาระบุว่า สามารถประหยัดได้ถึง 2,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อพนักงานหนึ่งคน ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นผลดีต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ในทำนองเดียวกัน จากผลสำรวจของ Gartner เมื่อเร็ว ๆ นี้ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้จะยังคงอยู่ตลอดไป โดยมีผู้บริหารองค์กรจำนวนสูงถึง 82% วางแผนให้พนักงานทำงานจากระยะไกลในอนาคต อย่างน้อยที่สุดก็ในช่วงพาร์ทไทม์

ทว่าในขณะที่กลยุทธ์และนโยบายการ WFH ส่วนใหญ่เกิดจากการจัดการกับวิกฤตท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรค ข้อบ่งชี้ถึงการทำงานระยะยาวแบบนี้เห็นได้ชัดว่า จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ที่ครอบคลุมทั้งผู้คน กระบวนการ และระบบ ตลอดจนโครงสร้างที่จำเป็นเพื่อความยั่งยืนในระยะยาว มากกว่าเพื่อการวางแผนการทำงานในระยะสั้น

ผลลัพธ์ที่น่าแปลกใจ
อย่างไรก็ดี ปัจจัยสำคัญที่สุดประการหนึ่งที่พึงตระหนักถึงในการจัดทำแผนกลยุทธ์ระยะยาว คือ ทางเลือกนี้ไม่ได้ปราศจากความเสี่ยงโดยสิ้นเชิง และเมื่อต้องประเมินกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่เป็นไปได้ องค์กรต้องมองภาพรวมให้รอบคอบก่อนจะทำการตัดสินใจ

สำหรับประเด็นสำคัญด้านสุขภาพและความปลอดภัย มีสิ่งที่ควรพิจารณาและไม่ควรมองข้าม ซึ่งจะเห็นได้จากการนำมาตรฐาน ISO ใหม่ – ISO 45003 ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลกที่ประเมินถึงความเสี่ยงด้านจิตสังคมฉบับแรกมาเริ่มใช้งานในเดือนมิถุนายน 2564 โดยมาตรฐานใหม่นี้จะให้คำแนะนำในการจัดการสุขภาพจิต และความปลอดภัยในการทำงาน เน้นในเรื่องที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพจิต รวมทั้งการสื่อสารที่ไม่มีประสิทธิผล แรงกดดันที่มีมากเกินไป ความเป็นผู้นำที่ไม่ดี และวัฒนธรรมองค์กร โดยองค์กรที่มุ่งมั่นในความยั่งยืนสามารถปรับกลยุทธ์ระดับองค์กรให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติได้มากขึ้น เพราะการใช้มาตรฐาน ISO 45003 จะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการรับรองสภาพการทำงานที่มีคุณค่า สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

มาตรฐานนี้ได้รับการแนะนำให้ใช้กันอย่างกว้างขวางด้วยตระหนักถึงข้อเท็จจริงที่ว่า แม้การทำงานระยะไกลจะมีความยืดหยุ่นก็ตาม แต่พนักงานที่ทำงานในออฟฟิศแบบดั้งเดิมจำนวนมากพบว่า ตนเองกำลังประสบกับภาวะหมดไฟจากการทำงานเมื่อต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อเนื่องท่ามกลางภาระหน้าที่และความต้องการ
ต่าง ๆ ภายในครอบครัว สำหรับหลาย ๆ คนเส้นแบ่งระหว่างงานกับบ้านอาจเลือนลาง จนทำให้การสร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวกลับตาลปัตร ไปเป็นการผสานชีวิตส่วนตัวและการทำงานเข้าด้วยกัน (work-life integration) ซึ่งแน่นอนว่าบางคนอาจปรับตัวได้ง่าย แต่ไม่ใช่กับทุกคน

จากมุมมองของนายจ้าง การติดตามและจัดการกับภาวะหมดไฟในการทำงานที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งสัญญาณด้านสุขภาพจิตที่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้พนักงานที่ทำงานอยู่นอกออฟฟิศ (virtual workforce) มีความสุข เกิดแรงจูงใจ และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งทำให้เกิดผลเชิงบวกในท้ายที่สุดด้วย
ผู้ริเริ่มเรื่องนี้กำลังมุ่งเน้นที่ความเสี่ยงด้านสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงานที่ทำงานอยู่นอกออฟฟิศมากขึ้นเป็นสองเท่า โดยใช้แนวทางสร้างสรรค์ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และลดความเสี่ยงลงให้เหลือน้อยที่สุด

การใช้แนวทางอย่างเป็นระบบ
การใช้แนวทางต่าง ๆ ดังกล่าวจะแตกต่างกันไปในแต่ละบริษัท แต่บริษัทหลายแห่งก็หันมาใช้ระบบบริหารจัดการทุนมนุษย์ (Human Capital Management: HCM) เป็นจุดเริ่มต้น โดยใช้ประโยชน์จากเกณฑ์วัดด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ทำให้เข้าใจถึงสุขภาพของพนักงาน ติดตามแนวโน้มและรูปแบบ และเน้นย้ำประเด็นที่ต้องให้ความสนใจแบบเรียลไทม์ โปรไฟล์ของพนักงานแต่ละคนสามารถสร้างขึ้นได้ตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น ระยะทางจากที่พักพนักงานถึงออฟฟิศ ตลอดจนการขาดงานจากการเจ็บป่วยและการนัดหมายทางการแพทย์ ซึ่งเมื่อนำมารวมกับการวิเคราะห์ของ Microsoft ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับชั่วโมงทำงาน เวลาประชุม จำนวนอีเมลที่ส่งออกแล้ว จะทำให้เห็นภาพว่าจำเป็นต้องยื่นมือเข้าไปช่วย ณ จุดใดบ้าง (design interventions) เพื่อทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น ระบบประเภทนี้ยังช่วยระบุได้ว่า พนักงานมีความเหมาะสมที่จะทำงานระยะไกลในระยะยาวหรือไม่ ในความเป็นจริงที่ตรงกันข้ามกับความเข้าใจส่วนใหญ่พบว่า การทำงานแบบนี้ไม่ได้เหมาะกับทุก ๆ คน ทั้งนี้เนื่องจากหลายคนจะพบว่าตนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างสรรค์ยิ่งขึ้นก็ต่อเมื่ออยู่ในออฟฟิศ เมื่อตระหนักถึงความสำคัญพื้นฐานนี้ องค์กรที่มองการณ์ไกลจึงใช้การวิเคราะห์ความสามารถเชิงคาดการณ์ เพื่อค้นหาโปรไฟล์ และขยายความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ DNA ด้านพฤติกรรมของพนักงานแต่ละคนในองค์กร ปีที่ผ่านมา อินฟอร์ได้ทำการวิจัยในส่วนที่สำคัญนี้ ระบุโปรไฟล์จำนวนหนึ่งที่เหมาะสมที่สุดกับการทำงานระยะไกล โดยมีผลการวิจัยที่ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการโฟกัสที่งาน พร้อมจุดแข็งจุดอ่อนของแต่ละคน ตลอดจนความพร้อมและความสบายใจในการแสดงความคิดและอารมณ์ ซึ่งผลจากการวิจัยยังได้แสดงให้เห็นว่า พนักงานที่ประสบความสำเร็จในการทำงานระยะไกลนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยสนใจกับคำชมของคนนอกมากนัก แต่จะรู้สึกกระตือรือร้นเมื่อได้รับรู้ถึงความเร่งด่วนของงานที่ทำมากกว่า

การออกแบบแนวทางการทำงานแบบไฮบริด
ข้อมูลเชิงลึกประเภทนี้เผยให้เห็นถึงข้อกังวลของนายจ้าง ที่กำลังพิจารณาเปลี่ยนการทำงานทั้งหมดไปเป็นการทำงานแบบเวอร์ชวล หลายองค์กรเลือกใช้แนวทางแบบไฮบริดมากขึ้น เพื่อรองรับโปรไฟล์พนักงานที่หลากหลาย และเลือกใช้อย่างเหมาะสมเพื่อให้พนักงานได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่

สำหรับองค์กรที่ใช้วิธีทำงานแบบไฮบริด แม้แต่การจะเปลี่ยนกลับไปทำงานที่ออฟฟิศก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป เพราะจะต้องมีการจัดตารางเวลาการทำงานที่สร้างสรรค์ของคนในออฟฟิศ เพื่อลดการทำงานใกล้กันให้เหลือน้อยที่สุด โดยจะต้องมีพื้นที่ในการทำงานที่กว้างขวางขึ้น พร้อมระบบกรองอากาศที่ได้รับการปรับปรุง ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ควรต้องรวมไว้เป็นส่วนหนึ่งของแผนงาน

อนาคตของการทำงานมาถึงแล้ว
ขณะนี้ดูเหมือนจะเป็นที่ยอมรับกันในระดับสากลแล้วว่า การทำงานในออฟฟิศแบบเต็มเวลากำลังเหลือน้อยลงทุกขณะ และไม่ว่ารูปแบบการทำงานแบบเวอร์ชวลหรือไฮบริดจะเหมาะสมหรือไม่ก็ตาม สิ่งสำคัญอย่างยิ่ง คือ จะต้องทำตามแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดตามที่กำหนดไว้ในการรับรองมาตรฐาน ISO ใหม่ ที่ให้คำแนะนำในการจัดการสุขภาพจิต และความปลอดภัยในการทำงานโดยประเมินถึงความเสี่ยงด้านจิตสังคม ทั้งนี้ จะต้องตระหนักถึงความสำคัญของการมีระบบที่เหมาะสมในการติดตาม ให้ความสำคัญ และส่งเสริมการมีส่วนร่วม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้

รูปแบบการทำงานในอนาคตอยู่ที่นี่แล้ว และองค์กรที่มองการณ์ไกลกำลังสรุปกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนประสิทธิภาพการทำงาน ลดความเสี่ยงให้เหลือน้อยที่สุด รวมถึงรักษาบุคลากรที่มีความสามารถที่องค์กรต้องการเอาไว้ เพื่อจะได้ยืนหยัดได้อย่างมั่นคงท่ามกลางเศรษฐกิจที่ผันผวนมากขึ้นในอนาคต

“เพย์ โซลูชั่น” จับมือ “ทรูมันนี่” ขยายฐานร้านค้า เปิดให้บริการรับชำระเงินผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท หนุนธุรกิจรับ Cashless สู้โควิด

“เพย์ โซลูชั่น” จับมือ “ทรูมันนี่” ขยายฐานร้านค้า เปิดให้บริการรับชำระเงินผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท หนุนธุรกิจรับ Cashless สู้โควิด

บริษัท เพย์ โซลูชั่น จำกัด ผู้ให้บริการระบบชำระเงินออนไลน์แห่งแรกของเมืองไทย ร่วมกับ ทรูมันนี่ ผู้นำด้านบริการอิเล็กทรอนิกส์เพย์เมนท์ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขยายฐานร้านค้าที่เปิดให้บริการรับชำระเงินผ่านแอปพลิเคชั่นทรูมันนี่ วอลเล็ท เพื่อสนับสนุนธุรกิจออนไลน์ในยุคสังคมไร้เงินสด และช่วยสร้างโอกาสในการเพิ่มยอดขายและขยายกิจการให้เข้าถึงฐานลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่รวมถึงผู้ใช้ทรูมันนี่มากกว่า 19 ล้านราย

ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) เผยว่า ‘โควิด-19’ เป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายไปสู่ตลาดอีคอมเมิร์ซอย่างรวดเร็ว พร้อมระบุในอีก 12 เดือนหลังจากนี้ ผู้บริโภคชาวไทยจะเพิ่มการใช้จ่ายออนไลน์อีกถึง 43% นับเป็นโอกาสท่ามกลางวิกฤติสำหรับผู้ประกอบการในการเร่งมองหาและนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาเสริมช่องทางการขายเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดอีคอมเมิร์ซ ซึ่งช่องทางการรับชำระเงินผ่านอีวอลเล็ทถือเป็นหัวใจสำคัญในการซื้อ-ขายสินค้าผ่านออนไลน์ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในช่วงการแพร่ระบาด

เพย์ โซลูชั่น_ทรูมันนี่

นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพย์ โซลูชั่น จำกัด กล่าวว่า “การร่วมมือกับทรูมันนี่ตอกย้ำถึงความทุ่มเทของเราในการพัฒนาบริการชำระเงินใหม่ ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ซื้อพร้อมสร้างความได้เปรียบในการทำธุรกิจแก่ผู้ประกอบการและร้านค้า เนื่องจากการซื้อขายสินค้าและการชำระเงินของผู้บริโภควันนี้เปลี่ยนไปใช้จ่ายแบบอีเพย์เม้นต์มากขึ้น เราจึงเพิ่มช่องทางรับชำระผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท เพื่อให้ร้านค้าสามารถเข้าถึงฐานลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่และคุ้นเคยกับการช้อปปิ้งแบบ Cashless ได้อย่างง่ายดาย เพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขายใหม่ ๆ ผ่านช่องทางชำระเงินที่รวดเร็วในแบบที่ต้องการ”

นายนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด (ประเทศไทย) กล่าวว่า “การจับมือกับ เพย์ โซลูชั่น จะช่วยให้ผู้ประกอบการธุรกิจและร้านค้าเชื่อมต่อธุรกิจกับแพลตฟอร์มอีเพย์เม้นต์ของทรูมันนี่ที่มอบทั้งความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน ร้านค้าจึงสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ใหม่ ๆ ซึ่งรวมถึงผู้ใช้มากกว่า 19 ล้านรายของเรา อีกทั้งเพิ่มศักยภาพธุรกิจและโอกาสปิดการขายได้รวดเร็ว”

4 ขั้นตอนการ “ชำระเงิน” ด้วยแอปฯ TrueMoney Wallet กับ เพย์ โซลูชั่น

ทรูมันนี่_ทรูมันนี่ วอลเล็ท

พลิกโฉม 360 องศาประสบการณ์ความตื่นเต้นเร้าใจของการดูกีฬาไปกับเทคโนโลยี 5G

Ericsson_อีริคสัน

พลิกโฉม 360 องศาประสบการณ์ความตื่นเต้นเร้าใจของการดูกีฬาไปกับเทคโนโลยี 5G

การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียวนับว่าเป็นมหกรรมกีฬาของมวลมนุษยชาติที่ค่อนข้างแปลกกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ช่างเป็นการแข่งขันกีฬาที่เงียบเหงา เพราะคณะผู้จัดงานไม่ได้เปิดให้สาธารณะชนเข้าร่วมชมเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ซึ่งน่าจะอยู่กับพวกเราไปอีกช่วงเวลาหนึ่ง

เทคโนโลยี 5G จะนำความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลมายังทุกภาคส่วนในสังคม รวมทั้งวงการกีฬา เพราะเทคโนโลยี 5G สามารถรองรับการใช้งาน Digital Application, Video on Demand และ Immersive User Experience (ประสบการณ์การรับชมที่เสมือนจริงและล้ำลึก) เรากำลังก้าวเข้าสู่โลกของการดูกีฬาที่ใกล้ชิด พร้อมพรั่งด้วยข้อมูลเชิงลึกเพียงปลายนิ้วสัมผัส และ Interactive สุด ๆ ไม่ว่าแฟนกีฬาเหล่านั้นจะเข้าชมที่สนามหรือดูจากที่บ้าน

มีการคาดการณ์ว่าผู้บริโภคไม่น้อยกว่า 300 ล้านคนทั่วโลกจะปรับเปลี่ยนเข้าใช้งานเทคโนโลยี 5G ภายในปี 2564 นี้ โดยในรายงาน ConsumerLab ที่จัดทำขี้นโดยบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีสื่อสารอย่างอีริคสันได้วิเคราะห์ถึงแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคว่า ผู้ใช้งานเทคโนโลยี 5G จะใช้เวลาเพิ่มเติมอีก 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในการรับชมวิดีโอความคมชัดระดับ HD ผ่านมือถือ และอีก 1 ชั่วโมงเพิ่มขึ้นเพื่อใช้งานเทคโนโลยีความจริงเสมือน (AR-Augmented Reality) เมื่อเทียบกับยุค 4G

ด้วยเทคโนโลยี 5G ที่นั่งที่ดีที่สุดในการดูกีฬาอยู่ในบ้านของคุณนั่นเอง อีริคสันเผยแพร่ผ่าน 5G in Sports Blog ว่า สิ่งที่ 5G จะนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่การจัดงานอีเว้นต์ต่าง ๆ โดยเฉพาะการแข่งขันกีฬา และจะเป็นช่องทางการหารายได้ใหม่ ๆ ของค่ายมือถือนั่นคือ 5G จะเสริมประสบการณ์การดูกีฬาของผู้บริโภคทั้งจากสนามแข่งขันที่ผู้ชมจะสามารถรับข้อมูลเกี่ยวกับการแข่งขันและนักกีฬาแบบเรียลไทม์ และนำผู้ชมทางบ้านเข้าใกล้แบบเกาะสนามแข่งขัน อีกทั้งยังสามารถบูรณาการประสบการณ์การรับชมแบบองค์รวมทั้งก่อนและหลังการแข่งขัน

ชาติที่ตื่นตัวที่สุดในการนำเอาเทคโนโลยี 5G มาเสริมประสบการณ์การชมกีฬาคือ การ์ต้า เจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในปี 2022 Ooredoo ผู้นำค่ายมือถือในประเทศที่มั่งคั่งที่สุดแห่งหนึ่งของโลกจับมือกับอีริคสัน เพื่อนำเอาขีดความสามารถของเทคโนโลยี 5G มาเพื่อสร้างให้ฟุตบอลโลกที่จะจัดขึ้นมีความยิ่งใหญ่ที่สุด โดยการ์ต้าไม่เพียงแต่การทุ่มเงินมหาศาลถึงกว่าสองแสนล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ในการสร้างสนามแข่งขันใหม่ถึง 8 สนาม Ooredoo ยังได้เตรียมความพร้อมด้านการถ่ายทอดการแข่งขัน โดยได้พัฒนาเครือข่าย 5G ให้ครอบคลุมสนามหลัก ๆ เช่น สนาม Al Wakrah สนาม Al Janoub รวมทั้งสนามกีฬาเสมือนจริงในศูนย์การค้าชั้นนำอย่าง Mall of Qatar

การ์ต้าเอาจริงเอาจังมากกับการเตรียมความพร้อม ด้วยการทดลองระบบกับการแข่งขันฟุตบอลลีกในประเทศอย่าง Amir Cup 2021 ซึ่งผู้ชมในสนามจริงและแบบเสมือนจริงสามารถรับชมการแข่งขันได้อย่างใกล้ชิดและมีอารมณ์ร่วมไปกับการแข่งขัน (Immersive Experience) ด้วยเทคโนโลยี 5G ที่พีคสุดของการดูกีฬาแบบเสมือนจริงของการ์ต้าคือผู้ชมสามารถเลือกจุดการรับชมได้อย่างอิสระและไม่จำกัดระหว่างการชมการแข่งขัน กล่าวคือสามารถเป็นผู้กำกับภาพได้ด้วยตัวเอง

อีกความน่าสนใจของการนำเอาเทคโนโลยี 5G มาใช้เพื่อชมการแข่งขันกีฬาในแบบ Immersive การแข่งขันฟุตบอลบุนเดสลีกาในปี 2020 ของเยอรมันนี ซึ่งเกิดขึ้นจากความร่วมมือของ Vodafone, Sky Sport Channel และอีริคสัน ในการร่วมสร้างประสบการณ์ใหม่ของผู้ชมในสนาม Merkul Spiel ในเมือง Düsseldorf แน่นอนว่าสิ่งที่เพิ่มเติมสำหรับผู้ชมในสนามคือ เสียงบรรยายและการวิเคราะห์การแข่งขัน ที่ให้ผู้ชมในสนามสามารถเลือกที่จะฟังได้

ยิ่งไปกว่านั้น AR Technology ยังสามารถช่วยให้ผู้ชมในสนามเข้าถึงข้อมูลการแข่งขันและนักกีฬาได้แบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะเป็นสถิติการครองบอล ความเร็วในการวิ่งและข้อมูลรอบด้านของนักฟุตบอล การชมวิดีโอย้อนหลังทั้งแบบปกติและ Slow Motion เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของผลการตัดสิน และเลือกฟังเสียงการสนทนาในสนามระหว่างผู้เล่น กรรมการ และผู้จัดการทีม ซึ่งเติมเต็มประสบการณ์การชม ณ สนามแข่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เทคโนโลยี 5G จะนำมาซึ่งโอกาสทางธุรกิจมาสู่ค่ายมือถือ ผู้จัดการแข่งขันกีฬา ผู้พัฒนานวัตกรรมและโซลูชั่นต่าง ๆ ที่จะมาสนับสนุนการสร้าง Immersive Experience ให้กับผู้ชม มีประมาณการว่าผู้ชมกีฬากว่า 160 ล้านคนต่อเดือนในสหรัฐอเมริกาจะใช้งาน 5G for Immersive Experience ในปี 2567  โดย 1 ใน 4 จะเป็นการใช้งาน AR rendering service ทั้งจากในสนามแข่งขันและจากทางบ้าน และจะก่อให้เกิดรายได้ใหม่จาก 5G for immersive experience กว่า 4 พันล้านเหรียญต่อปี

อีริคสัน คาดว่ายอดผู้ใช้งาน 5G ทั่วโลกจะพุ่งขึ้นเกินกว่า 580 ล้านรายภายในสิ้นปี 2564 โดยเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1 ล้านรายต่อวัน จากรายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับที่ 20 ตอกย้ำให้เห็นว่า 5G จะกลายเป็นเจนเนอเรชั่นเครือข่ายไร้สายที่มีการใช้เร็วที่สุด โดยภายในสิ้นปี 2569 จะมีผู้ใช้ 5G แตะระดับ 3.5 พันล้านราย และจะครอบคลุมถึง 60% ของประชากร 5G ทั้งหมด

ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 1.1 พันล้านราย ในขณะที่ยอดผู้ใช้งาน 5G ยังต่ำกว่าระดับ 2 ล้านราย อย่างไรก็ตามคาดว่าการสมัครใช้ 5G จะเติบโตอย่างมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยจะมียอดรวมพุ่งขึ้นถึง 400 ล้านราย ภายในปี 2569

คาดการณ์ว่าปริมาณการใช้งานอินเตอร์เน็ตต่อสมาร์ทโฟนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนียจะมีอัตราการเติบโตรวดเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับทั่วโลกโดยจะแตะ 39 กิกะไบท์ (GB) ต่อเดือน ภายในปี 2569 – โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 36% ต่อปี ในขณะที่ปริมาณการใช้งานอินเตอร์เน็ตบนมือถือทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นตามลำดับ เฉลี่ยเติบโตต่อปีที่ 42% เพิ่มขึ้นถึง 39 เอกซะไบต์ (EB) ต่อเดือน อันเป็นผลมาจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของผู้สมัครใช้ 4G และการเปลี่ยนมาใช้เครือข่าย 5G ในประเทศที่มีการเปิดตัว 5G แล้ว

เร้ดแฮท เปิดตัวบริการใหม่ Managed Cloud Services ขับเคลื่อนคลื่นลูกใหม่ของนวัตกรรมด้าน Cloud-Native Application

Red Hat

เร้ดแฮท เปิดตัวบริการใหม่ Managed Cloud Services ขับเคลื่อนคลื่นลูกใหม่ของนวัตกรรมด้าน Cloud-Native Application

บริการคลาวด์ที่โฮสต์และมีการบริหารจัดการให้ด้วยอย่างเต็มรูปแบบชุดใหม่นี้ช่วยเพิ่มทางเลือกในการใช้โอเพ่นไฮบริดคลาวด์คอมพิวติ้งให้กับลูกค้า
ลดความซับซ้อน และทำให้การลงทุนด้านไอทีเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

กรุงเทพฯ – 10 สิงหาคม 2564 – เร้ดแฮท อิงค์ ผู้นำด้านโซลูชั่นโอเพ่นซอร์สระดับโลกประกาศขยายผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ ด้วยการให้บริการคลาวด์ที่มาพร้อมการบริหารจัดการ(managed cloud services) สามบริการคือ Red Hat OpenShift API Management, Red Hat OpenShift Streams for Apache Kafka และ Red Hat OpenShift Data Science ซึ่งบริการทั้งสามนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้บริการอย่างครบวงจร และให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์การทำงานที่มีประสิทธิภาพในการสร้าง การติดตั้งการบริหารจัดการ และปรับขยายการใช้คลาวด์-เนทีฟแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ บนสภาพแวดล้อมแบบไฮบริด บริการเหล่านี้ได้ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ Red Hat OpenShift Dedicated และช่วยลดความยุ่งยากของสภาพแวดล้อมไอทียุคใหม่ที่มีความซับซ้อนมากได้โดยที่ประสิทธิภาพการทำงานของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ไม่ลดทอนตามไปด้วย ทั้งยังมอบชุดของความสามารถต่าง ๆ ที่ใช้ร่วมกันได้ทั้งบนไฮบริดคลาวด์และมัลติคลาวด์ที่หลากหลาย

ปี 2563 เป็นปีที่เน้นย้ำให้ผู้บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (CIO) และผู้นำด้านไอทีได้เห็นถึงความสำคัญของการนำไฮบริดคลาวด์มาใช้ในการทำงาน โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับความต้องการบริการที่ขยายตัวมากขึ้น ในขณะที่ยังคงต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบเดิมที่มีอยู่ เพื่อจัดการความความเป็นจริงที่เกิดขึ้นนี้ ลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจต่างต้องการความยืดหยุ่นในการใช้เทคโนโลยีเพื่อให้บริการหรือใช้แอปพลิเคชั่นใด ๆ ก็ได้จากทุกที่ โดยไม่ซับซ้อนและไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม บริการคลาวด์พื้นฐานเหล่านี้จะเข้ามาเปลี่ยนบทบาทความรับผิดชอบในการดำเนินงานและสนับสนุนโดยเร้ดแฮท ทั้งยังช่วยให้ลูกค้าสร้างแอปพลิเคชั่นใหม่ ๆ โดยเน้นไปที่การกระจายข้อมูลและการทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นผ่าน API บริการใหม่เหล่านี้ได้แก่

Red Hat OpenShift Streams for Apache Kafka
Red Hat OpenShift Streams for Apache Kafka สร้างขึ้นจากโครงการโอเพ่นซอร์สที่ชื่อว่า Apache Kafka ช่วยให้ทีมพัฒนาสามารถรวบรวมการสตรีมข้อมูลมาไว้ในแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ของตนได้ง่ายขึ้น ในการออกแบบแอปพลิเคชั่นไฮบริดคลาวดต่าง ๆ นั้นการสตรีมข้อมูลเป็นหลักสำคัญในการตรวจจับ การสื่อสาร และประมวลผลเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้กับสถาปัตยกรรมแบบดิสทริบิวเต็ดแอปพลิเคชั่นข้อมูลแบบเรียลไทม์เป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำงานของแอปพลิเคชั่นไฮบริดคลาวด์ และช่วยมอบประสบการณ์ดิจิทัลไปยังทุกแห่งที่ให้บริการได้ทันทีด้วยการให้บริการอย่างครบวงจร ของ Red Hat OpenShift Streams for Apache Kafka นี้ จะช่วยให้นักพัฒนาสร้างแอปพลิเคชั่นที่ดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องกังวลกับข้อกำหนดพื้นฐานในการเก็บรวบรวมและการประมวลผลข้อมูลต่าง ๆ

Red Hat OpenShift Streams for Apache Kafka มีพร้อมใช้ในรูปแบบพรีวิวสำหรับนักพัฒนาแล้ว และคาดว่าจะเปิดให้ใช้งานได้ทั่วไปปลายปีนี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Red Hat OpenShift Streams for Apache Kafka ได้ที่นี่

Red Hat OpenShift Data Science
Red Hat OpenShift Data Science สร้างขึ้นจากโครงการโอเพ่นซอร์สที่ชื่อว่า Open Data Hub บริการนี้ช่วยให้การพัฒนา สร้างการเรียนรู้ และการทดสอบโมเดลแมชชีนเลิร์นนิ่งทำได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องกังวลกับโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง Red Hat OpenShift Data Science ใช้เครื่องมือด้านการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูล (data science) ที่เป็นมาตรฐานทั่วไปเป็นพื้นฐานให้กับแพลตฟอร์ม AI-as-a-Service และทำงานร่วมกับพันธมิตรผู้ให้บริการคลาวด์ที่เลือกสรรแล้ว รวมถึงโซลูชั่น ISV ต่าง ๆ จาก Red Hat Marketplace

Red Hat OpenShift Data Science ที่พร้อมใช้งานนี้เป็นรุ่นเบต้า โดยเป็นส่วนเสริมของ OpenShift Dedicated และ Red Hat OpenShift Service on AWS ทั้งนี้คาดว่าจะพร้อมให้ใช้งานได้ทั่วไปปลายปีนี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Red Hat OpenShift Data Science ได้ที่นี่

Red Hat OpenShift API Management
Red Hat OpenShift API Management ให้บริการการบริหารจัดการ API (application programming interface) เต็มรูปแบบให้กับ Red Hat OpenShift Dedicated และ Red Hat OpenShift Service on AWS ด้วยการประสานการบริหารจัดการกับ technology ของ OpenShift จะช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ และการพัฒนาด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง การจัดการ และการปรับขยายแอปพลิเคชั่นที่เป็น API-first, microservices-based ได้มากกว่าการที่จะต้องติดอยู่กับเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน

Red Hat OpenShift API Management ยังช่วยให้ลูกค้าสร้างโปรแกรมบริหารจัดการ API ได้ด้วยตัวเอง ด้วยความสามารถในการควบคุม การเข้าถึง ติดตามตรวจสอบการใช้งาน แชร์ APIs ทั่วไป และพัฒนาแลนด์สเคปแอปพลิเคชั่นทั้งหมดของตนเองได้ผ่าน DevOps

Red Hat OpenShift API Management พร้อมใช้เต็มรูปแบบแล้ว โดยเป็นส่วนเสริมของ Red Hat OpenShift Dedicated และบน Red Hat OpenShift Service on AWS เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Red Hat OpenShift API Management ได้ที่นี่

Red Hat OpenShift: การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่มาพร้อมการบริหารจัดการที่ยืดหยุ่นสำหรับโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ บริการจัดการคลาวด์บริการใหม่ ๆ ที่กล่าวมานี้ สร้างบนพอร์ตโฟลิโอของ Red Hat OpenShift ซึ่งให้บริการ Kubernetes ที่มีการบริหารจัดการแบบครบวงจรและจัดการได้ด้วยตัวเองกับพับลิคคลาวด์ชั้นนำต่าง ๆ บริการใหม่เหล่านี้ช่วยให้ลูกค้าและพันธมิตรของเร้ดแฮทสามารถจัดทำกลยุทธ์โอเพ่นไฮบริดคลาวด์ที่ทำงานบนแพลตฟอร์มเอ็นเตอร์ไพรส์ Kubernetes ชั้นนำของอุตสาหกรรมได้ โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่อยู่ภายในองค์กรหรือจะต้องมีบุคลากรที่คอยปฏิบัติงาน

การประกาศครั้งนี้ยังเป็นการเปิดให้พันธมิตรของเร้ดแฮทผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์อิสระ (independent software vendors: ISVs) และผู้ให้บริการรวมระบบ (systems integrators: SIs) ได้นำเสนอบริการใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าของเขา ลูกค้าสามารถใช้บริการเหล่านี้ร่วมกับข้อเสนออื่น ๆ ของพันธมิตรด้านเทคโนโลยีรวมถึงโซลูชั่นที่มีอยู่บน Red Hat Marketplace ที่ได้รับการทดสอบเรียบร้อยแล้วได้รับการรับรอง และรองรับการใช้งานบน Red Hat OpenShift

คำกล่าวสนับสนุน

"เพื่อให้ใช้ประโยชน์จากโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ผู้นำด้านไอทีต้องสามารถใช้เทคโนโลยีที่พวกเขาต้องการ
และเห็นว่าเหมาะสมกับองค์กรของตน บริการคลาวด์ที่มาพร้อมการบริหารจัดการของเร้ดแฮท ช่วยขจัดอุปสรรคจำนวนมากได้
อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้องค์กรนำประสิทธิภาพของไฮบริดคลาวด์มาใช้ได้อย่างเต็มที่ เราเชื่อว่าการขจัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
ในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานแบบคลาวด์-สเกลที่เคยเกิดขึ้นออกไป จะกระตุ้นให้เกิดการเริ่มต้น
และทำให้ความเป็นไปไม่ได้จากการที่ถูกขวางกั้นโดยอุปสรรคเหล่านั้นกลายเป็นสิ่งที่เป็นไปได้"
แมตท์ ฮิกซ์
รองประธานบริหาร, ฝ่ายผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี, เร้ดแฮท
“ในขณะที่องค์กรต่าง ๆ ต้องการเพิ่มความเร็วในการพัฒนาแอปพลิเคชั่นของตน องค์กรหลายแห่งกำลังมองหาวิธีการลดภาระงาน
ของทีมพัฒนาด้วยการนำบริการคลาวด์ที่มีการบริหารจัดการให้ด้วยมาใช้ ซึ่งช่วยให้สามารถมุ่งความสำคัญไปที่การมองมูลค่าทางธุรกิจ
มากกว่าการใช้ทรัพยากรที่มีค่าไปกับการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐาน เร้ดแฮท มุ่งมั่นเพิ่มศักยภาพในการใช้เทคโนโลยีให้กับลูกค้า
ด้วย Red Hat OpenShift และชุดของบริการที่บูรณาการเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งสามารถใช้งานได้กับมัลติเพิลคลาวด์ทุกระบบ”
สตีเฟ่น โอแกรดี
หัวหน้านักวิเคราะห์, RedMonk