อัปเดตเทรนด์ที่อยู่อาศัยยุค Now Normal คนหาบ้าน 2022 ต้องการอะไรเมื่อคิดมีบ้าน?

อัปเดตเทรนด์ที่อยู่อาศัยยุค Now Normal คนหาบ้าน 2022 ต้องการอะไรเมื่อคิดมีบ้าน?

ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังคงเปราะบางจากหลายปัจจัยเสี่ยงที่เข้ามากระทบ โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่เข้ามาสร้างความปั่นป่วนให้กับภาคธุรกิจอีกครั้ง ข้อมูลจากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย รายงานผลสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนธันวาคม 2564 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับขึ้นมาอยู่ที่ 46.2 จากระดับ 44.9 ในเดือนพฤศจิกายน เป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้บริโภคจะเริ่มกลับมาจับจ่ายใช้สอยอีกครั้งในช่วงปลายปีที่ผ่านมา แต่การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อตั้งแต่ต้นปี บวกกับแนวโน้มเงินเฟ้อที่ส่งผลให้ราคาสินค้าเริ่มปรับเพิ่มขึ้น จึงทำให้ผู้บริโภคและภาคธุรกิจต้องกลับมาเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือความผันผวนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ทุกฝ่ายล้วนมีประสบการณ์จากรอบปีที่ผ่านมาแล้ว

ด้านตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 นี้ ยังคงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดอันเนื่องมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการแพร่ระบาดฯ ที่ส่งผลโดยตรงต่อสถานะทางการเงินในครอบครัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ ผู้บริโภคต้องพิจารณาความจำเป็นก่อนตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยอย่างรอบคอบ ในขณะที่การใช้ชีวิตแบบ Now Normal ได้กระตุ้นให้ทุกคนปรับไลฟ์สไตล์ไปตามบริบทของยุคสมัย ดังนั้น การมองหาหรือเลือกที่อยู่อาศัยต้องมาพร้อมความสะดวกสบาย ความปลอดภัยในทุกมิติ และตอบโจทย์การดำเนินชีวิตอย่างครบถ้วนอีกด้วย

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย อัปเดตแนวโน้มที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคยุคใหม่ที่น่าจับตามอง เผยข้อมูลเชิงลึกจากผู้เข้าเยี่ยมชมในเว็บไซต์ DDproperty.com ตลอดปี 2021 สะท้อนพฤติกรรมการเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยที่เชื่อมโยงไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในยุค Now Normal

    • คนซื้อบ้านยังมีดีมานด์ โฟกัสราคาจับต้องได้ การชะลอตัวของเศรษฐกิจและการแพร่ระบาดฯ ที่ลากยาวกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงทางการเงินของผู้บริโภค ประกอบกับสัญญาณความเสี่ยงจากแนวโน้มเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้บริโภคยังคงลังเลในการตัดสินใจซื้อบ้านและชะลอการทำธุรกรรมออกไปก่อนในช่วงนี้ แม้จะมีโปรโมชั่นมากมายจากผู้พัฒนาอสังหาฯ แต่ยังไม่เพียงพอในการกระตุ้นการเติบโตของตลาด อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ในตลาดที่จำเป็นต้องซื้อที่อยู่อาศัยในปีนี้ จะหันไปเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่มีฟังก์ชั่นครอบคลุมการใช้งานในราคาจับต้องได้ (Affordable price) แทน เพื่อให้เหมาะสมกับกำลังซื้อที่มีและป้องกันการเกิดปัญหาขาดสภาพคล่องในภายหลัง เห็นได้จากข้อมูลผู้เยี่ยมชมในเว็บไซต์ DDproperty.com ในปี 2021 ที่ค้นหาบ้านและคอนโดฯ ในระดับราคา 1-3 ล้านบาทมากที่สุด (21%) สะท้อนให้เห็นดีมานด์ของกลุ่มลูกค้าในตลาดกลาง-ล่าง โดยระดับราคานี้ตอบโจทย์ผู้ต้องการบ้านหลังแรกซึ่งมีจำนวนไม่น้อยในตลาด ตามมาด้วยระดับราคา 3-5 ล้านบาท และมากกว่า 15 ล้านบาท ในสัดส่วน 4% เท่ากัน โดยระดับราคาต่ำที่สุดที่มีคนค้นหาคือ 100,000 บาท และระดับราคาสูงที่สุดที่มีคนค้นหาคือ 500 ล้านบาท
    • ฟังก์ชั่นการใช้งานครบ ตอบโจทย์ครอบครัว ปัจจัยสำคัญอันดับต้น ๆ ที่ผู้บริโภคใช้พิจารณาเมื่อคิดจะซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยมักเป็นรูปแบบบ้าน/คอนโดฯ ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของสมาชิก ข้อมูลจากผู้เข้าเยี่ยมชมในเว็บไซต์ DDproperty.com ในปี 2021 สำหรับผู้ที่มีความต้องการซื้อ พบว่า ตัวกรองการค้นหา (Filter) ที่ใช้ทุกการค้นหาคือ “จำนวนห้องนอน” ตามมาด้วย “ราคา (21%)” และ “พื้นที่ใช้สอย (4%)”
DDproperty อัปเดตเทรนด์ที่อยู่อาศัยยุค Now Normal

โดยการค้นหาโดยใช้จำนวนห้องนอนเป็นตัวกรอง พบว่า คนที่ต้องการซื้อบ้านต้องการบ้านขนาด 2 ห้องนอน (3%), 3 ห้องนอน (2%) และ 1 ห้องนอน (1%) ส่วนการค้นหาโดยใช้จำนวนห้องน้ำเป็นตัวกรอง พบว่า ส่วนใหญ่ (49%) ต้องการบ้านที่มี 2 ห้องน้ำ รองลงมาคือ 1 ห้องน้ำ (28%) และ 3 ห้องน้ำ (16%) ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าผู้สนใจหาบ้านส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มครอบครัวขนาดกลางที่มีสมาชิกไม่มากนัก นอกจากนี้ กว่า 2 ใน 3 ของผู้ซื้อยังมองหาที่อยู่อาศัยที่มีเฟอร์นิเจอร์ครบ ตกแต่งพร้อมเข้าอยู่ได้ทันที (Fully Furnished) ถึง 68%

อัปเดตเทรนด์ที่อยู่อาศัยยุค Now Normal คนหาบ้าน 2022 ต้องการอะไรเมื่อคิดมีบ้าน?

ในขณะที่การเช่ากำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงนี้ พบว่า ตัวกรองการค้นหาที่ใช้ทุกการค้นหาคือ “จำนวนห้องนอน” เช่นกัน ตามมาด้วย “ราคา (24%)” และ “พื้นที่ใช้สอย (8%)” หากโฟกัสไปที่การค้นหาโดยใช้จำนวนห้องนอนเป็นตัวกรอง พบว่า คนที่ค้นหาบ้านเช่าต้องการขนาด 2 ห้องนอน (10%), 1 ห้องนอน (6%) และ 3 ห้องนอน (4%) ส่วนการค้นหาโดยใช้จำนวนห้องน้ำเป็นตัวกรอง พบว่า ส่วนใหญ่ (47%) ต้องการบ้านที่มี 1 ห้องน้ำ รองลงมาคือ 2 ห้องน้ำ (42%) และ 3 ห้องน้ำ (8%) ตามลำดับ โดย 4 ใน 5 ของผู้เช่า (80%) ต้องการที่อยู่อาศัยที่มีเฟอร์นิเจอร์ครบพร้อมเข้าอยู่ทันที อำนวยความสะดวกให้ผู้เช่ามากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเตรียมงบสำหรับตกแต่งหรือซื้อเฟอร์นิเจอร์เพิ่มเติม

    • โอกาสทองของผู้ซื้อ ปล่อยเช่าสร้างรายได้ระยะยาว การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อต่อยอดสร้างรายได้ยังคงเป็นที่นิยม เนื่องจากมีความต้องการในตลาดอยู่มาก ปัจจุบันเทรนด์การเช่ายังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสงครามราคาจากผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่ทำให้เป็นโอกาสทองของผู้ซื้อ/นักลงทุนที่มีความพร้อมในการเลือกซื้อหรือลงทุนในทำเลที่มีศักยภาพเติบโตเพื่อนำมาลงทุนเก็งกำไรหรือปล่อยเช่าสร้างรายได้ในอนาคต เนื่องจากยังมีกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการเลือกเช่าที่อยู่อาศัยจำนวนไม่น้อย ข้อมูลจากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคต่อสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุดพบว่า มากกว่าครึ่งของผู้เช่า (54%) วางแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองภายใน 5 ปีข้างหน้า ในขณะที่ 29% เผยว่ายังไม่ชัดเจนว่าจะเช่าเป็นระยะเวลายาวนานเท่าไร เมื่อพิจารณาจากข้อมูลผู้เข้าเยี่ยมชมในเว็บไซต์ DDproperty.com พบว่า ผู้เช่าส่วนใหญ่ (30%) ค้นหาบ้านเช่าในระดับราคาต่ำกว่า 10,000 บาทต่อเดือน ตามมาด้วยระดับราคา 10,000-20,000 บาทต่อเดือน (11%) และระดับราคามากกว่า 30,000 บาทต่อเดือน (5%) โดยระดับราคาต่ำที่สุดที่มีคนค้นหาคือ 1,000 บาทต่อเดือน และระดับราคาสูงที่สุดที่มีคนค้นหาคือ 3 ล้านบาทต่อเดือน (เช่าสิ่งปลูกสร้างหรือที่ดิน) ซึ่งเห็นได้ว่าผู้บริโภคบางส่วนยังมองว่าการเช่าแทนซื้อเป็นทางเลือกระยะสั้นที่น่าสนใจ นอกจากนี้การเช่ายังตอบโจทย์การทำงานและการใช้ชีวิตในเมืองหลวงมากกว่า เพราะลดภาระทางการเงินในการผ่อนชำระและให้ความยืดหยุ่นเรื่องค่าใช้จ่ายได้มากกว่า

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ยังถือเป็นปีที่ท้าทายของผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่เริ่มต้นปีด้วยการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ 5 แม้หลายบริษัทจะส่งสัญญาณเปิดโครงการใหม่ ๆ มากขึ้น แต่ก็ต้องจับตามองว่าปีนี้ผู้พัฒนาอสังหาฯ จะนำกลยุทธ์ใดมาใช้ขับเคลื่อนตลาดให้เติบโต ในขณะเดียวกัน ฝั่งผู้บริโภคเองก็ต้องติดตามสถานการณ์และความเคลื่อนไหวของผู้ประกอบการอย่างใกล้ชิดก่อนตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัย เพื่อลดความเสี่ยงทางการเงินที่มีโอกาสผันผวนในช่วงนี้ และควรพิจารณาโครงการที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนในครอบครัว ควบคู่ไปกับพิจารณาความคุ้มค่าด้านราคาเช่นกัน เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทยอย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (https://www.ddproperty.com) ได้รวบรวมข้อมูลประกาศซื้อ/ขาย/เช่าอสังหาฯ ทั้งโครงการใหม่และมือสองในหลากหลายทำเลทั่วประเทศ พร้อมรีวิวโครงการที่น่าสนใจ และนำเสนอความรู้ที่เป็นประโยชน์ในการซื้อ/ขาย/เช่า เพื่อเตรียมความพร้อมให้ทุกคนสามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองได้อย่างมั่นใจและง่ายยิ่งขึ้น

อาลีบาบาคาดการณ์ 10 อันดับเทรนด์เทคโนโลยีพุ่งแรง

อาลีบาบาคาดการณ์ 10 อันดับเทรนด์เทคโนโลยีพุ่งแรง

อาลีบาบาคาดการณ์ 10 อันดับเทรนด์เทคโนโลยีพุ่งแรง

Alibaba DAMO Academy (DAMO) สถาบันเพื่อการวิจัยด้านเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ระดับโลกของอาลีบาบา กรุ๊ป นำเสนอการคาดการณ์แนวโน้มสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

DAMO นำเสนอแนวโน้ม 10 อันดับเทคโนโลยีสำคัญที่จะเกิดขึ้นในช่วงสองถึงห้าปีข้างหน้า ซึ่งได้จากการวิเคราะห์เอกสารที่ตีพิมพ์เผยแพร่สู่สาธารณะ การยื่นจดทะเบียนสิทธิบัตรในช่วงสามปีที่ผ่านมา และการสัมภาษณ์นักวิทยาศาสตร์เกือบ 100 คน ทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่าเราจะได้เห็นการพัฒนาที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมทุกภาคส่วนในวงกว้าง

นายเจฟฟ์ จาง Head of Alibaba DAMO Academy กล่าวว่า “ตลอดศตวรรษที่ผ่านมา วิวัฒนาการทางเทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ เป็นปัจจัยเร่งให้เกิดความก้าวหน้าทางดิจิทัลและการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว การนำเทคโนโลยีไปใช้ได้ขยายขอบเขตจากโลกทางกายภาพไปสู่โลกที่ผสมผสานระหว่างโลกจริงกับโลกเสมือนเข้าด้วยกัน (mixed reality: MR) ในขณะเดียวกันก็มีการนำเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยไปใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมมากขึ้นเรื่อย ๆ

“เทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอนาคตที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมใด เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการผลิตที่ประหยัดพลังงาน หรือในกิจกรรมประจำวัน เช่น สำนักงานไร้กระดาษ เป็นต้น อาจกล่าวได้ว่าเราจะสร้างอนาคตที่ดีขึ้นได้ด้วยเทคโนโลยี”

Alibaba Unveils Forecast of Top 10 Leading Tech Trends

คาดการณ์แนวโน้มสำคัญ: ในอีกสองปีถึงห้าปีข้างหน้าจะมีแอปพลิเคชันที่ทำงานอยู่บนระบบการประมวลผลแบบใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนี้

#1 Cloud-Network-Device Convergence
การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีด้านเครือข่ายใหม่ ๆ จะขับเคลื่อนวิวัฒนาการของคลาวด์คอมพิวติ้ง ไปสู่ระบบการประมวลผลแบบใหม่ ที่เป็นการรวมอุปกรณ์เครือข่ายบนคลาวด์เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งคลาวด์ เน็ตเวิร์ก และอุปกรณ์ต่าง ๆ ในระบบใหม่นี้จะมีการแบ่งงานที่ชัดเจนยิ่งขึ้น การรวมเครือข่ายระบบคลาวด์ ไว้ด้วยกันจะเป็นตัวเร่งผลักดันให้เกิดแอปพลิเคชันใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองงานที่มีความต้องการมากขึ้น เช่น การจำลองทางอุตสาหกรรมที่มีความแม่นยำสูง การตรวจสอบคุณภาพทางอุตสาหกรรมแบบเรียลไทม์ และ mixed reality ในอีก 2 ปีข้างหน้า เราคาดว่าจะได้เห็นแอปพลิเคชันที่ทำงานบนระบบประมวลผลใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในอีกสามปีข้างหน้า เราคาดว่าจะได้เห็นการนำ AI ไปใช้อย่างกว้างขวางในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ประยุกต์ การใช้ชิปซิลิคอนโฟโตนิคที่ส่งข้อมูลด้วยแสง (Silicon Photonic Chips) การใช้ AI ปูทางไปสู่การรวมแหล่งพลังงานหมุนเวียนเข้ากับโครงข่ายไฟฟ้า การรักษาแบบแม่นยำจำเพาะที่เน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางในการรักษา (people-centric precision medicine) ที่กำลังเป็นเทรนด์สำคัญ การปรับปรุงที่ก้าวล้ำด้านประสิทธิภาพและความสามารถในการเข้าใจการประมวลผลแบบรักษาความเป็นส่วนตัว รวมถึงแว่นตา XR รุ่นใหม่ที่รวมองค์ประกอบของ VR และ AR เพื่อแสดงภาพดิจิทัลเหนือสภาพแวดล้อมจริง เป็นต้น

#2 AI for Science (AI กับการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์)
เมื่อหลายร้อยปีที่ผ่านมา ชุมชนวิทยาศาสตร์มีกระบวนทัศน์พื้นฐานสองประการ ได้แก่ วิทยาศาสตร์เชิงทดลองและวิทยาศาสตร์เชิงทฤษฎี ทุกวันนี้ความก้าวหน้าของ AI ทำให้กระบวนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ เป็นไปได้ แมชชีนเลิร์นนิ่งสามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมากที่มีหลากหลายมิติและในหลายรูปแบบ พร้อมแก้ไขปัญหาทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนได้ ช่วยให้การค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์เติบโตขึ้นในเรื่องที่เคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่เพียงแต่ AI จะเป็นตัวเร่งให้การวิจัยทางวิทยาศาสตร์รวดเร็วขึ้นเท่านั้นแต่ยังช่วยในการค้นพบกฎทางวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ อีกด้วย ในอีก 3 ปีข้างหน้า เราคาดว่าจะมีการนำ AI ไปใช้อย่างกว้างขวางในกระบวนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ประยุกต์ และใช้เป็นเครื่องมือการผลิตในวิทยาศาสตร์พื้นฐานด้านต่าง ๆ

#3 Silicon Photonic Chips (ชิปซิลิคอนที่ส่งข้อมูลด้วยแสง)
เมื่อขนาดของทรานซิสเตอร์ใกล้ถึงขีดจำกัดทางกายภาพ ความเร็วของการพัฒนาชิปอิเล็กทรอนิกส์จะไม่สามารถตอบสนองความต้องการด้านปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นที่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของการประมวลผลประสิทธิภาพสูงอีกต่อไป silicon photonic chips ต่างจากชิปอิเล็กทรอนิกส์ตรงที่ใช้โฟตอน (photons) แทนอิเล็กตรอน (electrons) เพื่อส่งข้อมูล โฟตอนจะไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบกันโดยตรง และสามารถเคลื่อนที่ในระยะทางที่ไกลกว่า ดังนั้น silicon photonic chips จึงสามารถเพิ่มความหนาแน่นในการประมวลผลและประสิทธิภาพในการใช้พลังงานให้สูงขึ้น ส่วนการเติบโตของคลาวด์คอมพิวติ้งและ AI ก็ขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยี silicon photonic chips อย่างรวดเร็ว ในอีก 3 ปีข้างหน้า เราสามารถคาดหวังว่าจะได้เห็นการใช้ silicon photonic chips อย่างแพร่หลายในการรับส่งข้อมูลความเร็วสูงในดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่

#4 AI for Renewable Energy (AI กับพลังงานหมุนเวียน)
การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีด้านพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้พลังงานหมุนเวียนเป็นแหล่งพลังงานน่าสนใจที่จะเพิ่มเข้าไปในโครงข่ายไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม ปัญหาต่าง ๆ เช่น ความยุ่งยากในการรวมระบบโครงข่าย อัตราการใช้พลังงานต่ำ และการจัดเก็บพลังงานส่วนเกิน ล้วนเป็นอุปสรรคใหญ่ในการดำเนินการ เนื่องจากลักษณะที่คาดเดาไม่ได้ของการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และการรวมแหล่งพลังงานหมุนเวียนเข้ากับโครงข่ายไฟฟ้า ทำให้เกิดความท้าทายที่ส่งผลต่อความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของโครงข่ายไฟฟ้า การประยุกต์ใช้ AI ในภาคอุตสาหกรรมจึงมีความสำคัญยิ่งต่อการปรับปรุงประสิทธิภาพ และระบบอัตโนมัติของระบบไฟฟ้ากำลัง ตลอดจนการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและมีเสถียรภาพ ซึ่งจะเอื้อให้บรรลุเป้าหมาย carbon neutrality ที่จะไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้น ในอีก 3 ปีข้างหน้า คาดว่าจะมีการนำ AI ไปใช้เพื่อปูทางไปสู่การรวมแหล่งพลังงานหมุนเวียนเข้ากับโครงข่ายไฟฟ้า ตลอดจนมีส่วนสนับสนุนในการดำเนินงานของโครงข่ายไฟฟ้าที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และเชื่อถือได้

#5 High-precision Medicine (การรักษาแบบแม่นยำและจำเพาะสูง)
การแพทย์เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะของแต่ละบุคคลเป็นอย่างมาก และมักจะเกี่ยวข้องกับการลองผิดลองถูกอย่างสูง และท้ายที่สุดอาจมีประสิทธิภาพแตกต่างกันไปตามผู้ป่วยแต่ละราย เป็นที่คาดกันว่าการนำ AI มารวมกับการรักษาที่แม่นยำ จะช่วยกระตุ้นการบูรณาการความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีการวินิจฉัยใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น และทำหน้าที่เป็นเข็มทิศนำทางที่มีความแม่นยำสูงสำหรับเวชศาสตร์คลีนิก ซึ่งแพทย์สามารถใช้เข็มทิศนี้วินิจฉัยโรคและตัดสินใจทางการแพทย์ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ความก้าวหน้าเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถวัด คำนวณ คาดการณ์ และป้องกันโรคร้ายแรงได้ ในอีก 3 ปีข้างหน้าเราคาดว่า จะได้เห็นการรักษาแบบแม่นยำและจำเพาะโดยอาศัยข้อมูลทางพันธุกรรม หรือข้อมูลในระดับโมเลกุลมาใช้ในการตรวจวินิจฉัยที่เน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางในการรักษา ซึ่งจะกลายเป็นเทรนด์สำคัญที่ครอบคลุมการดูแลสุขภาพในด้านต่าง ๆ รวมถึงการป้องกัน การวินิจฉัย และการรักษาโรค AI จะเปรียบเสมือนกับเข็มทิศที่มีความแม่นยำสูง ที่จะช่วยให้เราสามารถระบุโรคและการรักษาได้

#6 Privacy-preserving Computation (การประมวลผลแบบรักษาความเป็นส่วนตัว)
เนื่องจากข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพ การขาดความมั่นใจในเทคโนโลยี และข้อกังวลด้านมาตรฐานต่าง ๆ ทำให้การประยุกต์ใช้การประมวลผลเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว ถูกจำกัดให้อยู่ในขอบเขตแคบ ๆ ของการประมวลผลที่มีขนาดเล็กมาตลอด อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเทคโนโลยีมีการบูรณาการมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ชิปที่มีการทำงานเฉพาะ อัลกอริธึมการเข้ารหัส การใช้งานไวท์บ็อกซ์ (whitebox) ที่เป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือเซิร์ฟเวอร์ประกอบเองที่ไม่มีแบรนด์ รวมถึงความน่าเชื่อถือของข้อมูล ฯลฯ กำลังเกิดขึ้น ดังนั้นจึงจะมีการประมวลผลแบบรักษาความเป็นส่วนตัวนำมาใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น การประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล และการผสานรวมข้อมูลจากทุกโดเมน ซึ่งเป็นความก้าวหน้าที่เกิดจากการประมวลผลข้อมูลจำนวนเล็กน้อย และข้อมูลจากโดเมนส่วนตัวเข้าไว้ด้วยกัน การนำไปใช้งานจะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานใหม่ที่ขับเคลื่อนโดยข้อมูลจากทุกโดเมน ในอีก 3 ปีข้างหน้าเราจะเห็นการปรับปรุงที่ก้าวล้ำด้านประสิทธิภาพ และความสามารถในการเข้าใจการประมวลผลแบบรักษาความเป็นส่วนตัว และจะได้เห็นหน่วยงานด้านความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ให้บริการแบ่งปันข้อมูลต่าง ๆ ผ่านการใช้เทคโนโลยีเพิ่มขึ้น

#7 Extended Reality: XR (เทคโนโลยีโลกเสมือนจริง – XR)
การพัฒนาเทคโนโลยี เช่น การประมวลผลแบบเอดจ์บนคลาวด์ การเชื่อมต่อเครือข่าย และดิจิทัลทวิน
ทำให้เทคโนโลยี XR เติบโตเต็มที่ แว่นตา XR ให้คำมั่นที่จะทำให้โลกเสมือนบนอินเทอร์เน็ตใกล้ความเป็นจริงมากที่สุด นวัตกรรมนี้ได้หว่านเมล็ดพันธุ์ที่จะแตกหน่อในระบบนิเวศอุตสาหกรรมใหม่ ที่รวมถึงส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ ระบบปฏิบัติการ และการใช้งานในด้านต่าง ๆ เทคโนโลยี XR จะเปลี่ยนโฉมแอปพลิเคชันดิจิทัล และปฏิวัติวิธีที่ผู้คนมีส่วนร่วมกับเทคโนโลยีในเรื่องต่าง ๆ เช่น ความบันเทิง โซเชียลเน็ตเวิร์ก ออฟฟิศ ช็อปปิ้ง การศึกษา และการดูแลสุขภาพ ฯลฯ ในอีก 3 ปีข้างหน้า เราคาดว่าจะได้เห็นแว่นตา XR รุ่นใหม่ที่มีรูปลักษณ์ และให้ความรู้สึกที่ไม่ผิดเพี้ยนไปจากแว่นตาทั่วไปออกสู่ตลาด และจะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญสู่อินเทอร์เน็ตในยุคต่อไป

#8 Perceptive Soft Robotics
หุ่นยนต์นิ่ม (Perceptive Soft Robotics) แตกต่างจากหุ่นยนต์ทั่วไป ตรงที่มีส่วนต่าง ๆ ที่ยืดหยุ่นได้ และมีความสามารถในการรับรู้ต่อแรงกด การมองเห็น และเสียง หุ่นยนต์เหล่านี้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ล้ำสมัย เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ยืดหยุ่นได้ วัสดุที่รองรับแรงกด และ AI ซึ่งช่วยให้ทำงานพิเศษและงานที่มีความซับซ้อนสูง อีกทั้งยังสามารถเปลี่ยนรูปเพื่อปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่แตกต่างกันได้ การเกิดขึ้นของหุ่นยนต์นิ่มจะช่วยเปลี่ยนทิศทางของอุตสาหกรรมการผลิต ตั้งแต่การผลิตสินค้ามาตรฐานจำนวนมาก ไปจนถึงสินค้าเฉพาะกลุ่มที่มีการผลิตจำนวนน้อย ในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีการนำหุ่นยนต์นิ่มมาใช้แทนที่หุ่นยนต์ทั่วไปในอุตสาหกรรมการผลิต และปูทางไปสู่การใช้เป็นหุ่นยนต์บริการในชีวิตประจำวันมากขึ้น

#9 Satellite-terrestrial Integrated Computing (การประมวลผลแบบบูรณาการผ่านดาวเทียมและภาคพื้นดิน – STC)
เครือข่ายภาคพื้นดินและระบบการประมวลผลมีการให้บริการดิจิทัลสำหรับพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น แต่จะไม่มีบริการในพื้นที่ที่มีประชากรเบาบาง เช่น ทะเลทราย ทะเล และอวกาศ เป็นต้น STC จะเชื่อมต่อกับดาวเทียมแบบ High-Earth Orbit (HEO) ที่มีวงโคจรสูง และแบบ Low-Earth Orbit (LEO) ที่มีวงโคจรต่ำ และเครือข่ายการสื่อสารเคลื่อนที่ภาคพื้นดิน ครอบคลุมไร้รอยต่อในทุกมิติ นอกจากนี้ STC ยังสร้างระบบประมวลผลที่รวมดาวเทียม เครือข่ายดาวเทียม ระบบสื่อสารภาคพื้นดิน และเทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้งเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งจะทำให้เกิดการเข้าถึงบริการดิจิทัลได้มากขึ้น และครอบคลุมทั่วโลก ในอีก 5 ปีข้างหน้า ดาวเทียมและระบบภาคพื้นดินจะทำงานร่วมกันเป็นโหนดการประมวลผล เพื่อสร้างระบบเครือข่ายแบบครบวงจรที่ให้การเชื่อมต่อทั่วทุกพื้นที่

และยิ่งไปกว่านั้น เราคาดหวังว่าในอนาคต AI จะเปลี่ยนไปเป็นวิวัฒนาการร่วมกันของโมเดลขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ผ่านระบบคลาวด์ เอดจ์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ

#10 วิวัฒนาการร่วมของโมเดล AI ขนาดใหญ่และขนาดเล็ก
โมเดลก่อนการฝึกอบรม หรือที่เรียกกันว่าโมเดลพื้นฐาน เป็นเทคนิคก้าวล้ำในการพัฒนาพื้นฐานตั้งแต่ AI เฉพาะทาง (Weak AI) ที่มีความสามารถเฉพาะด้าน ไปจนถึง AI ทั่วไป (General AI) ที่มีความสามารถดัดแปลงความรู้และทักษะได้ระดับหนึ่ง ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันต่าง ๆ โดยใช้การเรียนรู้เชิงลึกที่เป็นมาตรฐาน อย่างไรก็ตาม ข้อดีในด้านประสิทธิภาพที่สูงขึ้น และข้อเสียในด้านการใช้พลังงานนั้นไม่สมดุลกัน จึงทำให้การสำรวจโมเดลขนาดใหญ่มีข้อจำกัด AI ในอนาคตกำลังเปลี่ยนจากการแข่งขันด้านความสามารถในการปรับขนาดของโมเดลพื้นฐาน ไปสู่การพัฒนาร่วมกันของโมเดลขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ผ่านระบบคลาวด์ เอดจ์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นประโยชน์มากกว่าในทางปฏิบัติ

นูทานิคซ์วิเคราะห์แนวโน้มเทคโนโลยี ที่จะมีอิทธิพลอย่างมากต่อทุกอุตสาหกรรมในปี 2565

Nutanix

นูทานิคซ์วิเคราะห์แนวโน้มเทคโนโลยี ที่จะมีอิทธิพลอย่างมากต่อทุกอุตสาหกรรมในปี 2565

ไฮบริดคลาวด์-ไฮบริดเวิร์ก ปัญญาประดิษฐ์ และความปลอดภัยคือองค์ประกอบสำคัญของการปรับเปลี่ยนสู่ไฮเปอร์ดิจิทัล

ทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี

บทความโดย ทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์

นูทานิคซ์เผยเทรนด์เทคโนโลยีที่จะพลิกโฉมการทำงาน และการใช้ชีวิตในโลกดิจิทัลอย่างแท้จริง

ไฮบริดคลาวด์ – ไฮบริดเวิร์ก คือ ปัจจัยขับเคลื่อนความสำเร็จทุกแง่มุม
การถูกผูกมัดจากการใช้คลาวด์ใดคลาวด์หนึ่ง (cloud lock-in) จะเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นความกังวลขององค์กร สืบเนื่องมาจากองค์กรต่าง ๆ มีการใช้งานพับลิคคลาวด์มากขึ้น แต่สถานการณ์นี้ก็จะขับเคลื่อนให้เกิดการใช้กลยุทธ์ไฮบริด มัลติ-คลาวด์ต่าง ๆ ตามมา เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัททั้งหลายได้ใช้เลือกใช้คลาวด์แต่ละประเภทที่มีความโดดเด่นได้ตามความเหมาะสม ทั้งยังมีอิสระและทางเลือกว่าจะให้แอปพลิเคชันและข้อมูลของตนทำงานอยู่บนคลาวด์ประเภทใดได้ด้วย

NTNX4

ปีนี้จะเป็นปีที่องค์กรเลือกใช้ไฮบริดคลาวด์มากขึ้น เพราะการที่ทีมไอทีใช้เวิร์กโหลดบนคลาวด์หลายประเภท ทำให้ต้องมองหาวิธีที่จะทำให้คลาวด์ทุกประเภทที่ใช้อยู่ทำงานสอดคล้องกัน จึงมีการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่สามารถมัดรวมความต้องการหลากหลายไว้เป็นหนึ่งเดียวให้กับผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายต่าง ๆ มาตรการด้านความปลอดภัย และข้อตกลงระดับการให้บริการ (SLAs)

สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจากรายงาน Data Center and Cloud Service in Thailand, Board of Investment คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศจะมีสัดส่วน 25 เปอร์เซ็นของ GDP ของประเทศ ภายในปี 2570 และหนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดของเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยคือบริการด้าน คลาวด์ต่าง ๆ ซึ่งความต้องการบริการเหล่านี้เกิดจากบริการดิจิทัลที่มีอยู่แล้ว เช่น อี-คอมเมิร์ซ, การชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ และการสตรีมเนื้อหาดิจิทัล รวมถึงบริการใหม่ ๆ ที่กำลังจะมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลาย เช่น อินเทอร์เน็ตออฟธิงค์  ผู้บริโภคไทยกำลังผลักดันให้เกิดบริการดิจิทัลมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็กำลังเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นดิจิทัล และนั่นทำให้ความต้องการบริการดิจิทัลที่ทำงานบนคลาวด์เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย 

เทคโนโลยีขับเคลื่อนแรงงานยุคใหม่
เทคโนโลยีจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักให้กับทุกมุมมองที่เกี่ยวเนื่องกับบุคลากรรุ่นใหม่ เช่น การผลักดันให้พนักงานมีส่วนร่วมกับองค์กร, วัฒนธรรมองค์กร, สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี, การทำงานที่ยืดหยุ่น และที่สำคัญคือช่วยขับเคลื่อนประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน บริษัทใดก็ตามที่เรียนรู้วิธีการปรับตัวและนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่กล่าวมา จะมีความได้เปรียบเมื่อถึงเวลาที่ต้องการรักษาและโน้มน้าวพนักงานที่มีความสามารถสูงท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน

การระบาดของโควิด-19 กำลังลดระดับลง และพนักงานเริ่มกลับมาทำงาน ทำให้ทีมไอทีของบริษัทต่าง ต้องปรับตัวอีกครั้ง ซึ่งการปรับตัวครั้งนี้คือการจัดหาเครื่องมือใหม่ ๆ ให้กับทีมงานที่มีการทำงานแบบ ไฮบริดได้ใช้ทำงานร่วมกัน เป็นการสร้างสมดุลระหว่างการทำงานที่พบเจอตัวกัน และการมีส่วนร่วมกับพนักงานที่ทำงานจากระยะไกล

ปีแห่งการสร้างระบบความปลอดภัยแบบอัตโนมัติ
ทีมไอทีจะยังคงให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในระดับสูง โดยมีความปลอดภัยของข้อมูลเป็นประเด็นสำคัญลำดับต้น ๆ เนื่องจากมีการใช้ข้อมูลแบบไฮบริดแพร่หลายมากขึ้น ทีมไอทีจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่ใช้ติดตามตรวจสอบและกำกับดูแลข้อมูลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้ตอบโจทย์ด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อกำหนดด้านความปลอดภัยต่าง ๆ

Security

ปี 2565 จะเป็นปีแห่งการสร้างระบบความปลอดภัยแบบอัตโนมัติเพื่อตอบสนองต่อการระบาดของโควิด-19 และภัยคุกคามที่พุ่งเป้าไปยังระบบซัพพลายเชน ประสบการณ์ที่องค์กรได้รับจากการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอย่างรวดเร็วและมากมาย (hyper-digital) จะยังไม่จบ แต่จะเร่งความเร็ว และต้องการโซลูชันที่มีสมรรถนะด้านความปลอดภัยเร็วขึ้น เพื่อให้บริการทีมงานที่ทำงานจากระยะไกล รวมถึงแอปพลิเคชันและข้อมูลที่พนักงานเหล่านี้ใช้ เรื่องนี้เริ่มและจบลงได้ด้วยวิธีการแบบองค์รวม เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่เกิดจากซัพพลายเชนทางเทคโนโลยีโดยรวมขององค์กร การเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่ามัลแวร์/ฟิชชิ่ง จะกระทบต่อความสามารถในการตอบสนองขององค์กรอย่างไร และจะสร้าง ‘war-games’ เช่น การรับรู้และทำความเข้าใจ การค้นหาและการไล่ล่าภัยคุกคามที่เฉพาะเจาะจงพุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง หรือรูปแบบทางธุรกิจแบบใดแบบหนึ่ง ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้จะถูกปรับให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ ตามแอปพลิเคชันและตามข้อมูล และโดยปกติเป็นการใช้งานแบบ zero-trust ซึ่งผู้ใช้คนหนึ่งสามารถติดตามตรวจสอบได้ตลอดไลฟ์ไซเคิลของคำร้องขอและการเข้าใช้งานของตนได้

การเจาะระบบทางไซเบอร์จะซับซ้อนและเจาะจงขึ้นเรื่อย ๆ เทรนด์การทำงานจากบ้านจะทำให้สถานการณ์นี้แย่ลง คาดการณ์ได้ว่าปี 2565 จะเป็นครั้งแรกที่เราจะได้เห็นการเจาะระบบทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ โดยใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ไม่มีความปลอดภัยเพียงพอ เช่น เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเทคโนโลยีจดจำใบหน้า และเราอาจได้เห็นช่องโหว่สำคัญจากเทคโนโลยีนี้ถูกนำมาใช้เพื่อการเลียนแบบหรือปลอมแปลง (deep fake) หรือเราอาจได้เห็นบริษัทสักแห่งถูกแทรกซึมผ่าน 5G ซึ่งแม้ว่า 5G จะปลอดภัยกว่าเทคโนโลยีไร้สายแบบเดิม แต่มีพื้นที่ให้โจมตีมากกว่ามาก และการทำงานจากบ้านหรือการทำงานจากระยะไกลก็เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับข้อมูลที่แชร์ผ่าน 5G

ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในวงการ ด้วย AI
ปี 2565 จะเป็นปีของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ความท้าทายที่เกิดระหว่างความล้ำหน้าทางเทคโนโลยี กับการขาดแรงงานที่มีทักษะในหลาย ๆ ด้าน ทำให้เป็นที่คาดการณ์ได้ว่าองค์กรจำนวนมากจะพิจารณาใช้ AI จัดการความท้าทายเหล่านี้ โดย AI จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่เสริมประสิทธิภาพให้กับการทำงานด้านไอทีและระบบอัตโนมัติ เทคนิคต่าง ๆ เช่น โมเดลการเรียนรู้สั้น ๆ จากตัวอย่างจำนวนจำกัด และโมเดลประสิทธิภาพสูงต่าง ๆ จะช่วยให้นำ AI มาใช้งานได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องรับการอบรมด้วยข้อมูลจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตามการใช้ AI ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ดังนั้นนอกจากการคาดการณ์ว่าจะมีการนำ AI มาใช้เพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังคาดการณ์ได้ว่าบริษัทหลาย ๆ แห่ง จะยังไม่ประสบความสำเร็จจากการใช้ AI ในระยะสั้น ๆ เป็นครั้งแรก หากพิจารณาอีกด้านหนึ่ง ดูเหมือนองค์กรต่าง ๆ ที่ทำตามขั้นตอนในการใช้ AI ทีละขั้นตอนจะประสบความสำเร็จมากกว่า ด้วยการเริ่มต้นที่การกำหนดขอบเขตที่ชัดเจน และมีวัตถุประสงค์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่งเป็นจุดเริ่มต้น แทนที่จะพยายามแก้ปัญหาจำนวนมากพร้อมกันในทันที อย่างไรก็ตาม ทั้งบริษัทที่ทำตามขั้นตอนของตนในการใช้ AI และบริษัทที่จะใช้ประโยชน์จากโมเดลที่พัฒนาโดยองค์กรวิจัยระดับแนวหน้าหรือโปรเจกต์ของบริษัทต่าง ๆ ก็จะขึ้นเป็นผู้นำในวงการเช่นกัน

คาดการณ์ 3 อันดับระบบซัพพลายเชนที่จะเกิดในปี 2565

infor

คาดการณ์ 3 อันดับระบบซัพพลายเชนที่จะเกิดในปี 2565

infor

บทความโดย นายฟาบิโอ ทิวิติ รองประธานและผู้จัดการทั่วไป บริษัท อินฟอร์ อาเชียน-อินเดีย

ปี 2565 นับเป็นปีที่สามในการเผชิญกับภัยพิบัติด้านสุขภาพทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชนอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผลกระทบรุนแรงจากความไม่สมดุลระหว่างอุปทานและอุปสงค์กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ประเด็นของความไม่แน่นอนและความกังวลที่เกิดขึ้นในปีนี้ จะยังคงเกี่ยวกับปัญหาด้านความพร้อมของแรงงานและต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น พื้นที่สำหรับโหลดสินค้า เซมิคอนดักเตอร์ ความพร้อมใช้งานของรถพ่วงสำหรับลากตู้คอนเทนเนอร์ ตลอดจนพื้นที่จัดเก็บของคลังสินค้า

ดังนั้น อนาคตทางสังคมและเศรษฐกิจของเราทุกคนอาจจะยังรางเลือนไม่แน่นอน อันเนื่องมาจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในช่วงเทศกาลวันหยุด อย่างไรก็ตาม เราได้เห็นรูปแบบของซัพพลายเชนแบบใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น อันเป็นผลมาจากความสับสนวุ่นวายทางการค้า และการขนส่งสินค้าทั่วโลกในปัจจุบัน ซึ่งแนวโน้ม 3 ประการที่เราจะต้องเผชิญในปีนี้ ได้แก่

1) ปัญหาเรือบรรทุกคอนเทนเนอร์ตามท่าเรือสำคัญในอเมริกาเหนือและยุโรปเหนือ จะยังคงดำเนินต่อไปจนถึงปี 2566 เนื่องจากความแออัดและความล่าช้าในปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงปัญหาการขนส่งที่เกิดขึ้นแต่ใน “มหาสมุทร” เท่านั้น แต่ได้กลายเป็นปัญหาของเครือข่ายซัพพลายเชนทั่วโลกไปแล้ว ปริมาณการขนส่งสินค้าขาเข้าที่เพิ่มขึ้นจากเอเชีย (จากความต้องการของผู้บริโภคที่สูงเป็นประวัติการณ์) กอปรกับปัญหาเกี่ยวกับแรงงานที่ท่าเรือ คนขับรถบรรทุก พนักงานขนถ่ายคลังสินค้า ตลอดจนปัญหาตู้คอนเทนเนอร์และรถพ่วงที่ว่างพร้อมใช้งาน ทำให้เกิดความล่าช้าในการขนถ่ายของเรือเดินทะเล และส่งผลกระทบถึงการเคลื่อนย้ายสินค้าออกจากท่าเรือไปยังคลังสินค้า หรือสถานที่แยกสินค้าที่อยู่ภายในประเทศอีกด้วย

2) บริษัทต้องจัดลำดับความสำคัญของการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่ใช้ตั้งแต่ต้นทาง รวมทั้งความสัมพันธ์กับผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ที่ร่วมมือกัน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของซัพพลายเชน เพราะการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจจะยังคงเพิ่มขึ้นและส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง นอกเหนือจากการมองเห็นสินค้าคงคลังในระหว่างการขนส่งแบบเรียลไทม์แล้ว บริษัทจะต้องมีการตั้งเป้าในการดำเนินงานใหม่ เน้นให้มองเห็นการขนส่งแบบองค์รวมในหลากหลายมิติ แทนการมุ่งแสวงหาต้นทุนที่ต่ำลงเพียงอย่างเดียว เช่น พื้นที่โหลดสินค้า การดำเนินงานและสภาพการเงินของซัพพลายเออร์ จุดขนส่งสำหรับเปลี่ยนถ่ายสินค้า และความคืบหน้าในการควบคุมดูแลการขนส่งตลอดเส้นทาง เป็นต้น และเพื่อช่วยให้มีการตอบสนองที่รวดเร็วขึ้นเมื่อเกิดปัญหาภายในเครือข่ายซัพพลายเชนหรือช่องทางการขนส่งทั่วโลก ความยืดหยุ่นจึงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบข้อยกเว้นเพื่อช่วยให้ระบุและแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วขึ้น (exception monitoring) เพราะความสำเร็จในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้าปลายทางน้้น เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ขึ้นอยู่กับการควบคุมและความยืดหยุ่นที่เพิ่มมากขึ้นในการบริหารจัดการตั้งแต่ต้นทาง

infor

3) รูปแบบของระบบซัพพลายเชนทั่วโลกในปัจจุบัน ที่มีแนวโน้มว่าจะยังคงอยู่ต่อไปอีกนาน ได้แก่

      • ต้นทุนการขนส่งสินค้าทางทะเลและทางอากาศที่สูงขึ้นจะยังคงเป็นเช่นนั้นต่อไป แม้ว่าความแออัดและข้อจำกัดด้านกำลังการผลิตในปัจจุบันได้ลดลงมาอยู่ในระดับใหม่ที่สมดุลทั้งโลกแล้ว
      • ตลาดการขนส่งสินค้าในช่วง ‘ไฮซีซัน’ แบบดั้งเดิมจะเริ่มเร็วขึ้นและลากยาวกว่าปกติ
      • สัญญาการขนส่งสินค้าระยะสั้นจะเพิ่มมากขึ้น
      • ผู้ส่งสินค้าจะยังคงเพิ่มการใช้งานผู้ให้บริการขนส่งทั่วไปที่ไม่ใช่เจ้าของเรือหรือไม่มีเรือเป็นของตนเอง (Non-Vessel-Operating Common Carriers – NVOCCs) และผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์แบบ third-party (3PLs) เพื่อให้มั่นใจว่ามีพื้นที่เพียงพอสำหรับการโหลดสินค้า
      • ผู้ส่งสินค้าจำนวนมากขึ้นจะแลกเปลี่ยนพื้นที่โหลดสินค้าที่มีการคาดการณ์ไว้ ที่มีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลากับผู้ให้บริการหลักของตน เพื่อปรับปรุงการวางแผนเครือข่ายการขนส่งสินค้าโดยรวม
      • ผู้ส่งสินค้าและผู้รับสินค้าปลายทางจำนวนมากขึ้นจะอยู่ภายใต้แรงกดดันที่ต้องปรับปรุงประสิทธิภาพในการขนถ่ายสินค้าสำหรับรถพ่วงและตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อเพิ่มพื้นที่โหลดสินค้าในเครือข่าย
      • ผู้บริหารระดับสูงจำนวนมากขึ้นจะให้ความสนใจเป็นพิเศษกับกลยุทธ์ด้านโลจิสติกส์และ
        ซัพพลายเชนระดับโลก โดยเน้นเรื่องความผันผวนของอุปทานที่ลดลง ควบคู่ไปกับการจัดการต้นทุนเพื่อปกป้องสายการผลิต ประสบการณ์ลูกค้าปลายทาง รวมถึงผลกำไรของธุรกิจโดยรวม

ความไม่แน่นอนของความท้าทายด้านอุปทานและอุปสงค์ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ได้กลายเป็น “นิวนอร์มัล” ของผู้เชี่ยวชาญด้านซัพพลายเชนไปแล้ว ดังนั้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องปรับปรุงเทคโนโลยี และเครื่องมือบริหารจัดการซัพพลายเชนที่พวกเขาใช้ทุกวัน ทั้งนี้ การเชื่อมต่อกับพันธมิตรได้มากขึ้นและยืดหยุ่นขึ้น มีแหล่งข้อมูลภายนอกมากขึ้น รวมถึงมีเครือข่ายซัพพลายเชนที่ชาญฉลาดที่เชื่อมโยงความต้องการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าไว้ด้วยกันในท้ายที่สุด ที่เกิดจากการวางแผนการจัดซื้อและการจัดส่งตั้งแต่ต้นทาง จะช่วยให้ธุรกิจมั่นใจได้ว่าจะสามารถตอบสนองและเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว และพร้อมที่จะประสบความสำเร็จในอนาคต

ปีใหม่นี้…ขับรถเดินทางอุ่นใจกว่าเดิม ทรูมันนี่ ร่วมกับ กรุงเทพประกันภัย มอบฟรี! บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน* 24 ชั่วโมง

True Money

ปีใหม่นี้…ขับรถเดินทางอุ่นใจกว่าเดิม ทรูมันนี่ ร่วมกับ กรุงเทพประกันภัย มอบฟรี! บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน* 24 ชั่วโมง

ลูกค้าทรูมันนี่ที่ยืนยันตัวตน (KYC) แล้ว ลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้ฟรี ตั้งแต่วันนี้ถึง 5 มกราคม ปี 2565 ผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet

ทรูมันนี่ ผู้นำด้านบริการอิเล็กทรอนิกส์เพย์เมนท์ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมมือกับ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) มอบฟรี! บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมง* เพิ่มความอุ่นใจในทุกการขับขี่รถยนต์เพื่อเดินทางช่วงหยุดยาวปีใหม่นี้แก่ลูกค้าทรูมันนี่ วอลเล็ทที่สมัครและยืนยันตัวตนแล้ว เพียงลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet ตั้งแต่วันนี้ถึง 5 มกราคม 2565 รับความคุ้มครองนาน 2 เดือน นับตั้งแต่วันเริ่มความคุ้มครอง

นายธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด กล่าวว่า “ความร่วมมือระหว่างทรูมันนี่ และ บมจ.กรุงเทพประกันภัย ครั้งนี้เป็นการสานต่อความตั้งใจร่วมกันในการส่งมอบความห่วงใยแก่ผู้ใช้ทรูมันนี่ ด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน ที่จะช่วยเพิ่มความอุ่นใจและลดความกังวลใจเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ สำหรับผู้ขับขี่รถยนต์ตลอด 24 ชั่วโมง ตอบรับความต้องการในช่วงเทศกาลหยุดยาวปีใหม่นี้ที่คาดว่าหลายคนกำลังวางแผนเดินทางไปพักผ่อน เนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ โดยนอกเหนือจากบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ความคุ้มครองนี้ยังรวมถึงบริการพิเศษที่คอยให้คำปรึกษาและอำนวยความสะดวกในด้านอื่น ๆ เพื่อทำให้การเดินทางกลับบ้านหรือท่องเที่ยวเป็นไปอย่างราบรื่น”

ทั้งนี้ บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมงดังกล่าวครอบคลุมตั้งแต่บริการต่อพ่วงแบตเตอรี่ เปลี่ยนยางอะไหล่ ติดต่อช่างกุญแจสำรอง บริการจัดส่งน้ำมัน บริการลากรถฟรี 1 ครั้ง และบริการเสริมพิเศษอื่น ๆ อาทิ ให้คำแนะนำทางด้านเทคนิค หรือแนะนำสถานที่พยาบาล และการแพทย์เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินระหว่างการเดินทาง พร้อมบริการสำรองที่พัก ภัตตาคาร รถเช่า และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อีกมากมาย ลูกค้าทรูมันนี่ที่สนใจสามารถคลิกดูรายละเอียดและเงื่อนไขความคุ้มครองได้ที่ https://tmn.app.link/nqCoOE4d8lb

ผู้ที่สนใจสามารถรับความคุ้มครองง่าย ๆ เพียงเป็นลูกค้า TrueMoney Wallet ที่สมัครและยืนยันตัวตน (KYC) แล้ว โดยเปิดแอปฯ TrueMoney Wallet และกด banner “รับฟรี! บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง*” ไปสู่หน้า บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) และคลิกตามขั้นตอนเพื่อรับสิทธิ์ได้ฟรี ตั้งแต่วันนี้ถึง 5 มกราคม ปี 2565 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ TrueMoney Customer Care ผ่าน Call Center เบอร์ 1240 หรือ Live Chat ตลอด 24 ชั่วโมง

ขั้นตอนการลงทะเบียนรับสิทธิ์บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง จากกรุงเทพประกันภัย ผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท

      1. เปิดแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท และ Log-in
      2. ไปที่ banner “ปีใหม่นี้ เดินทางอุ่นใจ”
      3. กรอกข้อมูลส่วนตัว และรายละเอียดรถยนต์ (ยี่ห้อ รุ่น และทะเบียนรถ) ที่ใช้เดินทาง และกดปุ่ม “กดรับสิทธิ์ฟรี”
      4. บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) จะส่ง SMS เพื่อยืนยันการรับสิทธิ์ตามเบอร์มือถือที่ลูกค้ากรอกข้อมูลไว้
TrueMoney

*หมายเหตุ

      • บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ไม่รวมกรณีที่เกิดจากอุบัติเหตุ
      • มอบความคุ้มครอง โดย บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด​ (มหาชน) หากลูกค้ามีข้อสงสัยเกี่ยวกับบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมง ติดต่อ 02-285-8888
      • เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด​ (มหาชน) กำหนด
      • บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด ทำหน้าที่เป็นเพียงช่องทางในการสื่อสารเพื่อให้ทางกรุงเทพประกันภัยได้มอบบริการช่วยเหลือฉุกเฉินดังกล่าว ให้กับผู้ใช้บริการทรูมันนี่ วอลเล็ท ที่ยืนยันตัวตนแล้วเท่านั้น บริษัทฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพิจารณา อนุมัติ รวมถึงขั้นตอนการมอบบริการดังกล่าว