“Cloud ME” คือเทคโนโลยีที่ช่วยลดระยะห่าง และช่วยให้ผู้คนที่เข้าร่วมงานโอลิมปิกฤดูหนาว 2022 ที่ปักกิ่ง ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น

“Cloud ME” คือเทคโนโลยีที่ช่วยลดระยะห่าง

“Cloud ME” คือเทคโนโลยีที่ช่วยลดระยะห่าง และช่วยให้ผู้คนที่เข้าร่วมงานโอลิมปิกฤดูหนาว 2022 ที่ปักกิ่ง ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น

โซลูชันที่ทำงานบนคลาวด์มอบประสบการณ์ในการสื่อสารระหว่างกันอย่างสมจริง เหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริง ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19

อาลีบาบา เปิดตัว “Cloud ME” นวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ทำงานบนคลาวด์ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว ณ กรุงปักกิ่งในปีนี้ ซึ่งจัดขึ้นภายใต้ข้อจำกัดเรื่องโควิดและระยะห่างของผู้คนที่อยู่ตามภูมิภาคต่าง ๆ  “Cloud ME” เป็นโซลูชันด้านการสื่อสารแบบเรียลไทม์ (real-time communication: RTC) ช่วยให้ผู้คนได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น สามารถสื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และได้สัมผัสประสบการณ์เสมือนอยู่ในเหตุการณ์จริงด้วยกันระหว่างการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว ซึ่งช่วยให้ผู้คนพบปะและเพลิดเพลินกับการสนทนาแบบเรียลไทม์ผ่านการยิงภาพเท่าของจริงเหมือนอยู่ในสถานการณ์จริง

เมื่อผู้ร่วมงานก้าวเข้าไปยังป๊อป-อัพสตูดิโอในบูธของ Cloud ME ฟังก์ชันการฉายภาพจากระยะไกลที่ติดตั้งได้ง่าย จะยิงภาพเต็มตัวเท่าขนาดจริงของพวกเขาไปปรากฎในบูธอื่นที่อยู่ไกลออกไป และผู้เข้าร่วมงานนั้น ๆ ก็จะได้พบปะกับคู่สนทนาและทักทายกันเหมือนอยู่ในสถานที่เดียวกัน นอกจากนี้ฟังก์ชันนี้ยังช่วยให้สามารถจัดประชุมร่วมกับผู้คนที่อยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ ได้อย่างไม่จำกัด

แดเนียล จาง ประธานและซีอีโอของอาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวว่า “อาลีบาบามุ่งมั่นที่จะนำการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเข้าสู่โลกดิจิทัล และมอบโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมให้เกิดประสบการณ์ที่ครอบคลุมและมีส่วนร่วมมากขึ้น เราหวังว่าจะเชื่อมโยงนักกีฬาและแฟนกีฬาทั่วโลกไว้ด้วยกันผ่านเทคโนโลยีคลาวด์ของเรา และช่วยให้สปิริตของโอลิมปิกเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนในเวลาที่เราสนุกสนานกับกีฬาประเภทต่าง ๆ ร่วมกัน”

โทมัส บาค ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) กล่าวว่า “เรากำลังสร้างประวัติศาสตร์ ณ กรุงปักกิ่งด้วยความร่วมมือกับอาลีบาบา ปีนี้เป็นครั้งแรกที่เทคโนโลยีหลักที่จำเป็นต้องใช้ใoโอลิมปิคฤดูหนาวทำงานบนอาลีบาบา คลาวด์นเช่น เทคโนโลยีที่ช่วยเสริมศักยภาพให้กับโอลิมปิกออนไลน์สโตร์ในประเทศจีน, เทคโนโลยีในการแพร่ภาพและกระจายเสียง OBS คลาวด์ รวมถึงเทคโนโลยีที่ใช้รองรับสื่อจากทั่วโลกที่รวมตัวกันในกรุงปักกิ่ง นับว่าเทคโนโลยีของอาลีบาบา คลาวด์ กำลังสร้างมาตรฐานใหม่ และยกระดับมาตรฐานขึ้นอีกระดับ”

บูธ Cloud ME สามารถติดตั้งได้อย่างง่ายดาย ด้วยอุปกรณ์สตูดิโอทั่วไป เช่น กล้องวิดีโอและคอมพิวเตอร์เพื่อจับภาพวิดีโอ โดยไม่จำเป็นต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีเพิ่มเติมในพื้นที่ติดตั้ง และไม่ต้องทำการปรับแต่งอินเทอร์เน็ตแบนด์วิดท์ใหม่ให้เหมาะสมในการดำเนินการบันทึกและส่งข้อมูล ทั้งหมดนี้ล้วนใช้ขุมพลังของการประมวลผลแบบคลาวด์

วิดีโอและไฟล์เสียงที่สร้างขึ้นในบูธ Cloud ME จะถูกส่งต่อไปยังอาลีบาบา คลาวด์ ซึ่งเป็นธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป โซลูชันด้านการสื่อสารแบบเรียลไทม์ (RTC) ที่ได้รับการยอมรับแล้วนี้ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังการประมวลผลบนระบบคลาวด์ประสิทธิภาพล้ำหน้าของอาลีบาบาที่ครอบคลุมเครือข่ายกว้างขวางทั่วโลก

กระบวนการดังกล่าวข้างต้นสามารถทำให้เสร็จได้ภายใน 200 milliseconds ด้วยฟีเจอร์ต่าง ๆ ของอาลีบาบา คลาวด์ ที่มีคุณสมบัติในการทำงานพร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง มีความพร้อมใช้สูง และมีความหน่วงต่ำ บันทึกการแข่งขันสดสามารถยิงส่งไปยังจอภาพความละเอียดสูงระดับ 4K ที่อยู่ในระยะไกล สร้างภาพเอฟเฟกต์โฮโลแกรมที่เหมือนจริง สร้างรายละเอียดต่าง ๆ ใหม่ด้วยความละเอียดสูง เช่น จับรายละเอียดการแสดงออกทางสีหน้า และเสื้อผ้าที่สวมใส่ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการปฏิสัมพันธ์แบบตัวต่อตัว

ลี่จวน เฉิน ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายผลิตภัณฑ์และโซลูชัน อาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “โซลูชันในการสื่อสารแบบเรียลไทม์ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีคลาวด์มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้โลกสามารถเชื่อมโยงกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาลีบาบา คลาวด์มีเครือข่ายคลาวด์ทั่วโลก และอัลกอริธึมที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเราเอง ดังนั้นเราจึงมุ่งมั่นที่จะนำประโยชน์ของการสื่อสารแบบเรียลไทม์มาใช้ในสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน เช่น การเรียนออนไลน์ กิจกรรมด้านความบันเทิงที่สามารถโต้ตอบกันได้ การประชุมทางวิดีโอ และบริการต่าง ๆ ขององค์กรในอุตสาหกรรมอื่น ๆ

บูธ Cloud ME ของอาลีบาบา มีให้บริการทั้งในระบบการจัดการแบบปิดในงานโอลิมปิกฤดูหนาวปี 2022 ที่กรุงปักกิ่ง และบริการให้กับผู้เข้าร่วมงานการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวจากภายนอก เพื่อให้ผู้ร่วมงานได้รับประสบการณ์ที่น่าสนใจจากการสร้างปฏิสัมพันธ์รูปแบบใหม่ที่สมจริงนี้ การใช้ Cloud ME ครั้งแรกในงานโอลิมปิกครั้งนี้ ได้ใช้เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับการประชุมทางไกลระหว่างแดเนียล จาง และ โทมัส มัค ซึ่งไม่สามารถเดินทางมาประชุมร่วมกันแบบพบปะกันตัวจริงกันได้ เนื่องจากข้อจำกัดของสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศจีน

24 พิพิธภัณฑ์ในจีนเข้าร่วมแคมเปญประจำปีของ Alipay “คอลเลกชั่นการ์ดเสี่ยงทายทั้ง 5” (Five Fortune Card Collection) ด้วยชิ้นงานศิลปะดิจิทัลที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวัตถุโบราณในธีมเสือ

24 พิพิธภัณฑ์ในจีนเข้าร่วมแคมเปญประจำปีของอาลีเพย์

24 พิพิธภัณฑ์ในจีนเข้าร่วมแคมเปญประจำปีของอาลีเพย์ “คอลเลกชั่นการ์ดเสี่ยงทายทั้ง 5” (Five Fortune Card Collection) ด้วยชิ้นงานศิลปะดิจิทัลที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวัตถุโบราณในธีมเสือ

อาลีเพย์เปิดตัวแคมเปญประจำปี “คอลเลกชั่นการ์ดเสี่ยงทายทั้ง 5” (Five Fortune Card Collection) หรือรู้จักกันในชื่อว่า Wufu เพื่อเฉลิมฉลองรับปีเสือ

ปีนี้ พิพิธภัณฑ์ 24 แห่งทั่วประเทศจีนเข้าร่วมแคมเปญดังกล่าว พร้อมกับชิ้นงานศิลปะดิจิทัล NFT ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากเสือและโบราณวัตถุตามราศีของคนจีน ชิ้นงานดิจิทัลเหล่านี้ได้รับการส่งเสริมจาก Topnod (鲸探) แพลตฟอร์มจากแอนท์กร๊ป (Ant Group) เพื่อใช้ในการสะสม ค้นหา และแชร์คอลเลกชั่นศิลปะดิจิทัล ก่อนหน้านี้แพลตฟอร์ม Topnod เป็นที่รู้จักในชื่อ “AntChain Fan Points” (蚂蚁链粉丝粒) จากนั้นได้รับการพัฒนาโดยมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ รวมถึงการที่มีประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น พร้อมการอัพเกรดแบรนด์เมื่อปลายเดือนธันวาคมปี 2564 ที่ผ่านมา

รายชื่อพิพิธภัณฑ์ที่เข้าร่วมแคมเปญได้แก่ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ส่านซี (The Shanxi Museum), พิพิธภัณฑ์เหอเป่ย (Hebei Museum), พิพิธภัณฑ์อานฮุย (Anhui Museum), พิพิธภัณฑ์เหอหนาน (Henan Museum), พิพิธภัณฑ์นานกิง (Nanjing Museum Administration), พิพิธภัณฑ์หูหนาน (Hunan Museum) และอื่น ๆ 

คอลเลกชั่นการ์ดเสี่ยงทายทั้ง 5

ผู้ใช้งานสามารถค้นหาและซื้อผลงานศิลปะดิจิทัลจากทางพิพิธภัณฑ์ผ่านแอพ Topnod และอาลีเพย์มินิโปรแกรมได้ ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา ผู้ใช้งานยังสามารถรีดีมผลงานศิลปะดิจิทัลธีมเสือโดยใช้เวอร์ชวลการ์ดที่สะสมจากแคมเปญ “Five Fortune” ได้ฟรี นับจากนี้ ผู้ใช้งานสามารถแสดงชิ้นงานสะสมดิจิทัลของตัวเองในหน้า “Personal Pavilion” ในแอพ Topnod ได้เช่นกัน

จากการพัฒนาอย่างรวดเร็วของทางเทคโนโลยีดิจิทัล พิพิธภัณฑ์ทั่วโลกได้ตื่นตัวกับการทำดิจิทัลทรานฟอร์เมชันเพื่อการคงไว้ซึ่งมรดกทางวัฒนธรรม สร้างการรับรู้ในสังคม และดึงดูดความสนใจของกลุ่มคนหนุ่มสาวที่เป็น tech-savvy

จากรายงานฉบับล่าสุด “บล็อกเชนช่วยฟื้นคืนมรดกทางวัฒนธรรมในยุคดิจิทัลได้อย่างไร” (How Blockchain Revives Cultural Heritage in the Digital Era)” โดยมหาวิทยาลัยจงอิงไฉจิง (Central University of Finance and Economics) 44.11% ของโบราณวัตถุในประเทศจีนอยู่ในรูปแบบดิจิทัล ยิ่งเป็นโบราณวัตถุที่ทรงคุณค่า เปอร์เซนต์การดิจิไทซ์โบราณวัตถุยิ่งสูงขึ้นถึง 67.82% เปรียบเทียบเปอร์เซนต์การดิจิไทซ์โบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ในฝรั่งเศสและพิพิธภัณฑ์บริติชที่อยู่ที่ 75% และ 50% ตามลำดับ

ในเดือนตุลาคม ปี 2564 พิพิธภัณฑ์กว่า 2,000 แห่งในประเทศจีนได้เปิดตัวมินิโปรแกรมของแต่ละแห่งบนแพลตฟอร์มอาลีเพย์ ในเดือนเดียวกันนั้นแอนท์กรุ๊ป (Ant Group) ก็เปิดตัว “Treasure Project” สำหรับพิพิธภัณฑ์และแกลลอรี่เพื่อออกแบบและปล่อยผลงานสะสมในรูปแบบดิจิทัลโดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนของแอนท์เชน (AntChain) เพื่อโปรโมตผลงานศิลปะและวัฒนธรรมยุคโบราณ วันที่ 29 ตุลาคม 2564 พิพิธภัณฑ์ประจำจังหวัดหูเป่ยขายภาพศิลปะดิจิทัลชื่อดัง “ดาบแห่งโกวเจี้ยน” (Sword of Goujian) ดาบที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ดีบุกซึ่งถูกครอบครองโดยกษัตริย์จีน นามว่าโกวเจี้ยนแห่งนครยู (ระหว่างปี 2032 – 222 ก่อนปีคริสตกาล) ปัจจุบันมากกว่าครึ่งหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ประจำจังหวัดในประเทศจีนได้นำเสนองานศิลปะเพื่อสะสมในรูปแบบดิจิทัลผ่านแอพ Topnod

*ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการออกแบบและสร้างผลงานศิลปะดิจิทัลของพิพิธภัณฑ์และศิลปิน สามารถดูได้จากวิดีโอพิพิธภัณฑ์หูหนาน (https://twitter.com/AntChain/status/1475318488398848009



เทรนด์เทคโนโลยีที่ต้องจับตามอง การเติบโตขององค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีเต็มตัว ในปี 2565 และอนาคตข้างหน้า

เทรนด์เทคโนโลยีที่ต้องจับตามอง

เทรนด์เทคโนโลยีที่ต้องจับตามอง การเติบโตขององค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีเต็มตัว ในปี 2565 และอนาคตข้างหน้า

วินเซนต์ คาลไดรา

บทความโดย วินเซนต์ คาลไดรา, หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยี (FSI), เร้ดแฮท

สถานการณ์การแพร่ระบาดทำให้รูปแบบการทำงานและการใช้ชีวิตของเรา รวมถึงการใช้บริการต่างๆ เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ในช่วงสองปีที่ผ่านมา บริษัทจำนวนมากต้องเร่งปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ มีการใช้รูปแบบการทำงานจากที่บ้านอย่างกว้างขวาง และใช้เครื่องมือบริการแบบดิจิทัลมากมายเพื่อเข้าถึงลูกค้า ควบคู่ไปกับการอัพเดตและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น กล่าวได้ว่าปัจจุบันเราก้าวมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ ซึ่งผู้บริหารฝ่ายสารสนเทศเริ่มตระหนักว่าการที่องค์กรจะอยู่รอดและประสบความสำเร็จในโลกยุคใหม่ได้นั้น จำเป็นต้องพัฒนาปรับปรุงองค์กรอย่างเป็นระบบ และใช้ประโยชน์จากข้อมูล จากเทคโนโลยี และกระบวนการต่าง ๆ เพื่อมอบคุณประโยชน์ให้แก่ลูกค้าได้อย่างทรงประสิทธิภาพ เป็นไปโดยอัตโนมัติ และสเกลได้อย่างเหมาะสม แม้ว่าองค์กรต้องพัฒนาความสามารถหลายด้านที่จำเป็นต่อการรุดหน้าไปสู่องค์กรที่ “ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีเต็มรูปแบบ” (Self-Driving Enterprise) แต่มีแนวโน้มพื้นฐาน 3 ประการที่องค์กรจำเป็นจะต้องพิจารณาเพื่อวางแผนพัฒนาองค์กรให้ประสบผลสำเร็จ ดังนี้

ความสามารถในการเชื่อมโยงแอปพลิเคชัน การให้บริการ และข้อมูลต่าง ๆ เข้าด้วยกัน (Data Gravity) เป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงสู่สถาปัตยกรรมที่มุ่งเน้นข้อมูลและการโยกย้ายการประมวลผลข้อมูลไปไว้ที่ Edge

ขณะที่การติดต่อสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ต่าง ๆ ผ่านช่องทางดิจิทัลโดยอาศัยเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น 5G และอุปกรณ์ IoT กลายเป็นเรื่องปกติ แต่ผลที่ตามมาก็คือ องค์กรต่าง ๆ มีการสร้างข้อมูลจำนวนมหาศาลมากขึ้น และ ข้อมูลดังกล่าวส่วนใหญ่สร้างโดยระบบ latency-sensitive ซึ่งอยู่ภายนอกดาต้าเซ็นเตอร์หรือคลาวด์สาธารณะ นอกจากนี้ ความก้าวหน้าล่าสุดของเทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูล และแมชชีนเลิร์นนิ่ง ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถผนวกรวมเวิร์กโฟลว์อัจฉริยะเข้าไว้ในโซลูชันดิจิทัล ซึ่งส่งผลให้มีการผลิตข้อมูลมากขึ้น เนื่องจากมีการรวบรวม เชื่อมต่อ และเพิ่มเติมรายละเอียดของข้อมูลอย่างต่อเนื่อง

สำหรับแนวโน้มดังกล่าวนี้ การ์ทเนอร์ประเมินว่าในปัจจุบันองค์กรต่าง ๆ ผลิตและประมวลผลข้อมูลได้เพียง 10% ของข้อมูลที่อยู่ภายนอกระบบส่วนกลาง แต่ก็คาดการณ์ว่าตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มเป็น 75% ภายในปี 2568[[1]] ด้วยเหตุนี้การเคลื่อนย้ายข้อมูลจึงกลายเป็นเรื่องยากและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เพราะกระแสข้อมูลมีการไหลย้อนกลับ และมีการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลที่ Edge เพิ่มมากขึ้น แนวโน้มเรื่องนี้จำเป็นต้องอาศัยสถาปัตยกรรมที่เน้นข้อมูลเป็นศูนย์กลาง (Data-Centric Architecture) บนโครงสร้างพื้นฐานไอทีแบบไฮบริดที่ทันสมัย และมีการขยายระบบคลาวด์ให้ครอบคลุมการแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านการเชื่อมต่อที่ Edge[[2]] และอยู่ใกล้กับจุดเชื่อมต่ออุปกรณ์มากขึ้น ในขณะเดียวกันจะต้องใช้รูปแบบการดำเนินการที่สอดคล้องกันเพื่อให้สามารถเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับใช้ระบบประมวลผล Edge Computing เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีนับจากนี้ โดยมีอัตราการเติบโต 31.1% ต่อปี[[3]] สำหรับมูลค่าตลาดโดยรวมที่ 45.32 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงปี 2564-2573 เป็นผลมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพในภาคการผลิตให้ทันสมัย และการปรับเปลี่ยนบริการด้านการเงินสู่ดิจิทัลที่เกิดขึ้นมากในภูมิภาคนี้

ข้อมูลที่รวดเร็วและ AI/ML กระตุ้นการปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบอัตโนมัติ Hyper Automation แบบอัจฉริยะที่ใช้ AIOps

เมื่อระบบปฏิบัติการของธุรกิจโยกย้ายไปประมวลผลที่ edge ทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลดิบที่หลั่งไหลเข้ามาได้แบบเรียลไทม์ และกลั่นกรองเป็นข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปใช้ในการปฏิบัติงาน องค์กรที่ออกแบบเวิร์กโฟลว์และกระบวนการต่าง ๆ ขึ้นใหม่จะสามารถใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีน เลิร์นนิ่ง (ML) เพื่อปรับเปลี่ยนกระบวนการต่าง ๆ ให้เป็นแบบอัตโนมัติมากขึ้น และยกระดับการทำงานของบุคลากร

แนวทางนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องแต่เฉพาะกระบวนการใหม่ ๆ ที่จะช่วยดึงดูดลูกค้าและการให้บริการ แต่ยังครอบคลุมถึงส่วนงานพื้นฐานที่สำคัญภายในองค์กร เช่น ฝ่ายปฏิบัติการด้านไอที ฝ่ายการเงิน ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ฝ่ายกฎหมายและการกำกับดูแล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการปฏิบัติงานด้านไอที ซึ่งแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วย AI หนึ่งเดียวที่รองรับการผนวกรวมระบบอัตโนมัติในด้านต่าง ๆ (ITOps, DevOps, DataOps, MLOps) เข้าด้วยกัน จะสามารถรองรับระบบอัตโนมัติแบบครบวงจรที่ก้าวล้ำและสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง โดยครอบคลุมงานต่าง ๆ เช่น การบริหารขีดความสามารถ การจัดเก็บและสำรองข้อมูล การจัดการความปลอดภัย การกำหนดค่าแอปพลิเคชัน และการปรับใช้โค้ด ซึ่งจะช่วยลดการโต้ตอบของผู้ใช้งานและปรับปรุงคุณภาพการให้บริการ ทั้งยังสามารถปรับขนาดของกระบวนการเพื่อจัดการสภาพแวดล้อมไอทีที่มีความซับซ้อนและกระจัดกระจายมากขึ้น

Everything-as-code ช่วยรองรับการปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างต่อเนื่องในลักษณะที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี

ภายใต้การดำเนินการแบบเก่า การปฏิบัติตามกฎระเบียบภายนอกและนโยบายภายในองค์กรต้องอาศัยกระบวนการที่ซับซ้อนและดำเนินการโดยบุคคล รวมไปถึงเอกสารต่าง ๆ มากมาย เช่น คู่มือ รายการตรวจสอบ แนวทางการปฏิบัติงาน และมีการใช้ระบบอัตโนมัติบางส่วนซึ่งต้องอาศัยการจัดการคอนฟิกูเรชั่นและงาน DevOps และมีแนวโน้มว่าจะเกี่ยวข้องกับหลาย ๆ ส่วนงานภายในองค์กร แต่ด้วยแนวทาง Everything-as-code[4] องค์กรจะขยายการพัฒนาแอปพลิเคชันเข้าไปยังการปฏิบัติงานด้านเทคโนโลยีทุกแง่มุม โดยมีการกำหนดและเขียนโค้ดสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน การส่งมอบซอฟต์แวร์ และการจัดการบริการด้านแอปพลิเคชัน เช่น ซัพพลายเชนด้านซอฟต์แวร์ที่ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีทางไซเบอร์เพิ่มมากขึ้น จะมีความปลอดภัยได้โดยใช้การตรวจสอบแบบอัตโนมัติ การสร้างแพ็คเกจ และ การรับรองแบบในตัว หรืออาจสร้างกฎเกณฑ์ในการกำกับดูแล โดยระบุลักษณะที่ควรจะเป็น เพื่อให้สามารถตรวจสอบสถานะของระบบที่เกี่ยวข้องได้อย่างต่อเนื่องโดยใช้กระบวนการที่สามารถทำการแก้ไขได้เอง ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับฝ่ายไอทีได้อย่างมาก

ในช่วงหลายปีนับจากนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของระบบนิเวศไฮบริดคลาวด์ ขณะที่องค์กรต่าง ๆ ขยายสภาพแวดล้อมด้านเทคโนโลยีไปสู่ edge โดยใช้แนวทางสถาปัตยกรรมที่มุ่งเน้นข้อมูลเป็นปัจจัยหลัก เทคโนโลยีโอเพ่นซอร์สและมาตรฐานใหม่ ๆ ที่รองรับระบบอัตโนมัติ Hyper Automation ที่ชาญฉลาด ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมและมีการกำกับดูแลอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ผู้บริหารฝ่ายสารสนเทศสามารถติดตั้งใช้งานเทคโนโลยีได้ทุกที่ในรูปแบบที่เป็นมาตรฐาน ซึ่งจะรองรับและสเกลนวัตกรรมดิจิทัลได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ใช้ในองค์กรสามารถตรวจสอบการดำเนินงานได้อย่างครบวงจรในแบบเรียลไทม์จากระบบภายในองค์กร ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้องค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีเต็มรูปแบบสามารถสร้างระบบงานอัตโนมัติเพื่อตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน และทุ่มเทความพยายามไปที่การตัดสินใจในเรื่องอื่น ๆ ที่มีความสำคัญอย่างมากต่อองค์กรโดยอาศัยข้อมูลรอบด้าน พร้อมทั้งปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานเพื่อให้บริการที่เหนือกว่าสำหรับลูกค้า

ชัวร์หรือมั่ว? ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ชวนเคลียร์ 6 ข้อเข้าใจผิดเมื่อคิดขายบ้าน

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ชวนเคลียร์

ชัวร์หรือมั่ว? ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ชวนเคลียร์ 6 ข้อเข้าใจผิดเมื่อคิดขายบ้าน

อสังหาริมทรัพย์เป็นทรัพย์สินมูลค่าสูงและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่สามารถลงทุนหรือสร้างรายได้ได้จากหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนปล่อยเช่าเพื่อทำกำไรระยะยาว หรือทำกำไรระยะสั้นจากการขายต่อ ทั้งนี้การประกาศขายอสังหาริมทรัพย์มีรายละเอียดที่แตกต่างจากการขายสินค้าทั่วไป และมีหลายจุดที่ผู้ขายอสังหาริมทรัพย์มือใหม่มักเข้าใจผิด ซึ่งจะมีผลเสียหายในภายหลัง ดังนั้น ผู้ขายมือใหม่จึงต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจความเคลื่อนไหวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ เพื่อป้องกันข้อผิดพลาด เพิ่มโอกาสในการเจรจาต่อรอง และมีความรู้ในการทำธุรกรรมการซื้อ-ขายให้รอบคอบและชัดเจน   

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย อาสาคลายข้อสงสัยที่คนมักเข้าใจผิดเมื่อคิดขายบ้านให้กระจ่าง เพื่อให้ผู้ขายมือใหม่หรือผู้ที่วางแผนจะขายบ้านในอนาคตได้ทำความเข้าใจบทบาทและความรับผิดชอบของผู้ขายอสังหาริมทรัพย์ที่ดีได้อย่างถูกต้อง 

เปิดวาร์ป 6 ข้อเข้าใจผิดทำคนขายบ้านสับสน

    • ข้อ 1: ตั้งราคาขายตามใจฉัน ผู้ขายต้องทำความเข้าใจและตระหนักเสมอว่าการตั้งราคาขายที่เหมาะสมเป็นเรื่องสำคัญ ผู้ขายต้องศึกษาและเปรียบเทียบราคาตลาด พิจารณาสภาพเศรษฐกิจหรือสถานการณ์แวดล้อมในเวลานั้น ๆ อาทิ ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเวลานี้ ที่มีบ้าน/คอนโดฯ ที่ตั้งราคาสูงจนเกินไปอาจจะปล่อยขายได้ยากหรือปล่อยขายไม่ได้เลย ในขณะเดียวกัน การตั้งราคาให้ต่ำกว่าราคาตลาดถือเป็นอีกกลยุทธ์ที่น่าสนใจ เนื่องจากจะเป็นการเพิ่มจำนวนผู้สนใจเข้ามาติดต่อผู้ขาย ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อเสนอที่ราคาอยู่ใกล้เคียงหรือเท่ากับราคาของตลาดได้ และหากราคาขายที่คุณตั้งถูกกว่าของประกาศอื่น ๆ ในประกาศซื้อขายบ้านบนหน้าเว็บไซต์ เป็นไปได้ว่าประกาศของคุณอาจจะโดนคลิกเข้ามาชมมากกว่า อย่างไรก็ตาม การตั้งราคาขายสามารถอ้างอิงราคาประเมินของราชการ, องค์กรอิสระหรือสถาบันทางการเงิน หรือเช็กราคาตลาด/ราคาซื้อขายจริงบนทำเลนั้น ๆ จากเว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อย่าง DDproperty ซึ่งมีรายงานแนวโน้มราคาอสังหาริมทรัพย์ในรอบไตรมาส และรอบปีให้ศึกษาด้วย แต่ทั้งนี้ก่อนตั้งราคาขายจะต้องไม่ลืมคำนวณค่าเสื่อมราคาของอสังหาริมทรัพย์ที่ประกาศขายด้วย

       

    • ข้อ 2: สามารถปิดซ่อนปัญหาเกี่ยวกับตัวบ้านได้มิด ปัญหาเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยจะปิดอย่างไรก็ไม่มิด 100% เพราะผู้ซื้อและนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ในวันนี้ศึกษาทำการบ้านอยู่ตลอดเวลาจากหลายช่องทาง ทั้งจากเว็บไซต์ที่ให้ความรู้เรื่องที่อยู่อาศัยหรือประสบการณ์ตรงที่มีผู้แชร์บนโลกออนไลน์ นอกจากนี้ แม้ผู้ขายจะพยายามปกปิดดีอย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านั้นอาจถูกค้นพบเมื่อถึงช่วงตรวจสอบบ้านจากผู้ซื้อ (House Inspection) ซึ่งปัจจุบันมีวิศวกรและบริษัทตรวจรับบ้านให้บริการด้านนี้โดยเฉพาะ หากตรวจพบปัญหามากกว่าที่คิดอาจทำให้ผู้ซื้อเกิดความไม่ไว้วางใจว่าผู้ขายตั้งใจปิดบัง และยุติการซื้อขายได้ ดังนั้น ผู้ขายควรหาทางออกโดยการเลือกซ่อมแซมจุดเสียหายที่พบทันที หรือตั้งราคาขายต่ำกว่าตลาดเนื่องจากปัญหาข้อเสียหายที่เกิดขึ้น หรือตั้งราคาขายปกติแต่ทำสัญญากับผู้ซื้อว่า ผู้ขายจะทำการออกค่าใช้จ่ายเองหากเกิดกรณีซ่อมแซมในจุดเสียหายที่ตรวจเจอ หรือตั้งราคาขายตามสภาพของบ้านในเวลานั้น เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจบานปลายได้ในภายหลัง เพราะผู้ขายอาจจะต้องเจอกับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด หากสภาพบ้านไม่เป็นไปตามในสัญญาซื้อขายที่ระบุ

       

    • ข้อ 3: เชื่อใจผู้ซื้อมากเกินไป อาจทำเสียโอกาสขาย เมื่อตกลงซื้อขายเรียบร้อยแล้ว ผู้ขายจะรอความชัดเจนในการตกลงวันนัดทำสัญญาเพื่อดำเนินธุรกรรมกับผู้ซื้อต่อไป อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้เป็นการปิดโอกาสในการขายอสังหาริมทรัพย์กับบุคคลอื่น ผู้ขายสามารถขอให้ผู้ซื้อวางเงินมัดจำ หรือขอดูจดหมายอนุมัติสินเชื่อของผู้ซื้อที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์หรือรัฐ เพื่อเป็นการการันตีถึงเรื่องความสามารถด้านการเงินของผู้ซื้อ รวมถึงการันตีในเรื่องเงินที่ผู้ขายจะได้รับจากการขายบ้าน ถือเป็นการสร้างความมั่นใจและความสบายใจในการซื้อขายของทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ หากผู้ขายมีกรอบระยะเวลาที่จะต้องปล่อยขายบ้านให้สำเร็จ ไม่ควรเลือกผู้ซื้อที่ติดภาระในการปล่อยขายบ้านเก่าเพื่อนำเงินมาซื้อบ้านใหม่ เพราะแสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนในการปิดดีลซื้อขายครั้งนี้นั่นเอง ถือเป็นอีกข้อควรคำนึงที่ผู้ขายควรพิจารณา เพื่อไม่ให้เป็นการปิดโอกาสขายอสังหาริมทรัพย์ให้กับผู้ซื้อที่มีศักยภาพคนอื่น ๆ
ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ชวนเคลียร์
    • ข้อ 4: รอรับเงินแต่ลืมเตรียมค่าภาษี เมื่อการเจรจาตกลงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้หมายความว่าผู้ขายจะรอรับเงินจากผู้ซื้อเพียงอย่างเดียว เนื่องจากในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์จะมีภาษีขายบ้าน (ภาษีธุรกิจเฉพาะ) ด้วย ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ทั้งผู้ขายและผู้ซื้อหลายคนมักมองข้ามไป ผู้ขายที่ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้อาจขาดทุนจากการเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เนื่องจากไม่ได้คำนวณค่าธรรมเนียมและภาษีรวมไว้ในต้นทุนก่อนประกาศขาย โดยทั่วไปค่าใช้จ่ายในการขายอสังหาริมทรัพย์ส่วนที่ผู้ขายต้องจ่ายนั้น จะมี 4 รายการใหญ่ ๆ ได้แก่ ค่าธรรมเนียมโอนกรรมสิทธิ์ในอัตรา 2% จากราคาประเมิน (ผู้ซื้อและผู้ขายชำระค่าธรรมเนียม 1% เท่า ๆ กัน), ค่าอากรแสตมป์ 0.5%, ภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% และภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ซึ่งผู้ขายควรคำนวณค่าใช้จ่ายเหล่านี้ให้ถี่ถ้วน เพื่อวางแผนลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ไม่จำเป็นลงได้ เช่น ถือครองอสังหาริมทรัพย์นานเกิน 5 ปี หรือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านครบ 1 ปี ซึ่งจะทำให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
    • ข้อ 5: ขายเองก็ได้ ไม่ต้องมีนายหน้า ผู้ขายส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าการขายที่อยู่อาศัยก็เหมือนกับการขายทรัพย์สินอื่น ไม่ซับซ้อน จึงอยากจัดการเองมากกว่าไปจ้างนายหน้าหรือตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ (Agent) ที่มีค่าใช้จ่ายเป็นค่าคอมมิชชั่น เมื่อพิจารณาค่าใช้จ่ายกับความสะดวกที่ผู้ขายจะได้รับแล้ว การมีนายหน้าหรือตัวแทนอสังหาริมทรัพย์เพื่อช่วยนำบ้าน/คอนโดฯ ไปเสนอขายผ่านช่องทางต่าง ๆ แล้ว นายหน้ายังช่วยหาหรือนำเสนอทรัพย์สินให้ตรงตามความต้องการของผู้ซื้ออีกด้วย นายหน้าที่มีประสบการณ์ช่วยให้การขายอสังหาริมทรัพย์สามารถปิดดีลได้ไวขึ้นในราคาที่ทั้งผู้ขายและผู้ซื้อรับได้ นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดเวลาในการดำเนินการขั้นตอนต่าง ๆ เอง ทั้งการต่อรองหรือพาชมสถานที่จริงได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งนี้ผู้ขายควรศึกษาวิธีคำนวณค่าคอมมิชชั่นเพื่อเตรียมตัวในการเจรจาก่อนตกลงว่าจ้างกับนายหน้า โดยปกตินายหน้าอสังหาริมทรัพย์จะได้รับค่าตอบแทนในอัตรา 3% ของราคาขาย ทั้งนี้อัตราค่านายหน้าอสังหาริมทรัพย์นั้นจะมีความแตกต่างกันไปบ้างในแต่ละพื้นที่ และบริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ (โบรกเกอร์) ที่ดำเนินการ
    • ข้อ 6: ขายบ้านทุกครั้งต้องมีนายหน้า ในทางตรงกันข้าม หากผู้ขายมีความรู้เกี่ยวกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ และมีความรู้พื้นฐานด้านเอกสารธุรกรรมการซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ สามารถขายที่อยู่อาศัยได้เองโดยไม่จำเป็นต้องจ้างนายหน้าอสังหาริมทรัพย์เสมอไป อย่างไรก็ตาม การประกาศขายด้วยตัวเองนั้นจำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องต้นทุนในเรื่องของเวลาที่ใช้ศึกษาตลาดด้วย หากผู้ขายเข้าใจกลไกต่าง ๆ ในเรื่องเหล่านี้ดีก็จะลดค่าใช้จ่ายคอมมิชชั่นที่สามารถนำไปปรับเป็นส่วนลดให้ผู้ซื้อ หรือเป็นกำไรให้ตัวเองได้ นอกจากนี้ ผู้ขายต้องคำนวณต้นทุนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ต้องดำเนินการเอง เช่น การนำข้อมูลบ้านลงประกาศขายในเว็บไซต์ต่าง ๆ โดยสิ่งสำคัญคือข้อมูลที่ครบถ้วนและถูกต้อง นำเสนอรูปสวย ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ซื้อ ยิ่งดีขึ้นไปอีกหากเว็บไซต์รองรับวิดีโอ, Virtual Tour หรือ Live Tour ซึ่งทำให้ผู้ซื้อได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนกว่าเดิม แต่ทั้งนี้หากเป็นเว็บไซต์ที่รวมข้อมูลซื้อ-ขายด้านอสังหาริมทรัพย์อาจมีค่าธรรมเนียมประกาศตามแพ็กเกจโฆษณาของเว็บนั้น ๆ นอกจากนั้นต้องให้ข้อมูลกับผู้ที่สนใจติดต่อสอบถามเข้ามาเอง ซึ่งก็จะมีทั้งผู้สนใจเข้ามาดูเฉย ๆ และผู้สนใจซื้อจริง ๆ ผู้ขายจะต้องมีเวลาในการรับโทรศัพท์และนัดหมายพาชมบ้าน สรุปได้ว่านอกจากความรู้ความเข้าใจในตลาดอสังหาริมทรัพย์และการทำธุรกรรมแล้ว ผู้ขายควรพัฒนาทักษะและประสบการณ์ในการเจรจาต่อรอง เพื่อให้พร้อมรับมือกับผู้สนใจซื้อที่หลากหลาย ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้ความรู้เช่นกัน 

การขายอสังหาริมทรัพย์นั้นแม้จะมีรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงแต่ไม่ถือว่าเป็นเรื่องไกลตัวจนเกินไป ผู้บริโภคต่างมีโอกาสเป็นทั้งผู้ซื้อและผู้ขายได้ในอนาคต นอกเหนือจากข้อเข้าใจผิดเกี่ยวกับการขายที่อยู่อาศัยเหล่านี้แล้ว ผู้ขายต้องไม่ลืมว่ายังมีตัวแปรอีกมากมายที่เข้ามามีบทบาทและส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อขายที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค ผู้ขายจึงควรเตรียมความพร้อมทั้งด้านการเงินและความรู้ความเข้าใจ เพื่อให้สามารถเลือกช่วงเวลาในการขายได้อย่างถูกที่ ถูกเวลา เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทยอย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (https://www.ddproperty.com) ได้รวบรวมข้อมูลประกาศซื้อ/ขาย/เช่าที่น่าสนใจทั้งโครงการใหม่และบ้านมือสอง รวมทั้งที่ดินสำหรับปลูกสร้างบ้านในหลากหลายทำเลทั่วประเทศ พร้อมเป็นแหล่งรวมความรู้ที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ในการซื้อ-ขาย-เช่า เตรียมความพร้อมให้ผู้ที่อยากมีบ้านเป็นของตัวเองสามารถเลือกที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ได้มากที่สุด

ผลสำรวจชี้ มัลติคลาวด์ยังได้รับความนิยมต่อเนื่อง แต่ความซับซ้อนและความท้าทายต่าง ๆ ก็ยังคงอยู่เช่นกัน

ผลสำรวจดัชนีการใช้คลาวด์ระดับองค์กร

ผลสำรวจชี้ มัลติคลาวด์ยังได้รับความนิยมต่อเนื่อง แต่ความซับซ้อนและความท้าทายต่าง ๆ ก็ยังคงอยู่เช่นกัน

ผลสำรวจพบว่ามีการใชัมัลติคลาวด์เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันองค์กรต่าง ๆ ก็มุ่งความสนใจไปที่ไฮบริด มัลติคลาวด์

นูทานิคซ์ (NASDAQ: NTNX) ผู้นำด้านไฮบริด-มัลติคลาวด์คอมพิวติ้ง เผยผลสำรวจดัชนีการใช้คลาวด์ระดับองค์กร (Enterprise Cloud Index: ECI) ที่ทำการสำรวจติดต่อกันเป็นปีที่ 4 โดยทำการประเมินความก้าวหน้าในการใช้คลาวด์ขององค์กร การสำรวจพบว่า มัลติคลาวด์เป็นรูปแบบที่มีการนำมาใช้งานมากที่สุดในปัจจุบัน และการใช้งานจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 64% ในอีกสามปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนในการจัดการกับข้อจำกัดต่าง ๆ ของคลาวด์ทุกประเภทยังคงเป็นความท้าทายสำคัญขององค์กร โดย 87% ของผู้ตอบแบบสำรวจเห็นด้วยว่า การจะใช้มัลติคลาวด์ให้ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องมีการจัดการโครงสร้างพื้นฐานการใช้ระบบคลาวด์แบบผสมที่ง่ายขึ้น ทั้งนี้ 83% ของผู้ตอบแบบสำรวจเห็นว่า ไฮบริด-มัลติคลาวด์เป็นรูปแบบที่มีความเหมาะสมต่อการใช้งาน เพื่อแก้ปัญหาความท้าทายสำคัญ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการทำงานร่วมกัน การรักษาความปลอดภัย ต้นทุน และการบูรณาการข้อมูล

ผลสำรวจชี้ มัลติคลาวด์ยังได้รับความนิยมต่อเนื่อง

นายราจีฟ รามาสวามี ประธานและซีอีโอนูทานิคซ์ กล่าวว่า “ในขณะที่ธุรกิจต่าง ๆ พิจารณาและใช้ไอทีในเชิงกลยุทธ์มากขึ้นกว่าก่อน ความซับซ้อนของมัลติคลาวด์ก็กำลังสร้างความท้าทายมากมายที่เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จในการใช้คลาวด์ การแก้ไขความซับซ้อนเหล่านี้ ทำให้เกิดไฮบริด-มัลติคลาวด์รูปแบบใหม่ขึ้น ซึ่งทำให้คลาวด์เป็นรูปแบบในการทำงาน มากกว่าเป็นเพียงเป้าหมายปลายทางเท่านั้น”

การสำรวจครั้งนี้ ได้สอบถามผู้ตอบแบบสำรวจเกี่ยวกับความท้าทายของการใช้คลาวด์ที่องค์กรพบเจอ ปัจจุบันองค์กรใช้งานแอปพลิเคชันทางธุรกิจบนระบบใด และวางแผนว่าจะใช้บนระบบใดในอนาคต นอกจากนี้ ยังมีการสอบถามถึงผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีผลต่อการตัดสินใจด้านโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่เกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต ตลอดจนกลยุทธ์และลำดับความสำคัญด้านไอทีที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากสาเหตุดังกล่าว

ผลสำรวจสำคัญจากรายงานครั้งนี้ ประกอบด้วย

      • ความท้าทายอันดับต้น ๆ ในการใช้มัลติคลาวด์ประกอบด้วย การจัดการความปลอดภัย (49%), การเชื่อมโยงข้อมูล (49%) และค่าใช้จ่ายในการใช้คลาวด์ข้ามประเภท (43%) แม้มัลติคลาวด์จะเป็นรูปแบบที่ใช้งานมากที่สุด และเป็นเพียงรูปแบบเดียวที่คาดว่าจะมีการใช้งานเพิ่มขึ้น แต่องค์กรส่วนใหญ่ยังต้องฝ่าฟันกับความท้าทายที่เกิดขึ้นจากการใช้คลาวด์หลายประเภทร่วมกัน ทั้งที่เป็นไพรเวทและพับลิคคลาวด์ ความท้าทายเหล่านี้จะยังคงอยู่ และผู้นำด้านไอทีต่างตระหนักมากขึ้นว่า ไม่มีวิธีการใช้คลาวด์วิธีใดวิธีหนึ่งที่เหมาะสมกับการทำงานทุกอย่าง ผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่า ไฮบริด มัลติคลาวด์ ซึ่งเป็นรูปแบบการทำงานด้านไอทีที่สามารถประสานให้คลาวด์หลายประเภท ทั้งไพรเวทและพับลิคทำงานร่วมกันได้เป็นวิธีการที่เหมาะสม
ความท้าทายอันดับต้น ๆ ในการใช้มัลติคลาวด์
      • การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้เปลี่ยนวิธีการทำงานเกือบทั้งหมดขององค์กร และมัลติคลาวด์สามารถรองรับวิธีการทำงานแบบใหม่นี้ ผู้ตอบแบบสำรวจเกินครึ่ง (61%) กล่าวว่าการระบาดครั้งนี้ทำให้ต้องให้ความสำคัญกับการจัดให้มีการทำงานแบบยืดหยุ่นมากขึ้น องค์กรส่วนใหญ่ให้ข้อมูลว่า ไม่ว่าจะมีพนักงานที่ทำงานจากระยะไกลมากขึ้นหรือน้อยลงก็ตามการทำงานในลักษณะนี้จะยังคงดำเนินต่อเนื่องไปในอนาคตอันใกล้ มัลติคลาวด์มีสภาพแวดล้อมไอทีที่คล่องตัว สามารถตอบสนองความต้องการด้านความยืดหยุ่นนี้ได้ ด้วยการกระจายข้อมูลไปยังจุดใช้งานต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย และเพื่อความต่อเนื่องทางธุรกิจ
      • การเคลื่อนย้ายแอปพลิเคชันคือสิ่งสำคัญที่สุด ในช่วงเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา องค์กรเกือบทั้งหมด (91%) ได้ย้ายแอปพลิเคชัน หนึ่งรายการหรือมากกว่านั้นไปยังสภาพแวดล้อมไอทีใหม่ อย่างไรก็ตาม 80% ของผู้ตอบแบบสำรวจเห็นตรงกันว่า การย้ายเวิร์กโหลดไปยังสภาพแวดล้อมคลาวด์รูปแบบใหม่อาจใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูง ผู้ตอบแบบสำรวจให้เหตุผลในการย้ายเวิร์กโหลดว่า ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด (41%) ตามด้วยเรื่องประสิทธิภาพ (39%) และความสามารถในการควบคุมการทำงาน (38%)

 

การเคลื่อนย้ายแอปพลิเคชันคือสิ่งสำคัญที่สุด
      • องค์กรต่าง ๆ ใช้โครงสร้างพื้นฐานไอทีในเชิงกลยุทธ์เพิ่มขึ้น  เกือบสามในสี่ของผู้ตอบแบบสอบถาม (72%) ระบุว่า ฟังก์ชันด้านไอทีในองค์กรของตนได้มีการนำมาใช้ในเชิงกลยุทธ์มากขึ้นกว่าปีที่แล้ว ผู้ตอบแบบสำรวจได้ระบุถึงเหตุผลทางธุรกิจในการเปลี่ยนรูปแบบของโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เพื่อปรับปรุงการทำงานระยะไกลและการทำงานร่วมกัน (40%), เพื่อสนับสนุนลูกค้าได้ดีขึ้น  (36%) และ เพื่อเสริมสร้างความต่อเนื่องทางธุรกิจ (35%) นอกจากนี้พวกเขายังได้เริ่มจับคู่เวิร์กโหลดแต่ละชนิดให้ใช้งานบนโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมที่สุดอย่างมีแบบแผน โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความปลอดภัย (41%), ประสิทธิภาพ (39%) และค่าใช้จ่าย (31%) ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยหลักระดับต้น ๆ ในการปรับใช้มัลติคลาวด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
องค์กรต่าง ๆ ใช้โครงสร้างพื้นฐานไอทีในเชิงกลยุทธ์เพิ่มขึ้น

แวนสัน บอร์น ได้ทำการสำรวจนี้ในนามของนูทานิคซ์เป็นปีที่สี่ติดต่อกัน โดยทำการสอบถามผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอทีจำนวน 1,700 คนทั่วโลก เมื่อเดือนสิงหาคมและกันยายน 2564 ผู้ตอบแบบสำรวจอยู่ในอุตสาหกรรมหลายประเภท ในองค์กรหลากหลายขนาด ในภูมิภาคอเมริกา, ยุโรป, ตะวันออกกลาง, แอฟริกา, เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น

ท่านสามารถดาวน์โหลดรายงานดัชนีการใช้คลาวด์ระดับองค์กรฉบับเต็มของนูทานิคซ์ได้ที่นี่