ส่องเคล็ดลับวางแผนซื้อบ้านฉบับ “ชาวฟรีแลนซ์” ทำอย่างไรให้ผ่านฉลุย

ส่องเคล็ดลับวางแผนซื้อบ้านฉบับ “ชาวฟรีแลนซ์” ทำอย่างไรให้ผ่านฉลุย

ส่องเคล็ดลับวางแผนซื้อบ้านฉบับ “ชาวฟรีแลนซ์” ทำอย่างไรให้ผ่านฉลุย

เทรนด์ Gig Economy หรือระบบเศรษฐกิจที่เน้นการจ้างงานแบบชั่วคราวมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในไทย หลังจากหลายบริษัทมีการปรับโครงสร้างองค์กร ประกอบกับเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตประจำวันมากขึ้น และคนรุ่นใหม่มีแนวคิดต้องการความอิสระในการทำงานที่ยืดหยุ่นด้านเวลา ส่งผลให้อาชีพอิสระ (Freelance) อาทิ แม่ค้าออนไลน์, พนักงานส่งอาหารเดลิเวอรี่, บริการแม่บ้านออนไลน์ หรืออินฟลูเอนเซอร์ ฯลฯ ขยายตัวอย่างรวดเร็วและเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจดิจิทัลในไทย

ข้อมูลจากการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร สำนักงานสถิติแห่งชาติ ไตรมาส 2 ปี 2568 และรายงานสถานการณ์ด้านแรงงานไตรมาส 2 ปี 2568 ของกองเศรษฐกิจการแรงงาน สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานเผยว่า ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 มีสัดส่วนของผู้ประกอบอาชีพอิสระถึง 50.01% ของผู้มีงานทำทั้งหมด 39.51 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 49.81% ขณะที่ข้อมูลจาก Fastwork เผยว่า ตั้งแต่ปี 2565–2566 แพลตฟอร์มจ้างงานประเภทฟรีแลนซ์ในไทยมีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 50%

ด้วยรูปแบบการทำงานที่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ ทำให้ชาวฟรีแลนซ์จำนวนไม่น้อยเลือกทำงานที่บ้าน (Work From Home) บางครั้งจึงจำเป็นต้องขยับขยายพื้นที่บ้าน/คอนโดฯ เพื่อให้สามารถจัดสรรสัดส่วนพื้นที่พักผ่อนและทำงานได้อย่างลงตัวยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี แม้ว่าชาวฟรีแลนซ์จะได้รับอิสระในการใช้ชีวิตและมีรายได้สูง แต่เมื่อยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย มักถูกมองว่ามีรายได้ไม่แน่นอน เนื่องจากในมุมมองสถาบันการเงินยังคงพิจารณาจากความสม่ำเสมอของรายได้ประกอบด้วย ส่งผลให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้ต้องเผชิญกระบวนการพิจารณาสินเชื่อที่เข้มงวดกว่าผู้มีรายได้ประจำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  

ส่องความท้าทายของฟรีแลนซ์เมื่อกู้ซื้อที่อยู่อาศัย

ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study ของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย พบว่า เกือบ 3 ใน 5 (56%) ของผู้ตอบแบบสอบถาม เผยว่าอุปสรรคสำคัญเมื่อขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยมาจากอาชีพและรายได้ที่ไม่มั่นคง รองลงมาคือมีประวัติทางการเงินไม่ดี 41% และมีสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio) ไม่เอื้ออำนวย 30% สะท้อนให้เห็นว่าความมั่นคงทางการเงินยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญของผู้ยื่นกู้ และตอกย้ำให้เห็นว่าชาวฟรีแลนซ์ซึ่งไม่มีเงินเดือนประจำจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือด้วยการวางแผนการเงินอย่างรัดกุม

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เผยให้เห็นความท้าทายที่ผู้ประกอบอาชีพอิสระต้องเผชิญเมื่อยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากธนาคาร ดังนี้

  • ความมั่นคงของรายได้ ปัจจัยสำคัญอันดับต้น ๆ ในการอนุมัติสินเชื่อของธนาคารคือต้องมั่นใจว่าผู้กู้จะมีความสามารถในการชำระหนี้ได้ตลอดระยะเวลาในสัญญา ขณะที่ผู้ประกอบอาชีพอิสระมักมีรายได้เข้ามาไม่สม่ำเสมอ โดยรายได้มักผันแปรตามปริมาณงานในแต่ละเดือน แตกต่างจากพนักงานประจำที่มีรายได้หลักมาจากเงินเดือน จึงดูมีความมั่นคงกว่า เมื่อเปรียบเทียบกันจึงทำให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้มากกว่ากลุ่มพนักงานประจำ
  • เอกสาร/หลักฐานยืนยันรายได้ เมื่อยื่นขอกู้ซื้อที่อยู่อาศัย หากเป็นพนักงานประจำจะมีเอกสารยืนยันรายได้ที่ชัดเจน ได้แก่ สลิปเงินเดือนและหนังสือรับรองเงินเดือนจากบริษัท แสดงให้เห็นความสามารถในการชำระหนี้ ต่างจากผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ธนาคารต้องขอเอกสารแสดงหลักฐานทางการเงินอย่างละเอียด ซึ่งจำเป็นต้องเก็บเอกสารทางการเงินเพื่อแสดงรายได้ไว้ทุกฉบับ รวมทั้งหลักฐานแสดงทรัพย์สินอื่น ๆ หากขาดเอกสารบางส่วนไป อาจไม่เพียงพอที่จะแสดงให้ธนาคารเห็นความสม่ำเสมอและความมั่นคงของรายได้หลังหักรายจ่ายออกแล้ว 
  • อายุงานที่ธนาคารกำหนด บางธนาคารจะกำหนดให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระต้องมีประสบการณ์ในการประกอบอาชีพนั้น ๆ อย่างน้อย 1-2 ปี เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงของอาชีพและความต่อเนื่องของรายได้ในระยะยาว หากเพิ่งเริ่มต้นทำงานอิสระได้ไม่นานหรือเปลี่ยนสายงานบ่อยครั้ง อาจกลายเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการพิจารณาสินเชื่ออย่างมีนัยสำคัญ

วางแผนอย่างมั่นใจ ชาวฟรีแลนซ์กู้ซื้อบ้านได้ไม่ไกลเกินเอื้อม

แม้การกู้ซื้อบ้านของผู้ประกอบอาชีพอิสระจะมีความท้าทายด้านเอกสารและกระบวนการพิจารณาที่เข้มงวดกว่าพนักงานประจำ แต่หากรู้แนวทางเตรียมตัวก่อนขอสินเชื่ออย่างชาญฉลาด การเป็นเจ้าของบ้านในฝันก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แนะเคล็ดลับเตรียมความพร้อมก่อนวางแผนกู้ซื้อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ เริ่มต้นวางรากฐานทางการเงินอย่างไรให้มั่นคง เพื่อเพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อบ้านให้ผ่านได้ง่ายขึ้น 

  1. ประเมินความสามารถในการผ่อนบ้าน ขั้นตอนแรกในการวางแผนซื้อที่อยู่อาศัย ผู้ประกอบอาชีพอิสระควรนำรายได้ที่มีการยื่นภาษีในปีที่ผ่านมามาหาร 12 เพื่อหารายรับเฉลี่ยที่ได้ในแต่ละเดือน จากนั้นจึงนำตัวเลขดังกล่าวมาเปรียบเทียบกับภาระค่าใช้จ่ายรายเดือนทั้งหมด เพื่อคำนวณหาความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน/คอนโดฯ ซึ่งธนาคารจะพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้จากค่า DSR (Debt Service Ratio) หรืออัตราส่วนที่แสดงภาระหนี้สินทั้งหมดต่อเดือนเทียบกับรายได้รวมต่อเดือน โดยรายจ่ายหรือภาระหนี้ทั้งหมดต่อเดือนนั้นไม่ควรเกิน 40% ของรายได้ ซึ่งสามารถคำนวณด้วยสูตร (รายได้ต่อเดือน) X (40%) = (ความสามารถผ่อนบ้าน) เช่น รายได้ 30,000 บาทต่อเดือน X 40% = 12,000 บาท เมื่อหักภาระหนี้ต่าง ๆ ออกจากจำนวน 12,000 บาทแล้ว จะได้ความสามารถผ่อนบ้านกับธนาคารที่เหลืออยู่ ซึ่งผู้บริโภคสามารถนำตัวเลขดังกล่าวมากำหนดราคาเบื้องต้นเพื่อค้นหาบ้าน/คอนโดฯ ที่มีราคาเหมาะสมกับงบประมาณต่อไป
  2. มีหลักฐานการทำงานชัดเจน เนื่องจากฟรีแลนซ์ไม่มีสังกัดองค์กรอย่างเป็นทางการ การเก็บหลักฐานการทำงานอย่างเป็นระบบจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ผู้บริโภคควรเตรียมเอกสารแสดงการประกอบอาชีพไว้อย่างน้อย 1-2 ปี ไม่ว่าจะเป็นสัญญาว่าจ้างจากลูกค้าทุกฉบับ, ผลงานย้อนหลัง (Portfolio) หรือเอกสารการจดทะเบียนธุรกิจการค้า หรือใบประกอบวิชาชีพต่าง ๆ หากมีหลักฐานการทำงานเหล่านี้ครบถ้วนจะช่วยยืนยันความต่อเนื่องของรายได้ และแสดงให้ธนาคารเห็นถึงความน่าเชื่อถือในอาชีพได้อย่างชัดเจน
  3. วางแผนออมเงินดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ความมั่นคงทางการเงินไม่ได้วัดเพียงรายได้ที่เข้ามาเท่านั้น แต่ยังวัดจากวินัยในการออมด้วย นอกจากการออมเงินจะช่วยให้คุณมีเงินก้อนสำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเมื่อซื้อบ้าน/คอนโดฯ แล้ว ยังถือเป็นการซ้อมผ่อนบ้านล่วงหน้าเพื่อให้สามารถปรับแผนการเงินให้เหมาะสมเมื่อต้องผ่อนชำระจริงอีกด้วย ผู้บริโภคจึงควรเริ่มวางแผนออมเงินเพื่อใช้เป็นเงินดาวน์เมื่อซื้อบ้าน/คอนโดฯ ประมาณ 10-30% นอกจากนี้ควรมีเงินออมสำรองไว้สำหรับผ่อนบ้าน/คอนโดฯ อย่างน้อย 6 เดือน เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงหากรายได้เกิดความผันผวนในอนาคต โดยการวางแผนรับมือความเสี่ยงนี้จะช่วยให้ธนาคารมั่นใจในศักยภาพทางการเงินของผู้กู้มากขึ้น
  4. ยื่นภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย การยื่นภาษีอย่างสม่ำเสมอเป็นเอกสารรับรองที่น่าเชื่อถือของอาชีพอิสระ เนื่องจากเป็นการยืนยันรายได้ต่อภาครัฐอย่างเป็นทางการ แสดงให้เห็นว่ารายได้ของคุณเป็นไปตามกฎหมายและสามารถตรวจสอบได้จริง ทำให้ธนาคารมั่นใจในความถูกต้องและสามารถตรวจสอบที่มาของรายได้ได้อย่างชัดเจน ผู้ประกอบอาชีพอิสระจึงไม่ควรละเลยการยื่นภาษีให้ถูกต้องและตรงกับความเป็นจริง โดยยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90 หรือ 94) ทุกปีเพื่อแสดงความต่อเนื่องของรายได้ และเก็บหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) ไว้ทุกฉบับ ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่ชาวฟรีแลนซ์ต้องได้รับจากผู้ว่าจ้างทุกครั้งเมื่อมีการรับเงินค่าจ้างและแสดงรายละเอียดว่าถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายเท่าไร เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันรายได้กับธนาคาร 
  5. เดินบัญชีธนาคารให้สม่ำเสมอ รายการเดินบัญชีธนาคาร (Statement) ถือเป็นหลักฐานแสดงกระแสเงินสดที่สำคัญของผู้ประกอบอาชีพอิสระ เช่นเดียวกับสลิปเงินเดือนของพนักงานประจำ ดังนั้น ผู้ประกอบอาชีพอิสระจึงควรวางแผนสร้างรายการเดินบัญชีธนาคารให้สวย โดยเลือกใช้บัญชีธนาคารหลักเพียงบัญชีเดียวในการรับรายได้จากการทำงาน มีการโอนเงินเข้าบัญชีอย่างสม่ำเสมอ หากได้รับค่าจ้างเป็นเงินสดก็ควรนำไปฝากในบัญชีธนาคารเพื่อแสดงให้เห็นความต่อเนื่องของรายได้ และพยายามรักษายอดคงเหลือในบัญชีอยู่เสมอ นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการถอนเงินออกจนหมดบัญชีบ่อย ๆ ด้วย การเดินบัญชีที่สม่ำเสมอจะช่วยยืนยันสภาพคล่องและความน่าเชื่อถือของรายได้ โดยธนาคารจะตรวจสอบรายการเดินบัญชีย้อนหลังเป็นระยะเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี  
  6. สร้างประวัติทางการเงินดี ไม่มีหนี้ค้างชำระ ปัจจัยสำคัญที่ธนาคารใช้ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อคือผู้กู้ต้องมีประวัติทางการเงินที่ดี โดยธนาคารจะตรวจสอบประวัติการชำระหนี้ย้อนหลังจากเครดิตบูโร บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ซึ่งจะมีประวัติการชำระหนี้ของผู้กู้ย้อนหลัง 3 ปี ผู้บริโภคที่ต้องการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยจึงควรสร้างประวัติทางการเงินให้ดูดี ไม่มีหนี้ค้างชำระ ไม่มีการผ่อนสินค้าจำนวนมากตอนที่ยื่นกู้ซื้อบ้าน และไม่มีประวัติการใช้บัตรกดเงินสดอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ หากผู้บริโภครู้จักบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและใช้บัตรเครดิตอย่างถูกวิธี และเคยมีประวัติการผ่อนชำระสินค้าตรงตามกำหนดทุกงวด จะเป็นตัวสะท้อนวินัยทางการเงินในการชำระหนี้ของผู้กู้ได้อีกทางนึง 
  7. “กู้ร่วม” เพิ่มโอกาสอนุมัติและวงเงินกู้ หากผู้ประกอบอาชีพอิสระต้องการเพิ่มโอกาสอนุมัติ การกู้ร่วมกับบุคคลที่มีรายได้ประจำ เช่น คู่สมรส พ่อ-แม่ หรือญาติพี่น้อง ก็ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ นอกจากผู้กู้ร่วมจะเข้ามาเติมเต็มความมั่นคงของรายได้แล้ว ยังทำให้ธนาคารเห็นถึงความสามารถในการชำระหนี้ที่มีมากขึ้นซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อตามไปด้วย นอกจากนี้ เมื่อรวมรายได้ของผู้กู้ทั้งสองคนแล้วยังส่งผลให้วงเงินกู้ที่ได้รับเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อบ้าน/คอนโดฯ ในงบประมาณที่สูงขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมต้องทำความเข้าใจถึงภาระหนี้และความรับผิดชอบที่มีร่วมกันอย่างชัดเจนก่อนตัดสินใจ

แม้เส้นทางการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของชาวฟรีแลนซ์จะมีความท้าทายมากกว่าผู้มีรายได้ประจำ แต่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากเริ่มต้นเรียนรู้สร้างวินัยทางการเงินและแสดงหลักฐานความมั่นคงทางการเงินได้อย่างชัดเจน สิ่งเหล่านี้จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้การกู้ซื้อบ้าน/คอนโดฯ ของผู้ประกอบอาชีพอิสระผ่านการอนุมัติได้ง่ายขึ้นอย่างแน่นอน ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (www.DDproperty.com) ได้รวบรวมบทความน่ารู้พร้อมอัปเดตข่าวสารล่าสุดในแวดวงอสังหาฯ รวมทั้งเป็นแหล่งข้อมูลประกาศซื้อ/ขาย/ให้เช่าที่อยู่อาศัยในทำเลศักยภาพทั่วประเทศ ช่วยให้คนหาบ้านทุกอาชีพสามารถเตรียมความพร้อมและเริ่มต้นวางแผนเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในฝันได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น

ส่องเทคนิคเลือกซื้อ “บ้านมือสอง” อย่างไรให้คุ้มค่า

ส่องเทคนิคเลือกซื้อ “บ้านมือสอง” อย่างไรให้คุ้มค่า

ส่องเทคนิคเลือกซื้อ “บ้านมือสอง” อย่างไรให้คุ้มค่า

ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเผชิญความท้าทายทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ส่งผลให้ผู้บริโภคต่างรัดเข็มขัดและวางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบ ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่มีราคาสูงแต่ก็ถือเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญในการดำรงชีวิตเช่นกัน แม้ตลาดจะเติบโตไม่หวือหวาแต่ยังมีความต้องการซื้อจากกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ที่จำเป็นต้องมีที่อยู่อาศัยในเวลานี้ ส่งผลให้บ้าน/คอนโดมิเนียมมือสองกลายมาเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและตอบโจทย์ผู้ที่มองหาที่อยู่อาศัยหลังใหม่ในราคาที่เอื้อมถึง

ข้อมูลจากบทวิเคราะห์ “สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยมือสองทั่วประเทศ ไตรมาส 2 ปี 2568” ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) พบว่า มีจำนวนที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย 189,382 หน่วย เพิ่มขึ้น 34.6% และมีมูลค่า 758,502 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายมากที่สุดทั่วประเทศ ได้แก่ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท สัดส่วน 28.6% รองลงมาคือราคา 1.01 – 1.50 ล้านบาท สัดส่วน 15.6% และราคา 2.01 – 3 ล้านบาท สัดส่วน 15%

ขณะที่หน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสองส่วนใหญ่อยู่ในราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ด้วยสัดส่วนถึง 35.1% รองลงมาคือราคา 2.01 – 3 ล้านบาท สัดส่วน 18.2% และราคา 1.01 – 1.50 ล้านบาท สัดส่วน 17% สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงมองหาที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่สามารถเข้าถึงได้ โดยมีปัจจัยบวกจากมาตรการลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ (จากปกติ 2%) และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาฯ อันเนื่องมาจากการจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวในคราวเดียวกัน (จากปกติ 1%) เหลือ 0.01% สำหรับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมการซื้อขายที่อยู่อาศัยมือสองด้วย ช่วยส่งเสริมให้ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้อย่างคุ้มค่ายิ่งขึ้น

สอดคล้องกับข้อมูลจากผู้เข้าชมเว็บไซต์ DDproperty ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 พบว่า ผู้เข้าชมเว็บไซต์มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดฯ ในช่วงระดับราคา 1-3 ล้านบาทมากที่สุด โดยมีสัดส่วนมากถึง 33%

ส่องจุดเด่นบ้าน/คอนโดฯ มือสอง ทางเลือกที่ตอบโจทย์ความคุ้มค่า

ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study ของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบ 3 ใน 5 (58%) มองว่าฟิลเตอร์ช่วยค้นหาบ้าน/คอนโดฯ เปิดใหม่และมือสองถือเป็นฟิลเตอร์สำคัญที่ควรมีเมื่อค้นหาที่อยู่อาศัยออนไลน์ ขณะที่ 1 ใน 3 (33%) อยากให้มีฟิลเตอร์ช่วยค้นหาทรัพย์สินรอการขายของธนาคาร (Non-Performing Asset หรือ NPA) สะท้อนให้เห็นความสนใจของผู้บริโภคที่มีต่ออสังหาฯ ประเภทบ้าน/คอนโดฯ มือสอง รวมทั้งนักลงทุนที่ต้องการนำไปรีโนเวทเพื่อต่อยอดสร้างรายได้ ดังนั้น บ้าน/คอนโดฯ มือสองจึงกลายมาเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและตอบโจทย์คนหาบ้านที่ให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพควบคู่ไปกับความคุ้มค่า 

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เผยจุดเด่นของที่อยู่อาศัยมือสองที่ผู้บริโภคไม่ควรมองข้าม เพื่อเป็นแนวทางพิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกซื้อบ้านหลังใหม่ให้ตรงกับความต้องการ และบริหารงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพในเวลานี้

  • ราคาคุ้มค่า ต่อรองได้มากกว่า ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจที่สั่นคลอนรายรับของผู้บริโภค การซื้อที่อยู่อาศัยมือสองจึงถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากเมื่อคิดค่าเสื่อมตามการใช้งานแล้วทำให้มีราคาต่ำกว่าการซื้อโครงการที่เปิดตัวใหม่ ผู้บริโภคจึงสามารถเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในราคาที่เหมาะสมกับงบประมาณที่มีได้ นอกจากนี้ การซื้อบ้านมือสองหรือซื้อคอนโดมือสองมีความยืดหยุ่นกว่าตรงที่ผู้ซื้อสามารถต่อรองราคากับผู้ขายได้โดยตรง หรือผู้ขายอาจแถมเครื่องใช้ไฟฟ้าและเฟอร์นิเจอร์ให้ จึงทำให้ผู้ซื้อได้ราคาที่พึงพอใจ ตอบโจทย์ผู้ที่มีงบประมาณจำกัด 
  • เปิดโอกาสได้บ้านในทำเลหายาก ผู้บริโภคส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับการอยู่อาศัยในทำเลที่มีความเจริญ มีระบบสาธารณูปโภคครบครัน ใกล้ระบบขนส่งมวลชน แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ส่งผลให้ทำเลทองหรือย่านที่มีความเจริญย่อมมีความต้องการซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยสูงตามไปด้วย ประกอบกับราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ทำให้ต้นทุนการก่อสร้างต้องปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน ดังนั้นโครงการเปิดใหม่ในทำเลเหล่านี้จึงมีจำนวนจำกัด ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยมือสองกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและมีตัวเลือกมากกว่า หากผู้บริโภคต้องการเป็นเจ้าของบ้าน/คอนโดฯ ในทำเลที่มีการพัฒนาแล้ว ซึ่งหาโครงการมือหนึ่งได้ยากแล้ว   
  • เห็นสภาพแวดล้อมจริงก่อนเข้าอยู่เมื่อเยี่ยมชมบ้าน/คอนโดฯ มือสอง ผู้ซื้อจะมีโอกาสประเมินคุณภาพงานก่อสร้าง การตกแต่ง ความแข็งแรงของโครงสร้างว่าคุ้มค่ากับราคาที่ตกลงซื้อขายหรือไม่ และยังเป็นโอกาสดีที่จะได้เห็นสภาพแวดล้อมจริงของโครงการ ระบบความปลอดภัยและพื้นที่ส่วนกลาง รวมทั้งได้พบเพื่อนบ้านใกล้เคียง อย่างไรก็ดี ผู้ซื้อควรเดินทางไปเยี่ยมชมโครงการในชั่วโมงเร่งด่วนด้วย เพื่อดูว่าสภาพการจราจรในย่านนั้นเป็นอย่างไร ก่อนนำข้อมูลสภาพแวดล้อมทั้งหมดมาประกอบการตัดสินใจและเปรียบเทียบกับโครงการอื่น ๆ อีกครั้ง
  • ระบบก่อสร้างแบบเก่าสะดวกเมื่อรีโนเวท โครงการที่อยู่อาศัยปัจจุบันจะใช้ระบบก่อสร้างแบบใหม่ เช่น แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast) ต่างจากบ้านมือสองที่ก่อสร้างมานานมักเป็นระบบการก่อสร้างแบบเก่า เช่น การก่อด้วยอิฐมอญ ทั้งนี้ข้อดีของโครงสร้างแบบก่ออิฐฉาบปูนนี้จะสะดวกต่อการวางแผนต่อเติม เนื่องจากสามารถทุบ เจาะ หรือปรับเปลี่ยนผังภายในได้โดยที่ไม่กระทบต่อโครงสร้างหลัก เหมาะกับผู้ที่วางแผนรีโนเวทที่อยู่อาศัยในสไตล์ที่ตนชื่นชอบ หรือต้องการต่อเติมดัดแปลงเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยในอนาคต  
  • รีโนเวทใหม่เพิ่มโอกาสลงทุน โครงการที่อยู่อาศัยมือสองหากได้รับการรีโนเวทให้ดูใหม่และทันสมัยขึ้นแล้ว ย่อมเพิ่มมูลค่าและสร้างโอกาสในการขายต่อหรือปล่อยเช่าได้ ด้วยจุดเด่นที่อยู่อาศัยมือสองที่มีราคาย่อมเยาและตั้งอยู่ในทำเลที่มีดีมานด์สูง จึงทำให้มีความต้องการซื้อและเช่าจากกลุ่ม Real Demand ถือเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนในการซื้อที่อยู่อาศัยมือสองมารีโนเวท เนื่องจากมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้เร็ว และมีต้นทุนในการถือครองต่ำกว่าการซื้อโครงการใหม่อย่างเห็นได้ชัด 

5 เทคนิคเสริมความมั่นใจ เช็กให้ชัวร์ก่อนเลือกซื้อที่อยู่อาศัยมือสอง

แม้ที่อยู่อาศัยมือสองจะตอบโจทย์ผู้ที่มองหาความคุ้มค่าได้อย่างลงตัว แต่ขั้นตอนการเลือกซื้อนั้นมีรายละเอียดแตกต่างจากการซื้อโครงการใหม่พอสมควร ผู้บริโภคจึงควรทำความเข้าใจอย่างรอบด้าน ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) ขอแนะนำ 5 เทคนิคเสริมความมั่นใจเมื่อเลือกซื้อที่อยู่อาศัยมือสอง เพื่อให้ผู้บริโภคเตรียมความพร้อมทุกประเด็นสำคัญที่ควรรู้ เป็นกุญแจนำไปสู่การเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้อย่างมั่นใจและราบรื่น

  1. สอบถามประวัติอสังหาฯ และเหตุผลในการขาย ผู้บริโภคควรสอบถามเหตุผลในการประกาศขายจากเจ้าของเดิมหรือนายหน้าอสังหาฯ เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจและประเมินความเสี่ยงที่อาจซ่อนอยู่ เช่น ขายเนื่องจากภาระหนี้สิน มีปัญหากับเพื่อนบ้าน หรือขัดแย้งเรื่องมรดกในครอบครัว ฯลฯ นอกจากนี้ควรสอบถามปัญหาการอยู่อาศัยจากเพื่อนบ้านใกล้เคียง พร้อมทั้งค้นข้อมูลออนไลน์ว่าผู้ขายและอสังหาฯ นั้นเคยมีประวัติหรือข่าวเสียหายในอดีตหรือไม่ รวมทั้งมีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่กระทบต่อการอยู่อาศัยหรือไม่ เช่น อยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมขังง่าย มีค่าฝุ่น PM 2.5 สูง หรืออยู่ในพื้นที่เสี่ยงได้รับผลกระทบหากเกิดเหตุร้ายจากโรงงานอุตสาหกรรมใกล้เคียง  
  2. เช็กสภาพบ้านให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ บ้าน/คอนโดฯ มือสองมักผ่านการใช้งานมาแล้วจึงอาจทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ผู้บริโภคควรเข้าไปตรวจสอบด้วยตนเองว่าโครงสร้างที่อยู่อาศัยและระบบต่าง ๆ เช่น ระบบไฟฟ้าและประปา ยังใช้งานได้ดีหรือไม่ เนื่องจากอาจมีปัญหาที่เจ้าของเดิมไม่ได้แจ้งให้ผู้ซื้อทราบเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกกดราคา เช่น พื้นดินรอบบ้านทรุดตัว คานมีรอยแตกร้าว ผนังสองฝั่งมีรอยร้าวตรงกันที่อาจส่งสัญญาณถึงปัญหาโครงสร้าง หากพบปัญหาเหล่านี้ผู้ซื้อควรจ้างผู้เชี่ยวชาญหรือวิศวกรไปตรวจสอบร่วมกันเพื่อประเมินค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแก้ไข นอกจากนี้ ผู้ซื้อควรนัดเข้าชมบ้าน/คอนโดฯ ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน เพื่อสังเกตรายละเอียดต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น ทิศทางแดดตอนบ่ายกระทบกับการอยู่อาศัยหรือไม่ หรือวันที่ฝนตกมีน้ำรั่วซึมหรือไม่ จากนั้นจึงเจรจากับผู้ขายว่าจะรับผิดชอบซ่อมแซมให้ก่อนซื้อหรือไม่ หรือต่อรองราคาเพื่อขอส่วนลดหากผู้ซื้อต้องการซ่อมเอง
  3. ตรวจสอบกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง ก่อนตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขาย ผู้ซื้อควรตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนว่าผู้ขายเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริงตามเอกสารที่กรมที่ดินออกให้ โดยตรวจสอบว่าโฉนดที่ดินหรือหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดที่จะซื้อนั้นเป็นของจริงหรือไม่ จากการสังเกตรายละเอียดสำคัญบนเอกสาร หรือไปขอสำเนาโฉนดที่ดินที่สำนักงานที่ดินเก็บไว้มาเปรียบเทียบกัน เพื่อป้องกันกรณีที่ผู้ขายปลอมแปลงโฉนดเพื่อแอบอ้างขายที่อยู่อาศัยของผู้อื่น หรืออาจเป็นกรณีที่ที่อยู่อาศัยนั้นมีข้อพิพาทหรือถูกอายัดไว้ตามกฎหมาย หากทำการซื้อขายไปแล้วอาจมีปัญหาตามมาในภายหลังได้ ส่วนกรณีที่จำเป็นต้องตกลงซื้อขายกับผู้อื่น เช่น ญาติของเจ้าของเดิม จะต้องให้ผู้ขายแสดงหนังสือมอบอำนาจที่ดิน (ท.ด.21) พร้อมหลักฐานประกอบก่อนทำธุรกรรมด้วย
  4. สอบถามภาระผูกพันกับนิติบุคคล ผู้ซื้อควรสอบถามนิติบุคคลเรื่องภาระผูกพันของอสังหาฯ ที่จะซื้ออย่างละเอียด ว่าเจ้าของเดิมมีหนี้ค้างชำระค่าส่วนกลางหรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ กับนิติบุคคลหรือไม่ เพื่อป้องกันปัญหาที่ต้องมาแบกรับหนี้ส่วนนี้เองในภายหลัง โดยให้ผู้ขายจัดการเคลียร์ภาระค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้เรียบร้อยและขอ “ใบปลอดหนี้” ที่สำนักงานนิติบุคคล เพื่อนำมาประกอบการโอนกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดิน นอกจากนี้ควรสอบถามนิติบุคคลว่าโครงการมีภาระจำยอมหรือไม่ เช่น ใช้ที่ดินเป็นทางเข้าออกร่วมกับบุคคลภายนอก ซึ่งจะส่งผลให้โครงการต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงถนนเอง เนื่องจากไม่ใช่ถนนสาธารณะที่อยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งอาจมีข้อพิพาทในอนาคตได้ อย่างไรก็ดี หากโครงการตั้งอยู่ในพื้นที่เขตเวนคืน ผู้ซื้อควรสอบถามความชัดเจนกับนิติบุคคลว่ามีพื้นที่ส่วนไหนของโครงการที่เสี่ยงถูกเวนคืนหรือไม่ 
  5. กำหนดรายละเอียดสัญญาให้ชัดเจน เมื่อเลือกที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ได้แล้ว ผู้ซื้อควรนัดทำสัญญาจะซื้อจะขายกับผู้ขายไว้ก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้ที่อยู่อาศัยนั้นโดนขายออกไป โดยต้องกำหนดรายละเอียดต่าง ๆ ให้ชัดเจนและรัดกุม โดยเฉพาะราคาที่ตกลงซื้อขาย ค่ามัดจำ ระยะเวลาที่ต้องชำระเงินส่วนที่เหลือ และวันนัดโอนกรรมสิทธิ์ จากนั้นผู้ขายจะให้สำเนาโฉนดที่ดินหรือหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดกับผู้ซื้อเพื่อนำไปยื่นกู้กับสถาบันการเงิน อย่างไรก็ดี ผู้ซื้อและผู้ขายควรตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ให้ชัดเจน ว่าใครต้องรับชอบส่วนไหนบ้าง หรือจะตกลงแบ่งจ่ายกันอย่างไร หรือในกรณีที่ผู้ขายจัดโปรโมชันด้วยการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนใดเพิ่มเติมเอง ก็ต้องระบุรายละเอียดเหล่านี้ลงในสัญญาอย่างรัดกุม 

ทั้งนี้ ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยมือสองต้องเก็บเอกสารสำคัญเหล่านี้ไว้ให้ครบถ้วน เพื่อยืนยันสิทธิความเป็นเจ้าของและเป็นหลักฐานทางกฎหมาย ประกอบด้วย

  • นิติกรรมสัญญา ประกอบด้วย หนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย และหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน (ท.ด. 13)
  • สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของผู้ซื้อ ผู้ขาย 
  • เอกสารยินยอมจากคู่สมรส (กรณีจดทะเบียนสมรส)
  • หนังสือมอบอำนาจ กรณีผู้ซื้อหรือผู้ขายมอบอำนาจให้ผู้อื่นเป็นผู้ดำเนินการแทน ซึ่งต้องใช้สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของผู้รับมอบอำนาจด้วย
  • สำเนาโฉนดที่ดินหรือหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด
  • หลักฐานรายละเอียดการโอน  
  • สิทธิและนิติกรรม (ท.ด.1) 
  • บันทึกการประเมินราคาทรัพย์สิน (ท.ด.86) 
  • บันทึกถ้อยคำการชำระภาษีอากร (ท.ด.16) 
  • ใบปลอดหนี้ออกโดยนิติบุคคล มีอายุไม่เกิน 7-15 วัน นับจากวันที่ระบุในเอกสาร (ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของแต่ละนิติบุคคล)

หัวใจสำคัญของบ้านไม่ได้อยู่ที่ความใหม่หรือเก่า แต่คือการเป็นพื้นที่พักผ่อนที่ปลอดภัยและตอบโจทย์การอยู่อาศัยของสมาชิกทุกคน ดังนั้น มูลค่าที่แท้จริงของบ้านจึงไม่ได้วัดด้วยราคาแต่ขึ้นอยู่กับความสุขที่ผู้อยู่อาศัยได้รับ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการเลือกซื้อบ้านหลังใหม่ในแต่ละครั้ง ผู้ซื้อจึงต้องทุ่มเทใส่ใจในทุกรายละเอียด แม้เส้นทางการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทุกคนสามารถเริ่มต้นเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (www.DDproperty.com) ได้รวบรวมขั้นตอนการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยทั้งมือหนึ่งและมือสอง พร้อมบทความให้ความรู้อสังหาฯ มากมาย รวมทั้งเป็นแหล่งข้อมูลประกาศซื้อ/ขาย/ให้เช่าที่อยู่อาศัยในหลากหลายทำเลทั่วประเทศ เพื่อเป็นแนวทางให้คนหาบ้านได้เตรียมความพร้อมก่อนตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัยในฝันได้อย่างมั่นใจ  

โครงการมิกซ์ยูสเบ่งบาน! ปักหมุด 5 ทำเลมาแรง ดีมานด์ซื้อ-เช่าพุ่ง

โครงการมิกซ์ยูสเบ่งบาน! ปักหมุด 5 ทำเลมาแรง ดีมานด์ซื้อ-เช่าพุ่ง

โครงการมิกซ์ยูสเบ่งบาน! ปักหมุด 5 ทำเลมาแรง ดีมานด์ซื้อ-เช่าพุ่ง

เทรนด์การเลือกที่อยู่อาศัยเปลี่ยนไปตามวิถีชีวิตของคนหาบ้าน นอกจากผู้บริโภคจะให้ความสำคัญเรื่องทำเลที่ตั้งโครงการแล้ว ความสะดวกสบายเมื่ออยู่อาศัยยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่หลายคนคาดหวัง ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study พบว่า เกือบ 1 ใน 3 (32%) ของผู้บริโภคมองว่าโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่โครงการถือเป็นปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อและเช่าที่อยู่อาศัย ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่อย่างโครงการมิกซ์ยูส (Mixed-use) กลายมาเป็นเทรนด์ที่ได้รับความสนใจมากขึ้น

โครงการมิกซ์ยูส (Mixed-use) คือ โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่รวมโครงการที่อยู่อาศัยและโครงการเพื่อพาณิชกรรมไว้บนพื้นที่เดียวกัน เน้นการพัฒนาที่ดินให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ผ่านการออกแบบที่มุ่งสร้างสรรค์พื้นที่ให้ตอบโจทย์ทั้งด้านที่อยู่อาศัย, แหล่งช็อปปิ้ง/ย่านการค้า, สถานที่ทำงาน และพื้นที่พักผ่อนไว้ครบจบในที่เดียว โดยภายในโครงการจะประกอบไปด้วยคอนโดมิเนียม, โรงแรม, อาคารสำนักงาน, ศูนย์การค้า และคอมมูนิตี้มอลล์ เป็นต้น 

ส่วนใหญ่โครงการมิกซ์ยูสจะถูกพัฒนาในทำเลศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ (CBD) หรือย่านธุรกิจ หรือพื้นที่รอบนอกของเมืองที่เป็นศูนย์กลางธุรกิจขนาดใหญ่ของทำเลนั้น ๆ จึงทำให้ทำเลที่มีโครงการมิกซ์ยูสนั้นมีศักยภาพในการเติบโต และดึงดูดผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย

ข้อมูลจากรายงานสถานการณ์: โครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทผสมผสานระหว่างอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างขึ้นเพื่อการอยู่อาศัยและพาณิชยกรรมบนพื้นที่เดียวกัน หรือ โครงการมิกซ์ยูส (Mixed-use) ในพื้นที่กรุงเทพฯ – ปริมณฑล ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) พบว่า การพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสในพื้นที่กรุงเทพฯ – ปริมณฑล มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีจำนวนการก่อสร้างโครงการมิกซ์ยูสในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ทั้งหมด 152 โครงการ คิดเป็นพื้นที่การก่อสร้าง (GFA) รวม 23,712,657 ตารางเมตร ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.42% จากช่วงครึ่งหลังของปี 2567 

ทั้งนี้ การพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสในปี 2567 ถือว่าเป็นปีที่มีพื้นที่อาคารรวมโครงการมิกซ์ยูสใหม่เข้าสู่ตลาดมากที่สุดถึง 1,916,656 ตารางเมตร จากพื้นที่อาคารรวมทั้งหมด 23,712,657 ตารางเมตร โดยคาดการณ์ว่าในปี 2568-2572 จะมีการก่อสร้างพื้นที่อาคารรวมของโครงการมิกซ์ยูสเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้นอีกกว่า 5,470,179 ตารางเมตร สะท้อนให้เห็นทิศทางการเติบโตเชิงบวกของเทรนด์อสังหาริมทรัพย์รูปแบบนี้ โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองหลวงและย่านเศรษฐกิจที่มีประชากรหนาแน่น

ถอดรหัสโครงการมิกซ์ยูส ทำไมจึงตอบโจทย์คนหาบ้านยุคใหม่

ในยุคที่การดำเนินชีวิตของทุกคนต้องแข่งกับเวลา โครงการมิกซ์ยูสได้กลายมาเป็นเทรนด์ที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์คนยุคใหม่ได้อย่างลงตัว โดยนำเสนอที่อยู่อาศัยที่เป็นมากกว่าบ้าน แต่ทุกพื้นที่ต่างถูกออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้การใช้ชีวิตทุกวันราบรื่นยิ่งขึ้น ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย ชวนมาถอดรหัส 5 จุดเด่นของโครงการมิกซ์ยูสที่ตอบโจทย์คนหาบ้าน มีปัจจัยไหนบ้างที่ส่งเสริมให้โครงการมิกซ์ยูสกลายเป็นเทรนด์ที่อยู่อาศัยที่น่าจับตามองในเวลานี้

  1. ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรอบด้าน โครงการมิกซ์ยูสได้ผสมผสานอสังหาริมทรัพย์หลายรูปแบบไว้ด้วยกันเพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ถือเป็นจุุดเด่นอันดับต้น ๆ ที่ดึงดูดผู้บริโภค ภายในโครงการได้รวมทุกอย่างไว้ครบจบในที่เดียว รองรับทั้งการอยู่อาศัย, การทำงาน, การพักผ่อน, การช้อปปิ้ง และการใช้ชีวิตประจำวัน ถือเป็นจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์และตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบาย
  2. ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพ โครงการมิกซ์ยูสส่วนใหญ่มักตั้งอยู่ในทำเลศูนย์กลางธุรกิจหรือทำเลที่มีความเจริญในย่านนั้น ๆ เมื่อมีการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสก็จะช่วยส่งเสริมให้ทำเลนั้นกลายเป็นย่านการค้าและแหล่งงานที่น่าสนใจ มีการเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะรองรับการเดินทางให้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อโครงการมิกซ์ยูสได้รับความนิยมมากขึ้นก็จะมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นแลนด์มาร์กสำคัญในอนาคต ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนและพื้นที่โดยรอบ
  3. ประหยัดเวลาในการเดินทาง ด้วยจุดเด่นของโครงการมิกซ์ยูสที่มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ จึงทำให้การใช้ชีวิตของผู้บริโภคง่ายขึ้น สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางออกนอกโครงการ นอกจากจะช่วยลดเวลาและประหยัดค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปกับการเดินทางแล้ว ยังช่วยให้ผู้บริโภคมีเวลาในการจัดการเรื่องสำคัญอื่น ๆ ได้มากขึ้นอีกด้วย
  4. มาพร้อมระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัย โครงการมิกซ์ยูสส่วนใหญ่จะมาพร้อมระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัย มีการดูแลและจัดการความปลอดภัยที่เข้มงวดตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีการนำเทคโนโลยีอสังหาริมทรัพย์ (Prop Tech) หรือเทคโนโลยี Smart Home มาใช้เพื่อยกระดับการใช้ชีวิตให้ราบรื่นยิ่งขึ้น เช่น มีล็อบบี้และโซนลิฟต์สำหรับผู้พักอาศัยโดยเฉพาะ, มีระบบลิฟต์แบบล็อกชั้น, มีกล้องวงจรปิดครอบคลุมทั่วทั้งอาคาร, มีเครื่องตรวจจับอัจฉริยะที่คอยตรวจจับความเคลื่อนไหว เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกอุ่นใจและมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น
  5. มูลค่าเพิ่มขึ้นในระยะยาว ที่พักอาศัยในโครงการมิกซ์ยูสมักจะมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมักตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพในการเติบโตทางธุรกิจ จึงดึงดูดให้มีความต้องการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยเข้ามาสม่ำเสมอ ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว นอกจากจะตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองได้เป็นอย่างดีแล้ว สำหรับนักลงทุนยังมีโอกาสปล่อยเช่าได้ง่าย และได้ราคาดีกว่าทำเลอื่น ๆ อีกด้วย

ด้วยจุดเด่นของโครงการมิกซ์ยูสที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบวงจร จึงสามารถตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ทั้งวัยทำงาน, ครอบครัว และนักศึกษา หรือชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทย ขณะเดียวกัน ก็เป็นโอกาสของนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว เพราะมูลค่าโครงการมิกซ์ยูสมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงมีกลุ่มผู้เช่าที่หลากหลายและมีศักยภาพสูง ทำให้โอกาสในการปล่อยเช่าสูงตามไปด้วย อย่างไรก็ดี หากผู้บริโภคมองหาที่อยู่อาศัยที่เงียบสงบ เน้นความเป็นส่วนตัว และไม่พลุกพล่าน การเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการมิกซ์ยูสอาจไม่ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์เท่าที่ควร จึงควรพิจารณาอย่างรอบด้านและเปรียบเทียบกับความสะดวกสบายที่ได้รับก่อนตัดสินใจซื้อ/เช่าอีกครั้ง

เจาะลึก 5 อันดับทำเลที่อยู่อาศัยใกล้โครงการมิกซ์ยูสที่น่าจับตามอง

ปัจจัยราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้นโดยเฉพาะในย่านธุรกิจ ส่งผลให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์วางแผนพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความคุ้มค่าในการพัฒนาที่ดินพร้อมทั้งเติมเต็มความต้องการในภาคธุรกิจและมุมผู้บริโภค ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เผยข้อมูลเชิงลึกจากผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.DDproperty.com ในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม 2568 พบว่าทำเลใกล้โครงการมิกซ์ยูสในกรุงเทพฯ ยังคงมีความต้องการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยมีปัจจัยบวกจากการที่กรุงเทพฯ มีประชากรอยู่อาศัยอย่างหนาแน่นและเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ เมื่อมีการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสกระจายไปในทำเลต่าง ๆ ของกรุงเทพฯ จึงส่งผลให้หลายทำเลมีความต้องการที่อยู่อาศัยเติบโตตามไปด้วย

  • แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนาคว้าแชมป์ทำเลใกล้โครงการมิกซ์ยูสที่ความต้องการซื้อ/เช่าโตสูงสุด ข้อมูลการเข้าชมประกาศอสังหาริมทรัพย์ บนเว็บไซต์ www.DDproperty.com พบว่า ทำเลใกล้โครงการมิกซ์ยูสในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยรวมกันเติบโตมากที่สุดในเดือนที่ผ่านมา ได้แก่ “แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา” เพิ่มขึ้น 13.3% จากเดือนก่อนหน้า (MoM) ด้วยจุดเด่นของเขตวัฒนาที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญและเป็นทำเลที่เชื่อมต่อไปยังย่านธุรกิจชั้นนำ ส่งผลให้ทำเลนี้มีความเจริญ เป็นแหล่งรวมร้านอาหารและสถานบันเทิง มีทั้งสำนักงานให้เช่า, สถานพยาบาล และสถานศึกษา รองรับการอยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี ทำให้ทำเลนี้กลายเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจของผู้ที่มองหาที่อยู่อาศัยที่มีความสะดวกครบครัน เดินทางไปยังใจกลางเมืองได้ง่าย โดยมีโครงการที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยากว่าย่าน CBD ให้เลือก จึงสามารถดึงดูดผู้บริโภคชาวไทยและชาวต่างชาติได้เป็นอย่างดี

โดย 5 ทำเลใกล้โครงการมิกซ์ยูสในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยเติบโตมากที่สุดจากเดือนก่อนหน้า (MoM) มีดังนี้

  1. แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา เพิ่มขึ้น 3% MoM มีโครงการที่น่าสนใจ เช่น The Strand Thonglor และ Marché Thonglor นอกจากนี้ในเขตเดียวกันยังมี​ APAC Tower อีกด้วย
  2. แขวงคลองตัน เขตคลองเตย เพิ่มขึ้น 8% MoM ตัวอย่างโครงการในเขตนี้ เช่น ​THE PARQ และ FYI Center เป็นต้น
  3. แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา เพิ่มขึ้น 1% MoM ในเขตนี้มีโครงการมิกซ์ยูส เช่น The Strand Thonglor, Marché Thonglor และ​ APAC Tower เป็นต้น
  4. แขวงสีลม เขตบางรัก เพิ่มขึ้น 7% MoM ในทำเลนี้มีโครงการคิง เพาเวอร์ มหานคร, Park Silom และ Dusit Central Park เป็นต้น และยังมี Boonmitr Silom ตั้งอยู่ในเขตเดียวกัน
  5. แขวงจอมพล เขตจตุจักร เพิ่มขึ้น 2% MoM มีโครงการน่าสนใจ เช่น BTS Visionary Park
  • แขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสานยืนหนึ่งในใจผู้ซื้อที่อยู่อาศัยใกล้โครงการมิกซ์ยูส เมื่อพิจารณาทำเลใกล้โครงการมิกซ์ยูสในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเติบโตมากที่สุด ได้แก่ “แขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน” เพิ่มขึ้นถึง 28.1% MoM ถือเป็นทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีศักยภาพทั้งทางธุรกิจและการอยู่อาศัย ด้วยจุดเด่นที่เดินทางได้สะดวกทั้งทางรถยนต์ เรือ และรถไฟฟ้าสายสีทอง เมื่อมีโครงการมิกซ์ยูส ศูนย์การค้า และโรงแรมเปิดให้บริการในเขตนี้จึงช่วยดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมในย่านนี้มากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มองหาที่พักอาศัยวิวริมแม่น้ำหรือติดรถไฟฟ้า ถือเป็นทำเลน่าจับตามองและมีศักยภาพเติบโตเป็นศูนย์กลางธุรกิจได้ในอนาคต 

โดย 5 ทำเลใกล้โครงการมิกซ์ยูสในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเติบโตมากที่สุดจากเดือนก่อนหน้า (MoM) มีดังนี้

  1. แขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน เพิ่มขึ้น 1% MoM ในเขตนี้มีโครงการที่น่าสนใจ เช่น ICONSIAM และ ICS ตั้งอยู่
  2. แขวงทุ่งวัดดอน เขตสาทร เพิ่มขึ้น 1% MoM มีโครงการน่าสนใจในเขตนี้ เช่น ศุภาลัย ไอคอน สาทร
  3. แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน เพิ่มขึ้น 5% MoM โครงการในทำเลนี้ เช่น Samyan Mitrtown และยังมี Sindhorn Village ตั้งอยู่ในเขตนี้
  4. แขวงจอมพล เขตจตุจักร เพิ่มขึ้น 8% MoM มีโครงการน่าสนใจ เช่น BTS Visionary Park 
  5. แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา เพิ่มขึ้น 7% MoM ตัวอย่างโครงการ เช่น The Strand Thonglor และ Marché Thonglor เป็นต้น และในเขตนี้ยังมี​ APAC Tower อีกด้วย
  • แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนายังโดดเด่น ครองใจผู้เช่าใกล้โครงการมิกซ์ยูส ขณะที่ฝั่งตลาดเช่าก็มีการเติบโตที่น่าสนใจไม่แพ้กัน โดยทำเลใกล้โครงการมิกซ์ยูสในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยเติบโตมากที่สุด ได้แก่ “แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา” เพิ่มขึ้น 15.2% MoM อีกหนึ่งย่านเศรษฐกิจที่น่าจับตามองและเชื่อมต่อไปยังทำเล CBD ได้ง่าย จึงรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ที่อยู่อาศัยในทำเลนี้จึงกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับวัยทำงานหรือวัยเรียนที่ต้องการเช่าที่อยู่อาศัยในทำเลไม่ไกลจากใจกลางเมือง เพื่อลดเวลาในการเดินทาง 

โดย 5 ทำเลใกล้โครงการมิกซ์ยูสในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยเติบโตมากที่สุดจากเดือนก่อนหน้า (MoM) มีดังนี้

  1. แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา เพิ่มขึ้น 2% MoM มีโครงการในทำเลนี้ เช่น The Strand Thonglor และ Marché Thonglor นอกจากนี้ยังมี​ APAC Tower ตั้งอยู่ในเขตเดียวกัน
  2. แขวงคลองตัน เขตคลองเตย เพิ่มขึ้น 6% MoM เขตนี้มีโครงการที่น่าสนใจ เช่น ​THE PARQ และ FYI Center เป็นต้น
  3. แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา เพิ่มขึ้น 2% MoM ตัวอย่างโครงการในเขตนี้ เช่น The Strand Thonglor, Marché Thonglor และ​ APAC Tower เป็นต้น
  4. แขวงสีลม เขตบางรัก เพิ่มขึ้น 1% MoM ตัวอย่างเช่น คิง เพาเวอร์ มหานคร, Park Silom และ Dusit Central Park เป็นต้น และมี Boonmitr Silom ตั้งอยู่ในเขตเดียวกัน
  5. แขวงคลองเตย เขตคลองเตย เพิ่มขึ้น 0% MoM มีโครงการ เช่น THE PARQ และ FYI Center เป็นต้น

ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า “แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา” ถือเป็นทำเลที่อยู่อาศัยใกล้โครงการมิกซ์ยูสที่น่าจับตามองในเวลานี้ โดยครองอันดับ 1 ทำเลที่มีความต้องการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยรวมกันเติบโตมากที่สุด และยังครองอันดับ 1 ทำเลที่มีความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยเติบโตมากที่สุดเช่นกัน นอกจากนี้ยังติด 1 ใน 5 ทำเลที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเติบโตมากที่สุดอีกด้วย สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีแนวโน้มเติบโตในย่านใกล้เคียงทำเล CBD ถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจสำหรับผู้บริโภคและนักลงทุนที่มองหาที่อยู่อาศัยที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เดินทางได้สะดวก ใกล้โครงการมิกซ์ยูส ซึ่งจะมีมูลค่าเพิ่มตามศักยภาพการเติบโตของทำเลที่พัฒนาต่อเนื่องในอนาคต

คนอยากมีบ้านต้องรู้! EIA สำคัญอย่างไรเมื่อคิดซื้อที่อยู่อาศัย

คนอยากมีบ้านต้องรู้! EIA สำคัญอย่างไรเมื่อคิดซื้อที่อยู่อาศัย

คนอยากมีบ้านต้องรู้! EIA สำคัญอย่างไรเมื่อคิดซื้อที่อยู่อาศัย

การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยหลังใหม่ นอกจากผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับการพิจารณาทำเลที่ตั้ง ราคา และการออกแบบแล้ว มีอีกหนึ่งปัจจัยที่หลายคนอาจละเลย แต่แท้จริงแล้วมีความสำคัญอย่างยิ่งคือโครงการต้องผ่าน EIA ด้วยเช่นกัน นอกจากจะเป็นเอกสารทางกฎหมายที่จำเป็นต้องมีแล้ว การผ่าน EIA ยังเป็นเสมือนเครื่องหมายรับรองที่ช่วยให้ผู้ซื้อสบายใจได้ในระดับหนึ่งว่า โครงการนั้นได้รับการพิจารณาและออกแบบมาเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้างอย่างเหมาะสม

EIA สำคัญอย่างไรเมื่อซื้อบ้านใหม่ 

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย ชวนคนหาบ้านมาทำความเข้าใจความสำคัญของ EIA ว่าเกี่ยวข้องกับการวางแผนซื้อที่อยู่อาศัยอย่างไรบ้าง EIA หรือ “รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment)” เป็นรายงานที่ภาครัฐและเอกชนจำเป็นต้องจัดทำขึ้นก่อนการก่อสร้างบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม และโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่แทบทุกประเภท และยื่นไปยังสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ให้พิจารณา ส่วนในกรุงเทพฯ จะมีการพิจารณาโดยคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ด้านอาคาร การจัดสรรที่ดิน และบริการชุมชน กรุงเทพมหานคร 

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้โครงการดังกล่าวก่อให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสุขอนามัยของชุมชนโดยรอบในระยะยาวทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทั้งในระหว่างทำการก่อสร้างและหลังก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยการจัดทำ EIA ประกอบด้วยการศึกษาครอบคลุมระบบสิ่งแวดล้อม 4 ด้าน คือ 1. ทรัพยากรกายภาพ 2. ทรัพยากรชีวภาพ 3. คุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ และ 4. คุณค่าต่อคุณภาพชีวิต 

สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยที่กฎหมายกำหนดให้ต้องผ่านการอนุมัติ EIA มีรายละเอียดดังนี้

  • โครงการบ้านจัดสรรที่มีพื้นที่ในโครงการมากกว่า 100 ไร่ หรือแบ่งแปลงที่ดินตั้งแต่ 500 แปลงขึ้นไป 
  • โครงการคอนโดมิเนียมที่มีพื้นที่ใช้สอยรวมกันตั้งแต่ 4,000 ตารางเมตรขึ้นไป หรือมีจำนวนห้องชุดตั้งแต่ 80 ห้องขึ้นไป ดังนั้นโครงการคอนโดฯ แบบไฮไรส์ (High Rise) ส่วนใหญ่จะต้องทำ EIA เพื่อประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมทั้งหมด ในขณะที่โครงการคอนโดฯ แบบโลว์ไรส์ (Low Rise) บางโครงการอาจไม่จำเป็นต้องทำ EIA เลยก็ได้

พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ได้กำหนดไว้ว่า โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่จะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้เมื่อผ่านการอนุมัติ EIA แล้วเท่านั้น จึงถือเป็นจุดเด่นที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะนำผลการอนุมัติ EIA นี้มาเป็นจุดขายในสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่สนใจซื้อตั้งแต่ก่อนเปิดจอง ว่าโครงการนี้จะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้อย่างแน่นอน  

ซื้อโครงการไม่ผ่าน EIA ต้องเผชิญความเสี่ยงอะไรบ้าง?

ปัจจุบันหลายโครงการมีการเปิดขายล่วงหน้าในระหว่างที่ยื่นขอ EIA เนื่องจากยังไม่มีข้อห้ามทางกฎหมายกำหนดไว้ หลายโครงการจึงมักเปิดขายเพื่อระดมทุนก่อสร้างในระหว่างรอผล EIA และทดสอบตลาดว่ามีผู้บริโภคให้ความสนใจมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ดี คอนโดพรีเซล (Presale) หรือโครงการคอนโดฯ ที่เปิดให้จองซื้อในช่วงที่ยังไม่ได้เริ่มก่อสร้างหรืออยู่ระหว่างการก่อสร้างยังคงได้รับความสนใจจากผู้ซื้อ เนื่องจากได้โปรโมชั่นส่วนลดคุ้มค่ากว่าการซื้อโครงการที่ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ อีกทั้งยังมีรูปแบบห้องให้เลือกมากกว่า แต่ต้องแลกกับการแบกรับความเสี่ยงหากโครงการไม่ผ่านการอนุมัติ EIA ในอนาคต 

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เผยความเสี่ยงที่ผู้บริโภคควรพิจารณาเมื่อซื้อโครงการที่อยู่อาศัยที่ยังไม่ผ่าน EIA เพื่อเตรียมพร้อมรับมือหากเกิดปัญหาในอนาคต 

  • ไม่สามารถขอใบอนุญาตการก่อสร้างได้ การยื่นขออนุมัติ EIA ถือเป็นหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญที่ใช้ในการขอใบอนุญาตก่อสร้าง ถึงแม้โครงการอสังหาฯ จะเปิดจองจนขายได้หมดแต่จะไม่สามารถเริ่มก่อสร้างได้หากโครงการไม่มีใบอนุญาตก่อสร้าง โดยเจ้าพนักงานที่มีอำนาจออกใบอนุญาตก่อสร้างจะต้องรอให้ EIA ได้รับอนุมัติจาก สผ. ก่อนจึงจะออกใบอนุญาตก่อสร้างให้โครงการที่ยื่นขอได้ 
  • ก่อสร้างล่าช้าหรืออาจถูกระงับ ปกติจะใช้ระยะเวลาในการจัดทำรายงาน EIA ประมาณ 6 เดือน ในกรณีที่ยื่นขอ EIA แล้วรายงานไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนด ผู้พัฒนาอสังหาฯ จะต้องกลับมาแก้ไขและยื่นรายงานใหม่อีกครั้ง ซึ่งบางครั้งอาจมีการปรับเปลี่ยนแบบแปลนโครงการเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนด และต้องแก้ไขจนกว่าจะผ่าน EIA จึงจะสามารถเริ่มก่อสร้างได้ ซึ่งอาจทำให้กำหนดการก่อสร้างแล้วเสร็จล่าช้าออกไปอย่างไม่มีกำหนด หรือในกรณีที่ร้ายแรงที่สุดคืออาจถูกระงับการก่อสร้างถาวร 
  • เกิดข้อพิพาทกับชุมชนข้างเคียง หากโครงการเริ่มก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุมัติ EIA อาจถูกฟ้องร้องจากชุมชนรอบข้าง ซึ่งอาจมีผลกระทบทางกฎหมายอื่น ๆ ที่ยืดเยื้อตามมาได้ ดังนั้น ผู้บริโภคควรตรวจสอบเบื้องต้นก่อนว่าโครงการที่สนใจเคยมีปัญหาข้อพิพาทกับชุมชนข้างเคียงหรือหน่วยงานราชการหรือไม่ ข้อพิพาทนั้นสิ้นสุดแล้วหรือไม่ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจตามมาในภายหลัง นอกจากนี้ในบางกรณีที่โครงการผ่าน EIA และเริ่มก่อสร้างแล้ว อาจมีข้อร้องเรียนว่าระหว่างก่อสร้างได้สร้างผลกระทบกับชุมชนและเพื่อนบ้านโดยรอบ ซึ่งสามารถร้องเรียนในลักษณะการฟ้องหน่วยงานรัฐแล้วจึงฟ้องต่อศาลปกครอง เพื่อพิจารณาถอนใบอนุญาตก่อสร้าง หรือให้ศาลปกครองมีคำสั่งให้ระงับการก่อสร้างชั่วคราวได้เช่นกัน โดยขึ้นอยู่กับการเจรจาหาข้อตกลงของผู้พัฒนาอสังหาฯ กับผู้ร้องเรียน
  • กระทบต่อภาพลักษณ์โครงการ หากมีข้อพิพาทเกี่ยวกับ EIA เกิดขึ้นมักจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของผู้พัฒนาอสังหาฯ และภาพลักษณ์ของโครงการนั้น ๆ โดยตรง ส่งผลให้ผู้ซื้อหรือนักลงทุนไม่สามารถขายต่อหรือปล่อยเช่าได้ง่ายดังเดิม โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดข้อพิพาทที่รอการพิจารณาของศาลอาจส่งผลต่อการทำธุรกรรมกับธนาคาร เช่น รีเทนชั่น/รีไฟแนนซ์ รวมทั้งอาจทำให้มูลค่าของทรัพย์สินลดลงอย่างมีนัยสำคัญได้

ส่องเช็กลิสต์สำหรับมือใหม่ เลือกซื้อบ้าน/คอนโดฯ อย่างไรให้ไกลข้อพิพาท

การซื้อที่อยู่อาศัยหลังใหม่ถือเป็นก้าวสำคัญของการเริ่มต้นชีวิตอีกหนึ่งบท เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากเผชิญกับปัญหาคดีความที่อาจตามมาในอนาคต ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เผยเช็กลิสต์ที่คนวางแผนซื้อบ้าน/คอนโดมือใหม่ควรรู้ มีแนวทางตรวจสอบอย่างไรเพื่อให้มั่นใจว่าบ้านใหม่หลังนี้จะห่างไกลจากข้อพิพาท

  1. ตรวจสอบว่าโครงการผ่าน EIA หรือไม่ ในขั้นตอนการวางแผนซื้อที่อยู่อาศัยนั้น หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคควรพิจารณาคือโครงการที่สนใจซื้อมีการทำ EIA ผ่านเรียบร้อยหรือไม่ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจกระทบการก่อสร้างในภายหลัง โดยสามารถสอบถามสถานะการยื่นขอ EIA กับพนักงานขายของโครงการก่อนตัดสินใจจองและทำสัญญาใด ๆ หรือสามารถเข้าไปตรวจสอบด้วยตนเองได้ที่เว็บไซต์ของ สผ. https://eia.onep.go.th ซึ่งจะบอกสถานะของโครงการจากฐานข้อมูลโครงการที่รอพิจารณาหรือประกาศแล้วว่าได้รับความเห็นชอบผ่านการพิจารณา EIA เรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ดี หากโครงการเปิดขายก่อนที่จะผ่าน EIA ผู้บริโภคต้องสอบถามผู้พัฒนาอสังหาฯ ให้ชัดเจนว่ามีแผนดำเนินงานอย่างไร และคาดว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนในการรอผลการอนุมัติ โดยสามารถขอเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการยื่น EIA ของโครงการ เพื่อนำมาประเมินความเสี่ยงและวางแผนทางการเงินอย่างเหมาะสมต่อไป

  1. ตรวจสอบความรับผิดชอบในสัญญาให้ชัดเจน หากได้ที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์แล้ว ขั้นตอนสำคัญที่ผู้บริโภคควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนเซ็นสัญญา คือ รายละเอียดขอบเขตความรับผิดชอบของโครงการที่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อจะขาย เนื่องจากถือเป็นหลักฐานที่มีผลทางกฎหมายหากมีปัญหาในอนาคต โดยเฉพาะโครงการที่ยังไม่ผ่าน EIA ควรตรวจสอบว่ามีการระบุความรับผิดชอบอย่างไรบ้าง เช่น สัญญาระบุว่าจะดำเนินการยื่นขอ EIA แล้วเสร็จภายในระยะเวลาเท่าไร หรือหากยื่นขอ EIA ไม่ผ่านแล้วโครงการจะรับผิดชอบอย่างไรต่อผู้ที่ผ่อนดาวน์ไปแล้ว หรือหากโครงการถูกยกเลิกการก่อสร้าง จะคืนเงินที่ผู้ซื้อจ่ายไปแล้วพร้อมดอกเบี้ยหรือไม่ และเสนอการชดเชยอย่างไรบ้าง

  2. ตรวจสอบคุณภาพของโครงการเป็นไปตามโฆษณาหรือไม่ เดินทางไปเยี่ยมชมห้องตัวอย่างเพื่อดูสภาพห้องและบรรยากาศของจริง พร้อมทั้งสอบถามพนักงานอย่างละเอียดเกี่ยวกับยี่ห้อและคุณภาพของวัสดุที่ใช้ในโครงการว่าตรงตามสเปกที่แจ้งไว้ในสื่อโฆษณา/ประชาสัมพันธ์หรือไม่ วัสดุเหล่านั้นมีความทนทานและเหมาะสมกับการใช้งานระยะยาวเพียงใด เพื่อนำมาประเมินว่าคุ้มค่ากับราคาขายหรือไม่หากเทียบกับโครงการที่มีขนาดห้องและสเปกไล่เลี่ยกันในตลาด ทั้งนี้ หากตัดสินใจซื้อแล้วควรเก็บเอกสารโฆษณา/ประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ ของโครงการไว้เป็นข้อมูลอ้างอิงเมื่อต้องตรวจรับห้อง/บ้านอีกครั้ง ในกรณีที่งานก่อสร้างหรืองานตกแต่งไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ควรแจ้งให้โครงการทำการแก้ไขให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงทำการโอนกรรมสิทธิ์เท่านั้น

  3. ตรวจสอบว่าโครงการมีข้อพิพาทหรือไม่ นอกเหนือจากการตรวจสอบ EIA แล้ว อีกเรื่องสำคัญที่คนซื้อที่อยู่อาศัยควรตรวจสอบ คือ โครงการนั้นมีข้อพิพาทหรือมีคดีความที่ยังไม่สิ้นสุดหรือไม่ เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของโครงการ ทำให้ผู้ซื้อไม่สามารถประกาศขายหรือทำธุรกรรมทางการเงินได้ง่ายดังเดิม โดยควรค้นหาข้อมูล/ข่าวสารออนไลน์ว่าโครงการนั้นมีข้อพิพาทกับลูกค้า ชุมชนข้างเคียง หรือหน่วยงานราชการหรือไม่ ข้อพิพาทนั้นสิ้นสุดแล้วหรืออยู่ในขั้นตอนใด และจากข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในอดีตนั้นผู้พัฒนาอสังหาฯ รับผิดชอบต่อผู้ซื้อที่ได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง นอกจากนี้ควรสอบถามกับผู้ที่เคยอยู่อาศัยในโครงการอื่น ๆ ที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ เคยสร้างมาก่อนว่ามีประสบการณ์หลังการขายอย่างไร และไปสำรวจพื้นที่รอบ ๆ โครงการเพื่อให้เห็นสภาพการอยู่อาศัยที่แท้จริง และประเมินความน่าเชื่อถือของโครงการได้ดียิ่งขึ้น

เมื่อโครงการที่ซื้อขอ EIA ไม่ผ่าน ผู้ซื้อควรรับมืออย่างไร

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แนะนำแนวทางรับมือเพื่อเรียกร้องสิทธิของผู้บริโภค หากโครงการอสังหาฯ ที่ซื้อต้องชะลอหรือยกเลิกแผนการก่อสร้างเนื่องจากยื่นขอ EIA ไม่ผ่าน และผู้พัฒนาอสังหาฯ ไม่มีการชี้แจงความคืบหน้าที่ชัดเจน ดังนี้

  1. สอบถามแนวทางแก้ไขกับโครงการว่ามีขั้นตอนอย่างไรบ้าง หากโครงการให้รอการยื่นแก้ไข EIA จนกว่าจะผ่าน จะใช้เวลานานเพียงใด ในระหว่างที่การก่อสร้างล่าช้ามีการชดเชยให้กับผู้ซื้ออย่างไร และถ้าผู้ซื้อไม่สามารถรอได้ โครงการจะคืนเงินจองและเงินที่ผ่อนดาวน์ให้ได้เมื่อไร หรือในกรณีที่โครงการขอ EIA ไม่ผ่านและต้องยกเลิกการก่อสร้าง ทางโครงการรจะรับผิดชอบคืนเงินจอง เงินผ่อนดาวน์พร้อมดอกเบี้ยให้ผู้ซื้อหรือไม่
  2. หากติดตามการแก้ไขปัญหากับโครงการด้วยตนเองไม่เป็นผลหรือไม่มีความคืบหน้า ผู้ซื้อควรรวมตัวเรียกร้องสิทธิ์เป็นกลุ่มร่วมกับผู้ซื้อคนอื่น ๆ ที่เจอปัญหาเดียวกัน เพื่อแสดงพลังของผู้บริโภคและเพิ่มอำนาจในการต่อรองให้มีมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์กว่าการเดินเรื่องต่าง ๆ เพียงคนเดียว
  3. ในกรณีที่โครงการมีแนวโน้มว่าจะไม่คืนเงินหรือไม่มีมาตรการชดเชยเยียวยาที่ชัดเจน ผู้ซื้อที่ได้รับผลกระทบควรรวมตัวเป็นกลุ่มเพื่อไปแจ้งสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อปรึกษาขอคำแนะนำจาก สคบ. ให้ช่วยเหลือตามสิทธิ์ของผู้บริโภคที่ควรได้รับ จากนั้นจึงควรรวมตัวกันไปลงบันทึกประจำวันกับตำรวจในท้องที่ที่ตั้งของโครงการ ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป

อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นในบางกรณีที่บางโครงการคอนโดฯ ซึ่งผ่านการอนุมัติ EIA จนก่อสร้างแล้วเสร็จเรียบร้อยมาหลายปี แต่ยังคงมีข้อพิพาทที่อยู่ระหว่างการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล ท้ายที่สุดแล้วศาลอาจมีคำสั่งเพิกถอนการให้ความเห็นชอบรายงาน EIA และใบอนุญาตก่อสร้างของโครงการ โดยมีผลย้อนหลังได้เช่นกัน ซึ่งผู้พัฒนาอสังหาฯ ต้องกลับไปแก้ไขเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย และต้องมีแนวทางเยียวยาชดเชยลูกบ้านที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน ถือเป็นกรณีศึกษาและเป็นแนวทางให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ ชุมชนและภาคเอกชนที่อยู่รอบข้าง รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้กลับไปทบทวนและพิจารณาผลกระทบจากการก่อสร้างที่มีต่อชุมชนให้รอบคอบยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ในปี 2564 สผ. ได้จัดทำเอกสารเผยแพร่ “แนวทางการศึกษาและการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านการบดบังแสงอาทิตย์ และด้านการเปลี่ยนแปลงของลม จากการก่อสร้างอาคาร สำหรับรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการอาคาร การจัดสรรที่ดิน และบริการชุมชน” เปิดโอกาสให้ชุมชนรอบข้างที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างอาคารสูงบังทิศทางแดดและทิศทางลม สามารถคัดค้านการสร้างโครงการนั้น ๆ ได้ รวมทั้งกำหนดให้ “เจ้าของอาคาร” ใช้แบบจำลองอาคารโครงการ (3D) เพื่อแสดงทิศทางเงาของอาคารและประมวลทิศทางลมหลังก่อสร้างในทำเลนั้น ๆ แม้แนวทางการศึกษาดังกล่าวยังไม่ได้ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ แต่ได้สร้างแรงกระเพื่อมเป็นวงกว้างในภาคอสังหาฯ ทั้งในมุมชุมชนรอบข้างที่จะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและลดปัญหาสุขภาพ ขณะที่ผู้ประกอบการก็มีต้นทุนในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น และอาจส่งผลให้การยื่นขอ EIA ใช้ระยะเวลาพิจารณายาวนานขึ้นเช่นกัน

ดังนั้น ผู้บริโภคจึงควรเลือกซื้อโครงการอสังหาฯ ที่ผ่านการอนุมัติ EIA เรียบร้อย เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาในภายหลัง หรือหากเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการขอ EIA ก็ควรเลือกซื้อโครงการจากผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่มีความน่าเชื่อถือ มีความมั่นคงทางการเงิน และพร้อมรับผิดชอบหากเกิดปัญหาจากการขอ EIA ทั้งนี้ แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทยอย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (www.DDproperty.com) รวบรวมข้อมูลประกาศซื้อ-ขาย-เช่าที่อยู่อาศัยจากหลากหลายทำเลศักยภาพทั่วประเทศ พร้อมอัปเดตบทความและข่าวสารในแวดวงอสังหาฯ ให้ผู้ซื้อ/ผู้เช่า/นักลงทุนได้ติดตามทุกเรื่องราวที่ควรรู้ ช่วยให้ทุกเส้นทางการซื้อ-ขาย-เช่าของทุกคนเป็นไปอย่างราบรื่นและมั่นใจยิ่งขึ้น

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้เผยสุดยอดทำเลทองในรอบครึ่งแรกปี 68

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้เผยสุดยอดทำเลทองในรอบครึ่งแรกปี 68

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้เผยสุดยอดทำเลทองในรอบครึ่งแรกปี 68

แม้ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2568 จะชะลอตัวตามสภาพเศรษฐกิจ แต่ยังมีแสงสว่างปลายอุโมงค์จากปัจจัยบวกทั้งจากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐ การผ่อนคลายเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ที่มีความพร้อมทางการเงินในการซื้อบ้าน/คอนโดมิเนียมเป็นของตัวเอง

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยข้อมูลเชิงลึกจากผู้เข้าเยี่ยมชมในเว็บไซต์ www.DDproperty.com ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 (เก็บข้อมูลระหว่างเดือนมกราคม – มิถุนายน 2568) ที่แสดงความสนใจประกาศขาย-ให้เช่า และกรอกข้อมูลให้ติดต่อกลับ ซึ่งถือเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีศักยภาพในการซื้อ-เช่าในอนาคตมากที่สุด

โดยข้อมูลเหล่านี้สะท้อนเทรนด์ความต้องการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคชาวไทยทั่วประเทศ พร้อมอัปเดตทำเลศักยภาพที่น่าจับตามองและมีทิศทางเติบโตในอนาคต ซึ่งทำเลยังคงเป็นปัจจัยอันดับต้น ๆ ที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญเมื่อต้องการซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัย

อย่างไรก็ดี อีกหนึ่งความท้าทายที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 คือภัยธรรมชาติที่คาดเดาไม่ได้อย่างเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเมียนมาและเกิดแรงสั่นสะเทือนที่รับรู้ได้ในไทยเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ได้กลายเป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อการวางแผนเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนั้นได้ส่งผลเชิงบวกต่อตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบที่ได้รับความสนใจซื้อเพิ่มขึ้น โดยความต้องการซื้อทาวน์เฮ้าส์ในกรุงเทพฯ ณ เดือนเมษายน 2568 เติบโตขึ้น 4% จากเดือนมีนาคม 2568 ที่มีเหตุการณ์แผ่นดินไหว ขณะที่ความต้องการซื้อคอนโดฯ ลดลงถึง 31% เนื่องจากผู้บริโภคบางส่วนกังวลเรื่องความปลอดภัยของอาคารสูงเมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหว แม้ว่าคอนโดฯ จะเป็นประเภทอสังหาฯ ที่ได้รับความนิยมและตอบโจทย์วิถีชีวิตในกรุงเทพฯ ก็ตาม ซึ่งคาดว่าเป็นเพียงผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากความต้องการซื้อคอนโดฯ ได้ปรับเพิ่มขึ้น 5% ในเดือนพฤษภาคม ดังนั้นจึงต้องจับตาดูสถานการณ์และปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ในระยะยาวต่อไป

กรุงเทพฯครองแชมป์จังหวัดยอดนิยมของคนหาบ้านทั่วประเทศ

กรุงเทพมหานครยังคงเป็นจังหวัดที่ได้รับความต้องการซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยมากที่สุดในช่วงครึ่งปีแรก โดยจังหวัดที่ได้รับความต้องการซื้อรองลงมา ได้แก่ อันดับ 2 นนทบุรี, อันดับ 3 สมุทรปราการ, อันดับ 4 ชลบุรี และอันดับ 5 ปทุมธานี จะเห็นได้ว่าจังหวัดปริมณฑลยังคงได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ซื้อ โดยได้อานิสงส์จากการขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างใจกลางกรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑลให้สะดวกมากขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคหันไปเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในแถบชานเมืองที่มีราคาย่อมเยากว่าแทน

ขณะที่จังหวัดที่ได้รับความต้องการเช่ารองลงมา ได้แก่ อันดับ 2 สมุทรปราการ, อันดับ 3 นนทบุรี, อันดับ 4 ชลบุรี และอันดับ 5 ภูเก็ต 

สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยในหัวเมืองท่องเที่ยวเติบโตตามการฟื้นตัวของตลาดท่องเที่ยว ผู้บริโภคชาวไทยและชาวต่างชาติต่างมองหาที่อยู่อาศัยเพื่อใช้เป็นบ้านพักตากอากาศ หรือวางแผนอยู่อาศัยในวัยเกษียณ รวมทั้งตอบโจทย์เทรนด์การทำงานยุคใหม่ที่เปลี่ยนสถานที่ท่องเที่ยวให้กลายเป็นที่ทำงานตามเทรนด์ Workation ในปัจจุบัน

เขตวัฒนาฮอตไม่หยุด ขึ้นแทนทำเลยอดนิยมของผู้ซื้อ-ผู้เช่าในเมืองหลวง 

ความหนาแน่นของประชากรที่เข้ามาเรียนและทำงานในเมืองหลวงส่งผลให้ตลาดอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ ยังคงมีทิศทางเติบโต ผู้พัฒนาอสังหาฯ จึงต้องใช้กลยุทธ์สร้างความแตกต่างและเลือกเปิดตัวโครงการในหลากหลายทำเล เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการที่อยู่อาศัยในทุกระดับราคาและทุกประเภทอสังหาฯ ข้อมูลการเข้าชมประกาศอสังหาฯ บนเว็บไซต์ DDproperty.com พบว่า ”เขตวัฒนา” ยังได้รับความนิยมต่อเนื่องอีกปี ครองอันดับ 1 สุดยอดทำเลในกรุงเทพฯ ที่ได้รับความสนใจซื้อและเช่ามากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ถือเป็นอีกหนึ่งทำเลศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ (CBD) ที่น่าจับตามอง โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยทั้งการเดินทางที่สะดวกด้วยรถไฟฟ้า มีระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน จึงเป็นทำเลที่มีศักยภาพในการลงทุนหรือเก็งกำไรในอนาคต

โดย 5 ทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการซื้อมากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ได้แก่

  • อันดับ 1 เขตวัฒนา
  • อันดับ 2 เขตจตุจักร
  • อันดับ 3 เขตประเวศ
  • อันดับ 4 เขตคลองเตย
  • อันดับ 5 เขตห้วยขวาง

ทั้งนี้ เมื่อแบ่งตามประเภทอสังหาฯ พบว่า “เขตวัฒนา” ถือเป็นทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการซื้อคอนโดฯ มากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ขณะที่ “เขตประเวศ” ขึ้นแท่นทำเลยอดนิยมของที่อยู่อาศัยแนวราบ โดยเป็นทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการซื้อบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์มากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 แม้จะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก แต่สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกด้วยรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง อีกทั้งเขตประเวศยังมีห้างสรรพสินค้าและสวนสาธารณะขนาดใหญ่อย่างสวนหลวง ร.9 ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวายในเมือง

ด้านตลาดเช่าที่อยู่อาศัย นอกจาก “เขตวัฒนา” จะเป็นทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการเช่ามากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 แล้ว เมื่อแบ่งตามประเภทอสังหาฯ พบว่า “เขตวัฒนา” ถือเป็นทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการเช่าคอนโดฯ และบ้านเดี่ยวมากที่สุดในรอบครึ่งปีแรก ขณะที่ “เขตสวนหลวง” เป็นทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการเช่าทาวน์เฮ้าส์มากที่สุดในรอบครึ่งปีแรก ด้วยอานิสงส์จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง และการพัฒนาโครงการคมนาคมทั้งการตัดถนนใหม่ ขยายถนน ทำให้เขตสวนหลวงเดินทางได้สะดวกมากขึ้น จึงเป็นอีกย่านที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น

โดย 5 ทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการเช่ามากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ได้แก่

  • อันดับ 1 เขตวัฒนา 
  • อันดับ 2 เขตคลองเตย
  • อันดับ 3 เขตพระโขนง 
  • อันดับ 4 เขตราชเทวี
  • อันดับ 5 เขตปทุมวัน

อัปเดตทำเลแนวรถไฟฟ้ายอดนิยม “BTS อ่อนนุชยืน 1 ทำเลทองอย่างต่อเนื่อง 

นอกจากนี้ DDproperty ยังได้รวบรวมข้อมูลผู้ซื้อ-เช่าที่เข้ามาค้นหาบ้าน-คอนโดฯ โดยมีการพิมพ์ในช่องค้นหาตามสิ่งที่สนใจ (Free Text) ค้นหาจากคำสำคัญ (Keyword) หรือใช้ฟิลเตอร์ต่าง ๆ บนเว็บไซต์ สะท้อนให้เห็นเทรนด์ที่อยู่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงไปตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ไม่หยุดนิ่ง

การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าถือว่าตอบโจทย์วิถีชีวิตชาวกรุงที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็ว ส่งผลให้ทำเลแนวรถไฟฟ้าทั้งเส้นทางที่เปิดให้บริการแล้วและที่ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างมีความต้องการซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าทุกสายในราคาไม่เกิน 20 บาทตลอดสาย และจะเริ่มโครงการในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 นี้ ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกที่ช่วยส่งเสริมให้ดีมานด์ที่อยู่อาศัยแนวรถไฟฟ้าเติบโตอย่างน่าสนใจ

สำหรับทำเลแนวรถไฟฟ้า BTS และ MRT ที่ได้รับความสนใจซื้อ/เช่ามากที่สุดในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 อันดับ 1 ได้แก่ BTS อ่อนนุช ทำเลศักยภาพแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ยังคงดึงดูดคนหาบ้านได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยทั้งเป็นย่านธุรกิจ แหล่งช้อปปิ้ง รองรับการเดินทางที่หลากหลาย และจุดเด่นที่เป็นสถานีแรกของรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายไปยังสถานีเคหะฯ ในจังหวัดสมุทรปราการ จึงทำให้ไม่ต้องเสียค่าโดยสารส่วนต่อขยายเพิ่ม ประกอบกับการที่โครงการที่อยู่อาศัยในทำเลนี้ยังมีราคาไม่แพง จึงส่งผลให้ทำเลแนวรถไฟฟ้า BTS อ่อนนุช เป็นทำเลศักยภาพที่น่าสนใจอย่างยิ่งทั้งเพื่ออยู่อาศัยเองหรือลงทุน

ตามมาด้วย อันดับ 2 BTS พร้อมพงษ์, อันดับ 3 BTS ทองหล่อ, อันดับ 4 BTS เอกมัย, อันดับ 5 BTS อารีย์, อันดับ 6 MRT พระราม 9, อันดับ 7 BTS อโศก, อันดับ 8 BTS ปุณณวิถี, อันดับ 9 BTS อุดมสุข และอันดับ 10 MRT ลาดพร้าว 

โดย 8 ใน 10 ของสถานีรถไฟฟ้ายอดนิยมในกลุ่มผู้ค้นหาที่อยู่อาศัย เป็นสถานีที่อยู่ในโครงการรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว ซึ่งเชื่อมต่อการเดินทางสู่ใจกลางเมืองซึ่งเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่และย่านธุรกิจสำคัญของประเทศ ส่งผลให้รถไฟฟ้าสายสีเขียวมีปริมาณผู้ใช้บริการสูงที่สุด และเป็นโอกาสของผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่จะพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายเหล่านี้

ทำเลใกล้สถานศึกษายังมาแรง ย่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครองใจชาวกรุง

เทรนด์การค้นหาที่อยู่อาศัยในทำเลใกล้สถานศึกษา หรือเทรนด์แคมปัสคอนโดฯ (Campus Condo) ยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ โดยมีปัจจัยบวกจากการที่ ธปท. ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ชั่วคราว ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อผู้ปกครองที่วางแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยใกล้สถานศึกษาของบุตรหลาน เพื่อลดระยะเวลาเดินทางในเมืองหลวง

สำหรับทำเลใกล้สถานศึกษาย่าน “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง มีการค้นหาที่อยู่อาศัยเพื่อซื้อและเช่ามากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ด้วยจุดเด่นที่เป็นย่านธุรกิจสำคัญใจกลางเมือง รายล้อมด้วยแหล่งช้อปปิ้งและแหล่งงานสำคัญ มีสถานศึกษาชั้นนำมากมาย รวมทั้งเดินทางได้สะดวกด้วยรถไฟฟ้า BTS และ MRT จึงกลายเป็นทำเลทองที่รวมความต้องการซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยทั้งจากผู้ปกครอง นักเรียน/นักศึกษา บุคลากรสถานศึกษา รวมทั้งวัยทำงานในย่านนี้ โดยข้อมูลการสำรวจการเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลของ บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส พบว่า ทำเลย่านสยาม-ชิดลม-เพลินจิต ถือเป็นทำเลที่มีราคาที่ดินที่แพงที่สุดในไทย ประเมินไว้ที่ 3.85 ล้านบาทต่อตารางวา ราคาเพิ่มขึ้นถึง 2.7% เมื่อเทียบกับราคา ณ ปี 2567 จึงถือเป็นทำเลศักยภาพที่น่าจับตามองทั้งในมุมผู้บริโภคที่สนใจอยู่อาศัยเองและนักลงทุน

สำหรับ 5 ทำเลใกล้สถานศึกษาที่ได้รับความสนใจซื้อมากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ได้แก่

  • อันดับ 1 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • อันดับ 2 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
  • อันดับ 3 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
  • อันดับ 4 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
  • อันดับ 5 มหาวิทยาลัยศรีปทุม 

ขณะที่ 5 ทำเลใกล้สถานศึกษาที่ได้รับความสนใจเช่ามากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ได้แก่

  • อันดับ 1 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • อันดับ 2 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
  • อันดับ 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์)
  • อันดับ 4 NIST International School
  • อันดับ 5 Bangkok Patana School 

ผู้ซื้อ Real Demand มองหาบ้าน/คอนโดฯ ไม่เกิน 2 ล้าน เน้นกะทัดรัดและคุ้มค่า 

จากข้อมูลยังพบว่า ผู้ที่วางแผนซื้อที่อาศัยทั่วประเทศในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ใช้ฟิลเตอร์เพื่อค้นหาบ้าน/คอนโดฯ ที่มี 2 ห้องนอนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ซึ่งเป็นขนาดที่เหมาะสมกับครอบครัวขนาดเล็ก และมีพื้นที่เพียงพอในการแยกสัดส่วนของสมาชิกในครอบครัว อันดับ 2 ได้แก่ ที่อยู่อาศัย 3 ห้องนอน และอันดับ 3 ที่อยู่อาศัย 1 ห้องนอน 

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจซื้อเกือบ 3 ใน 4 (72%) สนใจโครงการที่อยู่อาศัยที่ตกแต่งให้ครบแบบพร้อมเข้าอยู่ (Fully Furnished) เนื่องจากช่วยประหยัดงบในการตกแต่งไม่ให้บานปลาย และสะดวกในการย้ายเข้าอยู่ได้ทันที ขณะที่ 29% มองหาโครงการที่ตกแต่งให้บางส่วน (Fully Fitted) ส่วน 20% เลือกโครงการที่ไม่มีการตกแต่งใด ๆ เลย เพื่อนำไปตกแต่งในสไตล์ที่ชื่นชอบด้วยตนเอง

สำหรับราคาที่ผู้ที่สนใจซื้อนิยมค้นหาบนเว็บไซต์ DDproperty.com พบว่าระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาทมีการค้นหามากที่สุด สะท้อนให้เห็นว่าผู้ที่สนใจซื้อยังคงให้ความสำคัญกับการค้นหาโครงการที่มีราคาจับต้องได้ (Affordable price) มาเป็นอันดับแรก ประกอบกับภาครัฐมีแผนพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าให้ครอบคลุมหลากหลายเส้นทางมากขึ้น จึงทำให้ผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องซื้อที่อยู่อาศัยในย่านใจกลางเมืองที่มีราคาสูง และหันมาเลือกซื้อโครงการในแถบชานเมืองแทน โดยระดับราคาที่อยู่อาศัยที่ชาวไทยสนใจซื้อมากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ได้แก่

  • อันดับ 1 ระดับราคา 1,000,000 – 2,000,000 บาท 
  • อันดับ 2 ระดับราคา 500,000 – 1,000,000 บาท
  • อันดับ 3 ระดับราคา 500,000 – 1,500,000 บาท 

ผู้เช่า 9 ใน 10 เลือกโครงการตกแต่งพร้อมอยู่ เผยค่าเช่าไม่เกิน 15,000 บาท/เดือน ยังตอบโจทย์ 

ข้อมูลจากผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ DDproperty.com พบว่า ผู้ที่วางแผนเช่าที่อาศัยทั่วประเทศในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 สนใจค้นหาบ้าน/คอนโดฯ ที่มี 2 ห้องนอนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 คล้ายกับฝั่งผู้ซื้อ เนื่องจากส่วนใหญ่อยู่อาศัยเป็นครอบครัวขนาดเล็ก ขณะที่อันดับ 2 สนใจเช่าที่อยู่อาศัย 1 ห้องนอน และอันดับ 3 สนใจเช่าที่อยู่อาศัย 3 ห้องนอน 

โดยผู้ที่สนใจเช่าเกือบ 9 ใน 10 (88%) ต้องการเช่าบ้าน/คอนโดฯ ที่ตกแต่งครบครันพร้อมเข้าอยู่ (Fully Furnished) มากที่สุด ตอบโจทย์ความสะดวกในการย้ายเข้า-ออกได้ทันที ไม่ต้องกังวลเรื่องการขนย้ายหากต้องโยกย้ายทำเลในอนาคต นอกจากนี้ ผู้ที่สนใจเช่ายังสามารถนำงบที่จะซื้อเฟอร์นิเจอร์ไปใช้จ่ายด้านอื่นแทนได้ ขณะที่ 20% สนใจโครงการที่ตกแต่งให้บางส่วน (Fully Fitted) โดยมีผู้ที่สนใจเช่าเพียง 9% เท่านั้นที่เลือกบ้านหรือห้องเปล่าที่ไม่มีการตกแต่งใด ๆ 

ขณะที่ระดับค่าเช่าส่วนใหญ่ที่มีผู้เช่าค้นหามากที่สุดอยู่ในช่วงไม่เกิน 15,000 บาท/เดือน ซึ่งถือเป็นค่าเช่าที่อยู่ในระดับปานกลาง ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เช่าที่คาดหวังคุณภาพชีวิตที่ดีผ่านการอยู่อาศัยในย่านที่มีความเจริญ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะอย่างรถไฟฟ้า 

อย่างไรก็ดีหากเทียบกับการซื้อที่อยู่อาศัยแล้ว การเช่าช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินที่อาจได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนได้ดีกว่า และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออมเงินในช่วงที่เศรษฐกิจท้าทายเช่นนี้ โดยระดับราคาที่อยู่อาศัยที่ชาวไทยสนใจเช่ามากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ได้แก่

  • อันดับ 1 ระดับค่าเช่า 10,000 – 15,000 บาท/เดือน
  • อันดับ 2 ระดับค่าเช่า 6,000 – 10,000 บาท/เดือน 
  • อันดับ 3 ระดับค่าเช่า 10,000 – 20,000 บาท/เดือน