คนอยากมีบ้านต้องรู้! EIA สำคัญอย่างไรเมื่อคิดซื้อที่อยู่อาศัย

คนอยากมีบ้านต้องรู้! EIA สำคัญอย่างไรเมื่อคิดซื้อที่อยู่อาศัย

คนอยากมีบ้านต้องรู้! EIA สำคัญอย่างไรเมื่อคิดซื้อที่อยู่อาศัย

การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยหลังใหม่ นอกจากผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับการพิจารณาทำเลที่ตั้ง ราคา และการออกแบบแล้ว มีอีกหนึ่งปัจจัยที่หลายคนอาจละเลย แต่แท้จริงแล้วมีความสำคัญอย่างยิ่งคือโครงการต้องผ่าน EIA ด้วยเช่นกัน นอกจากจะเป็นเอกสารทางกฎหมายที่จำเป็นต้องมีแล้ว การผ่าน EIA ยังเป็นเสมือนเครื่องหมายรับรองที่ช่วยให้ผู้ซื้อสบายใจได้ในระดับหนึ่งว่า โครงการนั้นได้รับการพิจารณาและออกแบบมาเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้างอย่างเหมาะสม

EIA สำคัญอย่างไรเมื่อซื้อบ้านใหม่ 

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย ชวนคนหาบ้านมาทำความเข้าใจความสำคัญของ EIA ว่าเกี่ยวข้องกับการวางแผนซื้อที่อยู่อาศัยอย่างไรบ้าง EIA หรือ “รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment)” เป็นรายงานที่ภาครัฐและเอกชนจำเป็นต้องจัดทำขึ้นก่อนการก่อสร้างบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม และโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่แทบทุกประเภท และยื่นไปยังสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ให้พิจารณา ส่วนในกรุงเทพฯ จะมีการพิจารณาโดยคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ด้านอาคาร การจัดสรรที่ดิน และบริการชุมชน กรุงเทพมหานคร 

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้โครงการดังกล่าวก่อให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสุขอนามัยของชุมชนโดยรอบในระยะยาวทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทั้งในระหว่างทำการก่อสร้างและหลังก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยการจัดทำ EIA ประกอบด้วยการศึกษาครอบคลุมระบบสิ่งแวดล้อม 4 ด้าน คือ 1. ทรัพยากรกายภาพ 2. ทรัพยากรชีวภาพ 3. คุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ และ 4. คุณค่าต่อคุณภาพชีวิต 

สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยที่กฎหมายกำหนดให้ต้องผ่านการอนุมัติ EIA มีรายละเอียดดังนี้

  • โครงการบ้านจัดสรรที่มีพื้นที่ในโครงการมากกว่า 100 ไร่ หรือแบ่งแปลงที่ดินตั้งแต่ 500 แปลงขึ้นไป 
  • โครงการคอนโดมิเนียมที่มีพื้นที่ใช้สอยรวมกันตั้งแต่ 4,000 ตารางเมตรขึ้นไป หรือมีจำนวนห้องชุดตั้งแต่ 80 ห้องขึ้นไป ดังนั้นโครงการคอนโดฯ แบบไฮไรส์ (High Rise) ส่วนใหญ่จะต้องทำ EIA เพื่อประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมทั้งหมด ในขณะที่โครงการคอนโดฯ แบบโลว์ไรส์ (Low Rise) บางโครงการอาจไม่จำเป็นต้องทำ EIA เลยก็ได้

พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ได้กำหนดไว้ว่า โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่จะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้เมื่อผ่านการอนุมัติ EIA แล้วเท่านั้น จึงถือเป็นจุดเด่นที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะนำผลการอนุมัติ EIA นี้มาเป็นจุดขายในสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่สนใจซื้อตั้งแต่ก่อนเปิดจอง ว่าโครงการนี้จะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้อย่างแน่นอน  

ซื้อโครงการไม่ผ่าน EIA ต้องเผชิญความเสี่ยงอะไรบ้าง?

ปัจจุบันหลายโครงการมีการเปิดขายล่วงหน้าในระหว่างที่ยื่นขอ EIA เนื่องจากยังไม่มีข้อห้ามทางกฎหมายกำหนดไว้ หลายโครงการจึงมักเปิดขายเพื่อระดมทุนก่อสร้างในระหว่างรอผล EIA และทดสอบตลาดว่ามีผู้บริโภคให้ความสนใจมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ดี คอนโดพรีเซล (Presale) หรือโครงการคอนโดฯ ที่เปิดให้จองซื้อในช่วงที่ยังไม่ได้เริ่มก่อสร้างหรืออยู่ระหว่างการก่อสร้างยังคงได้รับความสนใจจากผู้ซื้อ เนื่องจากได้โปรโมชั่นส่วนลดคุ้มค่ากว่าการซื้อโครงการที่ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ อีกทั้งยังมีรูปแบบห้องให้เลือกมากกว่า แต่ต้องแลกกับการแบกรับความเสี่ยงหากโครงการไม่ผ่านการอนุมัติ EIA ในอนาคต 

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เผยความเสี่ยงที่ผู้บริโภคควรพิจารณาเมื่อซื้อโครงการที่อยู่อาศัยที่ยังไม่ผ่าน EIA เพื่อเตรียมพร้อมรับมือหากเกิดปัญหาในอนาคต 

  • ไม่สามารถขอใบอนุญาตการก่อสร้างได้ การยื่นขออนุมัติ EIA ถือเป็นหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญที่ใช้ในการขอใบอนุญาตก่อสร้าง ถึงแม้โครงการอสังหาฯ จะเปิดจองจนขายได้หมดแต่จะไม่สามารถเริ่มก่อสร้างได้หากโครงการไม่มีใบอนุญาตก่อสร้าง โดยเจ้าพนักงานที่มีอำนาจออกใบอนุญาตก่อสร้างจะต้องรอให้ EIA ได้รับอนุมัติจาก สผ. ก่อนจึงจะออกใบอนุญาตก่อสร้างให้โครงการที่ยื่นขอได้ 
  • ก่อสร้างล่าช้าหรืออาจถูกระงับ ปกติจะใช้ระยะเวลาในการจัดทำรายงาน EIA ประมาณ 6 เดือน ในกรณีที่ยื่นขอ EIA แล้วรายงานไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนด ผู้พัฒนาอสังหาฯ จะต้องกลับมาแก้ไขและยื่นรายงานใหม่อีกครั้ง ซึ่งบางครั้งอาจมีการปรับเปลี่ยนแบบแปลนโครงการเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนด และต้องแก้ไขจนกว่าจะผ่าน EIA จึงจะสามารถเริ่มก่อสร้างได้ ซึ่งอาจทำให้กำหนดการก่อสร้างแล้วเสร็จล่าช้าออกไปอย่างไม่มีกำหนด หรือในกรณีที่ร้ายแรงที่สุดคืออาจถูกระงับการก่อสร้างถาวร 
  • เกิดข้อพิพาทกับชุมชนข้างเคียง หากโครงการเริ่มก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุมัติ EIA อาจถูกฟ้องร้องจากชุมชนรอบข้าง ซึ่งอาจมีผลกระทบทางกฎหมายอื่น ๆ ที่ยืดเยื้อตามมาได้ ดังนั้น ผู้บริโภคควรตรวจสอบเบื้องต้นก่อนว่าโครงการที่สนใจเคยมีปัญหาข้อพิพาทกับชุมชนข้างเคียงหรือหน่วยงานราชการหรือไม่ ข้อพิพาทนั้นสิ้นสุดแล้วหรือไม่ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจตามมาในภายหลัง นอกจากนี้ในบางกรณีที่โครงการผ่าน EIA และเริ่มก่อสร้างแล้ว อาจมีข้อร้องเรียนว่าระหว่างก่อสร้างได้สร้างผลกระทบกับชุมชนและเพื่อนบ้านโดยรอบ ซึ่งสามารถร้องเรียนในลักษณะการฟ้องหน่วยงานรัฐแล้วจึงฟ้องต่อศาลปกครอง เพื่อพิจารณาถอนใบอนุญาตก่อสร้าง หรือให้ศาลปกครองมีคำสั่งให้ระงับการก่อสร้างชั่วคราวได้เช่นกัน โดยขึ้นอยู่กับการเจรจาหาข้อตกลงของผู้พัฒนาอสังหาฯ กับผู้ร้องเรียน
  • กระทบต่อภาพลักษณ์โครงการ หากมีข้อพิพาทเกี่ยวกับ EIA เกิดขึ้นมักจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของผู้พัฒนาอสังหาฯ และภาพลักษณ์ของโครงการนั้น ๆ โดยตรง ส่งผลให้ผู้ซื้อหรือนักลงทุนไม่สามารถขายต่อหรือปล่อยเช่าได้ง่ายดังเดิม โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดข้อพิพาทที่รอการพิจารณาของศาลอาจส่งผลต่อการทำธุรกรรมกับธนาคาร เช่น รีเทนชั่น/รีไฟแนนซ์ รวมทั้งอาจทำให้มูลค่าของทรัพย์สินลดลงอย่างมีนัยสำคัญได้

ส่องเช็กลิสต์สำหรับมือใหม่ เลือกซื้อบ้าน/คอนโดฯ อย่างไรให้ไกลข้อพิพาท

การซื้อที่อยู่อาศัยหลังใหม่ถือเป็นก้าวสำคัญของการเริ่มต้นชีวิตอีกหนึ่งบท เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากเผชิญกับปัญหาคดีความที่อาจตามมาในอนาคต ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เผยเช็กลิสต์ที่คนวางแผนซื้อบ้าน/คอนโดมือใหม่ควรรู้ มีแนวทางตรวจสอบอย่างไรเพื่อให้มั่นใจว่าบ้านใหม่หลังนี้จะห่างไกลจากข้อพิพาท

  1. ตรวจสอบว่าโครงการผ่าน EIA หรือไม่ ในขั้นตอนการวางแผนซื้อที่อยู่อาศัยนั้น หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคควรพิจารณาคือโครงการที่สนใจซื้อมีการทำ EIA ผ่านเรียบร้อยหรือไม่ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจกระทบการก่อสร้างในภายหลัง โดยสามารถสอบถามสถานะการยื่นขอ EIA กับพนักงานขายของโครงการก่อนตัดสินใจจองและทำสัญญาใด ๆ หรือสามารถเข้าไปตรวจสอบด้วยตนเองได้ที่เว็บไซต์ของ สผ. https://eia.onep.go.th ซึ่งจะบอกสถานะของโครงการจากฐานข้อมูลโครงการที่รอพิจารณาหรือประกาศแล้วว่าได้รับความเห็นชอบผ่านการพิจารณา EIA เรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ดี หากโครงการเปิดขายก่อนที่จะผ่าน EIA ผู้บริโภคต้องสอบถามผู้พัฒนาอสังหาฯ ให้ชัดเจนว่ามีแผนดำเนินงานอย่างไร และคาดว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนในการรอผลการอนุมัติ โดยสามารถขอเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการยื่น EIA ของโครงการ เพื่อนำมาประเมินความเสี่ยงและวางแผนทางการเงินอย่างเหมาะสมต่อไป

  1. ตรวจสอบความรับผิดชอบในสัญญาให้ชัดเจน หากได้ที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์แล้ว ขั้นตอนสำคัญที่ผู้บริโภคควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนเซ็นสัญญา คือ รายละเอียดขอบเขตความรับผิดชอบของโครงการที่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อจะขาย เนื่องจากถือเป็นหลักฐานที่มีผลทางกฎหมายหากมีปัญหาในอนาคต โดยเฉพาะโครงการที่ยังไม่ผ่าน EIA ควรตรวจสอบว่ามีการระบุความรับผิดชอบอย่างไรบ้าง เช่น สัญญาระบุว่าจะดำเนินการยื่นขอ EIA แล้วเสร็จภายในระยะเวลาเท่าไร หรือหากยื่นขอ EIA ไม่ผ่านแล้วโครงการจะรับผิดชอบอย่างไรต่อผู้ที่ผ่อนดาวน์ไปแล้ว หรือหากโครงการถูกยกเลิกการก่อสร้าง จะคืนเงินที่ผู้ซื้อจ่ายไปแล้วพร้อมดอกเบี้ยหรือไม่ และเสนอการชดเชยอย่างไรบ้าง

  2. ตรวจสอบคุณภาพของโครงการเป็นไปตามโฆษณาหรือไม่ เดินทางไปเยี่ยมชมห้องตัวอย่างเพื่อดูสภาพห้องและบรรยากาศของจริง พร้อมทั้งสอบถามพนักงานอย่างละเอียดเกี่ยวกับยี่ห้อและคุณภาพของวัสดุที่ใช้ในโครงการว่าตรงตามสเปกที่แจ้งไว้ในสื่อโฆษณา/ประชาสัมพันธ์หรือไม่ วัสดุเหล่านั้นมีความทนทานและเหมาะสมกับการใช้งานระยะยาวเพียงใด เพื่อนำมาประเมินว่าคุ้มค่ากับราคาขายหรือไม่หากเทียบกับโครงการที่มีขนาดห้องและสเปกไล่เลี่ยกันในตลาด ทั้งนี้ หากตัดสินใจซื้อแล้วควรเก็บเอกสารโฆษณา/ประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ ของโครงการไว้เป็นข้อมูลอ้างอิงเมื่อต้องตรวจรับห้อง/บ้านอีกครั้ง ในกรณีที่งานก่อสร้างหรืองานตกแต่งไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ควรแจ้งให้โครงการทำการแก้ไขให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงทำการโอนกรรมสิทธิ์เท่านั้น

  3. ตรวจสอบว่าโครงการมีข้อพิพาทหรือไม่ นอกเหนือจากการตรวจสอบ EIA แล้ว อีกเรื่องสำคัญที่คนซื้อที่อยู่อาศัยควรตรวจสอบ คือ โครงการนั้นมีข้อพิพาทหรือมีคดีความที่ยังไม่สิ้นสุดหรือไม่ เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของโครงการ ทำให้ผู้ซื้อไม่สามารถประกาศขายหรือทำธุรกรรมทางการเงินได้ง่ายดังเดิม โดยควรค้นหาข้อมูล/ข่าวสารออนไลน์ว่าโครงการนั้นมีข้อพิพาทกับลูกค้า ชุมชนข้างเคียง หรือหน่วยงานราชการหรือไม่ ข้อพิพาทนั้นสิ้นสุดแล้วหรืออยู่ในขั้นตอนใด และจากข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในอดีตนั้นผู้พัฒนาอสังหาฯ รับผิดชอบต่อผู้ซื้อที่ได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง นอกจากนี้ควรสอบถามกับผู้ที่เคยอยู่อาศัยในโครงการอื่น ๆ ที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ เคยสร้างมาก่อนว่ามีประสบการณ์หลังการขายอย่างไร และไปสำรวจพื้นที่รอบ ๆ โครงการเพื่อให้เห็นสภาพการอยู่อาศัยที่แท้จริง และประเมินความน่าเชื่อถือของโครงการได้ดียิ่งขึ้น

เมื่อโครงการที่ซื้อขอ EIA ไม่ผ่าน ผู้ซื้อควรรับมืออย่างไร

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แนะนำแนวทางรับมือเพื่อเรียกร้องสิทธิของผู้บริโภค หากโครงการอสังหาฯ ที่ซื้อต้องชะลอหรือยกเลิกแผนการก่อสร้างเนื่องจากยื่นขอ EIA ไม่ผ่าน และผู้พัฒนาอสังหาฯ ไม่มีการชี้แจงความคืบหน้าที่ชัดเจน ดังนี้

  1. สอบถามแนวทางแก้ไขกับโครงการว่ามีขั้นตอนอย่างไรบ้าง หากโครงการให้รอการยื่นแก้ไข EIA จนกว่าจะผ่าน จะใช้เวลานานเพียงใด ในระหว่างที่การก่อสร้างล่าช้ามีการชดเชยให้กับผู้ซื้ออย่างไร และถ้าผู้ซื้อไม่สามารถรอได้ โครงการจะคืนเงินจองและเงินที่ผ่อนดาวน์ให้ได้เมื่อไร หรือในกรณีที่โครงการขอ EIA ไม่ผ่านและต้องยกเลิกการก่อสร้าง ทางโครงการรจะรับผิดชอบคืนเงินจอง เงินผ่อนดาวน์พร้อมดอกเบี้ยให้ผู้ซื้อหรือไม่
  2. หากติดตามการแก้ไขปัญหากับโครงการด้วยตนเองไม่เป็นผลหรือไม่มีความคืบหน้า ผู้ซื้อควรรวมตัวเรียกร้องสิทธิ์เป็นกลุ่มร่วมกับผู้ซื้อคนอื่น ๆ ที่เจอปัญหาเดียวกัน เพื่อแสดงพลังของผู้บริโภคและเพิ่มอำนาจในการต่อรองให้มีมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์กว่าการเดินเรื่องต่าง ๆ เพียงคนเดียว
  3. ในกรณีที่โครงการมีแนวโน้มว่าจะไม่คืนเงินหรือไม่มีมาตรการชดเชยเยียวยาที่ชัดเจน ผู้ซื้อที่ได้รับผลกระทบควรรวมตัวเป็นกลุ่มเพื่อไปแจ้งสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อปรึกษาขอคำแนะนำจาก สคบ. ให้ช่วยเหลือตามสิทธิ์ของผู้บริโภคที่ควรได้รับ จากนั้นจึงควรรวมตัวกันไปลงบันทึกประจำวันกับตำรวจในท้องที่ที่ตั้งของโครงการ ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป

อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นในบางกรณีที่บางโครงการคอนโดฯ ซึ่งผ่านการอนุมัติ EIA จนก่อสร้างแล้วเสร็จเรียบร้อยมาหลายปี แต่ยังคงมีข้อพิพาทที่อยู่ระหว่างการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล ท้ายที่สุดแล้วศาลอาจมีคำสั่งเพิกถอนการให้ความเห็นชอบรายงาน EIA และใบอนุญาตก่อสร้างของโครงการ โดยมีผลย้อนหลังได้เช่นกัน ซึ่งผู้พัฒนาอสังหาฯ ต้องกลับไปแก้ไขเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย และต้องมีแนวทางเยียวยาชดเชยลูกบ้านที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน ถือเป็นกรณีศึกษาและเป็นแนวทางให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ ชุมชนและภาคเอกชนที่อยู่รอบข้าง รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้กลับไปทบทวนและพิจารณาผลกระทบจากการก่อสร้างที่มีต่อชุมชนให้รอบคอบยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ในปี 2564 สผ. ได้จัดทำเอกสารเผยแพร่ “แนวทางการศึกษาและการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านการบดบังแสงอาทิตย์ และด้านการเปลี่ยนแปลงของลม จากการก่อสร้างอาคาร สำหรับรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการอาคาร การจัดสรรที่ดิน และบริการชุมชน” เปิดโอกาสให้ชุมชนรอบข้างที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างอาคารสูงบังทิศทางแดดและทิศทางลม สามารถคัดค้านการสร้างโครงการนั้น ๆ ได้ รวมทั้งกำหนดให้ “เจ้าของอาคาร” ใช้แบบจำลองอาคารโครงการ (3D) เพื่อแสดงทิศทางเงาของอาคารและประมวลทิศทางลมหลังก่อสร้างในทำเลนั้น ๆ แม้แนวทางการศึกษาดังกล่าวยังไม่ได้ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ แต่ได้สร้างแรงกระเพื่อมเป็นวงกว้างในภาคอสังหาฯ ทั้งในมุมชุมชนรอบข้างที่จะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและลดปัญหาสุขภาพ ขณะที่ผู้ประกอบการก็มีต้นทุนในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น และอาจส่งผลให้การยื่นขอ EIA ใช้ระยะเวลาพิจารณายาวนานขึ้นเช่นกัน

ดังนั้น ผู้บริโภคจึงควรเลือกซื้อโครงการอสังหาฯ ที่ผ่านการอนุมัติ EIA เรียบร้อย เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาในภายหลัง หรือหากเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการขอ EIA ก็ควรเลือกซื้อโครงการจากผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่มีความน่าเชื่อถือ มีความมั่นคงทางการเงิน และพร้อมรับผิดชอบหากเกิดปัญหาจากการขอ EIA ทั้งนี้ แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทยอย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (www.DDproperty.com) รวบรวมข้อมูลประกาศซื้อ-ขาย-เช่าที่อยู่อาศัยจากหลากหลายทำเลศักยภาพทั่วประเทศ พร้อมอัปเดตบทความและข่าวสารในแวดวงอสังหาฯ ให้ผู้ซื้อ/ผู้เช่า/นักลงทุนได้ติดตามทุกเรื่องราวที่ควรรู้ ช่วยให้ทุกเส้นทางการซื้อ-ขาย-เช่าของทุกคนเป็นไปอย่างราบรื่นและมั่นใจยิ่งขึ้น

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้เผยสุดยอดทำเลทองในรอบครึ่งแรกปี 68

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้เผยสุดยอดทำเลทองในรอบครึ่งแรกปี 68

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้เผยสุดยอดทำเลทองในรอบครึ่งแรกปี 68

แม้ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2568 จะชะลอตัวตามสภาพเศรษฐกิจ แต่ยังมีแสงสว่างปลายอุโมงค์จากปัจจัยบวกทั้งจากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐ การผ่อนคลายเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ที่มีความพร้อมทางการเงินในการซื้อบ้าน/คอนโดมิเนียมเป็นของตัวเอง

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยข้อมูลเชิงลึกจากผู้เข้าเยี่ยมชมในเว็บไซต์ www.DDproperty.com ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 (เก็บข้อมูลระหว่างเดือนมกราคม – มิถุนายน 2568) ที่แสดงความสนใจประกาศขาย-ให้เช่า และกรอกข้อมูลให้ติดต่อกลับ ซึ่งถือเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีศักยภาพในการซื้อ-เช่าในอนาคตมากที่สุด

โดยข้อมูลเหล่านี้สะท้อนเทรนด์ความต้องการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคชาวไทยทั่วประเทศ พร้อมอัปเดตทำเลศักยภาพที่น่าจับตามองและมีทิศทางเติบโตในอนาคต ซึ่งทำเลยังคงเป็นปัจจัยอันดับต้น ๆ ที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญเมื่อต้องการซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัย

อย่างไรก็ดี อีกหนึ่งความท้าทายที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 คือภัยธรรมชาติที่คาดเดาไม่ได้อย่างเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเมียนมาและเกิดแรงสั่นสะเทือนที่รับรู้ได้ในไทยเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ได้กลายเป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อการวางแผนเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนั้นได้ส่งผลเชิงบวกต่อตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบที่ได้รับความสนใจซื้อเพิ่มขึ้น โดยความต้องการซื้อทาวน์เฮ้าส์ในกรุงเทพฯ ณ เดือนเมษายน 2568 เติบโตขึ้น 4% จากเดือนมีนาคม 2568 ที่มีเหตุการณ์แผ่นดินไหว ขณะที่ความต้องการซื้อคอนโดฯ ลดลงถึง 31% เนื่องจากผู้บริโภคบางส่วนกังวลเรื่องความปลอดภัยของอาคารสูงเมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหว แม้ว่าคอนโดฯ จะเป็นประเภทอสังหาฯ ที่ได้รับความนิยมและตอบโจทย์วิถีชีวิตในกรุงเทพฯ ก็ตาม ซึ่งคาดว่าเป็นเพียงผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากความต้องการซื้อคอนโดฯ ได้ปรับเพิ่มขึ้น 5% ในเดือนพฤษภาคม ดังนั้นจึงต้องจับตาดูสถานการณ์และปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ในระยะยาวต่อไป

กรุงเทพฯครองแชมป์จังหวัดยอดนิยมของคนหาบ้านทั่วประเทศ

กรุงเทพมหานครยังคงเป็นจังหวัดที่ได้รับความต้องการซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยมากที่สุดในช่วงครึ่งปีแรก โดยจังหวัดที่ได้รับความต้องการซื้อรองลงมา ได้แก่ อันดับ 2 นนทบุรี, อันดับ 3 สมุทรปราการ, อันดับ 4 ชลบุรี และอันดับ 5 ปทุมธานี จะเห็นได้ว่าจังหวัดปริมณฑลยังคงได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ซื้อ โดยได้อานิสงส์จากการขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างใจกลางกรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑลให้สะดวกมากขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคหันไปเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในแถบชานเมืองที่มีราคาย่อมเยากว่าแทน

ขณะที่จังหวัดที่ได้รับความต้องการเช่ารองลงมา ได้แก่ อันดับ 2 สมุทรปราการ, อันดับ 3 นนทบุรี, อันดับ 4 ชลบุรี และอันดับ 5 ภูเก็ต 

สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยในหัวเมืองท่องเที่ยวเติบโตตามการฟื้นตัวของตลาดท่องเที่ยว ผู้บริโภคชาวไทยและชาวต่างชาติต่างมองหาที่อยู่อาศัยเพื่อใช้เป็นบ้านพักตากอากาศ หรือวางแผนอยู่อาศัยในวัยเกษียณ รวมทั้งตอบโจทย์เทรนด์การทำงานยุคใหม่ที่เปลี่ยนสถานที่ท่องเที่ยวให้กลายเป็นที่ทำงานตามเทรนด์ Workation ในปัจจุบัน

เขตวัฒนาฮอตไม่หยุด ขึ้นแทนทำเลยอดนิยมของผู้ซื้อ-ผู้เช่าในเมืองหลวง 

ความหนาแน่นของประชากรที่เข้ามาเรียนและทำงานในเมืองหลวงส่งผลให้ตลาดอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ ยังคงมีทิศทางเติบโต ผู้พัฒนาอสังหาฯ จึงต้องใช้กลยุทธ์สร้างความแตกต่างและเลือกเปิดตัวโครงการในหลากหลายทำเล เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการที่อยู่อาศัยในทุกระดับราคาและทุกประเภทอสังหาฯ ข้อมูลการเข้าชมประกาศอสังหาฯ บนเว็บไซต์ DDproperty.com พบว่า ”เขตวัฒนา” ยังได้รับความนิยมต่อเนื่องอีกปี ครองอันดับ 1 สุดยอดทำเลในกรุงเทพฯ ที่ได้รับความสนใจซื้อและเช่ามากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ถือเป็นอีกหนึ่งทำเลศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ (CBD) ที่น่าจับตามอง โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยทั้งการเดินทางที่สะดวกด้วยรถไฟฟ้า มีระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน จึงเป็นทำเลที่มีศักยภาพในการลงทุนหรือเก็งกำไรในอนาคต

โดย 5 ทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการซื้อมากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ได้แก่

  • อันดับ 1 เขตวัฒนา
  • อันดับ 2 เขตจตุจักร
  • อันดับ 3 เขตประเวศ
  • อันดับ 4 เขตคลองเตย
  • อันดับ 5 เขตห้วยขวาง

ทั้งนี้ เมื่อแบ่งตามประเภทอสังหาฯ พบว่า “เขตวัฒนา” ถือเป็นทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการซื้อคอนโดฯ มากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ขณะที่ “เขตประเวศ” ขึ้นแท่นทำเลยอดนิยมของที่อยู่อาศัยแนวราบ โดยเป็นทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการซื้อบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์มากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 แม้จะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก แต่สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกด้วยรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง อีกทั้งเขตประเวศยังมีห้างสรรพสินค้าและสวนสาธารณะขนาดใหญ่อย่างสวนหลวง ร.9 ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวายในเมือง

ด้านตลาดเช่าที่อยู่อาศัย นอกจาก “เขตวัฒนา” จะเป็นทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการเช่ามากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 แล้ว เมื่อแบ่งตามประเภทอสังหาฯ พบว่า “เขตวัฒนา” ถือเป็นทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการเช่าคอนโดฯ และบ้านเดี่ยวมากที่สุดในรอบครึ่งปีแรก ขณะที่ “เขตสวนหลวง” เป็นทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการเช่าทาวน์เฮ้าส์มากที่สุดในรอบครึ่งปีแรก ด้วยอานิสงส์จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง และการพัฒนาโครงการคมนาคมทั้งการตัดถนนใหม่ ขยายถนน ทำให้เขตสวนหลวงเดินทางได้สะดวกมากขึ้น จึงเป็นอีกย่านที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น

โดย 5 ทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการเช่ามากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ได้แก่

  • อันดับ 1 เขตวัฒนา 
  • อันดับ 2 เขตคลองเตย
  • อันดับ 3 เขตพระโขนง 
  • อันดับ 4 เขตราชเทวี
  • อันดับ 5 เขตปทุมวัน

อัปเดตทำเลแนวรถไฟฟ้ายอดนิยม “BTS อ่อนนุชยืน 1 ทำเลทองอย่างต่อเนื่อง 

นอกจากนี้ DDproperty ยังได้รวบรวมข้อมูลผู้ซื้อ-เช่าที่เข้ามาค้นหาบ้าน-คอนโดฯ โดยมีการพิมพ์ในช่องค้นหาตามสิ่งที่สนใจ (Free Text) ค้นหาจากคำสำคัญ (Keyword) หรือใช้ฟิลเตอร์ต่าง ๆ บนเว็บไซต์ สะท้อนให้เห็นเทรนด์ที่อยู่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงไปตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ไม่หยุดนิ่ง

การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าถือว่าตอบโจทย์วิถีชีวิตชาวกรุงที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็ว ส่งผลให้ทำเลแนวรถไฟฟ้าทั้งเส้นทางที่เปิดให้บริการแล้วและที่ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างมีความต้องการซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าทุกสายในราคาไม่เกิน 20 บาทตลอดสาย และจะเริ่มโครงการในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 นี้ ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกที่ช่วยส่งเสริมให้ดีมานด์ที่อยู่อาศัยแนวรถไฟฟ้าเติบโตอย่างน่าสนใจ

สำหรับทำเลแนวรถไฟฟ้า BTS และ MRT ที่ได้รับความสนใจซื้อ/เช่ามากที่สุดในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 อันดับ 1 ได้แก่ BTS อ่อนนุช ทำเลศักยภาพแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ยังคงดึงดูดคนหาบ้านได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยทั้งเป็นย่านธุรกิจ แหล่งช้อปปิ้ง รองรับการเดินทางที่หลากหลาย และจุดเด่นที่เป็นสถานีแรกของรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายไปยังสถานีเคหะฯ ในจังหวัดสมุทรปราการ จึงทำให้ไม่ต้องเสียค่าโดยสารส่วนต่อขยายเพิ่ม ประกอบกับการที่โครงการที่อยู่อาศัยในทำเลนี้ยังมีราคาไม่แพง จึงส่งผลให้ทำเลแนวรถไฟฟ้า BTS อ่อนนุช เป็นทำเลศักยภาพที่น่าสนใจอย่างยิ่งทั้งเพื่ออยู่อาศัยเองหรือลงทุน

ตามมาด้วย อันดับ 2 BTS พร้อมพงษ์, อันดับ 3 BTS ทองหล่อ, อันดับ 4 BTS เอกมัย, อันดับ 5 BTS อารีย์, อันดับ 6 MRT พระราม 9, อันดับ 7 BTS อโศก, อันดับ 8 BTS ปุณณวิถี, อันดับ 9 BTS อุดมสุข และอันดับ 10 MRT ลาดพร้าว 

โดย 8 ใน 10 ของสถานีรถไฟฟ้ายอดนิยมในกลุ่มผู้ค้นหาที่อยู่อาศัย เป็นสถานีที่อยู่ในโครงการรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว ซึ่งเชื่อมต่อการเดินทางสู่ใจกลางเมืองซึ่งเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่และย่านธุรกิจสำคัญของประเทศ ส่งผลให้รถไฟฟ้าสายสีเขียวมีปริมาณผู้ใช้บริการสูงที่สุด และเป็นโอกาสของผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่จะพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายเหล่านี้

ทำเลใกล้สถานศึกษายังมาแรง ย่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครองใจชาวกรุง

เทรนด์การค้นหาที่อยู่อาศัยในทำเลใกล้สถานศึกษา หรือเทรนด์แคมปัสคอนโดฯ (Campus Condo) ยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ โดยมีปัจจัยบวกจากการที่ ธปท. ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ชั่วคราว ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อผู้ปกครองที่วางแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยใกล้สถานศึกษาของบุตรหลาน เพื่อลดระยะเวลาเดินทางในเมืองหลวง

สำหรับทำเลใกล้สถานศึกษาย่าน “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง มีการค้นหาที่อยู่อาศัยเพื่อซื้อและเช่ามากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ด้วยจุดเด่นที่เป็นย่านธุรกิจสำคัญใจกลางเมือง รายล้อมด้วยแหล่งช้อปปิ้งและแหล่งงานสำคัญ มีสถานศึกษาชั้นนำมากมาย รวมทั้งเดินทางได้สะดวกด้วยรถไฟฟ้า BTS และ MRT จึงกลายเป็นทำเลทองที่รวมความต้องการซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยทั้งจากผู้ปกครอง นักเรียน/นักศึกษา บุคลากรสถานศึกษา รวมทั้งวัยทำงานในย่านนี้ โดยข้อมูลการสำรวจการเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลของ บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส พบว่า ทำเลย่านสยาม-ชิดลม-เพลินจิต ถือเป็นทำเลที่มีราคาที่ดินที่แพงที่สุดในไทย ประเมินไว้ที่ 3.85 ล้านบาทต่อตารางวา ราคาเพิ่มขึ้นถึง 2.7% เมื่อเทียบกับราคา ณ ปี 2567 จึงถือเป็นทำเลศักยภาพที่น่าจับตามองทั้งในมุมผู้บริโภคที่สนใจอยู่อาศัยเองและนักลงทุน

สำหรับ 5 ทำเลใกล้สถานศึกษาที่ได้รับความสนใจซื้อมากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ได้แก่

  • อันดับ 1 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • อันดับ 2 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
  • อันดับ 3 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
  • อันดับ 4 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
  • อันดับ 5 มหาวิทยาลัยศรีปทุม 

ขณะที่ 5 ทำเลใกล้สถานศึกษาที่ได้รับความสนใจเช่ามากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ได้แก่

  • อันดับ 1 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • อันดับ 2 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
  • อันดับ 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์)
  • อันดับ 4 NIST International School
  • อันดับ 5 Bangkok Patana School 

ผู้ซื้อ Real Demand มองหาบ้าน/คอนโดฯ ไม่เกิน 2 ล้าน เน้นกะทัดรัดและคุ้มค่า 

จากข้อมูลยังพบว่า ผู้ที่วางแผนซื้อที่อาศัยทั่วประเทศในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ใช้ฟิลเตอร์เพื่อค้นหาบ้าน/คอนโดฯ ที่มี 2 ห้องนอนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ซึ่งเป็นขนาดที่เหมาะสมกับครอบครัวขนาดเล็ก และมีพื้นที่เพียงพอในการแยกสัดส่วนของสมาชิกในครอบครัว อันดับ 2 ได้แก่ ที่อยู่อาศัย 3 ห้องนอน และอันดับ 3 ที่อยู่อาศัย 1 ห้องนอน 

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจซื้อเกือบ 3 ใน 4 (72%) สนใจโครงการที่อยู่อาศัยที่ตกแต่งให้ครบแบบพร้อมเข้าอยู่ (Fully Furnished) เนื่องจากช่วยประหยัดงบในการตกแต่งไม่ให้บานปลาย และสะดวกในการย้ายเข้าอยู่ได้ทันที ขณะที่ 29% มองหาโครงการที่ตกแต่งให้บางส่วน (Fully Fitted) ส่วน 20% เลือกโครงการที่ไม่มีการตกแต่งใด ๆ เลย เพื่อนำไปตกแต่งในสไตล์ที่ชื่นชอบด้วยตนเอง

สำหรับราคาที่ผู้ที่สนใจซื้อนิยมค้นหาบนเว็บไซต์ DDproperty.com พบว่าระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาทมีการค้นหามากที่สุด สะท้อนให้เห็นว่าผู้ที่สนใจซื้อยังคงให้ความสำคัญกับการค้นหาโครงการที่มีราคาจับต้องได้ (Affordable price) มาเป็นอันดับแรก ประกอบกับภาครัฐมีแผนพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าให้ครอบคลุมหลากหลายเส้นทางมากขึ้น จึงทำให้ผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องซื้อที่อยู่อาศัยในย่านใจกลางเมืองที่มีราคาสูง และหันมาเลือกซื้อโครงการในแถบชานเมืองแทน โดยระดับราคาที่อยู่อาศัยที่ชาวไทยสนใจซื้อมากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ได้แก่

  • อันดับ 1 ระดับราคา 1,000,000 – 2,000,000 บาท 
  • อันดับ 2 ระดับราคา 500,000 – 1,000,000 บาท
  • อันดับ 3 ระดับราคา 500,000 – 1,500,000 บาท 

ผู้เช่า 9 ใน 10 เลือกโครงการตกแต่งพร้อมอยู่ เผยค่าเช่าไม่เกิน 15,000 บาท/เดือน ยังตอบโจทย์ 

ข้อมูลจากผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ DDproperty.com พบว่า ผู้ที่วางแผนเช่าที่อาศัยทั่วประเทศในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 สนใจค้นหาบ้าน/คอนโดฯ ที่มี 2 ห้องนอนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 คล้ายกับฝั่งผู้ซื้อ เนื่องจากส่วนใหญ่อยู่อาศัยเป็นครอบครัวขนาดเล็ก ขณะที่อันดับ 2 สนใจเช่าที่อยู่อาศัย 1 ห้องนอน และอันดับ 3 สนใจเช่าที่อยู่อาศัย 3 ห้องนอน 

โดยผู้ที่สนใจเช่าเกือบ 9 ใน 10 (88%) ต้องการเช่าบ้าน/คอนโดฯ ที่ตกแต่งครบครันพร้อมเข้าอยู่ (Fully Furnished) มากที่สุด ตอบโจทย์ความสะดวกในการย้ายเข้า-ออกได้ทันที ไม่ต้องกังวลเรื่องการขนย้ายหากต้องโยกย้ายทำเลในอนาคต นอกจากนี้ ผู้ที่สนใจเช่ายังสามารถนำงบที่จะซื้อเฟอร์นิเจอร์ไปใช้จ่ายด้านอื่นแทนได้ ขณะที่ 20% สนใจโครงการที่ตกแต่งให้บางส่วน (Fully Fitted) โดยมีผู้ที่สนใจเช่าเพียง 9% เท่านั้นที่เลือกบ้านหรือห้องเปล่าที่ไม่มีการตกแต่งใด ๆ 

ขณะที่ระดับค่าเช่าส่วนใหญ่ที่มีผู้เช่าค้นหามากที่สุดอยู่ในช่วงไม่เกิน 15,000 บาท/เดือน ซึ่งถือเป็นค่าเช่าที่อยู่ในระดับปานกลาง ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เช่าที่คาดหวังคุณภาพชีวิตที่ดีผ่านการอยู่อาศัยในย่านที่มีความเจริญ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะอย่างรถไฟฟ้า 

อย่างไรก็ดีหากเทียบกับการซื้อที่อยู่อาศัยแล้ว การเช่าช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินที่อาจได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนได้ดีกว่า และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออมเงินในช่วงที่เศรษฐกิจท้าทายเช่นนี้ โดยระดับราคาที่อยู่อาศัยที่ชาวไทยสนใจเช่ามากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ได้แก่

  • อันดับ 1 ระดับค่าเช่า 10,000 – 15,000 บาท/เดือน
  • อันดับ 2 ระดับค่าเช่า 6,000 – 10,000 บาท/เดือน 
  • อันดับ 3 ระดับค่าเช่า 10,000 – 20,000 บาท/เดือน

How to ปล่อยเช่าบ้าน/คอนโดฯ ได้ไว มัดใจชาว Generation Rent

How to ปล่อยเช่าบ้าน/คอนโดฯ ได้ไว มัดใจชาว Generation Rent

How to ปล่อยเช่าบ้าน/คอนโดฯ ได้ไว มัดใจชาว Generation Rent

ความท้าทายทางเศรษฐกิจได้สั่นคลอนกำลังซื้อของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อมุมมองการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย ทำให้เทรนด์ Generation Rent ได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ทั่วโลกรวมทั้งในไทย แม้ผู้บริโภคเหล่านี้จะอยู่ในวัยทำงานซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในตลาดอสังหาริมทรัพย์แต่มองว่าการซื้อที่อยู่อาศัยอาจยังไม่ใช่สิ่งจำเป็นในขณะนี้ เพราะการซื้ออสังหาฯ ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนเช่นนี้ จะกลายเป็นภาระผูกพันในระยะยาวแทน จึงส่งผลให้ความต้องการเช่าบ้านหรือเช่าคอนโดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสวนทางกับความต้องการซื้อที่ชะลอตัวลง

เจาะลึกความต้องการคนเช่า เน้นความคุ้มค่าในราคาที่จับต้องได้

ข้อมูลจากแบบสอบถาม DDproperty and Think of Living: Consumer Satisfaction, Perspectives & Preferences (CSAT) รอบล่าสุด ของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย และ Think of Living เว็บไซต์รีวิวโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย เผยว่า จากแนวโน้มปัจจุบันและปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ส่งผลให้ผู้บริโภคเกือบครึ่ง (48%) คาดว่าราคาที่อยู่อาศัยจะยังคงเพิ่มขึ้นใน 1 ปีข้างหน้า สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่มองว่าราคาอสังหาฯ จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จะมีความท้าทายรอบด้าน ขณะที่อีก 24% คาดว่าราคาจะยังทรงตัว ส่วน 23% มองว่าตลาดอสังหาฯ กำลังอยู่ในภาวะซัพพลายล้นตลาด และราคาจะลดลง 

ทั้งนี้ เหตุผลที่ผู้เช่าส่วนใหญ่ตัดสินใจเช่านั้น มากกว่า 1 ใน 3 (37%) ต้องการออมเงินเพื่อจุดประสงค์อื่น จึงเลือกเช่าเพื่อลดค่าใช้จ่าย รองลงมาคือชอบความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิตเมื่อเช่า 26% และ 21% ไม่มีเงินพอที่จะซื้อบ้าน/คอนโดฯ ตอนนี้

อย่างไรก็ดี ผู้เช่า 41% ชื่นชอบที่จะค้นหาบ้านทั้งหลังหรืออะพาร์ตเมนต์มากที่สุด นอกจากนี้ เมื่อสอบถามสถานะการเงิน 9 ใน 10 ของผู้เช่า (89%) เผยว่ายินดีจ่ายค่าเช่าไม่เกิน 30% ของเงินเดือน สะท้อนให้เห็นถึงการวางแผนการเงินที่ดี ไม่สร้างภาระจนเกินตัว 

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าตลาดเช่าที่อยู่อาศัยจึงมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้บริโภคที่มีอสังหาฯ ในมือหรือนักลงทุนที่ต้องการสร้างรายได้จากการปล่อยเช่าในเวลานี้

เปิดลิสต์บ้าน/คอนโดฯ ในฝัน แบบไหนที่ผู้เช่าตามหา!

อีกหนึ่งหัวใจสำคัญของการปล่อยเช่าบ้าน/คอนโดฯ คือการที่ผู้ให้เช่าเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของผู้เช่าและใส่ใจราวกับว่าเราเป็นผู้พักอาศัยเอง ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) ชวนมาสำรวจว่าที่อยู่อาศัยในฝันในสายตาผู้เช่าควรเป็นแบบไหน และคุณสมบัติใดที่ไม่ควรมองข้าม หากอยากปล่อยเช่าให้ได้ง่ายขึ้น 

  • เดินทางสะดวก ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ทำเลยังคงเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้น ๆ ในการตัดสินเช่า เนื่องจากผู้เช่าส่วนใหญ่มักต้องการเช่าที่อยู่อาศัยใหม่เพื่อลดเวลาในการเดินทาง เช่น เช่าคอนโดฯ ใกล้ที่ทำงาน ใกล้สถานศึกษา จึงให้ความสำคัญกับโครงการที่สามารถเดินทางได้สะดวกสบาย และใกล้ระบบขนส่งสาธารณะ เช่น ติดรถไฟฟ้า BTS/MRT นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมโดยรอบควรมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า หรือโรงพยาบาล เพื่อรองรับการดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างรอบด้าน และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือ “ไลฟ์สไตล์ของผู้เช่า” ซึ่งจะสะท้อนผ่านการเลือกทำเล หากเป็นผู้ที่ชื่นชอบการใช้ชีวิตที่สะดวกสบาย อาจมองหาที่อยู่อาศัยใกล้ห้างสรรพสินค้า แต่หากต้องการความสงบและความเป็นส่วนตัว อาจเลือกโครงการที่ตั้งอยู่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจ เพื่อหลีกหนีความวุ่นวาย 
  • สภาพห้องดูดี สวยเหมือนใหม่ บ้าน/คอนโดฯ ให้เช่าที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ ไม่เพียงสร้างความมั่นใจแต่ยังสะท้อนถึงความใส่ใจของเจ้าของได้อย่างชัดเจน จึงควรสร้างความประทับใจให้ผู้เช่าเมื่อมาเยี่ยมชมสถานที่จริง โดยการรีโนเวทบ้าน/คอนโดฯ ให้อยู่ในสภาพที่สวยเหมือนใหม่ ทาสีใหม่ ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ทันสมัย รักษาความสะอาด เลือกใช้สีและแสงไฟที่ช่วยให้ภายในห้องไม่อึดอัด และซ่อมแซมโครงสร้างหรือเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ให้พร้อมใช้งาน โดยไม่ซ่อนปัญหาไว้ สิ่งเหล่านี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ผู้เช่าประทับใจและตัดสินใจเช่าในที่สุด
  • มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน บ้าน/คอนโดฯ ให้เช่าที่มาพร้อมเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็น เช่น เครื่องปรับอากาศ เครื่องทำน้ำอุ่น ตู้เย็น โทรทัศน์ จะช่วยดึงดูดความสนใจของผู้เช่าได้มากขึ้น และเป็นข้อได้เปรียบที่ผู้เช่าหลายคนให้ความสำคัญ เนื่องจากช่วยให้ผู้เช่าสามารถเข้าอยู่ได้ทันทีและลดภาระค่าใช้จ่ายในการตกแต่งลง นอกจากนี้ โครงการที่มาพร้อมระบบสาธารณูปโภคที่ดี เช่น ระบบน้ำประปา ไฟฟ้า การจัดการขยะ รวมทั้งบริหารงานโดยนิติบุคคลที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยให้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ผู้เช่ามีความมั่นใจเมื่ออยู่อาศัยระยะยาว
  • ค่าเช่าจับต้องได้ เหมาะสมกับคุณภาพ แม้ผู้เช่าปัจจุบันจะให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตและยินดีจ่ายเพื่อความสะดวกสบาย แต่ “ความคุ้มค่า” ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญเมื่อพิจารณาเช่าเสมอ โดยเฉพาะกลุ่มผู้เช่าที่มีงบประมาณจำกัดหรือต้องการเช่าระยะยาว ดังนั้น ผู้ให้เช่าจึงควรตั้งค่าเช่าให้สอดคล้องกับสภาพตลาดและสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีให้ โดยสำรวจอัตราค่าเช่าในพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อกำหนดค่าเช่าที่เหมาะสมและแข่งขันได้ในตลาด ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดความสนใจจากผู้เช่า และกระตุ้นให้เกิดการนัดเข้าชมห้องในเวลาอันรวดเร็ว
  • มีระบบความปลอดภัยที่ทันสมัย ปัจจุบันหลายโครงการได้นำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาช่วยยกระดับการรักษาความปลอดภัยให้ดียิ่งขึ้น ช่วยสร้างความสบายใจให้กับผู้อยู่อาศัย โดยระบบรักษาความปลอดภัยพื้นฐานที่ควรมี ได้แก่ การมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง มีกล้องวงจรปิด (CCTV) ครอบคลุมทั่วโครงการ มีระบบคัดกรองบุคคลภายนอก และมีระบบลิฟต์ล็อกชั้นและคีย์การ์ดสำหรับเข้า-ออกพื้นที่ต่าง ๆ ในคอนโดฯ นอกจากนี้ เจ้าของอสังหาฯ ให้เช่ายังสามารถเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้เช่าได้อีกขั้น ด้วยการซื้อประกันภัยเพิ่มเติมจากประกันภัยส่วนกลาง เพื่อคุ้มครองทรัพย์สินส่วนตัวภายในห้องหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น น้ำรั่วซึม ไฟไหม้ ไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งการมีประกันภัยที่ครอบคลุมจะปกป้องทรัพย์สินและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเมื่อเกิดเหตุดังกล่าวได้

ส่อง 5 เทคนิคปล่อยเช่าอย่างไรให้จับใจผู้เช่า ปิดดีลได้ง่ายขึ้น

การปล่อยเช่าบ้าน/คอนโดฯ ให้ประสบความสำเร็จ ต้องอาศัยการวางแผนที่รอบคอบควบคู่กับมีกลยุทธ์ที่เหมาะสม ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เผย 5 เทคนิคปล่อยเช่าที่อยู่อาศัยอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคที่ปล่อยเช่า/นักลงทุนสามารถดึงดูดผู้เช่าที่มีคุณภาพ และเพิ่มโอกาสในการปิดดีลได้ง่ายขึ้นท่ามกลางการแข่งขันที่สูงในตลาด 

  1. ศึกษา Insight กลุ่มเป้าหมาย ประเมินโอกาสในตลาด ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดที่อยู่อาศัยให้เช่า ผู้ให้เช่าควรวางแผนแต่ละขั้นตอนอย่างละเอียด โดยกำหนดว่ากลุ่มเป้าหมายหลักคือใคร มีไลฟ์สไตล์แบบไหน รายได้อยู่ในช่วงใด และต้องการที่อยู่อาศัยประเภทไหน ขนาดเท่าไร โดยศึกษาข้อมูลจากรายงานอสังหาฯ ต่าง ๆ ประกอบกับการลงพื้นที่สำรวจในทำเลนั้น ๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ จะช่วยให้สามารถปรับปรุงหรือตกแต่งห้องเช่าให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย เลือกลงทุนในโครงการที่มีค่าเช่าเหมาะสม และประเมินโอกาสในการปล่อยเช่าในทำเลนั้น ๆ ได้ดียิ่งขึ้น
  2. โครงการในทำเลศักยภาพ เพิ่มโอกาสเช่ามากขึ้น ความต้องการเช่ามักกระจุกตัวในทำเลที่มีศักยภาพและเดินทางสะดวก เช่น โครงการอยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้า สถานศึกษา แหล่งทำงาน ส่งผลให้ทำเลเหล่านี้มีความต้องการเช่าสูงตามไปด้วย ผู้ให้เช่าจึงควรพิจารณาเลือกลงทุนในทำเลที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต เช่น มีแผนพัฒนาระบบโครงการคมนาคมและระบบสาธารณูปโภคในอนาคต หรือมีโครงการรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการพัฒนาพาดผ่าน ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอสังหาฯ ได้ในอนาคต ทั้งในด้านของราคาขายต่อและความต้องการเช่าที่มั่นคงในระยะยาว
  3. ตกแต่งสวยงามอย่างมีสไตล์ พร้อมเข้าอยู่ทันที ผู้ให้เช่าควรให้ความสำคัญกับการปรับปรุงห้องให้อยู่ในสภาพดีเหมือนใหม่ สะอาด และมีบรรยากาศที่น่าอยู่ โดยตกแต่งภายในให้ทันสมัย เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งที่ดูดี มีคุณภาพ และใช้งานได้จริง เน้นการตกแต่งที่ทำให้ห้องดูสว่าง ปลอดโปร่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก และเลือกโทนสีที่ดูสบายตาและเป็นกลาง เพื่อให้ผู้เช่าสามารถตกแต่งเพิ่มเติมในสไตล์ของตนเองได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญคือห้องต้องพร้อมสำหรับการย้ายเข้าอยู่ทันที ไม่ต้องรอการซ่อมแซมหรือปรับปรุงเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยให้ผู้เช่าตัดสินใจได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
  4. ศึกษาการตลาดและเลือกใช้สื่อให้เหมาะสม ผู้ให้เช่าควรศึกษาว่าทำการตลาดอย่างไรจึงจะเข้าถึงลูกค้าได้มากที่สุด และเลือกประกาศเช่าผ่านสื่อออฟไลน์และออนไลน์ควบคู่กัน เพื่อขยายโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น หากจะลงประกาศขาย/ปล่อยเช่าในเว็บไซต์ใด ๆ ควรอ่านนโยบายความเป็นส่วนตัวให้เข้าใจชัดเจนก่อนว่าเว็บไซต์นั้นจะนำข้อมูลส่วนตัวที่กรอกไปใช้ทำอะไรบ้าง จากนั้นจึงลงประกาศโดยระบุข้อมูลพื้นฐานของอสังหาฯ  เช่น ค่าเช่า/เดือน สถานที่ตั้งโครงการ ส่วนกลาง เป็นต้น พร้อมทั้งบอกจุดเด่นที่ดึงดูดความสนใจหรือโปรโมชั่นที่เพิ่มให้ เช่น มีเครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรบ้าง หรือช่วยออกค่าส่วนกลางให้กี่เดือน ฯลฯ โดยลงรายละเอียดของผู้ประกาศและช่องทางติดต่อให้ชัดเจน ที่สำคัญคือควรใส่ลายน้ำและข้อมูลการติดต่อไว้ที่รูปภาพที่ถ่ายเองเพื่อป้องกันการโดนผู้อื่นนำไปแอบอ้าง
  5. ใช้ “เอเจนต์” ผู้ช่วยเพิ่มโอกาสปล่อยเช่าได้เร็วขึ้น การเลือกใช้เอเจนต์อสังหาฯ มืออาชีพมาช่วยในการปล่อยเช่า ถือเป็นอีกวิธีที่ได้รับความนิยมหากผู้ให้เช่าไม่มีประสบการณ์หรือไม่มีเวลาในการพาผู้สนใจเช่าไปเยี่ยมชมบ้านหรือห้อง โดยเอเจนต์ที่มีความเชี่ยวชาญจะสามารถให้คำแนะนำที่เหมาะสม ช่วยอำนวยความสะดวกให้การปล่อยเช่าบ้าน/คอนโดฯ เป็นไปอย่างราบรื่น ช่วยทำการตลาดผ่านสื่อต่าง ๆ ช่วยประสานงานกับผู้สนใจเช่า และยังมีเครือข่ายของเอเจนต์เองหรือฐานข้อมูลลูกค้าของบริษัทที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น นอกจากนี้ เอเจนต์ยังมีความรู้ด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอสังหาฯ ซึ่งจะช่วยดูแลความเรียบร้อยของสัญญาเช่าให้ถูกต้องครบถ้วน ป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ 

การให้เช่าที่อยู่อาศัยถือเป็นอีกหนึ่งรูปแบบการลงทุนในอสังหาฯ ที่ได้รับความนิยม และสามารถสร้างรายได้ในระยะยาว อย่างไรก็ดี ผู้ให้เช่า/นักลงทุนต้องไม่ลืมที่จะพิจารณาความพร้อมทางการเงิน และปัจจัยแวดล้อมที่มีผลต่อการแข่งขันในตลาดเช่าอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถบริหารความเสี่ยงและสร้างรายได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ทั้งนี้ แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทยอย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (www.ddproperty.com) รวบรวมข้อมูลประกาศซื้อ-ขาย-เช่าที่อยู่อาศัยจากหลากหลายทำเลศักยภาพทั่วประเทศ ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานมาเป็นอันดับแรก โดยดำเนินงานภายใต้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศไทยอย่างเคร่งครัด ผู้ใช้งานจึงสามารถมั่นใจได้ว่าทุกการประกาศและค้นหาที่อยู่อาศัยผ่านเว็บไซต์ www.ddproperty.com จะได้รับการดูแลและปกป้องข้อมูลอย่างปลอดภัยในทุกขั้นตอน ช่วยให้ทุกเส้นทางการซื้อ-ขาย-เช่าเป็นไปอย่างราบรื่นและไร้กังวล

สมรสเท่าเทียมเปิดประตูสู่บ้านในฝัน ดันเทรนด์ที่อยู่อาศัยสดใสในเศรษฐกิจสีรุ้ง (Rainbow Economy)

สมรสเท่าเทียมเปิดประตูสู่บ้านในฝัน ดันเทรนด์ที่อยู่อาศัยสดใสในเศรษฐกิจสีรุ้ง (Rainbow Economy)

สมรสเท่าเทียมเปิดประตูสู่บ้านในฝัน ดันเทรนด์ที่อยู่อาศัยสดใสในเศรษฐกิจสีรุ้ง (Rainbow Economy)

ในวันนี้กลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศหรือ LGBTQIAN+ ได้เป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจทั่วโลกที่รู้จักกันในชื่อเศรษฐกิจสีรุ้ง (Rainbow Economy) เนื่องจากกลุ่ม LGBTQIAN+ มีอำนาจการใช้จ่ายสูงและพร้อมที่จะใช้จายเพื่อเพิ่มความสุขส่วนตัวตามไลฟ์สไตล์ที่ชอบอย่างเต็มที่ ในขณะที่ประเทศไทยเปิดกว้างและยอมรับในความหลากหลายทางเพศ เห็นได้จากพลังสังคมที่ร่วมกันผลักดันและขับเคลื่อนให้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 หรือกฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลใช้บังคับอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงการสร้างสังคมที่เท่าเทียมในอีกมิติ 

ข้อมูลจากวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) รายงานผลงานวิจัยในหัวข้อ “Love Wins Marketing: ถอดรหัสการตลาดหลัง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม” พบว่า กลุ่มผู้บริโภค LGBTQIAN+ ไทยมีจำนวนมากกว่า 5.9 ล้านคน หรือคิดเป็น 9% ของประชากรทั้งประเทศ จึงกลายเป็นขุมพลังทางเศรษฐกิจใหม่ที่ธุรกิจควรจับตามองโดยเฉพาะในตลาดอสังหาริมทรัพย์ 

นอกจากนั้น 54% ของประชากรกลุ่มนี้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง ในจำนวนนี้พบว่า 79.1% สนใจเลือกซื้อบ้านเดี่ยว และ 20.9% เลือกที่จะย้ายไปอยู่กับคู่รัก โดยมีงบประมาณเฉลี่ย 3-5 ล้านบาท และมีความสนใจที่อยู่อาศัยแตกต่างกันไป สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการที่อยู่อาศัยยังคงเป็นปัจจัยที่ทุกเพศทุกวัยให้ความสำคัญมาโดยตลอด

คู่ชีวิต LGBTQIAN+ ควรรู้! ใช้สิทธิจัดการสินสมรสที่เป็นอสังหาฯ ได้อย่างไรบ้าง

นอกจาก พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมจะช่วยให้คู่ชีวิต LGBTQIAN+ สามารถจดทะเบียนสมรสได้ตามกฎหมายแล้ว ยังมาพร้อมสิทธิต่าง ๆ ที่คู่สมรสพึงมี ไม่ว่าจะเป็นการดูแลชีวิตคู่ การจัดการทรัพย์สิน/หนี้สิน ไปจนถึงการจัดการสินสมรสร่วมกัน ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย ชวนชาว LGBTQIAN+ ทำความเข้าใจการจัดการสินสมรสที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ (ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474) ว่าเรื่องใดที่ต้องทำร่วมกันบ้าง

ทั้งนี้ กฎหมายเปิดโอกาสให้คู่สมรสสามารถตกลงรูปแบบ วิธีการ เงื่อนไข และข้อจำกัดเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินของคู่สมรสที่แตกต่างไปจากที่กฎหมายกำหนดได้ตามที่คู่สมรสเห็นสมควร หากไม่ได้ทำสัญญาตกลงกันเรื่องจัดการทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสแล้ว เมื่อการสมรสสิ้นสุดลง ทั้งสองฝ่ายต้องจัดการสินสมรสที่มีร่วมกันและแบ่งให้แต่ละฝ่ายเท่า ๆ กันตามกฎหมายข้อมูลจากสำนักงานกิจการยุติธรรม เผยว่า กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1476 กำหนดวิธีจัดการสินสมรสที่คู่สมรสสามารถจัดการสินสมรสร่วมกันได้ไว้ 8 เรื่อง โดยมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสินสมรสที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ควรรู้ ดังนี้

  • การจัดการเกี่ยวกับทรัพย์ ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จำนอง ปลดจำนอง หรือโอนสิทธิจำนอง คู่สมรสต้องได้รับการยินยอมร่วมกัน
  • การจัดการทรัพยสิทธิ ได้แก่ ภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์
  • ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 3 ปี คู่สมรสต้องไปจัดการร่วมกัน หากฝ่าฝืน คู่สมรสที่ไม่ให้ความยินยอมมีสิทธิฟ้องเพิกถอน แต่หากเป็นการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่เกิน 3 ปี คู่สมรสสามารถจัดการได้โดยลำพังตนเอง ไม่ต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง
  • เอาสินสมรสไปเป็นหลักประกัน ยกเว้นในกรณีใช้ตำแหน่งส่วนตัวไม่ต้องยินยอมจากคู่สมรส

ถอดรหัสเทรนด์ที่อยู่อาศัยตอบโจทย์ตรงใจคู่รัก LGBTQIAN+

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความต้องการที่อยู่อาศัยเป็นเทรนด์ที่ปราศจากเพศ (Genderless) ที่มีความต้องการพื้นฐานในการหาบ้านคล้ายคลึงกัน ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) อัปเดตเทรนด์การเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตของคู่รัก LGBTQIAN+ ในยุคปัจจุบัน ที่การพิจารณาเลือกซื้อ/เช่าบ้านหรือคอนโดฯ ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับกรอบทางเพศอีกต่อไป แต่ควรให้ความสำคัญกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ที่แท้จริงของผู้พักอาศัยเป็นสำคัญ 

  • คู่สมรส LGBTQIAN+ กู้ร่วมซื้อบ้านได้ง่ายขึ้น การประกาศใช้ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมในปีนี้ช่วยให้คู่สมรส LGBTQIAN+ สามารถยื่นกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยร่วมกันได้ หลังจากก่อนหน้านี้การกู้ร่วมของคู่รักกลุ่มนี้มีข้อจำกัด เนื่องจากไม่เข้าเงื่อนไขของธนาคารที่กำหนดให้ผู้กู้ร่วมต้องเป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน ปัจจุบันมีหลายธนาคารที่จัดแคมเปญให้คู่สมรส LGBTQIAN+ สามารถกู้ซื้อบ้าน/คอนโดฯ ร่วมกันได้ ซึ่งข้อดีของการกู้ร่วมคือช่วยเพิ่มโอกาสให้อนุมัติการกู้ได้ง่ายขึ้น ได้วงเงินมากขึ้นเพื่อซื้อบ้านในฝันตามงบที่ต้องการ และเพิ่มความคล่องตัวทางการเงินของทั้งสองฝ่าย โดยคู่สมรส LGBTQIAN+ ที่กู้ร่วมเพื่อซื้อบ้าน/คอนโดฯ สามารถเลือกใส่ชื่อในกรรมสิทธิ์ได้ทั้งแบบ 1 คน หรือ 2 คน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด
  • คู่ชีวิตวิถี DINKs มองโอกาสออมเงินต่อยอดลงทุน แนวคิด DINKs (Double Income No Kids) เป็นวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่มาแรงในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นคู่รักต่างเพศหรือเพศเดียวกันที่ยังไม่มีลูกหรือวางแผนที่จะไม่มีลูก ซึ่งผู้บริโภคกลุ่มนี้มีรายได้ 2 ทางและไม่มีภาระเลี้ยงดูบุตร ทำให้มีกำลังซื้อสูงในการใช้จ่ายเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง รวมทั้งมีเงินออมและเงินลงทุนเหลือมากกว่ากลุ่มอื่น จึงให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงิน ซึ่งการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากมีความผันผวนน้อยกว่าและให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนประเภทอื่น ๆ รวมทั้งมีหลายรูปแบบให้เลือกทั้งแบบที่สร้างผลตอบแทนระยะสั้นและระยะยาว เช่น การขายใบจองคอนโดฯ, การลงทุนปล่อยเช่าบ้าน/คอนโดฯ รายเดือน หรือการลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ
  • เลือกบ้านใกล้หมอ วางแผนสุขภาพระยะยาว ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุดของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) พบว่า ผู้บริโภคกว่า 1 ใน 5 (22%) มองว่าที่อยู่อาศัยใกล้โรงพยาบาล/สถานพยาบาลถือเป็นปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัย สะท้อนให้เห็นแนวโน้มที่ผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงหรือการรักษาเมื่อเจ็บป่วย ดังนั้น การได้อยู่อาศัยใกล้สถานพยาบาลจะช่วยเพิ่มความอุ่นใจหากเกิดเหตุไม่คาดคิด และเอื้อต่อการวางแผนดูแลสุขภาพในระยะยาวได้ดียิ่งขึ้น
  • เทรนด์ “Pet Humanization” ฮีลใจด้วยสัตว์เลี้ยง เทรนด์ “Pet Humanization” หรือ “Pet Parent” ที่เจ้าของเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเหมือนลูก ให้ความสำคัญเทียบเท่าสมาชิกในครอบครัวยังคงมาแรง สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทยปัจจุบันที่มีแนวโน้มครองตัวเป็นโสดมากขึ้น หรือกลุ่ม DINKS รวมทั้งกลุ่ม LGBTQIAN+ ที่มักจะมีสัตว์เลี้ยงไว้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว พร้อมดูแลอย่างดีเหมือนเป็นลูก ส่งผลให้เทรนด์นี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ คาดการณ์ว่าตลาดสัตว์เลี้ยงในปี 2569 จะมีมูลค่าสูงถึง 66,748 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยปีละ 8.4% ขณะเดียวกันผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างปรับตัวเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายนี้ โดยเปิดตัวโครงการคอนโดฯ Pet-Friendly หลากหลายรูปแบบเพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภค เห็นได้จากผลการสำรวจของบริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์โซลูชั่นส์ จำกัด (LWS) พบว่า ณ สิ้นปี 2566 มีจำนวนอาคารชุดประเภทที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล จำนวน 23,031 หน่วย เพิ่มขึ้น 4,600% จาก 490 หน่วย เมื่อเทียบกับปี 2554

อย่างไรก็ดี คู่รัก LGBTQIAN+ ที่เลี้ยงสัตว์เลี้ยงเหมือนลูกต้องไม่ลืมเช็กความพร้อมของโครงการที่อยู่อาศัยว่าออกแบบมารองรับการใช้ชีวิตของเลี้ยงสัตว์ดีเพียงใด รวมทั้งศึกษากฎระเบียบของโครงการไปจนถึงศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องในแต่ละพื้นที่ เช่น คนในเมืองหลวงควรทำความเข้าใจข้อบัญญัติใหม่ของกรุงเทพมหานครเกี่ยวกับการควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ พ.ศ. 2567 ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 มกราคม 2569 เพื่อให้การอยู่อาศัยของสมาชิกทุกชีวิตในครอบครัวเป็นไปอย่างราบรื่นและมีความสุข 

แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทยอย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (www.ddproperty.com) ได้รวบรวมข่าวสารและเรื่องราวน่ารู้ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเป็นข้อมูลให้คนหาบ้านทุกเพศทุกวัยได้นำไปใช้วางแผนประกอบการตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัย รวมทั้งเป็นแหล่งรวมประกาศซื้อ-ขาย-เช่าที่อยู่อาศัยในหลากหลายทำเลทั่วประเทศ ช่วยให้ทุกคนเริ่มเตรียมความพร้อมก่อนเป็นเจ้าของบ้านในฝันได้อย่างมั่นใจในทุก ๆ วัน 

พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป เปิดตัวรายงานความยั่งยืนประจำปี 2567 สะท้อนความก้าวหน้าในการลดการปล่อยคาร์บอน ส่งเสริมการประกาศขาย-เช่าที่อยู่อาศัยแบบครอบคลุม และเพิ่มทางเลือกในการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน

พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป เปิดตัวรายงานความยั่งยืนประจำปี 2567 สะท้อนความก้าวหน้าในการลดการปล่อยคาร์บอน ส่งเสริมการประกาศขาย-เช่าที่อยู่อาศัยแบบครอบคลุม และเพิ่มทางเลือกในการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน

พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป เปิดตัวรายงานความยั่งยืนประจำปี 2567 สะท้อนความก้าวหน้าในการลดการปล่อยคาร์บอน ส่งเสริมการประกาศขาย-เช่าที่อยู่อาศัยแบบครอบคลุม และเพิ่มทางเลือกในการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน

  • พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป เดินหน้าลดการปล่อยคาร์บอนอย่างต่อเนื่อง โดยบรรลุเป้าหมายการใช้พลังงานหมุนเวียน 100% สำหรับการดำเนินงานโดยตรง
  • จากผลการสำรวจโดยดีดีพร็อพเพอร์ตี้พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 90% มีความสนใจที่จะซื้อที่อยู่อาศัยที่มีคุณสมบัติด้านความยั่งยืน และกว่า 93% ยินดีจ่ายเพิ่มสำหรับที่อยู่อาศัยเหล่านั้น
  • เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคด้านที่อยู่อาศัยที่ยั่งยืน เราได้มีการเปิดตัวฟีเจอร์ ‘เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’ หรือ ‘Sustainable Living’ ในการค้นหาที่อยู่อาศัยบนเว็บไซต์ DDproperty.com

บริษัท พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป จำกัด (จากนี้จะเรียกแทนว่า “กลุ่มบริษัท” หรือ “พร็อพเพอร์ตี้กูรู”) ผู้นำด้านเทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (“PropTech”) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ ‘ดีดีพร็อพเพอร์ตี้’ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย ได้เผยแพร่รายงานความยั่งยืนประจำปี 2567 ภายใต้กลยุทธ์ ‘Gurus For Good’ ตอกย้ำพันธกิจในการมีส่วนร่วมสร้างเมืองที่ครอบคลุมและสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศท่ามกลางแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นในเขตเมือง 

รายงานฉบับนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงการที่พร็อพเพอร์ตี้กูรูใช้ประโยชน์จากข้อมูล, เครื่องมือดิจิทัลและความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ เพื่อผลักดันให้ความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาในภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะเมื่อมีการคาดการณ์ว่าเกือบ 63% ของประชากรทั้งหมดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะอาศัยอยู่ในเขตเมืองภายในปี 2593

ด้วยจำนวนผู้ค้นหาอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 32 ล้านรายต่อเดือน และตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้งานอยู่กว่า 50,000 รายในสิงคโปร์, มาเลเซีย, เวียดนาม และไทย กลุ่มบริษัทได้นำเสนอโซลูชันนวัตกรรมและข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายเร่งด่วนของตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยตรง ซึ่งไฮไลต์ของรายงานความยั่งยืนประจำปี 2567 คือการเปิดตัวฟีเจอร์ ‘Everyone Welcome’ สำหรับอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าในประเทศสิงคโปร์ เพื่อส่งเสริมทางเลือกในการอยู่อาศัยแบบครอบคลุมและรองรับความต้องการของคนทุกกลุ่ม (Inclusive Living) รวมถึงการเลือกใช้เครื่องมือที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง อาทิ ‘Green Score’ สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยบนแพลตฟอร์ม PropertyGuru Singapore, การเปิดตัวฟีเจอร์ ‘เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’ หรือ ‘Sustainable Living’ ในแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสของไทย DDproperty.com และฟีเจอร์ ‘Everyone Welcome’ ในแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสของมาเลเซีย PropertyGuru Malaysia

“ความต้องการที่อยู่อาศัยที่ยั่งยืนและรองรับคนทุกกลุ่มกำลังเพิ่มสูงขึ้น และที่พร็อพเพอร์ตี้กูรู เรากำลังตอบสนองด้วยโซลูชันที่นำไปปฏิบัติได้จริง” Cécile Corda หัวหน้าฝ่ายความยั่งยืนของพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป กล่าว

“เราได้มีการจัดเตรียมเครื่องมือให้กับผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย เพื่อให้สามารถตัดสินใจเลือกวิถีชีวิตที่ยั่งยืนได้อย่างมีข้อมูล เรากำลังช่วยเพิ่มการรับรู้ ส่งเสริมพฤติกรรมเชิงบวก และสนับสนุนการสร้างเมืองที่มีความยืดหยุ่น ซึ่งท้ายที่สุดจะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายในตลาดที่อยู่อาศัย”

ในรายงานฉบับนี้ยังเน้นย้ำถึงความก้าวหน้าในการเดินหน้ายกระดับการลดการปล่อยคาร์บอนของกลุ่มบริษัทฯ และความมุ่งมั่นในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

จากเป้าหมายสู่การปฏิบัติด้านความยั่งยืน

ด้วยความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นหัวใจหลักขององค์กรในการพยายามผลักดันความยั่งยืน หลังจากที่ได้จัดทำข้อมูลฐานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) แล้ว กลุ่มบริษัทฯ ได้มุ่งเน้นไปที่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ประเภทที่ 2 ซึ่งพร็อพเพอร์ตี้กูรูสามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero) สำหรับการดำเนินการโดยตรงของบริษัทผ่านการจัดซื้อพลังงานหมุนเวียน

นอกจากนี้ยังได้ปรับเปลี่ยนมาใช้โซลูชันคลาวด์ที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานมากยิ่งขึ้น โดยตระหนักว่าระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลของบริษัทมีส่วนสำคัญต่อการใช้พลังงาน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ช่วยลดรอยเท้าคาร์บอน (Carbon footprint) ของแพลตฟอร์มต่าง ๆ และสนับสนุนความก้าวหน้าในการลดการปล่อยคาร์บอนขององค์กรอย่างต่อเนื่อง

มอบเครื่องมือให้ผู้ค้นหาที่อยู่อาศัยเพื่อการตัดสินใจที่ยั่งยืน

จากผลสำรวจความพึงพอใจของผู้บริโภคในปี 2567 โดยดีดีพร็อพเพอร์ตี้ พบว่า ความต้องการใช้ชีวิตอย่างใส่ใจสิ่งแวดล้อมเพิ่มสูงขึ้นในประเทศไทย 90% ของผู้บริโภคชาวไทยแสดงความสนใจในการซื้อที่อยู่อาศัยที่มีคุณสมบัติด้านความยั่งยืน และ 93% ยินดีจ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อคุณสมบัติดังกล่าว

ในฐานะผู้นำในการผนวกความยั่งยืนเข้าสู่กระบวนการค้นหาอสังหาริมทรัพย์ และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาทางเลือกการอยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กลุ่มบริษัทฯ ได้เปิดตัวฟีเจอร์ ‘เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’ หรือ ‘Sustainable Living’ บนเว็บไซต์ DDproperty.com ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา เพื่อให้ความสำคัญกับที่อยู่อาศัยที่มีคุณสมบัติรักษ์โลก เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ และจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยฟีเจอร์นี้รองรับทั้งอสังหาริมทรัพย์แบบซื้อและแบบเช่า สามารถเข้าใช้งานได้ไม่ยาก เพียงเข้าไปที่หน้าประกาศซื้อหรือประกาศเช่า ใต้ช่องการค้นหาด้านบนจะมีตัวเลือกคุณสมบัติที่ต้องการ และฟีเจอร์ ‘เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’ หรือ ‘Sustainable Living’ เป็นหนึ่งในตัวเลือกดังกล่าว 

และพร็อพเพอร์ตี้กูรูได้มีการเปิดตัวฟีเจอร์ Green Score ในปี 2564 เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานชาวสิงคโปร์สามารถระบุที่อยู่อาศัยที่มีคุณสมบัติด้านความยั่งยืนได้ง่ายขึ้น จากผลสำรวจความพึงพอใจของผู้บริโภคในสิงคโปร์ปี 2567 พบว่า 63% ของผู้มองหาที่อยู่อาศัยไว้วางใจ Green Score ในฐานะตัวชี้วัดของทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลและใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

นอกจากโซลูชันเหล่านี้แล้วพร็อพเพอร์ตี้กูรูยังได้นำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-driven insights) รวมถึงการวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศและข้อมูลประวัติภัยพิบัติ เพื่อช่วยให้ผู้ที่อาจจะมีผลกระทบในวงการอสังหาริมทรัพย์รับมือกับความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศและเตรียมพร้อมอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต รวมทั้งส่งเสริมการพัฒนาเมืองที่มีความยืดหยุ่นและยั่งยืน

“การเปิดตัวฟีเจอร์ ‘เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’ หรือ ‘Sustainable Living’ ของเรา คือการพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นในการช่วยสร้างอนาคตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสำหรับประเทศไทย” นายวิทยา อภิรักษ์วิริยะ ผู้จัดการทั่วไป Think of Living และ ตลาดมาร์เก็ตเพลสประเทศไทย (ฝั่งดีเวลลอปเปอร์) ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ กล่าว “เรากำลังมอบข้อมูลเชิงลึกที่ผู้ค้นหาที่อยู่อาศัยต้องการ โดยเน้นคุณสมบัติด้านความยั่งยืน เช่น แผงโซลาร์เซลล์และจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อช่วยให้ผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย มีข้อมูลในการตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัยที่มีความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง นี่คือการสร้างตลาดที่การใช้ชีวิตอย่างใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องปกติ และทุกการตัดสินใจด้านอสังหาริมทรัพย์มีส่วนช่วยให้ประเทศไทยมีความยืดหยุ่นและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น”

ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนและที่อยู่อาศัยที่ครอบคลุม

ในปี 2567 ทีม Gurus For Good ประจำประเทศไทยได้บริจาคเงินจำนวน 2,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ ให้กับมูลนิธิ Fight 4 the Future เพื่อช่วยซ่อมแซมพื้นที่ออกกำลังกายในโรงฝึกศิลปะการต่อสู้สำหรับเด็ก ๆ นอกจากนี้ กลุ่มอาสาสมัครกูรูชาวไทยยังได้ใช้เวลาร่วมฝึกซ้อมกับเด็ก ๆ พร้อมทั้งแจกเสื้อยืด กล่องข้าว และคัพเค้กธีมเทศกาลฮาโลวีน อีกทั้งยังมอบของเล่น เสื้อผ้า และกระเป๋าให้กับเด็ก ๆ อีกด้วย

ไม่ว่าจะเป็นใคร ทุกคนควรมีที่อยู่อาศัยที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นบ้าน แต่ความไม่เท่าเทียมยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับผู้มองหาที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะอสังหาฯ สำหรับเช่า โดยหนึ่งในสี่ของผู้คนในสิงคโปร์เคยประสบกับการถูกเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติระหว่างการค้นหาที่อยู่อาศัย แม้ว่าสังคมที่หลากหลายทางวัฒนธรรมจะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง แต่ทัศนคติที่ไม่รู้ตัวและอคติยังคงส่งผลต่อโอกาสในการเช่าที่อยู่อาศัย

พร็อพเพอร์ตี้กูรูได้เปิดตัวฟีเจอร์ ‘Everyone Welcome’ บนแพลตฟอร์มในสิงคโปร์เมื่อเดือนธันวาคม 2567 โดยเป็นป้ายกำกับสำหรับประกาศเช่าที่เจ้าของบ้านเปิดรับผู้เช่าทุกเชื้อชาติ, เพศ, ศาสนา และรสนิยมทางเพศ 

โครงการริเริ่มนี้มีเป้าหมายเพื่อมอบประสบการณ์ในการหาที่อยู่อาศัยที่ปราศจากการเลือกปฏิบัติ พร้อมทั้งส่งเสริมให้ตัวแทนอสังหาริมทรัพย์และเจ้าของบ้านยอมรับในความหลากหลายและแนวทางที่ครอบคลุม ปัจจุบันหนึ่งในสี่ของประกาศเช่าทั้งหมดบนพร็อพเพอร์ตี้กูรู สิงคโปร์ มีการติดป้ายกำกับ ‘Everyone Welcome’ ช่วยให้ผู้มองหาบ้านสามารถค้นหาที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อความหลากหลายได้ง่ายยิ่งขึ้น ฟีเจอร์ ‘Everyone Welcome’ นี้ยังได้เปิดตัวในแพลตฟอร์มพร็อพเพอร์ตี้กูรู มาเลเซียในเดือนเมษายน 2568 อีกด้วย

นี่เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของกลุ่มบริษัทฯ ในการสร้างตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นธรรม โดยนอกเหนือจากการเปิดตัวฟีเจอร์ดังกล่าว กลุ่มบริษัทฯ ยังได้กำหนดแนวทางการลงประกาศอย่างครอบคลุม ใช้เครื่องมือตรวจสอบภาษาที่อาจสื่อถึงการเลือกปฏิบัติในระบบ และเปิดช่องทางให้ผู้ใช้งานสามารถรายงานพฤติกรรมที่เข้าข่ายการเลือกปฏิบัติได้โดยตรง

จากความพยายามร่วมกันในหลายด้าน พร็อพเพอร์ตี้กูรูมุ่งมั่นที่จะลดอุปสรรคและสร้างเส้นทางการเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งทุกคนสามารถค้นหาบ้านที่ตอบโจทย์และรู้สึกว่าได้รับการต้อนรับอย่างเท่าเทียม

แหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง –