“DDproperty Agent & Agency Impact Awards 2025” ยกระดับมาตรฐานวงการเอเจนต์อสังหาฯ มอบรางวัลเกียรติยศเป็นครั้งแรกในไทย!

“DDproperty Agent & Agency Impact Awards 2025” ยกระดับมาตรฐานวงการเอเจนต์อสังหาฯ มอบรางวัลเกียรติยศเป็นครั้งแรกในไทย!

“DDproperty Agent & Agency Impact Awards 2025” ยกระดับมาตรฐานวงการเอเจนต์อสังหาฯ มอบรางวัลเกียรติยศเป็นครั้งแรกในไทย!

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย จัดพิธีมอบรางวัล “DDproperty Agent & Agency Impact Awards 2025” อย่างยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรกในไทย เมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ CHANG CANVAS, One Bangkok โดยมีแขกผู้มีเกียรติในวงการอสังหาริมทรัพย์เข้าร่วมงานกว่า 200 คน เพื่อยกย่องสุดยอดเอเจนต์และเอเจนซี่อสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศ ที่มุ่งมั่นทำงานอย่างมืออาชีพ สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า และมีส่วนร่วมในการยกระดับมาตรฐานตลาดอสังหาฯ ไทยให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ สะท้อนวิสัยทัศน์ของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ที่มุ่งมั่นสนับสนุนวิชาชีพนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย ให้ก้าวสู่การเป็นพาร์ทเนอร์ที่ลูกค้าไว้วางใจ และพร้อมรับมือกับทุกการเปลี่ยนแปลงของตลาด

นายจูลส์ เคย์ ผู้จัดการทั่วไป พร็อพเพอร์ตี้กูรู เอเชีย พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ แอนด์ อีเวนต์ กล่าวว่า “ในฐานะแพลตฟอร์ม เราเข้าใจถึงความท้าทายในตลาดอสังหาฯ​ และตระหนักถึงความทุ่มเทของเอเจนต์ในการสร้างสรรค์ประกาศที่มีคุณภาพเพื่อเชื่อมโยงผู้คนให้เข้าถึงบ้านในฝันได้ง่ายขึ้น วิชาชีพนายหน้าจึงต้องการทั้งความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ และความใส่ใจในทุกรายละเอียด 

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ได้ให้ความสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของชุมชนเอเจนต์อสังหาฯ อย่างต่อเนื่อง ผ่านการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกและรายงานแนวโน้มตลาดที่เป็นประโยชน์ พร้อมเสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบนิเวศบนแพลตฟอร์มด้วยการจัดทำโครงการ “การยืนยันตัวตนเอเจนต์ (Agent Verification)” เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเอเจนต์มืออาชีพ มีการจัดคอร์สอบรมเพื่อเสริมทักษะและความรู้ที่จำเป็นในยุคดิจิทัลให้กับเอเจนต์อย่างสม่ำเสมอ และจัดงาน DDproperty Agent Summit ประจำปีเพื่อให้ความรู้และอัปเดตเทรนด์ในวงการอสังหาฯ ช่วยให้เอเจนต์มีความพร้อมและปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีได้ดียิ่งขึ้น” 

“ปีนี้เราได้จัดพิธีมอบรางวัลแห่งเกียรติยศ DDproperty Agent & Agency Impact Awards 2025 เป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จและเชิดชูสุดยอดนายหน้าอสังหาฯ อย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อส่งมอบความภาคภูมิใจที่เรามีต่อความทุ่มเทของเอเจนต์ทุกท่าน เกณฑ์การตัดสินให้ความสำคัญสูงสุดกับความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ โดยเน้นย้ำที่ “คุณภาพของประกาศ” เป็นหัวใจสำคัญ นำมาซึ่งการมองเห็นที่โดดเด่นและผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ มากกว่าจำนวนของประกาศ ดังนั้น ผู้ชนะทุกสาขาจึงเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างเห็นได้ชัดจากผลลัพธ์จริง (Performance) ที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์ม สะท้อนถึงมาตรฐานความเป็นมืออาชีพและศักยภาพที่โดดเด่นของเอเจนต์และเอเจนซี่อสังหาฯ อย่างแท้จริง” นายจูลส์ กล่าวเสริม

นายจูลส์ กล่าวสรุปว่า “เราหวังว่ารางวัลนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้เอเจนต์และเอเจนซี่อสังหาฯ ทั่วประเทศเห็นคุณค่าของ “คุณภาพ” ที่นำไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน และยกระดับมาตรฐานการทำงานของตนเอง การมอบรางวัลครั้งนี้ไม่เพียงแต่เชิดชูความสำเร็จส่วนบุคคล แต่ยังสะท้อนถึงบทบาทสำคัญของนายหน้าอสังหาฯ ในการขับเคลื่อนตลาดให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทุกการเชื่อมต่อระหว่างผู้ซื้อ ผู้ขาย และผู้ปล่อยเช่าผ่านประกาศของเอเจนต์ล้วนเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยให้ผู้คนได้พบกับบ้านในฝันของพวกเขา นี่คือความภาคภูมิใจที่เราได้ร่วมเดินทางไปกับทุกคน และตอกย้ำว่าดีดีพร็อพเพอร์ตี้พร้อมเป็น “พาร์ทเนอร์คนสำคัญ” ในทุกเส้นทางอสังหาริมทรัพย์”

เกณฑ์การตัดสิน: มุ่งเน้น “คุณภาพ” และ “ผลลัพธ์จริง”

รางวัล “DDproperty Agent & Agency Impact Awards 2025” มอบให้แก่เอเจนต์และเอเจนซี่อสังหาฯ ที่มีผลงานโดดเด่นและสร้างการมองเห็นให้กับประกาศได้สูงที่สุด เกณฑ์การตัดสินอ้างอิงจากสถิติจริงของการสร้างการมองเห็นของประกาศ (Listing Visibility) โดยวัดจากค่าเฉลี่ยของจำนวนผู้เข้าชม (Total Unique Users) ต่อหนึ่งประกาศบนเว็บไซต์ www.DDproperty.com ทั้งในหมวดขายและเช่าภายในเขตพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศที่เอเจนต์/เอเจนซี่อสังหาฯ แต่ละรายได้ลงประกาศไว้ 

กระบวนการพิจารณารางวัลให้ความสำคัญกับ “คุณภาพ” ของประกาศมากกว่าจำนวนของประกาศ โดยเน้นที่จำนวนผู้เข้าชมประกาศ (Unique Users) มาเป็นอันดับแรก สะท้อนให้เห็นว่าเอเจนต์และเอเจนซี่อสังหาฯ ที่ได้รับรางวัลนี้ถือเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในการสร้างการมองเห็นของประกาศได้เป็นอย่างดี มีกลยุทธ์ดึงดูดความสนใจและมีส่วนรวมกับผู้ค้นหาอสังหาฯ ช่วยขับเคลื่อนตลาดอสังหาฯ ให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน 

ในปีนี้รางวัล DDproperty Agent & Agency Impact Awards 2025 แบ่งเป็น 44 หมวด โดยมีผู้ชนะในสาขาต่าง ๆ ดังนี้

Rising Star Awards

  • คุณทิตยาพร คิม (Agent ประเภทเช่า & ขาย) 
  • CBRE (Thailand) Co., Ltd. (Agency ประเภทเช่า) 
  • RE/MAX GreenWay (Agency ประเภทขาย)

Top Agent & Top Agency-ภาคกลาง

  • คุณศราวุธ วัฒนานนท์ (Top Agent-ประเภทเช่า) 
  • คุณภูสยาม ธัญปริภัทร์ (Top Agent-ประเภทขาย) 
  • ThaiPropertyInvestor Co., Ltd. (Top Agency-ประเภทเช่า & ขาย)

Top Agent & Top Agency-ภาคเหนือ

  • คุณสิรินท์รัศม์ มณีรัตน์ (Top Agent-ประเภทเช่า) 
  • คุณณัฐพล ก้อฝั้น (Top Agent-ประเภทขาย) 
  • 66 Property Co., Ltd. (Top Agency-ประเภทเช่า)
  • Homeplus Realty Estate Co., Ltd. (Top Agency-ประเภทขาย)

Top Agent & Top Agency-ภาคใต้

  • คุณปริญดา เสน่ห์ (Top Agent-ประเภทเช่า & ขาย) 
  • The Best Property Agent Co., Ltd. (Top Agency-ประเภทเช่า) 
  • OKDD Studio Co., Ltd. (Top Agency-ประเภทขาย)

Top Agent & Top Agency-ภาคตะวันออก

  • คุณภัครวรรณ์ วุฒิศรินพัฒน์ (Top Agent-ประเภทเช่า) 
  • คุณสิราภา เสริมสันติวาณิช (Top Agent-ประเภทขาย) 
  • Infinity EEC (Thailand) Co., Ltd. (Top Agency-ประเภทเช่า) 
  • ThaiPropertyInvestor Co., Ltd. (Top Agency-ประเภทขาย)

กลุ่มเขตกรุงเทพฯ-Top Agent ประเภทเช่า

  • คุณชิสา โพธิ์บุญ (กลุ่มเขตกรุงเทพกลาง)
  • คุณณัฐพงศ์ สุนทรอรุณ (กลุ่มเขตกรุงเทพเหนือ)
  • คุณภารวี สุมังคะละ (กลุ่มเขตกรุงเทพใต้ & กลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออก)
  • คุณวีรวัฒน์ ไพศาลวศิน (กลุ่มเขตกรุงธนเหนือ)
  • คุณอดิศร พลอยมีรัศมี (กลุ่มเขตกรุงธนใต้)

กลุ่มเขตกรุงเทพฯ-Top Agent ประเภทขาย

  • คุณพัทธนันท์ อภิรโยธิน (กลุ่มเขตกรุงเทพกลาง)
  • คุณชวลิต คงศักดิ์ไพบูลย์ (กลุ่มเขตกรุงเทพเหนือ)
  • คุณณัฐพัชร์ โชติอัครสินทบ (กลุ่มเขตกรุงเทพใต้)
  • คุณภูสยาม ธัญปริภัทร์ (กลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออก)
  • คุณวีรวัฒน์ ไพศาลวศิน (กลุ่มเขตกรุงธนเหนือ)
  • คุณเบญจลักษณ์ กิติยนต์โรจน์ (กลุ่มเขตกรุงธนใต้)

กลุ่มเขตกรุงเทพฯ-Top Agency ประเภทเช่า

  • Bestdeal Property Co., Ltd. (กลุ่มเขตกรุงเทพกลาง)
  • Bangkok Agent Co., Ltd. (กลุ่มเขตกรุงเทพเหนือ)
  • Nest Property Partner Co., Ltd. (กลุ่มเขตกรุงเทพใต้)
  • 66 Property Co., Ltd. (กลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออก)
  • Living Real Estates (กลุ่มเขตกรุงธนเหนือ)
  • Noppon Real Estate Co., Ltd. (กลุ่มเขตกรุงธนใต้)

กลุ่มเขตกรุงเทพฯ-Top Agency ประเภทขาย

  • Smart Living Bangkok Co., Ltd. (กลุ่มเขตกรุงเทพกลาง)
  • Homeplus Realty Estate Co., Ltd. (กลุ่มเขตกรุงเทพเหนือ & กลุ่มเขตกรุงธนเหนือ)
  • Acute Realty Partner Co., Ltd. (กลุ่มเขตกรุงเทพใต้)
  • ThaiPropertyInvestor Co., Ltd. (กลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออก)
  • HL Asset Co., Ltd. (กลุ่มเขตกรุงธนใต้)

สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://pgth.ddproperty.com/Agent-and-Agency-Impact-Awards-2025 

DDproperty ชวนเปิดเช็กลิสต์พิชิตความเสี่ยง เลือกเอเจนต์อสังหาฯ อย่างไร ให้ปลอดภัย ไม่โดนหลอก

DDproperty ชวนเปิดเช็กลิสต์พิชิตความเสี่ยง เลือกเอเจนต์อสังหาฯ อย่างไร ให้ปลอดภัย ไม่โดนหลอก

DDproperty ชวนเปิดเช็กลิสต์พิชิตความเสี่ยง เลือกเอเจนต์อสังหาฯ อย่างไร ให้ปลอดภัย ไม่โดนหลอก

การวางแผนซื้อหรือขายที่อยู่อาศัยถือเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต เพราะเป็นการซื้อขายทรัพย์สินมูลค่าสูงที่มาพร้อมรายละเอียดมากมาย หากผู้บริโภคไม่มีประสบการณ์มาก่อนจะพบว่าทุกขั้นตอนที่เดินบนเส้นทางอสังหาริมทรัพย์ ล้วนมีความท้าทายซ่อนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งผู้ซื้อที่ต้องเปรียบเทียบโครงการต่าง ๆ เพื่อหาความคุ้มค่าด้านราคาและต้องตอบโจทย์การอยู่อาศัยจริงในระยะยาว ขณะที่ฝั่งผู้ขายเองก็ต้องวางแผนการตลาดเพื่อตั้งราคาที่แข่งขันได้และทำกำไร ควบคู่ไปกับการเตรียมเอกสารสัญญาที่ต้องอาศัยความรอบคอบแม่นยำ ความท้าทายรอบด้านเหล่านี้ส่งผลให้การมีผู้เชี่ยวชาญอย่างเอเจนต์อสังหาฯ เข้ามาช่วยแนะนำ กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการลดความยุ่งยากซับซ้อนของการทำธุรกรรมลง

จับตาความท้าทายที่ผู้ขายอสังหาฯ ด้วยตนเองต้องเผชิญ

สำหรับผู้บริโภคมือใหม่ที่ต้องการขายหรือปล่อยเช่าที่อยู่อาศัยด้วยตนเองมักเผชิญความท้าทายหลายมิติ ตั้งแต่ความสับสนในการเริ่มต้นวางแผน การเตรียมเอกสาร ไปจนถึงแรงกดดันจากการแข่งขันในตลาดที่เข้ามาบั่นทอนความมั่นใจ ส่งผลให้กระบวนการขายอาจล่าช้าและใช้เวลานานกว่าที่คาด ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยความท้าทายที่สร้างความกังวลใจให้ผู้บริโภคเมื่อคิดขาย/ปล่อยเช่าที่อยู่อาศัยด้วยตนเอง ดังนี้

  • ตั้งราคาขายไม่สนใจกลไกตลาด ผู้ขายมือใหม่มักตั้งราคาตามที่ต้องการโดยละเลยการศึกษากลไกการแข่งขันในตลาดอสังหาฯ ซึ่งต้องวิเคราะห์ว่าอสังหาฯ ประเภทเดียวกันในทำเลนั้นมีจำนวนมากน้อยเพียงใด มีโครงการอื่นในราคาใกล้เคียงกันหรือไม่ เมื่อหักค่าเสื่อมของอสังหาฯ ออกแล้วราคาขายที่ตั้งนั้นครอบคลุมภาระหนี้ที่เหลืออยู่และค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ที่ผู้ขายต้องรับผิดชอบหรือไม่ เพื่อนำมาประเมินหาราคาขายที่เหมาะสมต่อไป อย่างไรก็ตาม ปัจจัยแวดล้อมที่มีผลต่อการอยู่อาศัยในทำเลนั้น ๆ เช่น มีน้ำท่วมขังบ่อยหรือการเดินทางที่ไม่สะดวก อาจเป็นอีกเงื่อนไขที่ผู้ซื้อนำมาต่อรองราคาได้
  • ไม่มีเวลาพาเยี่ยมชมโครงการ การบริหารจัดการการเยี่ยมชมบ้าน/คอนโดฯ และให้ข้อมูลแก่ผู้สนใจเป็นอีกความท้าทายเมื่อผู้ขายต้องดำเนินการเองทั้งหมด เนื่องจากอาจมีการเยี่ยมชมหลายครั้งกว่าจะปิดการขายได้ หากเวลาของผู้ซื้อไม่ตรงกับผู้ขายบ่อยครั้งจนต้องเลื่อนนัดหรือปฏิเสธนัดหมายอาจทำให้สูญเสียโอกาสในการขายไป เนื่องจากผู้ซื้อมีโอกาสที่จะสนใจโครงการอื่นที่ได้ไปดูแทน นอกจากนี้ ผู้ขายยังต้องเผชิญความท้าทายในการคัดกรองว่าผู้ที่สนใจซื้อนั้นเป็นลูกค้าจริงหรือเป็นเพียงมิจฉาชีพที่แฝงตัวมา
  • เจรจาต่อรองไม่เก่ง ผู้ขายจำเป็นต้องมีทักษะในการสื่อสารและวาทศิลป์ที่ดีเพื่อนำเสนอข้อมูลที่ดึงดูดใจและปิดการขายให้ได้ตามราคาที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะในการเจรจาต่อรองเมื่อถูกผู้ซื้อพยายามกดราคา หรือต่อรองขอส่วนลดเพิ่มด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น อ้างจุดชำรุดหรือไม่ขอรับเฟอร์นิเจอร์ที่แถมให้เพื่อกดดันให้ลดราคาเพิ่ม นอกจากนี้ ผู้ขายควรระมัดระวังไม่เปิดเผยเหตุผลการขายในเชิงลบ ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการถูกผู้สนใจซื้อกดราคาหรือนำไปสู่การยกเลิกการซื้อได้
  • ขาดความรู้ด้านการตลาด การขาดความรู้ความเข้าใจในการวางแผนการตลาดอาจทำให้ผู้ขายต้องเสียเวลาและงบประมาณโดยไม่จำเป็น เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตามที่ต้องการ การวางกลยุทธ์การขายอสังหาฯ ที่ดีต้องผสานการตลาดทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ โดยเน้นจุดเด่นด้านราคาและของแถมอย่างชัดเจน รวมทั้งใช้ภาพถ่ายมุมกว้างที่สวยงามน่าอยู่ อย่างไรก็ดี แม้การตลาดออนไลน์จะสะดวกและเข้าถึงได้ง่าย แต่การแข่งขันที่สูงทำให้การลงประกาศฟรีอาจไม่เพียงพอ ผู้ขายจำเป็นต้องลงทุนในโฆษณาเพื่อเพิ่มการมองเห็น และต้องเข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายที่ต้องการคือใครเพื่อให้การตลาดมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และช่วยควบคุมไม่ให้งบประมาณบานปลาย
  • ความซับซ้อนของเอกสารสัญญา การซื้อขายอสังหาฯ มีความซับซ้อนกว่าการซื้อขายทรัพย์สินทั่วไป ผู้ขายจึงต้องศึกษาเรื่องสัญญาจะซื้อจะขายอย่างรอบคอบ โดยระบุรายละเอียดสำคัญให้ชัดเจนทั้งราคา เงื่อนไข ระยะเวลา รวมถึงค่าปรับหากมีการยกเลิกสัญญา พร้อมศึกษาค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ว่าส่วนใดที่ผู้ขายและผู้ซื้อต้องรับผิดชอบบ้าง นอกจากนี้ ขั้นตอนการซื้อขายอสังหาฯ ยังมีเอกสารสำคัญหลายอย่างที่ผู้ขายควรศึกษา เช่น ใบปลอดหนี้ ใบโอนกรรมสิทธิ์ รวมถึงเอกสารสินเชื่อจากธนาคาร หากไม่มีความเข้าใจเพียงพออาจเกิดข้อผิดพลาด ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาในภายหลังได้ 

เปิดบทบาท “เอเจนต์อสังหาฯ” ผู้ช่วยค้นหาบ้านในฝันมืออาชีพ

“นายหน้าหรือเอเจนต์อสังหาฯ” ถือเป็นตัวแทนของผู้ซื้อหรือผู้ขายในการดำเนินการซื้อ/ขาย/ให้เช่าอสังหาฯ โดยเอเจนต์อสังหาฯ จะมีบทบาทอยู่ในทุกขั้นตอนของเส้นทางการซื้อขายที่อยู่อาศัย ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยที่เชื่อมโยงความต้องการระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อให้มาบรรจบกัน พร้อมช่วยดูแลทุกขั้นตอนของการซื้อขายหรือปล่อยเช่าที่อยู่อาศัยให้เป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ 

เอเจนต์อสังหาฯ มืออาชีพจะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ช่วยให้คำแนะนำตั้งแต่การประเมินราคา การเตรียมบ้าน/คอนโดฯ ให้พร้อมขาย ไปจนถึงให้คำปรึกษาเรื่องการปรับปรุงตกแต่งเพื่อเพิ่มมูลค่าทรัพย์สิน นอกจากนี้ยังเป็นนักวางแผนการตลาดที่คอยจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์นำเสนออสังหาฯ ให้โดดเด่นเพื่อให้ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น โดยเอเจนต์ที่ดีจะมีทักษะการสื่อสารเพื่อช่วยรักษาผลประโยชน์ให้ลูกค้า พร้อมเป็นคนกลางในการเจรจาต่อรอง เพื่อให้ได้ข้อตกลงที่พึงพอใจทั้งสองฝ่าย ที่สำคัญคือมีความเชี่ยวชาญด้านเอกสารและขั้นตอนทางกฎหมาย ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของสัญญาและอำนวยความสะดวกในขั้นตอนการโอนกรรมสิทธิ์ ช่วยให้ทุกฝ่ายประหยัดเวลาในการดำเนินการที่ยุ่งยากได้อย่างมาก

สอดคล้องกับข้อมูลจากแบบสำรวจพฤติกรรมการซื้อ-เช่าอสังหาฯ และการวางแผนอนาคต ของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) ที่จัดทำขึ้นระหว่างเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน 2568 พบว่า ผู้ตอบแบบสำรวจฯ 67% ให้ความสำคัญกับการเลือกเอเจนต์อสังหาฯ โดยพิจารณาจากชื่อเสียงของเอเจนต์อสังหาฯ มาเป็นอันดับแรก ถือเป็นประตูด่านแรกที่สร้างความเชื่อมั่นและการันตีความสามารถของเอเจนต์ รองลงมาคือประสบการณ์ของเอเจนต์อสังหาฯ 59% และความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของเอเจนต์อสังหาฯ 43% ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ 27% คาดหวังว่าเอเจนต์อสังหาฯ จะต้องมีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายมากที่สุด เพื่อช่วยจัดการกับขั้นตอนการทำธุรกรรมและเอกสารที่ซับซ้อนได้ดียิ่งขึ้น รองลงมาคือมีทักษะการตลาด 20% และมีความรู้ด้านการจัดการการเงิน 18% ซึ่งล้วนเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้การซื้อขายอสังหาฯ ราบรื่นยิ่งขึ้น

อัปเดต 6 เช็กลิสต์เลือกเอเจนต์อย่างไรให้ตรงปก ปลอดภัย สบายใจทุกดีล

การซื้อขายบ้าน-คอนโดฯ มือสองมีรายละเอียดที่แตกต่างจากการซื้อบ้านใหม่ไม่น้อย ถือเป็นเรื่องท้าทายสำหรับผู้ขาย/ผู้ซื้อที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน การเลือกใช้บริการเอเจนต์อสังหาฯ จึงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ ช่วยประหยัดเวลาของผู้ขาย/ผู้ซื้อมือใหม่และเพิ่มโอกาสปิดดีลได้มากขึ้น อย่างไรก็ดี การเลือกใช้เอเจนต์อาจมีความท้าทายซ่อนอยู่ ผู้บริโภคบางส่วนยังคงกังวลเกี่ยวกับค่าคอมมิชชั่นรวมทั้งไม่มั่นใจว่าเอเจนต์จะมีความโปร่งใสหรือไม่ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แนะนำแนวทางเลือกเอเจนต์อสังหาฯ อย่างไรให้ได้มืออาชีพ ปัจจัยใดบ้างที่จะช่วยการันตีว่าจะได้รับบริการจากเอเจนต์ที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ ปลอดภัยในทุกธุรกรรม ลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวง 

  1. เลือกเอเจนต์ที่มีใบอนุญาตและเอกสารรับรอง การตรวจสอบประวัติและคุณสมบัติของเอเจนต์อสังหาฯ ถือเป็นขั้นตอนแรกที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่น โดยเอเจนต์มืออาชีพต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย เป็นเครื่องยืนยันว่าผ่านการสอบวัดความรู้ในการเป็นตัวแทนและสอบวัดจรรยาบรรณวิชาชีพเรียบร้อย ถือเป็นเอกสารรับรองวิชาชีพขั้นพื้นฐานที่เอเจนต์ควรมี นอกจากนี้การผ่านการอบรมหลักสูตรต่าง ๆ ที่ส่งเสริมทักษะที่จำเป็นในการทำงานก็จะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเอเจนต์มากขึ้น และส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า

ปัจจุบันแพลตฟอร์มอสังหาฯ ได้มีการพัฒนาโปรแกรมยืนยันตัวตนเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้คนหาบ้านอย่าง “เอเจนต์ที่ได้รับการยืนยันตัวตน (Agent Verification)” ของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ ที่มีการแสดงข้อมูลการติดต่อที่ชัดเจน และความเชี่ยวชาญเบื้องต้น ซึ่งจะทำให้มั่นใจได้ว่าเอเจนต์ที่ผ่านการลงทะเบียนในโครงการนี้ และได้ป้ายสัญลักษณ์สีเขียว “ยืนยันตัวตน” หรือ “Verified” บนเว็บไซต์ www.DDproperty.com เป็นเอเจนต์ที่มีความน่าเชื่อถือและไว้ใจได้ ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าทุกการซื้อ-ขาย-เช่าบนเส้นทางอสังหาฯ นี้จะเป็นไปอย่างราบรื่น

  1. มีอินไซต์ในตลาดอสังหาฯ เอเจนต์ควรมีประสบการณ์และความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับการซื้อขายอสังหาฯ ทั้งในเรื่องประเภทอสังหาฯ ราคาตลาด แนวโน้มความต้องการที่อยู่อาศัยในแต่ละทำเล และอัปเดตข่าวสารในตลาดที่อยู่อาศัยอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งการมีข้อมูลเชิงลึกของทำเลที่เอเจนต์ดูแลอยู่ เช่น มีราคาตลาดเฉลี่ยของบ้าน/คอนโดฯ มีข้อมูลจุดเด่นของแต่ละโครงการ หรือมีข้อมูลพฤติกรรมและความต้องการของกลุ่มเป้าหมายในทำเลนั้น ๆ จะช่วยให้เอเจนต์สามารถให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์และเหมาะกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคนได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ลูกค้าสามารถวางแผนซื้อและลงทุนในอสังหาฯ ได้อย่างรอบคอบตามแนวโน้มการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ในอนาคตได้อีกด้วย
  1. บุคลิกภาพดี เจรจาต่อรองเก่ง บุคลิกภาพและทักษะการสื่อสารที่ดีถือเป็นหัวใจสำคัญของเอเจนต์ โดยเอเจนต์มืออาชีพควรมีบุคลิกภาพที่เป็นมิตร อัธยาศัยดี มี Service mind พร้อมให้บริการ และใส่ใจรับฟังความต้องการทั้งของผู้ขายและผู้ซื้อ ที่สำคัญคือต้องมีทักษะในการเจรจาต่อรอง โดยสามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้องได้อย่างชัดเจนตรงไปตรงมา ไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง และมีความยืดหยุ่นในการสื่อสาร เอเจนต์ที่มีประสบการณ์จะรู้วิธีบริหารจัดการกับผู้สนใจซื้อ และมีเทคนิคในการต่อรองราคา/เงื่อนไขต่าง ๆ อย่างสุภาพ เป็นคนกลางช่วยประสานงานและสร้างข้อตกลงที่พึงพอใจร่วมกันทั้งสองฝ่ายได้อย่างราบรื่น
  1. วางกลยุทธ์การตลาดตรงกลุ่มเป้าหมาย เอเจนต์มืออาชีพไม่เพียงทำหน้าที่เป็นตัวกลางซื้อขาย แต่ยังเป็นทั้งนักวิเคราะห์และนักวางแผนการตลาด โดยเอเจนต์จะวิเคราะห์เพื่อหาจุดเด่นและจุดด้อยของอสังหาฯ รอบด้าน นำมาประกอบกับการวิเคราะห์โอกาสในทำเลนั้น ๆ และเปรียบเทียบกับคู่แข่งในระดับราคาเดียวกัน เพื่อให้เข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายหลักคือใคร สามารถเข้าถึงได้ด้วยสื่อแบบใด มีการแข่งขันในตลาดมากน้อยเพียงใด จากนั้นจึงนำข้อมูลมาวางกลยุทธ์การตลาดให้เหมาะสมทั้งในสื่อออฟไลน์และออนไลน์ นอกจากนี้ เอเจนต์ยังพร้อมให้คำปรึกษาและแนะนำการจัดโปรโมชั่นที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายให้กับลูกค้า หากต้องการกลยุทธ์เพื่อเร่งการตัดสินใจซื้อและปิดการขายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
  1. เชี่ยวชาญงานเอกสาร รู้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เอเจนต์มืออาชีพควรมีความรู้ด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการซื้อ/ขาย/ให้เช่าอสังหาฯ เช่น กฎหมายที่ดิน กฎหมายอาคารชุด การจดทะเบียนและโอนกรรมสิทธิ์ ภาษีและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ รวมทั้งควรมีความรู้ความเข้าใจกระบวนการทำธุรกรรมอสังหาฯ เพื่อให้สามารถแนะนำผู้ขายได้ตั้งแต่ขั้นตอนการตรวจสอบสถานะทรัพย์ว่าพร้อมขายโดยไม่มีหนี้ค้างชำระหรือภาระผูกพันกับธนาคาร และในกรณีที่มีการจำนอง ผู้ขายต้องดำเนินการไถ่ถอนอย่างไรบ้าง นอกจากนี้เอเจนต์ยังสามารถช่วยตรวจสอบความถูกต้องและเตรียมเอกสารสำคัญต่าง ๆ ตั้งแต่สัญญาจะซื้อจะขาย การวางเงินมัดจำ เตรียมเอกสารที่ใช้ในการยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยและโอนกรรมสิทธิ์ได้อย่างครบถ้วน ช่วยลดเวลาในการดำเนินการด้วยตนเอง พร้อมเป็นที่ปรึกษาทุกขั้นตอนงานเอกสารที่ซับซ้อน
  1. เครือข่ายเอเจนต์เพิ่มโอกาสขายมากขึ้น เอเจนต์ที่สังกัดบริษัทเอเจนต์อสังหาฯ มักจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าเอเจนต์อิสระ เนื่องจากบริษัทที่มีชื่อเสียงมักมีระบบการคัดเลือกและมีมาตรฐานการฝึกอบรมเอเจนต์ที่เข้มข้น นอกจากนี้หากผู้บริโภคประสบปัญหาในการทำธุรกรรมกับเอเจนต์ก็ยังสามารถติดต่อกับบริษัทโดยตรงได้ และอีกหนึ่งจุดเด่นที่น่าสนใจคือบริษัทเอเจนต์อสังหาฯ มักจะมีฐานข้อมูลลูกค้ามากกว่า จึงช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น เชื่อมโยงให้ผู้ขายได้พบกับผู้ซื้อที่มีความต้องการที่ตรงกันในวงกว้าง อย่างไรก็ดี ปัจจุบันเอเจนต์อิสระบางส่วนจะมีเครือข่ายเอเจนต์ของตนเองหรือมีการทำงานร่วมกับ Co-Agent เช่นกัน ซึ่งจะช่วยให้เข้าถึงข้อมูลลูกค้าและโครงการที่หลากหลายมากขึ้น ส่งผลให้เอเจนต์สามารถนำเสนอทางเลือกที่มากขึ้นให้กับผู้ขายและผู้ซื้อ เปิดโอกาสให้กระบวนการซื้อขายมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

โดยทั่วไปค่าบริการเอเจนต์หรือค่านายหน้าจะคิดอยู่ที่ 3% ของราคาซื้อขาย ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นได้ขึ้นอยู่กับพื้นที่ตั้งของอสังหาฯ ความยากง่ายในการซื้อขาย มูลค่าของอสังหาฯ หรือเงื่อนไขอื่น ๆ ที่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญา ทั้งนี้ เอเจนต์จะเก็บค่านายหน้าเมื่อลูกค้าทำสัญญาซื้อขายเรียบร้อยแล้ว ผู้ขายจึงไม่ต้องจ่ายค่านายหน้าจนกว่าการทำธุรกรรมแล้วเสร็จและได้เงินจากผู้ซื้อ จะเห็นได้ว่าการเลือกใช้บริการเอเจนต์อสังหาฯ ที่มีคุณภาพจะช่วยให้กระบวนการซื้อขายบ้านราบรื่น ประหยัดเวลา และลดความเสี่ยงของข้อผิดพลาดในเอกสารสัญญาที่อาจทำให้เส้นทางอสังหาฯ ของคุณสะดุดได้ 

ทั้งนี้ ผู้บริโภคต้องไม่ลืมที่จะพิจารณาคุณสมบัติและตรวจสอบข้อมูลประวัติของเอเจนต์อสังหาฯ อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจอีกครั้ง หากผู้บริโภคยังไม่มั่นใจเมื่อต้องใช้เอเจนต์อสังหาฯ สามารถให้ “เอเจนต์ที่ได้รับการยืนยันตัวตน (Agent Verification)” ของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ช่วยคัดกรองเอเจนต์มืออาชีพเข้ามาเป็นผู้ช่วยซื้อขายที่อยู่อาศัยได้เช่นกัน และเพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานเอเจนต์อสังหาฯ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ได้จัดงานมอบรางวัล “DDproperty Agent & Agency Impact Awards 2025” เป็นครั้งแรกในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 นี้ ให้กับสุดยอดเอเจนต์อสังหาฯ ผู้เชี่ยวชาญด้านการขาย/ให้เช่าที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ รางวัลนี้ถือเป็นเครื่องการันตีถึงความเป็นมืออาชีพและความไว้วางใจที่ผู้บริโภคมีต่อเอเจนต์คุณภาพ ซึ่งพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้คุณค้นพบอสังหาริมทรัพย์ที่ “ใช่” ได้ง่ายขึ้นและมั่นใจยิ่งกว่าเดิม สามารถติดตามรายชื่อผู้ชนะทั้งหมดได้ที่ รายชื่อผู้ชนะ DDproperty Agent & Agency Impact Awards 2025

ส่องเคล็ดลับวางแผนซื้อบ้านฉบับ “ชาวฟรีแลนซ์” ทำอย่างไรให้ผ่านฉลุย

ส่องเคล็ดลับวางแผนซื้อบ้านฉบับ “ชาวฟรีแลนซ์” ทำอย่างไรให้ผ่านฉลุย

ส่องเคล็ดลับวางแผนซื้อบ้านฉบับ “ชาวฟรีแลนซ์” ทำอย่างไรให้ผ่านฉลุย

เทรนด์ Gig Economy หรือระบบเศรษฐกิจที่เน้นการจ้างงานแบบชั่วคราวมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในไทย หลังจากหลายบริษัทมีการปรับโครงสร้างองค์กร ประกอบกับเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตประจำวันมากขึ้น และคนรุ่นใหม่มีแนวคิดต้องการความอิสระในการทำงานที่ยืดหยุ่นด้านเวลา ส่งผลให้อาชีพอิสระ (Freelance) อาทิ แม่ค้าออนไลน์, พนักงานส่งอาหารเดลิเวอรี่, บริการแม่บ้านออนไลน์ หรืออินฟลูเอนเซอร์ ฯลฯ ขยายตัวอย่างรวดเร็วและเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจดิจิทัลในไทย

ข้อมูลจากการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร สำนักงานสถิติแห่งชาติ ไตรมาส 2 ปี 2568 และรายงานสถานการณ์ด้านแรงงานไตรมาส 2 ปี 2568 ของกองเศรษฐกิจการแรงงาน สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานเผยว่า ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 มีสัดส่วนของผู้ประกอบอาชีพอิสระถึง 50.01% ของผู้มีงานทำทั้งหมด 39.51 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 49.81% ขณะที่ข้อมูลจาก Fastwork เผยว่า ตั้งแต่ปี 2565–2566 แพลตฟอร์มจ้างงานประเภทฟรีแลนซ์ในไทยมีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 50%

ด้วยรูปแบบการทำงานที่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ ทำให้ชาวฟรีแลนซ์จำนวนไม่น้อยเลือกทำงานที่บ้าน (Work From Home) บางครั้งจึงจำเป็นต้องขยับขยายพื้นที่บ้าน/คอนโดฯ เพื่อให้สามารถจัดสรรสัดส่วนพื้นที่พักผ่อนและทำงานได้อย่างลงตัวยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี แม้ว่าชาวฟรีแลนซ์จะได้รับอิสระในการใช้ชีวิตและมีรายได้สูง แต่เมื่อยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย มักถูกมองว่ามีรายได้ไม่แน่นอน เนื่องจากในมุมมองสถาบันการเงินยังคงพิจารณาจากความสม่ำเสมอของรายได้ประกอบด้วย ส่งผลให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้ต้องเผชิญกระบวนการพิจารณาสินเชื่อที่เข้มงวดกว่าผู้มีรายได้ประจำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  

ส่องความท้าทายของฟรีแลนซ์เมื่อกู้ซื้อที่อยู่อาศัย

ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study ของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย พบว่า เกือบ 3 ใน 5 (56%) ของผู้ตอบแบบสอบถาม เผยว่าอุปสรรคสำคัญเมื่อขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยมาจากอาชีพและรายได้ที่ไม่มั่นคง รองลงมาคือมีประวัติทางการเงินไม่ดี 41% และมีสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio) ไม่เอื้ออำนวย 30% สะท้อนให้เห็นว่าความมั่นคงทางการเงินยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญของผู้ยื่นกู้ และตอกย้ำให้เห็นว่าชาวฟรีแลนซ์ซึ่งไม่มีเงินเดือนประจำจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือด้วยการวางแผนการเงินอย่างรัดกุม

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เผยให้เห็นความท้าทายที่ผู้ประกอบอาชีพอิสระต้องเผชิญเมื่อยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากธนาคาร ดังนี้

  • ความมั่นคงของรายได้ ปัจจัยสำคัญอันดับต้น ๆ ในการอนุมัติสินเชื่อของธนาคารคือต้องมั่นใจว่าผู้กู้จะมีความสามารถในการชำระหนี้ได้ตลอดระยะเวลาในสัญญา ขณะที่ผู้ประกอบอาชีพอิสระมักมีรายได้เข้ามาไม่สม่ำเสมอ โดยรายได้มักผันแปรตามปริมาณงานในแต่ละเดือน แตกต่างจากพนักงานประจำที่มีรายได้หลักมาจากเงินเดือน จึงดูมีความมั่นคงกว่า เมื่อเปรียบเทียบกันจึงทำให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้มากกว่ากลุ่มพนักงานประจำ
  • เอกสาร/หลักฐานยืนยันรายได้ เมื่อยื่นขอกู้ซื้อที่อยู่อาศัย หากเป็นพนักงานประจำจะมีเอกสารยืนยันรายได้ที่ชัดเจน ได้แก่ สลิปเงินเดือนและหนังสือรับรองเงินเดือนจากบริษัท แสดงให้เห็นความสามารถในการชำระหนี้ ต่างจากผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ธนาคารต้องขอเอกสารแสดงหลักฐานทางการเงินอย่างละเอียด ซึ่งจำเป็นต้องเก็บเอกสารทางการเงินเพื่อแสดงรายได้ไว้ทุกฉบับ รวมทั้งหลักฐานแสดงทรัพย์สินอื่น ๆ หากขาดเอกสารบางส่วนไป อาจไม่เพียงพอที่จะแสดงให้ธนาคารเห็นความสม่ำเสมอและความมั่นคงของรายได้หลังหักรายจ่ายออกแล้ว 
  • อายุงานที่ธนาคารกำหนด บางธนาคารจะกำหนดให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระต้องมีประสบการณ์ในการประกอบอาชีพนั้น ๆ อย่างน้อย 1-2 ปี เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงของอาชีพและความต่อเนื่องของรายได้ในระยะยาว หากเพิ่งเริ่มต้นทำงานอิสระได้ไม่นานหรือเปลี่ยนสายงานบ่อยครั้ง อาจกลายเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการพิจารณาสินเชื่ออย่างมีนัยสำคัญ

วางแผนอย่างมั่นใจ ชาวฟรีแลนซ์กู้ซื้อบ้านได้ไม่ไกลเกินเอื้อม

แม้การกู้ซื้อบ้านของผู้ประกอบอาชีพอิสระจะมีความท้าทายด้านเอกสารและกระบวนการพิจารณาที่เข้มงวดกว่าพนักงานประจำ แต่หากรู้แนวทางเตรียมตัวก่อนขอสินเชื่ออย่างชาญฉลาด การเป็นเจ้าของบ้านในฝันก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แนะเคล็ดลับเตรียมความพร้อมก่อนวางแผนกู้ซื้อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ เริ่มต้นวางรากฐานทางการเงินอย่างไรให้มั่นคง เพื่อเพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อบ้านให้ผ่านได้ง่ายขึ้น 

  1. ประเมินความสามารถในการผ่อนบ้าน ขั้นตอนแรกในการวางแผนซื้อที่อยู่อาศัย ผู้ประกอบอาชีพอิสระควรนำรายได้ที่มีการยื่นภาษีในปีที่ผ่านมามาหาร 12 เพื่อหารายรับเฉลี่ยที่ได้ในแต่ละเดือน จากนั้นจึงนำตัวเลขดังกล่าวมาเปรียบเทียบกับภาระค่าใช้จ่ายรายเดือนทั้งหมด เพื่อคำนวณหาความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน/คอนโดฯ ซึ่งธนาคารจะพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้จากค่า DSR (Debt Service Ratio) หรืออัตราส่วนที่แสดงภาระหนี้สินทั้งหมดต่อเดือนเทียบกับรายได้รวมต่อเดือน โดยรายจ่ายหรือภาระหนี้ทั้งหมดต่อเดือนนั้นไม่ควรเกิน 40% ของรายได้ ซึ่งสามารถคำนวณด้วยสูตร (รายได้ต่อเดือน) X (40%) = (ความสามารถผ่อนบ้าน) เช่น รายได้ 30,000 บาทต่อเดือน X 40% = 12,000 บาท เมื่อหักภาระหนี้ต่าง ๆ ออกจากจำนวน 12,000 บาทแล้ว จะได้ความสามารถผ่อนบ้านกับธนาคารที่เหลืออยู่ ซึ่งผู้บริโภคสามารถนำตัวเลขดังกล่าวมากำหนดราคาเบื้องต้นเพื่อค้นหาบ้าน/คอนโดฯ ที่มีราคาเหมาะสมกับงบประมาณต่อไป
  2. มีหลักฐานการทำงานชัดเจน เนื่องจากฟรีแลนซ์ไม่มีสังกัดองค์กรอย่างเป็นทางการ การเก็บหลักฐานการทำงานอย่างเป็นระบบจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ผู้บริโภคควรเตรียมเอกสารแสดงการประกอบอาชีพไว้อย่างน้อย 1-2 ปี ไม่ว่าจะเป็นสัญญาว่าจ้างจากลูกค้าทุกฉบับ, ผลงานย้อนหลัง (Portfolio) หรือเอกสารการจดทะเบียนธุรกิจการค้า หรือใบประกอบวิชาชีพต่าง ๆ หากมีหลักฐานการทำงานเหล่านี้ครบถ้วนจะช่วยยืนยันความต่อเนื่องของรายได้ และแสดงให้ธนาคารเห็นถึงความน่าเชื่อถือในอาชีพได้อย่างชัดเจน
  3. วางแผนออมเงินดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ความมั่นคงทางการเงินไม่ได้วัดเพียงรายได้ที่เข้ามาเท่านั้น แต่ยังวัดจากวินัยในการออมด้วย นอกจากการออมเงินจะช่วยให้คุณมีเงินก้อนสำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเมื่อซื้อบ้าน/คอนโดฯ แล้ว ยังถือเป็นการซ้อมผ่อนบ้านล่วงหน้าเพื่อให้สามารถปรับแผนการเงินให้เหมาะสมเมื่อต้องผ่อนชำระจริงอีกด้วย ผู้บริโภคจึงควรเริ่มวางแผนออมเงินเพื่อใช้เป็นเงินดาวน์เมื่อซื้อบ้าน/คอนโดฯ ประมาณ 10-30% นอกจากนี้ควรมีเงินออมสำรองไว้สำหรับผ่อนบ้าน/คอนโดฯ อย่างน้อย 6 เดือน เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงหากรายได้เกิดความผันผวนในอนาคต โดยการวางแผนรับมือความเสี่ยงนี้จะช่วยให้ธนาคารมั่นใจในศักยภาพทางการเงินของผู้กู้มากขึ้น
  4. ยื่นภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย การยื่นภาษีอย่างสม่ำเสมอเป็นเอกสารรับรองที่น่าเชื่อถือของอาชีพอิสระ เนื่องจากเป็นการยืนยันรายได้ต่อภาครัฐอย่างเป็นทางการ แสดงให้เห็นว่ารายได้ของคุณเป็นไปตามกฎหมายและสามารถตรวจสอบได้จริง ทำให้ธนาคารมั่นใจในความถูกต้องและสามารถตรวจสอบที่มาของรายได้ได้อย่างชัดเจน ผู้ประกอบอาชีพอิสระจึงไม่ควรละเลยการยื่นภาษีให้ถูกต้องและตรงกับความเป็นจริง โดยยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90 หรือ 94) ทุกปีเพื่อแสดงความต่อเนื่องของรายได้ และเก็บหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) ไว้ทุกฉบับ ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่ชาวฟรีแลนซ์ต้องได้รับจากผู้ว่าจ้างทุกครั้งเมื่อมีการรับเงินค่าจ้างและแสดงรายละเอียดว่าถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายเท่าไร เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันรายได้กับธนาคาร 
  5. เดินบัญชีธนาคารให้สม่ำเสมอ รายการเดินบัญชีธนาคาร (Statement) ถือเป็นหลักฐานแสดงกระแสเงินสดที่สำคัญของผู้ประกอบอาชีพอิสระ เช่นเดียวกับสลิปเงินเดือนของพนักงานประจำ ดังนั้น ผู้ประกอบอาชีพอิสระจึงควรวางแผนสร้างรายการเดินบัญชีธนาคารให้สวย โดยเลือกใช้บัญชีธนาคารหลักเพียงบัญชีเดียวในการรับรายได้จากการทำงาน มีการโอนเงินเข้าบัญชีอย่างสม่ำเสมอ หากได้รับค่าจ้างเป็นเงินสดก็ควรนำไปฝากในบัญชีธนาคารเพื่อแสดงให้เห็นความต่อเนื่องของรายได้ และพยายามรักษายอดคงเหลือในบัญชีอยู่เสมอ นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการถอนเงินออกจนหมดบัญชีบ่อย ๆ ด้วย การเดินบัญชีที่สม่ำเสมอจะช่วยยืนยันสภาพคล่องและความน่าเชื่อถือของรายได้ โดยธนาคารจะตรวจสอบรายการเดินบัญชีย้อนหลังเป็นระยะเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี  
  6. สร้างประวัติทางการเงินดี ไม่มีหนี้ค้างชำระ ปัจจัยสำคัญที่ธนาคารใช้ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อคือผู้กู้ต้องมีประวัติทางการเงินที่ดี โดยธนาคารจะตรวจสอบประวัติการชำระหนี้ย้อนหลังจากเครดิตบูโร บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ซึ่งจะมีประวัติการชำระหนี้ของผู้กู้ย้อนหลัง 3 ปี ผู้บริโภคที่ต้องการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยจึงควรสร้างประวัติทางการเงินให้ดูดี ไม่มีหนี้ค้างชำระ ไม่มีการผ่อนสินค้าจำนวนมากตอนที่ยื่นกู้ซื้อบ้าน และไม่มีประวัติการใช้บัตรกดเงินสดอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ หากผู้บริโภครู้จักบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและใช้บัตรเครดิตอย่างถูกวิธี และเคยมีประวัติการผ่อนชำระสินค้าตรงตามกำหนดทุกงวด จะเป็นตัวสะท้อนวินัยทางการเงินในการชำระหนี้ของผู้กู้ได้อีกทางนึง 
  7. “กู้ร่วม” เพิ่มโอกาสอนุมัติและวงเงินกู้ หากผู้ประกอบอาชีพอิสระต้องการเพิ่มโอกาสอนุมัติ การกู้ร่วมกับบุคคลที่มีรายได้ประจำ เช่น คู่สมรส พ่อ-แม่ หรือญาติพี่น้อง ก็ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ นอกจากผู้กู้ร่วมจะเข้ามาเติมเต็มความมั่นคงของรายได้แล้ว ยังทำให้ธนาคารเห็นถึงความสามารถในการชำระหนี้ที่มีมากขึ้นซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อตามไปด้วย นอกจากนี้ เมื่อรวมรายได้ของผู้กู้ทั้งสองคนแล้วยังส่งผลให้วงเงินกู้ที่ได้รับเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อบ้าน/คอนโดฯ ในงบประมาณที่สูงขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมต้องทำความเข้าใจถึงภาระหนี้และความรับผิดชอบที่มีร่วมกันอย่างชัดเจนก่อนตัดสินใจ

แม้เส้นทางการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของชาวฟรีแลนซ์จะมีความท้าทายมากกว่าผู้มีรายได้ประจำ แต่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากเริ่มต้นเรียนรู้สร้างวินัยทางการเงินและแสดงหลักฐานความมั่นคงทางการเงินได้อย่างชัดเจน สิ่งเหล่านี้จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้การกู้ซื้อบ้าน/คอนโดฯ ของผู้ประกอบอาชีพอิสระผ่านการอนุมัติได้ง่ายขึ้นอย่างแน่นอน ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (www.DDproperty.com) ได้รวบรวมบทความน่ารู้พร้อมอัปเดตข่าวสารล่าสุดในแวดวงอสังหาฯ รวมทั้งเป็นแหล่งข้อมูลประกาศซื้อ/ขาย/ให้เช่าที่อยู่อาศัยในทำเลศักยภาพทั่วประเทศ ช่วยให้คนหาบ้านทุกอาชีพสามารถเตรียมความพร้อมและเริ่มต้นวางแผนเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในฝันได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น

ส่องเทคนิคเลือกซื้อ “บ้านมือสอง” อย่างไรให้คุ้มค่า

ส่องเทคนิคเลือกซื้อ “บ้านมือสอง” อย่างไรให้คุ้มค่า

ส่องเทคนิคเลือกซื้อ “บ้านมือสอง” อย่างไรให้คุ้มค่า

ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเผชิญความท้าทายทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ส่งผลให้ผู้บริโภคต่างรัดเข็มขัดและวางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบ ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่มีราคาสูงแต่ก็ถือเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญในการดำรงชีวิตเช่นกัน แม้ตลาดจะเติบโตไม่หวือหวาแต่ยังมีความต้องการซื้อจากกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ที่จำเป็นต้องมีที่อยู่อาศัยในเวลานี้ ส่งผลให้บ้าน/คอนโดมิเนียมมือสองกลายมาเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและตอบโจทย์ผู้ที่มองหาที่อยู่อาศัยหลังใหม่ในราคาที่เอื้อมถึง

ข้อมูลจากบทวิเคราะห์ “สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยมือสองทั่วประเทศ ไตรมาส 2 ปี 2568” ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) พบว่า มีจำนวนที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย 189,382 หน่วย เพิ่มขึ้น 34.6% และมีมูลค่า 758,502 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายมากที่สุดทั่วประเทศ ได้แก่ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท สัดส่วน 28.6% รองลงมาคือราคา 1.01 – 1.50 ล้านบาท สัดส่วน 15.6% และราคา 2.01 – 3 ล้านบาท สัดส่วน 15%

ขณะที่หน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสองส่วนใหญ่อยู่ในราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ด้วยสัดส่วนถึง 35.1% รองลงมาคือราคา 2.01 – 3 ล้านบาท สัดส่วน 18.2% และราคา 1.01 – 1.50 ล้านบาท สัดส่วน 17% สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงมองหาที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่สามารถเข้าถึงได้ โดยมีปัจจัยบวกจากมาตรการลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ (จากปกติ 2%) และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาฯ อันเนื่องมาจากการจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวในคราวเดียวกัน (จากปกติ 1%) เหลือ 0.01% สำหรับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมการซื้อขายที่อยู่อาศัยมือสองด้วย ช่วยส่งเสริมให้ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้อย่างคุ้มค่ายิ่งขึ้น

สอดคล้องกับข้อมูลจากผู้เข้าชมเว็บไซต์ DDproperty ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 พบว่า ผู้เข้าชมเว็บไซต์มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดฯ ในช่วงระดับราคา 1-3 ล้านบาทมากที่สุด โดยมีสัดส่วนมากถึง 33%

ส่องจุดเด่นบ้าน/คอนโดฯ มือสอง ทางเลือกที่ตอบโจทย์ความคุ้มค่า

ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study ของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบ 3 ใน 5 (58%) มองว่าฟิลเตอร์ช่วยค้นหาบ้าน/คอนโดฯ เปิดใหม่และมือสองถือเป็นฟิลเตอร์สำคัญที่ควรมีเมื่อค้นหาที่อยู่อาศัยออนไลน์ ขณะที่ 1 ใน 3 (33%) อยากให้มีฟิลเตอร์ช่วยค้นหาทรัพย์สินรอการขายของธนาคาร (Non-Performing Asset หรือ NPA) สะท้อนให้เห็นความสนใจของผู้บริโภคที่มีต่ออสังหาฯ ประเภทบ้าน/คอนโดฯ มือสอง รวมทั้งนักลงทุนที่ต้องการนำไปรีโนเวทเพื่อต่อยอดสร้างรายได้ ดังนั้น บ้าน/คอนโดฯ มือสองจึงกลายมาเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและตอบโจทย์คนหาบ้านที่ให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพควบคู่ไปกับความคุ้มค่า 

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เผยจุดเด่นของที่อยู่อาศัยมือสองที่ผู้บริโภคไม่ควรมองข้าม เพื่อเป็นแนวทางพิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกซื้อบ้านหลังใหม่ให้ตรงกับความต้องการ และบริหารงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพในเวลานี้

  • ราคาคุ้มค่า ต่อรองได้มากกว่า ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจที่สั่นคลอนรายรับของผู้บริโภค การซื้อที่อยู่อาศัยมือสองจึงถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากเมื่อคิดค่าเสื่อมตามการใช้งานแล้วทำให้มีราคาต่ำกว่าการซื้อโครงการที่เปิดตัวใหม่ ผู้บริโภคจึงสามารถเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในราคาที่เหมาะสมกับงบประมาณที่มีได้ นอกจากนี้ การซื้อบ้านมือสองหรือซื้อคอนโดมือสองมีความยืดหยุ่นกว่าตรงที่ผู้ซื้อสามารถต่อรองราคากับผู้ขายได้โดยตรง หรือผู้ขายอาจแถมเครื่องใช้ไฟฟ้าและเฟอร์นิเจอร์ให้ จึงทำให้ผู้ซื้อได้ราคาที่พึงพอใจ ตอบโจทย์ผู้ที่มีงบประมาณจำกัด 
  • เปิดโอกาสได้บ้านในทำเลหายาก ผู้บริโภคส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับการอยู่อาศัยในทำเลที่มีความเจริญ มีระบบสาธารณูปโภคครบครัน ใกล้ระบบขนส่งมวลชน แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ส่งผลให้ทำเลทองหรือย่านที่มีความเจริญย่อมมีความต้องการซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยสูงตามไปด้วย ประกอบกับราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ทำให้ต้นทุนการก่อสร้างต้องปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน ดังนั้นโครงการเปิดใหม่ในทำเลเหล่านี้จึงมีจำนวนจำกัด ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยมือสองกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและมีตัวเลือกมากกว่า หากผู้บริโภคต้องการเป็นเจ้าของบ้าน/คอนโดฯ ในทำเลที่มีการพัฒนาแล้ว ซึ่งหาโครงการมือหนึ่งได้ยากแล้ว   
  • เห็นสภาพแวดล้อมจริงก่อนเข้าอยู่เมื่อเยี่ยมชมบ้าน/คอนโดฯ มือสอง ผู้ซื้อจะมีโอกาสประเมินคุณภาพงานก่อสร้าง การตกแต่ง ความแข็งแรงของโครงสร้างว่าคุ้มค่ากับราคาที่ตกลงซื้อขายหรือไม่ และยังเป็นโอกาสดีที่จะได้เห็นสภาพแวดล้อมจริงของโครงการ ระบบความปลอดภัยและพื้นที่ส่วนกลาง รวมทั้งได้พบเพื่อนบ้านใกล้เคียง อย่างไรก็ดี ผู้ซื้อควรเดินทางไปเยี่ยมชมโครงการในชั่วโมงเร่งด่วนด้วย เพื่อดูว่าสภาพการจราจรในย่านนั้นเป็นอย่างไร ก่อนนำข้อมูลสภาพแวดล้อมทั้งหมดมาประกอบการตัดสินใจและเปรียบเทียบกับโครงการอื่น ๆ อีกครั้ง
  • ระบบก่อสร้างแบบเก่าสะดวกเมื่อรีโนเวท โครงการที่อยู่อาศัยปัจจุบันจะใช้ระบบก่อสร้างแบบใหม่ เช่น แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast) ต่างจากบ้านมือสองที่ก่อสร้างมานานมักเป็นระบบการก่อสร้างแบบเก่า เช่น การก่อด้วยอิฐมอญ ทั้งนี้ข้อดีของโครงสร้างแบบก่ออิฐฉาบปูนนี้จะสะดวกต่อการวางแผนต่อเติม เนื่องจากสามารถทุบ เจาะ หรือปรับเปลี่ยนผังภายในได้โดยที่ไม่กระทบต่อโครงสร้างหลัก เหมาะกับผู้ที่วางแผนรีโนเวทที่อยู่อาศัยในสไตล์ที่ตนชื่นชอบ หรือต้องการต่อเติมดัดแปลงเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยในอนาคต  
  • รีโนเวทใหม่เพิ่มโอกาสลงทุน โครงการที่อยู่อาศัยมือสองหากได้รับการรีโนเวทให้ดูใหม่และทันสมัยขึ้นแล้ว ย่อมเพิ่มมูลค่าและสร้างโอกาสในการขายต่อหรือปล่อยเช่าได้ ด้วยจุดเด่นที่อยู่อาศัยมือสองที่มีราคาย่อมเยาและตั้งอยู่ในทำเลที่มีดีมานด์สูง จึงทำให้มีความต้องการซื้อและเช่าจากกลุ่ม Real Demand ถือเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนในการซื้อที่อยู่อาศัยมือสองมารีโนเวท เนื่องจากมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้เร็ว และมีต้นทุนในการถือครองต่ำกว่าการซื้อโครงการใหม่อย่างเห็นได้ชัด 

5 เทคนิคเสริมความมั่นใจ เช็กให้ชัวร์ก่อนเลือกซื้อที่อยู่อาศัยมือสอง

แม้ที่อยู่อาศัยมือสองจะตอบโจทย์ผู้ที่มองหาความคุ้มค่าได้อย่างลงตัว แต่ขั้นตอนการเลือกซื้อนั้นมีรายละเอียดแตกต่างจากการซื้อโครงการใหม่พอสมควร ผู้บริโภคจึงควรทำความเข้าใจอย่างรอบด้าน ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) ขอแนะนำ 5 เทคนิคเสริมความมั่นใจเมื่อเลือกซื้อที่อยู่อาศัยมือสอง เพื่อให้ผู้บริโภคเตรียมความพร้อมทุกประเด็นสำคัญที่ควรรู้ เป็นกุญแจนำไปสู่การเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้อย่างมั่นใจและราบรื่น

  1. สอบถามประวัติอสังหาฯ และเหตุผลในการขาย ผู้บริโภคควรสอบถามเหตุผลในการประกาศขายจากเจ้าของเดิมหรือนายหน้าอสังหาฯ เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจและประเมินความเสี่ยงที่อาจซ่อนอยู่ เช่น ขายเนื่องจากภาระหนี้สิน มีปัญหากับเพื่อนบ้าน หรือขัดแย้งเรื่องมรดกในครอบครัว ฯลฯ นอกจากนี้ควรสอบถามปัญหาการอยู่อาศัยจากเพื่อนบ้านใกล้เคียง พร้อมทั้งค้นข้อมูลออนไลน์ว่าผู้ขายและอสังหาฯ นั้นเคยมีประวัติหรือข่าวเสียหายในอดีตหรือไม่ รวมทั้งมีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่กระทบต่อการอยู่อาศัยหรือไม่ เช่น อยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมขังง่าย มีค่าฝุ่น PM 2.5 สูง หรืออยู่ในพื้นที่เสี่ยงได้รับผลกระทบหากเกิดเหตุร้ายจากโรงงานอุตสาหกรรมใกล้เคียง  
  2. เช็กสภาพบ้านให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ บ้าน/คอนโดฯ มือสองมักผ่านการใช้งานมาแล้วจึงอาจทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ผู้บริโภคควรเข้าไปตรวจสอบด้วยตนเองว่าโครงสร้างที่อยู่อาศัยและระบบต่าง ๆ เช่น ระบบไฟฟ้าและประปา ยังใช้งานได้ดีหรือไม่ เนื่องจากอาจมีปัญหาที่เจ้าของเดิมไม่ได้แจ้งให้ผู้ซื้อทราบเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกกดราคา เช่น พื้นดินรอบบ้านทรุดตัว คานมีรอยแตกร้าว ผนังสองฝั่งมีรอยร้าวตรงกันที่อาจส่งสัญญาณถึงปัญหาโครงสร้าง หากพบปัญหาเหล่านี้ผู้ซื้อควรจ้างผู้เชี่ยวชาญหรือวิศวกรไปตรวจสอบร่วมกันเพื่อประเมินค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแก้ไข นอกจากนี้ ผู้ซื้อควรนัดเข้าชมบ้าน/คอนโดฯ ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน เพื่อสังเกตรายละเอียดต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น ทิศทางแดดตอนบ่ายกระทบกับการอยู่อาศัยหรือไม่ หรือวันที่ฝนตกมีน้ำรั่วซึมหรือไม่ จากนั้นจึงเจรจากับผู้ขายว่าจะรับผิดชอบซ่อมแซมให้ก่อนซื้อหรือไม่ หรือต่อรองราคาเพื่อขอส่วนลดหากผู้ซื้อต้องการซ่อมเอง
  3. ตรวจสอบกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง ก่อนตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขาย ผู้ซื้อควรตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนว่าผู้ขายเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริงตามเอกสารที่กรมที่ดินออกให้ โดยตรวจสอบว่าโฉนดที่ดินหรือหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดที่จะซื้อนั้นเป็นของจริงหรือไม่ จากการสังเกตรายละเอียดสำคัญบนเอกสาร หรือไปขอสำเนาโฉนดที่ดินที่สำนักงานที่ดินเก็บไว้มาเปรียบเทียบกัน เพื่อป้องกันกรณีที่ผู้ขายปลอมแปลงโฉนดเพื่อแอบอ้างขายที่อยู่อาศัยของผู้อื่น หรืออาจเป็นกรณีที่ที่อยู่อาศัยนั้นมีข้อพิพาทหรือถูกอายัดไว้ตามกฎหมาย หากทำการซื้อขายไปแล้วอาจมีปัญหาตามมาในภายหลังได้ ส่วนกรณีที่จำเป็นต้องตกลงซื้อขายกับผู้อื่น เช่น ญาติของเจ้าของเดิม จะต้องให้ผู้ขายแสดงหนังสือมอบอำนาจที่ดิน (ท.ด.21) พร้อมหลักฐานประกอบก่อนทำธุรกรรมด้วย
  4. สอบถามภาระผูกพันกับนิติบุคคล ผู้ซื้อควรสอบถามนิติบุคคลเรื่องภาระผูกพันของอสังหาฯ ที่จะซื้ออย่างละเอียด ว่าเจ้าของเดิมมีหนี้ค้างชำระค่าส่วนกลางหรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ กับนิติบุคคลหรือไม่ เพื่อป้องกันปัญหาที่ต้องมาแบกรับหนี้ส่วนนี้เองในภายหลัง โดยให้ผู้ขายจัดการเคลียร์ภาระค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้เรียบร้อยและขอ “ใบปลอดหนี้” ที่สำนักงานนิติบุคคล เพื่อนำมาประกอบการโอนกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดิน นอกจากนี้ควรสอบถามนิติบุคคลว่าโครงการมีภาระจำยอมหรือไม่ เช่น ใช้ที่ดินเป็นทางเข้าออกร่วมกับบุคคลภายนอก ซึ่งจะส่งผลให้โครงการต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงถนนเอง เนื่องจากไม่ใช่ถนนสาธารณะที่อยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งอาจมีข้อพิพาทในอนาคตได้ อย่างไรก็ดี หากโครงการตั้งอยู่ในพื้นที่เขตเวนคืน ผู้ซื้อควรสอบถามความชัดเจนกับนิติบุคคลว่ามีพื้นที่ส่วนไหนของโครงการที่เสี่ยงถูกเวนคืนหรือไม่ 
  5. กำหนดรายละเอียดสัญญาให้ชัดเจน เมื่อเลือกที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ได้แล้ว ผู้ซื้อควรนัดทำสัญญาจะซื้อจะขายกับผู้ขายไว้ก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้ที่อยู่อาศัยนั้นโดนขายออกไป โดยต้องกำหนดรายละเอียดต่าง ๆ ให้ชัดเจนและรัดกุม โดยเฉพาะราคาที่ตกลงซื้อขาย ค่ามัดจำ ระยะเวลาที่ต้องชำระเงินส่วนที่เหลือ และวันนัดโอนกรรมสิทธิ์ จากนั้นผู้ขายจะให้สำเนาโฉนดที่ดินหรือหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดกับผู้ซื้อเพื่อนำไปยื่นกู้กับสถาบันการเงิน อย่างไรก็ดี ผู้ซื้อและผู้ขายควรตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ให้ชัดเจน ว่าใครต้องรับชอบส่วนไหนบ้าง หรือจะตกลงแบ่งจ่ายกันอย่างไร หรือในกรณีที่ผู้ขายจัดโปรโมชันด้วยการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนใดเพิ่มเติมเอง ก็ต้องระบุรายละเอียดเหล่านี้ลงในสัญญาอย่างรัดกุม 

ทั้งนี้ ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยมือสองต้องเก็บเอกสารสำคัญเหล่านี้ไว้ให้ครบถ้วน เพื่อยืนยันสิทธิความเป็นเจ้าของและเป็นหลักฐานทางกฎหมาย ประกอบด้วย

  • นิติกรรมสัญญา ประกอบด้วย หนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย และหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน (ท.ด. 13)
  • สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของผู้ซื้อ ผู้ขาย 
  • เอกสารยินยอมจากคู่สมรส (กรณีจดทะเบียนสมรส)
  • หนังสือมอบอำนาจ กรณีผู้ซื้อหรือผู้ขายมอบอำนาจให้ผู้อื่นเป็นผู้ดำเนินการแทน ซึ่งต้องใช้สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของผู้รับมอบอำนาจด้วย
  • สำเนาโฉนดที่ดินหรือหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด
  • หลักฐานรายละเอียดการโอน  
  • สิทธิและนิติกรรม (ท.ด.1) 
  • บันทึกการประเมินราคาทรัพย์สิน (ท.ด.86) 
  • บันทึกถ้อยคำการชำระภาษีอากร (ท.ด.16) 
  • ใบปลอดหนี้ออกโดยนิติบุคคล มีอายุไม่เกิน 7-15 วัน นับจากวันที่ระบุในเอกสาร (ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของแต่ละนิติบุคคล)

หัวใจสำคัญของบ้านไม่ได้อยู่ที่ความใหม่หรือเก่า แต่คือการเป็นพื้นที่พักผ่อนที่ปลอดภัยและตอบโจทย์การอยู่อาศัยของสมาชิกทุกคน ดังนั้น มูลค่าที่แท้จริงของบ้านจึงไม่ได้วัดด้วยราคาแต่ขึ้นอยู่กับความสุขที่ผู้อยู่อาศัยได้รับ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการเลือกซื้อบ้านหลังใหม่ในแต่ละครั้ง ผู้ซื้อจึงต้องทุ่มเทใส่ใจในทุกรายละเอียด แม้เส้นทางการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทุกคนสามารถเริ่มต้นเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (www.DDproperty.com) ได้รวบรวมขั้นตอนการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยทั้งมือหนึ่งและมือสอง พร้อมบทความให้ความรู้อสังหาฯ มากมาย รวมทั้งเป็นแหล่งข้อมูลประกาศซื้อ/ขาย/ให้เช่าที่อยู่อาศัยในหลากหลายทำเลทั่วประเทศ เพื่อเป็นแนวทางให้คนหาบ้านได้เตรียมความพร้อมก่อนตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัยในฝันได้อย่างมั่นใจ  

โครงการมิกซ์ยูสเบ่งบาน! ปักหมุด 5 ทำเลมาแรง ดีมานด์ซื้อ-เช่าพุ่ง

โครงการมิกซ์ยูสเบ่งบาน! ปักหมุด 5 ทำเลมาแรง ดีมานด์ซื้อ-เช่าพุ่ง

โครงการมิกซ์ยูสเบ่งบาน! ปักหมุด 5 ทำเลมาแรง ดีมานด์ซื้อ-เช่าพุ่ง

เทรนด์การเลือกที่อยู่อาศัยเปลี่ยนไปตามวิถีชีวิตของคนหาบ้าน นอกจากผู้บริโภคจะให้ความสำคัญเรื่องทำเลที่ตั้งโครงการแล้ว ความสะดวกสบายเมื่ออยู่อาศัยยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่หลายคนคาดหวัง ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study พบว่า เกือบ 1 ใน 3 (32%) ของผู้บริโภคมองว่าโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่โครงการถือเป็นปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อและเช่าที่อยู่อาศัย ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่อย่างโครงการมิกซ์ยูส (Mixed-use) กลายมาเป็นเทรนด์ที่ได้รับความสนใจมากขึ้น

โครงการมิกซ์ยูส (Mixed-use) คือ โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่รวมโครงการที่อยู่อาศัยและโครงการเพื่อพาณิชกรรมไว้บนพื้นที่เดียวกัน เน้นการพัฒนาที่ดินให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ผ่านการออกแบบที่มุ่งสร้างสรรค์พื้นที่ให้ตอบโจทย์ทั้งด้านที่อยู่อาศัย, แหล่งช็อปปิ้ง/ย่านการค้า, สถานที่ทำงาน และพื้นที่พักผ่อนไว้ครบจบในที่เดียว โดยภายในโครงการจะประกอบไปด้วยคอนโดมิเนียม, โรงแรม, อาคารสำนักงาน, ศูนย์การค้า และคอมมูนิตี้มอลล์ เป็นต้น 

ส่วนใหญ่โครงการมิกซ์ยูสจะถูกพัฒนาในทำเลศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ (CBD) หรือย่านธุรกิจ หรือพื้นที่รอบนอกของเมืองที่เป็นศูนย์กลางธุรกิจขนาดใหญ่ของทำเลนั้น ๆ จึงทำให้ทำเลที่มีโครงการมิกซ์ยูสนั้นมีศักยภาพในการเติบโต และดึงดูดผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย

ข้อมูลจากรายงานสถานการณ์: โครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทผสมผสานระหว่างอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างขึ้นเพื่อการอยู่อาศัยและพาณิชยกรรมบนพื้นที่เดียวกัน หรือ โครงการมิกซ์ยูส (Mixed-use) ในพื้นที่กรุงเทพฯ – ปริมณฑล ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) พบว่า การพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสในพื้นที่กรุงเทพฯ – ปริมณฑล มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีจำนวนการก่อสร้างโครงการมิกซ์ยูสในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ทั้งหมด 152 โครงการ คิดเป็นพื้นที่การก่อสร้าง (GFA) รวม 23,712,657 ตารางเมตร ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.42% จากช่วงครึ่งหลังของปี 2567 

ทั้งนี้ การพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสในปี 2567 ถือว่าเป็นปีที่มีพื้นที่อาคารรวมโครงการมิกซ์ยูสใหม่เข้าสู่ตลาดมากที่สุดถึง 1,916,656 ตารางเมตร จากพื้นที่อาคารรวมทั้งหมด 23,712,657 ตารางเมตร โดยคาดการณ์ว่าในปี 2568-2572 จะมีการก่อสร้างพื้นที่อาคารรวมของโครงการมิกซ์ยูสเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้นอีกกว่า 5,470,179 ตารางเมตร สะท้อนให้เห็นทิศทางการเติบโตเชิงบวกของเทรนด์อสังหาริมทรัพย์รูปแบบนี้ โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองหลวงและย่านเศรษฐกิจที่มีประชากรหนาแน่น

ถอดรหัสโครงการมิกซ์ยูส ทำไมจึงตอบโจทย์คนหาบ้านยุคใหม่

ในยุคที่การดำเนินชีวิตของทุกคนต้องแข่งกับเวลา โครงการมิกซ์ยูสได้กลายมาเป็นเทรนด์ที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์คนยุคใหม่ได้อย่างลงตัว โดยนำเสนอที่อยู่อาศัยที่เป็นมากกว่าบ้าน แต่ทุกพื้นที่ต่างถูกออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้การใช้ชีวิตทุกวันราบรื่นยิ่งขึ้น ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย ชวนมาถอดรหัส 5 จุดเด่นของโครงการมิกซ์ยูสที่ตอบโจทย์คนหาบ้าน มีปัจจัยไหนบ้างที่ส่งเสริมให้โครงการมิกซ์ยูสกลายเป็นเทรนด์ที่อยู่อาศัยที่น่าจับตามองในเวลานี้

  1. ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรอบด้าน โครงการมิกซ์ยูสได้ผสมผสานอสังหาริมทรัพย์หลายรูปแบบไว้ด้วยกันเพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ถือเป็นจุุดเด่นอันดับต้น ๆ ที่ดึงดูดผู้บริโภค ภายในโครงการได้รวมทุกอย่างไว้ครบจบในที่เดียว รองรับทั้งการอยู่อาศัย, การทำงาน, การพักผ่อน, การช้อปปิ้ง และการใช้ชีวิตประจำวัน ถือเป็นจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์และตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบาย
  2. ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพ โครงการมิกซ์ยูสส่วนใหญ่มักตั้งอยู่ในทำเลศูนย์กลางธุรกิจหรือทำเลที่มีความเจริญในย่านนั้น ๆ เมื่อมีการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสก็จะช่วยส่งเสริมให้ทำเลนั้นกลายเป็นย่านการค้าและแหล่งงานที่น่าสนใจ มีการเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะรองรับการเดินทางให้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อโครงการมิกซ์ยูสได้รับความนิยมมากขึ้นก็จะมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นแลนด์มาร์กสำคัญในอนาคต ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนและพื้นที่โดยรอบ
  3. ประหยัดเวลาในการเดินทาง ด้วยจุดเด่นของโครงการมิกซ์ยูสที่มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ จึงทำให้การใช้ชีวิตของผู้บริโภคง่ายขึ้น สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางออกนอกโครงการ นอกจากจะช่วยลดเวลาและประหยัดค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปกับการเดินทางแล้ว ยังช่วยให้ผู้บริโภคมีเวลาในการจัดการเรื่องสำคัญอื่น ๆ ได้มากขึ้นอีกด้วย
  4. มาพร้อมระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัย โครงการมิกซ์ยูสส่วนใหญ่จะมาพร้อมระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัย มีการดูแลและจัดการความปลอดภัยที่เข้มงวดตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีการนำเทคโนโลยีอสังหาริมทรัพย์ (Prop Tech) หรือเทคโนโลยี Smart Home มาใช้เพื่อยกระดับการใช้ชีวิตให้ราบรื่นยิ่งขึ้น เช่น มีล็อบบี้และโซนลิฟต์สำหรับผู้พักอาศัยโดยเฉพาะ, มีระบบลิฟต์แบบล็อกชั้น, มีกล้องวงจรปิดครอบคลุมทั่วทั้งอาคาร, มีเครื่องตรวจจับอัจฉริยะที่คอยตรวจจับความเคลื่อนไหว เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกอุ่นใจและมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น
  5. มูลค่าเพิ่มขึ้นในระยะยาว ที่พักอาศัยในโครงการมิกซ์ยูสมักจะมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมักตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพในการเติบโตทางธุรกิจ จึงดึงดูดให้มีความต้องการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยเข้ามาสม่ำเสมอ ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว นอกจากจะตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองได้เป็นอย่างดีแล้ว สำหรับนักลงทุนยังมีโอกาสปล่อยเช่าได้ง่าย และได้ราคาดีกว่าทำเลอื่น ๆ อีกด้วย

ด้วยจุดเด่นของโครงการมิกซ์ยูสที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบวงจร จึงสามารถตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ทั้งวัยทำงาน, ครอบครัว และนักศึกษา หรือชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทย ขณะเดียวกัน ก็เป็นโอกาสของนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว เพราะมูลค่าโครงการมิกซ์ยูสมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงมีกลุ่มผู้เช่าที่หลากหลายและมีศักยภาพสูง ทำให้โอกาสในการปล่อยเช่าสูงตามไปด้วย อย่างไรก็ดี หากผู้บริโภคมองหาที่อยู่อาศัยที่เงียบสงบ เน้นความเป็นส่วนตัว และไม่พลุกพล่าน การเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการมิกซ์ยูสอาจไม่ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์เท่าที่ควร จึงควรพิจารณาอย่างรอบด้านและเปรียบเทียบกับความสะดวกสบายที่ได้รับก่อนตัดสินใจซื้อ/เช่าอีกครั้ง

เจาะลึก 5 อันดับทำเลที่อยู่อาศัยใกล้โครงการมิกซ์ยูสที่น่าจับตามอง

ปัจจัยราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้นโดยเฉพาะในย่านธุรกิจ ส่งผลให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์วางแผนพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความคุ้มค่าในการพัฒนาที่ดินพร้อมทั้งเติมเต็มความต้องการในภาคธุรกิจและมุมผู้บริโภค ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เผยข้อมูลเชิงลึกจากผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.DDproperty.com ในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม 2568 พบว่าทำเลใกล้โครงการมิกซ์ยูสในกรุงเทพฯ ยังคงมีความต้องการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยมีปัจจัยบวกจากการที่กรุงเทพฯ มีประชากรอยู่อาศัยอย่างหนาแน่นและเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ เมื่อมีการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสกระจายไปในทำเลต่าง ๆ ของกรุงเทพฯ จึงส่งผลให้หลายทำเลมีความต้องการที่อยู่อาศัยเติบโตตามไปด้วย

  • แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนาคว้าแชมป์ทำเลใกล้โครงการมิกซ์ยูสที่ความต้องการซื้อ/เช่าโตสูงสุด ข้อมูลการเข้าชมประกาศอสังหาริมทรัพย์ บนเว็บไซต์ www.DDproperty.com พบว่า ทำเลใกล้โครงการมิกซ์ยูสในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยรวมกันเติบโตมากที่สุดในเดือนที่ผ่านมา ได้แก่ “แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา” เพิ่มขึ้น 13.3% จากเดือนก่อนหน้า (MoM) ด้วยจุดเด่นของเขตวัฒนาที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญและเป็นทำเลที่เชื่อมต่อไปยังย่านธุรกิจชั้นนำ ส่งผลให้ทำเลนี้มีความเจริญ เป็นแหล่งรวมร้านอาหารและสถานบันเทิง มีทั้งสำนักงานให้เช่า, สถานพยาบาล และสถานศึกษา รองรับการอยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี ทำให้ทำเลนี้กลายเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจของผู้ที่มองหาที่อยู่อาศัยที่มีความสะดวกครบครัน เดินทางไปยังใจกลางเมืองได้ง่าย โดยมีโครงการที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยากว่าย่าน CBD ให้เลือก จึงสามารถดึงดูดผู้บริโภคชาวไทยและชาวต่างชาติได้เป็นอย่างดี

โดย 5 ทำเลใกล้โครงการมิกซ์ยูสในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยเติบโตมากที่สุดจากเดือนก่อนหน้า (MoM) มีดังนี้

  1. แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา เพิ่มขึ้น 3% MoM มีโครงการที่น่าสนใจ เช่น The Strand Thonglor และ Marché Thonglor นอกจากนี้ในเขตเดียวกันยังมี​ APAC Tower อีกด้วย
  2. แขวงคลองตัน เขตคลองเตย เพิ่มขึ้น 8% MoM ตัวอย่างโครงการในเขตนี้ เช่น ​THE PARQ และ FYI Center เป็นต้น
  3. แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา เพิ่มขึ้น 1% MoM ในเขตนี้มีโครงการมิกซ์ยูส เช่น The Strand Thonglor, Marché Thonglor และ​ APAC Tower เป็นต้น
  4. แขวงสีลม เขตบางรัก เพิ่มขึ้น 7% MoM ในทำเลนี้มีโครงการคิง เพาเวอร์ มหานคร, Park Silom และ Dusit Central Park เป็นต้น และยังมี Boonmitr Silom ตั้งอยู่ในเขตเดียวกัน
  5. แขวงจอมพล เขตจตุจักร เพิ่มขึ้น 2% MoM มีโครงการน่าสนใจ เช่น BTS Visionary Park
  • แขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสานยืนหนึ่งในใจผู้ซื้อที่อยู่อาศัยใกล้โครงการมิกซ์ยูส เมื่อพิจารณาทำเลใกล้โครงการมิกซ์ยูสในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเติบโตมากที่สุด ได้แก่ “แขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน” เพิ่มขึ้นถึง 28.1% MoM ถือเป็นทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีศักยภาพทั้งทางธุรกิจและการอยู่อาศัย ด้วยจุดเด่นที่เดินทางได้สะดวกทั้งทางรถยนต์ เรือ และรถไฟฟ้าสายสีทอง เมื่อมีโครงการมิกซ์ยูส ศูนย์การค้า และโรงแรมเปิดให้บริการในเขตนี้จึงช่วยดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมในย่านนี้มากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มองหาที่พักอาศัยวิวริมแม่น้ำหรือติดรถไฟฟ้า ถือเป็นทำเลน่าจับตามองและมีศักยภาพเติบโตเป็นศูนย์กลางธุรกิจได้ในอนาคต 

โดย 5 ทำเลใกล้โครงการมิกซ์ยูสในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเติบโตมากที่สุดจากเดือนก่อนหน้า (MoM) มีดังนี้

  1. แขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน เพิ่มขึ้น 1% MoM ในเขตนี้มีโครงการที่น่าสนใจ เช่น ICONSIAM และ ICS ตั้งอยู่
  2. แขวงทุ่งวัดดอน เขตสาทร เพิ่มขึ้น 1% MoM มีโครงการน่าสนใจในเขตนี้ เช่น ศุภาลัย ไอคอน สาทร
  3. แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน เพิ่มขึ้น 5% MoM โครงการในทำเลนี้ เช่น Samyan Mitrtown และยังมี Sindhorn Village ตั้งอยู่ในเขตนี้
  4. แขวงจอมพล เขตจตุจักร เพิ่มขึ้น 8% MoM มีโครงการน่าสนใจ เช่น BTS Visionary Park 
  5. แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา เพิ่มขึ้น 7% MoM ตัวอย่างโครงการ เช่น The Strand Thonglor และ Marché Thonglor เป็นต้น และในเขตนี้ยังมี​ APAC Tower อีกด้วย
  • แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนายังโดดเด่น ครองใจผู้เช่าใกล้โครงการมิกซ์ยูส ขณะที่ฝั่งตลาดเช่าก็มีการเติบโตที่น่าสนใจไม่แพ้กัน โดยทำเลใกล้โครงการมิกซ์ยูสในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยเติบโตมากที่สุด ได้แก่ “แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา” เพิ่มขึ้น 15.2% MoM อีกหนึ่งย่านเศรษฐกิจที่น่าจับตามองและเชื่อมต่อไปยังทำเล CBD ได้ง่าย จึงรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ที่อยู่อาศัยในทำเลนี้จึงกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับวัยทำงานหรือวัยเรียนที่ต้องการเช่าที่อยู่อาศัยในทำเลไม่ไกลจากใจกลางเมือง เพื่อลดเวลาในการเดินทาง 

โดย 5 ทำเลใกล้โครงการมิกซ์ยูสในกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยเติบโตมากที่สุดจากเดือนก่อนหน้า (MoM) มีดังนี้

  1. แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา เพิ่มขึ้น 2% MoM มีโครงการในทำเลนี้ เช่น The Strand Thonglor และ Marché Thonglor นอกจากนี้ยังมี​ APAC Tower ตั้งอยู่ในเขตเดียวกัน
  2. แขวงคลองตัน เขตคลองเตย เพิ่มขึ้น 6% MoM เขตนี้มีโครงการที่น่าสนใจ เช่น ​THE PARQ และ FYI Center เป็นต้น
  3. แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา เพิ่มขึ้น 2% MoM ตัวอย่างโครงการในเขตนี้ เช่น The Strand Thonglor, Marché Thonglor และ​ APAC Tower เป็นต้น
  4. แขวงสีลม เขตบางรัก เพิ่มขึ้น 1% MoM ตัวอย่างเช่น คิง เพาเวอร์ มหานคร, Park Silom และ Dusit Central Park เป็นต้น และมี Boonmitr Silom ตั้งอยู่ในเขตเดียวกัน
  5. แขวงคลองเตย เขตคลองเตย เพิ่มขึ้น 0% MoM มีโครงการ เช่น THE PARQ และ FYI Center เป็นต้น

ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า “แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา” ถือเป็นทำเลที่อยู่อาศัยใกล้โครงการมิกซ์ยูสที่น่าจับตามองในเวลานี้ โดยครองอันดับ 1 ทำเลที่มีความต้องการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยรวมกันเติบโตมากที่สุด และยังครองอันดับ 1 ทำเลที่มีความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยเติบโตมากที่สุดเช่นกัน นอกจากนี้ยังติด 1 ใน 5 ทำเลที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเติบโตมากที่สุดอีกด้วย สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีแนวโน้มเติบโตในย่านใกล้เคียงทำเล CBD ถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจสำหรับผู้บริโภคและนักลงทุนที่มองหาที่อยู่อาศัยที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เดินทางได้สะดวก ใกล้โครงการมิกซ์ยูส ซึ่งจะมีมูลค่าเพิ่มตามศักยภาพการเติบโตของทำเลที่พัฒนาต่อเนื่องในอนาคต