อาลีบาบา คลาวด์ เผยนวัตกรรมที่ใช้ในมหกรรมช้อปปิ้งระดับโลก 11.11 เน้นการทำธุรกรรมซื้อขายอย่างยั่งยืน และ เข้าถึงคนทุกกลุ่ม

Alibaba Cloud

อาลีบาบา คลาวด์ เผยนวัตกรรมที่ใช้ในมหกรรมช้อปปิ้งระดับโลก 11.11 เน้นการทำธุรกรรมซื้อขายอย่างยั่งยืน และ เข้าถึงคนทุกกลุ่ม

    • เป็นครั้งแรกที่ธุรกรรมในมหกรรมช้อปปิ้งระดับโลกใช้งานบนระบบคลาวด์ 100%
    • ลดการใช้ทรัพยากรด้านการประมวลผลลงครึ่งหนึ่งในการทำธุรกรรมทุก ๆ 10,000 รายการเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
    • ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 26,000 ตัน ด้วยการใช้พลังงานหมุนเวียน
Alibaba Cloud2

อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป ได้ยกระดับระบบและการดำเนินงานทั้งหมดของอาลีบาบา กรุ๊ป ขึ้นไปทำงานบนระบบคลาวด์อย่างเต็มรูปแบบ ก่อนมหกรรมช้อปปิ้งครั้งใหญ่ที่สุดในโลกจะเริ่มขึ้น ได้มีการนำเทคโนโลยีคลาวด์-เนทีฟ (Cloud Native) ต่าง ๆ มาใช้ในช่วง 11.11 ซึ่งเป็นมหกรรมช้อปปิ้งระดับโลก ซึ่งช่วยลดการใช้ทรัพยากรด้านการประมวลผลลงได้ 50% ต่อธุรกรรมทุก ๆ 10,000 รายการเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา นอกจากนี้การประมวลผลมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยที่ประสิทธิภาพในการใช้เทคโนโลยีเพิ่มขึ้น 20% และการใช้ทรัพยากรที่เป็นหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 30%

หลี่ เจิ้ง หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี อาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวว่า “เรามีพันธะสัญญาในการนำเสนอ ‘สมรรถนะด้านการประมวลผลที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม’ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ที่ต้องการใช้ระบบดิจิทัลที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำ และเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืนทั่วถึงและครบทุกด้าน มหกรรมช้อปปิ้งระดับโลก 11.11 ของอาลีบาบา กรุ๊ป นับเป็นโอกาสสำคัญในการขับเคลื่อนการให้บริการต่าง ๆ ของเราอย่างต่อเนื่องด้วยเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมที่ทำงานอย่างอัจฉริยะ เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่สามารถให้บริการลูกค้าในทุกอุตสาหกรรมและทุกภาคส่วนได้มากขึ้นด้วยเทคโนโลยีเหนือชั้นที่ได้รับการทดสอบแล้วเหล่านี้

ใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมคลาวด์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจับจ่ายใช้สอยที่ยั่งยืน

อาลีบาบา คลาวด์ ใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (green technology) เช่น ไฮเปอร์-สเกล ดาต้าเซ็นเตอร์ (Hyperscale Data center) ของอาลีบาบา คลาวด์ มีการใช้ระบบระบายความร้อนด้วยสารเหลวและพลังงานลม เพื่อให้ 11.11 เป็นมหกรรมช้อปปิ้งที่มาพร้อมกับความยั่งยืนมากขึ้น และในปีนี้ การใช้พลังงานหมุนเวียนในดาต้าเซ็นเตอร์ของอาลีบาบาที่เมืองจางเป่ย ได้ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้มากกว่า 26,000 ตัน ซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่ต้นไม้จำนวนหนึ่งล้านต้นดูดซับต่อปี

การนำ Hanguang 800 ซึ่งเป็นชิป AI inference ตัวแรกที่อาลีบาบา คลาวด์ ทำขึ้นเองและเปิดตัวเมื่อปี 2562 มาใช้ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาผลิตภัณฑ์และการแนะนำสินค้าต่าง ๆ ระหว่างมหกรรม 11.11 เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ประสิทธิภาพของอัลกอริธึมในฟังก์ชันการค้นหาบนตลาดซื้อขายสินค้าออนไลน์หรือ e-Marketplace Taobao เพิ่มขึ้นถึง 200% และลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้ 58%

นอกจากนี้ ได้มีการนำ M6 ซึ่งเป็นโมเดล AI ขนาดใหญ่ของอาลีบาบาคลาวด์ มาใช้งานเป็นครั้งแรกในช่วงมหกรรมช้อปปิ้งปีนี้ ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการที่ต้องใช้ AI ได้อย่างมาก เช่น การออกแบบเครื่องแต่งกายโดยอาศัย AI และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับสายการผลิต โดย M6 ช่วยลดระยะเวลาที่ใช้ในการออกแบบเสื้อผ้าใหม่ ๆ จากเดิมที่ต้องใช้เวลาหลายเดือน เหลือเพียงไม่ถึง 2 สัปดาห์ จึงเป็นที่คาดการณ์ได้ว่างานออกแบบที่ใช้ M6 ควบคู่กับการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จะช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เกิดจากการผลิตเสื้อยืดได้กว่า 30% เลยทีเดียว

เปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงการช้อปปิ้ง

อาลีบาบาคลาวด์มุ่งมั่นที่จะช่วยให้ร้านค้าสามารถนำเสนอประสบการณ์ช้อปปิ้งออนไลน์ที่ดึงดูดใจและเข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มมากขึ้น โดยอาศัยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย

มีการนำเทคโนโลยีการจดจำเสียงพูด (speech recognition) ที่พัฒนาโดย Alibaba DAMO Academy มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของโหมดการใช้งานสำหรับผู้สูงวัย หรือ ‘senior mode’ ในแอปพลิเคชัน Taobao เทคโนโลยีนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้สูงวัยในจีนที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถปรับตัวใช้รูปแบบการดำเนินชีวิตแบบดิจิทัลได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้ได้มีการติดตั้ง Taoxiaobao ซึ่งเป็นผู้ช่วยอัจริยะที่สั่งงานด้วยเสียงที่ใช้อัลกอลิธึมของ DAMO ในการจดจำเสียงพูดไว้ใน ‘senior mode’ ของ Taobao เพื่อรองรับการค้นหาด้วยเสียงพูด ทั้งนี้ Taoxiaobao สามารถจดจำคำสั่งเสียงที่เป็นภาษาจีนสำเนียงท้องถิ่นได้หลากหลาย มีความแม่นยำสูง แม้กระทั่งในกรณีที่มีเสียงรบกวนรอบข้างที่ซับซ้อน ทั้งยังช่วยให้ผู้ใช้งานไม่ต้องพิมพ์ป้อนข้อความด้วยตนเอง เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่ติดขัดด้านการพิมพ์ข้อความบนอุปกรณ์มือถือเป็นอย่างมาก

ในช่วงมหกรรมช้อปปิ้งปีนี้ ยังมีการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “การค้นหายาด้วยภาพ” ในแอปพลิเคชัน Taobao ซึ่งนับว่ามีประโยชน์สำหรับผู้สูงอายุ กล่าวคือ ผู้ใช้จะสามารถค้นหายาที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ด้วยการถ่ายหรือสแกนภาพบรรจุภัณฑ์หรือขวดยาโดยใช้ Pailitao ซึ่งเป็นเอนจิ้น การค้นหาภาพของแอป Taobao การค้นหาสินค้าโดยใช้ภาพถ่ายช่วยให้ผู้สูงวัยไม่ต้องพิมพ์ชื่อยาที่ยาวหรือซับซ้อน ผลลัพธ์การค้นหาจะแสดงข้อมูลเกี่ยวกับยาและสรรพคุณ การค้นหาสินค้าในระบบที่ใหญ่และซับซ้อนนี้ โดยอาศัยเทคโนโลยี AI แบบ Multi-modal ซึ่งบูรณาการเทคโนโลยี Optical Character Recognition (OCR) สำหรับการจดจำข้อความในรูปภาพ และช่วยเพิ่มความแม่นยำในการประมวลผลภาพถ่ายยา Taobao ได้ผนวกรวมเทคโนโลยี OCR เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2561 โดยทำหน้าที่ประมวลผลรูปภาพหลายล้านรูป เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ช้อปปิ้งให้กับผู้ใช้ที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น

ประยุกต์ใช้งานนวัตกรรมอย่างเป็นรูปธรรม

มีการนำหุ่นยนต์ขนส่งสินค้า “Xiaomanlv” ของอาลีบาบาไปใช้งานในกว่า 200 เขตพื้นที่ทั่วประเทศจีน เพื่อรองรับการจัดส่งสินค้าในช่วงมหกรรมช้อปปิ้งของปีนี้ โดยยานพาหนะหุ่นยนต์ขนส่ง Xiaomanlv จำนวน 350 คันได้นำส่งสินค้ากว่า 1 ล้านชิ้นถึงมือผู้รับในช่วง 10 วันแรกของมหกรรม ช้อปปิ้งนี้ แซงหน้าปริมาณการจัดส่งสินค้าทั้งหมดในช่วง 12 เดือนนับตั้งแต่ที่มีการเปิดตัวหุ่นยนต์ขนส่งเมื่อเดือนกันยายน 2563

เครื่องมือต่าง ๆ ที่พัฒนาโดย DAMO ทำหน้าที่แปลภาษาของข้อมูลสินค้าหลายสิบล้านรายการเพื่อรองรับการซื้อขายระหว่างประเทศในช่วงมหกรรมช้อปปิ้งครั้งนี้ และในขณะเดียวกัน DingTalkซึ่งเป็นแพลตฟอร์การทำงานร่วมกันผ่านระบบดิจิทัลของอาลีบาบา ได้ทำการประมวลผลข้อความมากถึง 606,900 ข้อความต่อวินาทีในช่วงที่มีการใช้งานสูงสุดระหว่างที่จัดมหกรรมช้อปปิ้งในปีนี้โดยเป็นการรองรับการติดต่อสื่อสารอย่างฉับไวและราบรื่นให้กับผู้ใช้บนแอปต่าง ๆ มากกว่า 30 แอปในระบบนิเวศ (ecosystem) ของอาลีบาบา

อาลีบาบา คลาวด์ เดินหน้าพันธสัญญาต่อประเทศไทย เสริมแกร่งโครงการด้านพันธมิตรและเสริมศักยภาพทักษะดิจิทัล

อาลีบาบา คลาวด์ เดินหน้าพันธสัญญาต่อประเทศไทย เสริมแกร่งโครงการด้านพันธมิตรและเสริมศักยภาพทักษะดิจิทัล

พร้อมแผนเปิดไฮเปอร์สเกลดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกของอาลีบาบา คลาวด์ ในไทยปีหน้า

อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป เดินหน้าสานต่อพันธกิจในประเทศไทย เพิ่มความช่วยเหลือ เสริมความแข็งแกร่งด้านกลยุทธ์ในไทยด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้งาน พร้อมให้การสนับสนุนระบบนิเวศ การฝึกอบรมบุคลากรที่มีทักษะความสามารถ และการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน

อาลีบาบา คลาวด์ ได้รับการจัดอันดับจากการ์ทเนอร์ให้เป็นผู้บริการคลาวด์ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เปิดตัว Thailand Partner Alliance 100 ระบบนิเวศที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนพันธมิตรในท้องถิ่นและส่งเสริมการทำงานร่วมกันในด้านต่าง ๆ อาทิ ด้านการตลาด การขายและสนับสนุนทางด้านเทคนิค องค์กรธุรกิจสามารถเข้าใช้งานเครื่องมือดิจิทัลที่สำคัญต่าง ๆ ในระบบนิเวศนี้ได้ และพันธมิตรด้านโซลูชัน (solution partners) จะได้รับผลกำไรที่แข่งขันได้ในระดับสูงเมื่อเลือกใช้ผลิตภัณฑ์หลักต่าง ๆ เช่น ECS, Database, Content Delivery Networks and Short Message Services รวมถึงการให้การสนับสนุนด้านเทคนิคและเงินทุนด้านการผสานรวมเทคโนโลยีสำหรับพันธมิตรด้านโซลูชันที่ต้องการสร้างสรรค์นวัตกรรมบนอาลีบาบา คลาวด์ สำหรับพันธมิตรด้านบริการ (service partners) จะสามารถเข้าใช้การสนับสนุนด้านการโยกย้ายการทำงานระหว่างระบบต่าง ๆ และได้รับคลาวด์เครดิตฟรี

เซลินา หยวน ผู้จัดการทั่วไปด้านธุรกิจระหว่างประเทศ อาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าการเติบโตของผู้ใช้งานบริการพับลิคคลาวด์ทั่วโลกจะอยู่ที่ 23.1 เปอร์เซ็นต์ในปี พ.ศ. 2564 เมื่อเทียบกับในปี พ.ศ. 2563[1] ด้วยอัตราการใช้คลาวด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก และโอกาสต่าง ๆ ที่ธุรกิจในท้องถิ่นจะได้รับจากระบบคลาวด์ ทำให้หนึ่งในพันธกิจหลักของเราคือการทำงานใกล้ชิดกับพันธมิตรไทย เพื่อเสริมศักยภาพการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลให้กับลูกค้า ข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจที่ทรงคุณค่าของเราในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนั้นสามารถรองรับและสนับสนุนได้หลากหลายภาคอุตสาหกรรม เมื่อใช้ควบคู่กับเทคโนโลยีโซลูชันชั้นนำที่เราให้บริการลูกค้าทั่วโลก จะสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับพันธมิตรของเราในการพัฒนาความสามารถใหม่ ๆ และขยายความสำเร็จทางธุรกิจไปพร้อมกับเรา”

ตัวอย่างผู้ค้าปลีกไทย จะได้ประโยชน์จากโซลูชันของอาลีบาบา คลาวด์ ที่รองรับการใช้งานกับลาซาด้า (Lazada) ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของอาลีบาบา กรุ๊ป และจะสามารถเข้าใช้งานชุดโซลูชันต่าง ๆ ตั้งแต่โซลูชันในการผสานการทำงานระหว่างออนไลน์กับออฟไลน์ และเครื่องมือที่ใช้สนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ บนเส้นทางการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของผู้บริโภค ไปจนถึงบริการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง และการตลาดที่เจาะลูกค้าเป็นรายบุคคล นอกจากนี้อาลีบาบา คลาวด์ ยังให้บริการด้านต่าง ๆ กับบริษัทด้านการเงินของไทย เช่นบริการที่รองรับเทคโนโลยี eKYC ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการยืนยันพิสูจน์ตัวตนและการทำความรู้จักลูกค้าผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ บริการที่รองรับการหาลูกค้าใหม่ผ่านอุปกรณ์โมบาย และโซลูชันการให้สินเชื่อดิจิทัลที่ใช้ AI เป็นต้น

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว Academic Empowerment Program ซึ่งเป็นโครงการเสริมศักยภาพทางวิชาการให้กับนักศึกษา นักวิชาการ และนักวิจัย เพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัลของประเทศไทยในอนาคต ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับทรัพยากรด้านคลาวด์คอมพิวติ้งฟรี รวมถึงโอกาสในการฝึกอบรม และความช่วยเหลือทางการเงิน เพื่อเสริมสร้างความรู้ให้สอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 ซึ่งเป็นกลยุทธ์ 20 ปีของรัฐบาลไทยในการส่งเสริมนวัตกรรมด้านดิจิทัลและการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน โครงการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อฝึกอบรมทักษะดิจิทัลให้กับผู้เข้าร่วมโปรแกรมจำนวน 20,000 คนภายในปี พ.ศ. 2566 โดยมีมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกในประเทศไทยที่เข้าร่วมกับอาลีบาบา คลาวด์ ในโครงการด้านนี้

ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดลและอาลีบาบา คลาวด์ เป็นการปูพื้นฐานที่แข็งแกร่งให้นักศึกษาได้มีโอกาสสร้างสรรค์สิ่งใหม่และเรียนรู้ทักษะดิจิทัลที่เป็นเทคโนโลยีล่าสุด เพื่อร่วมกันสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ”

อาลีบาบา คลาวด์ ยังวางแผนจะเปิดดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งในขณะนี้ตั้งเป้าหมายจะเปิดตัวในปี พ.ศ. 2565 เพื่อรองรับการเติบโตด้านคลาวด์ของประเทศไทยที่เพิ่มขึ้น[2]  และความต้องการดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีผลพวงมาจากการระบาดของโควิด-19

นายไทเลอร์ ชิว ผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทย อาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “ขณะนี้อาลีบาบา คลาวด์ มีแผนตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทย เพราะเล็งเห็นถึงความต้องการของธุรกิจไทยในการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลที่เพิ่มมากขึ้น ในฐานะผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำของโลก เราเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลสำคัญต่อประเทศมากเพียงใด และประเทศจะได้ประโยชน์อะไรบ้างในระยะยาวจากการเปลี่ยนแปลงนี้ อาลีบาบา คลาวด์ได้ทุ่มเทเพื่อให้โซลูชันต่าง ๆ ของเราพร้อมใช้สำหรับทุกคน รวมถึงการทำงานร่วมกับพันธมิตรไทย เพื่อสร้างระบบนิเวศที่รองรับอนาคตทางดิจิทัล”

ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ในประทศไทยจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ และโซลูชันที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจไทยและธุรกิจจากต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ใช้สนับสนุนการดำเนินงานในระดับสากลของอาลีบาบา กรุ๊ปเอง ในด้านค้าปลีก โลจิสติกส์ Fintech สื่อและความบันเทิง และการตลาดดิจิทัล

ข้อมูลจากรายงาน BOI’s Data Center and Cloud Service in Thailand[3] ได้คาดการณ์ว่าภายในปี พ.ศ. 2570 เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยจะมีสัดส่วน 25% ของ GDP ของประเทศ ตัวขับเคลื่อนที่สำคัญคืออีคอมเมิร์ซ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและการใช้โทรศัพท์มือถือ รวมถึงระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ ดาต้าเซ็นเตอร์และบริการคลาวด์ต่าง ๆ เป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจดิทัลทั่วโลก และเป็นที่คาดการณ์ว่าตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ของอาเซียนจะมีมูลค่าสูงถึง 5.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี พ.ศ. 2567 ปัจจุบันผู้บริโภคไทยและในอาเซียนได้รับแรงจูงใจให้ใช้บริการดิจิทัลมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกัน ธุรกิจและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็กำลังปรับเปลี่ยนตัวเองอย่างมาก ซึ่งจะเพิ่มความต้องการดาต้าสตอเรจและบริการดิจิทัลต่าง ๆ ที่ทำงานบนคลาวด์ และอาลีบาบา คลาวด์ ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเปิดดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกของบริษัทในประเทศไทยครั้งนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนความสำเร็จตามนโยบาย Thailand 4.0 ของประเทศไทย

[1] https://www.gartner.com/en/newsroom/press-releases/2021-04-21-gartner-forecasts-worldwide-public-cloud-end-user-spending-to-grow-23-percent-in-2021

[2] Source: https://techwireasia.com/2021/05/public-cloud-spending-set-to-spike-in-thailand/

[3] https://www.boi.go.th/upload/content/DataCenterANdCloudService.pdf