Red Hat เปิดตัว Red Hat Enterprise Linux 10 อัดแน่นไปด้วยระบบอัจฉริยะและความปลอดภัยที่เหนือชั้น รองรับทุกสภาพแวดล้อมไฮบริด

Red Hat เปิดตัว Red Hat Enterprise Linux 10 อัดแน่นไปด้วยระบบอัจฉริยะและความปลอดภัยที่เหนือชั้น รองรับทุกสภาพแวดล้อมไฮบริด

Red Hat เปิดตัว Red Hat Enterprise Linux 10 อัดแน่นไปด้วยระบบอัจฉริยะและความปลอดภัยที่เหนือชั้น รองรับทุกสภาพแวดล้อมไฮบริด

  • เป็นรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับนวัตกรรมด้านไอที ช่วยเสริมการดำเนินงานบนไฮบริดคลาวด์ให้ชาญฉลาดมากขึ้นด้วยการใช้ AI เป็นพลังขับเคลื่อนการบริหารจัดการ Linux 
  • เพิ่มฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยเพื่อช่วยบรรเทาภัยคุกคามจากควอนตัมคอมพิวติ้ง
  • บริหารจัดการระบบปฏิบัติการในรูปแบบเดียวกับคอนเทนเนอร์ มาพร้อมความสามารถใหม่ของ Red Hat Insights ที่ช่วยให้มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจมากขึ้นตั้งแต่เริ่มสร้างแอปพลิเคชันหรือโซลูชัน
  • เสริมศักยภาพให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์รุ่นต่อไป ด้วยการสนับสนุนและรองรับสถาปัตยกรรมเกิดใหม่ และนวัตกรรมทางซอฟต์แวร์

เร้ดแฮท ผู้ให้บริการด้านโซลูชันโอเพ่นซอร์สระดับโลกเปิดตัว Red Hat Enterprise Linux 10 ซึ่งเป็นความก้าวหน้าของแพลตฟอร์ม Linux ระดับองค์กรคุณภาพชั้นนำของโลก เพื่อตอบสนองความต้องการด้านไฮบริดคลาวด์และรองรับพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจาก AI ที่มีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา Red Hat Enterprise Linux 10 ไม่ได้เป็นเพียงการปรับปรุงเวอร์ชันตามรอบเวลาเท่านั้น แต่ยังมอบกลยุทธ์และโครงสร้างหลักที่ชาญฉลาดให้แก่ฝ่ายไอทีองค์กร เพื่อจัดการกับความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้น เร่งให้เกิดนวัตกรรม และสร้างโครงสร้างการประมวลผลที่ปลอดภัยมากขึ้นสำหรับอนาคต

การที่ฝ่ายไอทีขององค์กรต้องรับมือกับสภาพแวดล้อมไฮบริดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และความจำเป็นที่ต้องบูรณาการเวิร์กโหลด AI ต่าง ๆ ทำให้พวกเขาต้องการระบบปฏิบัติการที่ฉลาด ยืดหยุ่น และแข็งแกร่งอย่างมากอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน Red Hat Enterprise Linux 10 ช่วยให้องค์กรก้าวข้ามความท้าทายนี้ ด้วยการมอบแพลตฟอร์มที่ได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมให้มีความคล่องตัว ยืดหยุ่น และบริหารจัดการได้ ในขณะที่ยังคงรักษาระดับความปลอดภัยต่อภัยคุกคามซอฟต์แวร์ในอนาคตได้อย่างรัดกุม

การทำงานอัจฉริยะบนสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน: Lightspeed คือการใช้พลังของ AI บริหารจัดการ Linux 

ข้อมูลจากการศึกษาของ IDC ที่เร้ดแฮทให้การสนับสนุนพบว่า องค์กรต่าง ๆ ใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อนำชุดทักษะด้าน Linux ที่จำเป็นต้องใช้ในการบริหารจัดการ Linux Distribution ที่มีความหลากหลายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งทำให้ต้องพบกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัย การต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด (compliance) ต่าง ๆ และการหยุดทำงานของแอปพลิเคชันมากขึ้น เร้ดแฮทเป็นผู้ให้บริการหนึ่งในไม่กี่รายที่สามารถตอบสนองความต้องการทางเทคโนโลยีที่ยังคงพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ตอบสนองต่อความจำเป็นในการใช้งาน รวมถึงกลไกต่าง ๆ ที่เพิ่มมากขึ้นเหล่านี้ได้ทั้งหมด

Red Hat Enterprise Linux 10 นำเสนอ Red Hat Enterprise Linux Lightspeed เพื่อแก้ปัญหาช่องว่างด้านทักษะสำคัญที่ต้องใช้ในการดูแลระบบ Linux โดยนำ generative AI (gen AI) ผสานรวมไว้ภายในแพลตฟอร์ม เพื่อแนะแนวทางที่เข้าใจบริบท และให้คำแนะนำที่สามารถปฏิบัติได้จริง ผ่านอินเทอร์เฟซภาษาธรรมชาติ (natural language interface) เร้ดแฮทมีความรู้เฉพาะด้าน Linux ระดับองค์กรมาหลายทศวรรษ และนำความเชี่ยวชาญเหล่านี้ช่วยทำงานต่าง ๆ ตั้งแต่การแก้ปัญหาปกติทั่วไป ไปจนถึงแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการจัดการทรัพย์สินและทรัพยากรด้านไอทีทั้งหมดซึ่งเต็มไปด้วยความซับซ้อน ช่วยให้ผู้รับผิดชอบงานด้านไอทีทั้งที่เป็นคนใหม่และคนที่มีประสบการณ์อยู่แล้วสามารถจัดการสภาพแวดล้อมขนาดใหญ่ของ Red Hat Enterprise Linux ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการนำความช่วยเหลือที่ใช้ความสามารถของ AI ส่งตรงไปยัง command line ใน Red Hat Enterprise Linux 10

ฟีเจอร์ความปลอดภัยประสิทธิภาพสูง รองรับการมาถึงของควอนตัม

เร้ดแฮทตระหนักถึงผลกระทบด้านความปลอดภัยในระยะยาวของควอนตัมคอมพิวติ้ง และ Red Hat Enterprise Linux 10 เป็นผู้นำรายแรกในอุตสาหกรรมที่นำ enterprise Linux distribution บูรณาการกับมาตรฐานต่าง ๆ ของ National Institute of Standards and Technology (NIST) เพื่อรองรับการเข้ารหัสหลังควอนตัม (post-quantum cryptography) แนวทางเชิงรุกนี้เสริมแกร่งให้องค์กรสามารถป้องกันการโจมตีในอนาคต ในลักษณะ harvest now; decrypt later หรือการที่อาชญากรไซเบอร์เก็บข้อมูลหรือเป้าหมายไว้ก่อนแล้วถอดรหัสภายหลังเมื่อเทคโนโลยีเอื้ออำนวย ทั้งยังช่วยให้สามารถทำตามกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงไปได้ แนวทางนี้รวมถึงการผสมผสานอัลกอริธึม quantum-resistant ต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยงของการถอดรหัสข้อมูลที่เก็บไว้ปัจจุบันในอนาคต และ post-quantum signature schemes เพื่อตรวจสอบความสมบูรณ์และความถูกต้องของชุดซอฟต์แวร์และใบรับรอง TLS

โครงสร้างพื้นฐานไฮบริดที่รวมเป็นหนึ่งเดียว และการตัดสินใจเมื่อเริ่มออกแบบโซลูชัน

Red Hat Enterprise Linux 10 นำเสนอการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (paradigm shift) ระบบปฏิบัติการขององค์กร ในรูปแบบอิมเมจโหมด (image mode) ซึ่งเป็นคอนเทนเนอร์-เนทีฟ ที่รวมการสร้าง การใช้งาน และการจัดการระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชัน ไว้ในเวิร์กโฟลว์หนึ่งเดียวที่ทรงประสิทธิภาพ ปัจจุบันลูกค้าสามารถบริหารจัดการแลนด์สเคปด้านไอทีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคอนเทนเนอร์ไลซ์แอปพลิเคชัน ไปจนถึงแพลตฟอร์มพื้นฐาน ด้วยเครื่องมือและเทคนิคที่สอดคล้องเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งช่วยลดความคลาดเคลื่อนของการกำหนดค่า (configuration) ได้อย่างมาก สามารถป้องกันความคลาดเคลื่อนของการแพตช์ได้ในเชิงรุก และสร้างชุดแนวทางปฏิบัติชุดเดียวที่ใช้ได้ทั้งกับนักพัฒนาแอปพลิเคชันและทีมปฏิบัติการด้านไอที

องค์กรด้านไอทีมักต้องทำการตัดสินใจสำคัญในเรื่องของการผสมผสานแพ็คเกจเฉพาะทางในสภาพแวดล้อมการทำงานมาตรฐาน (SOE) ในขณะที่กำลังสร้างโซลูชันต่าง ๆ เร้ดแฮทได้เพิ่มคำแนะนำแพ็คเกจตัวสร้างอิมเมจ Red Hat Insights ไว้ใน Red Hat Enterprise Linux 10 เพื่อช่วยให้ทีมทำงานมีข้อมูลมากขึ้นในการตัดสินใจเกี่ยวกับแพ็คเกจที่ปรับให้เหมาะกับตนก่อนที่จะนำไปใช้งานจริง นอกจากนี้ Red Hat Insights planning ยังนำเสนอมุมมองเกี่ยวกับโรดแมปและไลฟ์ไซเคิลของ Red Hat Enterprise Linux ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้แพลตฟอร์มมีความพร้อมใช้ในอนาคต

จากคลาวด์-เนทีฟ สู่ AI-ready: Red Hat Enterprise Linux 10 เป็นพลังรองรับอนาคต

Enterprise Linux 10 รองรับความต้องการทางเทคโนโลยีทั้งในปัจจุบันและอนาคต และเป็นเวอร์ชันที่เข้ามาเพิ่มเติมประวัติความเป็นมาของ Red Hat Enterprise Linux ที่มีมานานหลายทศวรรษในฐานะเทคโนโลยีหลักที่เชื่อถือได้ว่าสามารถนำไปใช้งานได้จริงตามวัตถุประสงค์ด้านต่าง ๆ แพลตฟอร์มเวอร์ชันล่าสุดนี้ทำหน้าที่เป็นฐานให้กับ Red Hat AI ซึ่งเป็นโซลูชันด้าน AI ของเร้ดแฮทที่ได้รับการจัดการและปรับแต่งให้เหมาะสม ครอบคลุมถึง Red Hat AI Inference Server, Red Hat OpenShift AI และ Red Hat Enterprise Linux AI (RHEL AI)

ความสามารถและนวัตกรรมสำคัญที่เพิ่มเติมอยู่ใน Red Hat Enterprise Linux 10 ประกอบด้วย

  • เตรียมพร้อมสำหรับไฮบริดคลาวด์ตั้งแต่วันนี้ ด้วย Red Hat Enterprise Linux images บน AWS, Google Cloud และ Microsoft Azure ที่ได้รับการปรับแต่งล่วงหน้า มีการซัพพอร์ตอย่างเต็มที่ และพร้อมใช้
  • ชุดเครื่องมือไอทีมากขึ้น ด้วยซอฟต์แวร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากชุมชน เช่น Podman Desktop ผ่าน Red Hat Enterprise Linux extensions repository ที่มาพร้อมความสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น
  • สร้างนวัตกรรมด้วยความมั่นใจ ด้วยประโยชน์จาก partner-validated solutions ที่สร้างบนฮาร์ดแวร์สำหรับ AI ที่ล้ำสมัย และเวิร์กโหลดหนัก ๆ อื่น ๆ นับเป็นการขับเคลื่อนขอบเขตสิ่งที่เป็นไปได้ด้วยทางเลือกในการใช้งานที่มากขึ้น
  • สำรวจสถาปัตยกรรมใหม่ ๆ และเริ่มต้นพัฒนาก่อนใครสำหรับ RISC-V platform with a Red Hat Enterprise Linux 10 developer preview โดยร่วมมือกับ SiFive นำเสนอการเข้าถึงแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้มากขึ้นสำหรับสถาปัตยกรรม HiFive P550 RISC-V 
  • ปรับแต่งกลยุทธ์ด้านความปลอดภัย ด้วยทางเลือกที่มากขึ้นและรักษาความปลอดภัย Linux ได้อย่างง่ายดาย ผ่าน Red Hat Enterprise Linux Security Select Add-On ที่กำลังจะมีให้บริการ ซึ่งมอบความสามารถในการ request fixes ให้กับ Common Vulnerabilities and Exposures (CVEs) ที่เจาะจงได้มากถึง 10 รายการต่อปี 

การวางจำหน่าย

Red Hat Enterprise Linux 10 เปิดวางตลาด (generally available: GA) แล้ว ผ่าน Red Hat Customer Portal นักพัฒนาซอฟต์แวร์ยังสามารถเข้าใช้ Red Hat Enterprise Linux 10 ผ่านโปรแกรม Red Hat Developer โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งจะได้พบกับทรัพยากรมากมายที่จะใช้เริ่มต้นทำงาน รวมถึงการให้เข้าถึงซอฟต์แวร์ วิดีโอสอนวิธีการต่าง ๆ การสาธิตการใช้งาน และเอกสารประกอบ 

คำกล่าวสนับสนุน

Gunnar Hellekson, vice president and general manager, Red Hat Enterprise Linux, Red Hat
“Red Hat Enterprise Linux 10 ได้รับการออกแบบโครงสร้างมาเพื่อเสริมประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการทั้งในปัจจุบันและอนาคตให้กับฝ่ายไอทีองค์กรและนักพัฒนาซอฟต์แวร์ Red Hat Enterprise Linux 10 เป็นฐานที่แข็งแกร่งและเป็นนวัตกรรมที่จำเป็นต่อการเติบโตในยุคไฮบริดคลาวด์และ AI โดยมอบฟีเจอร์ที่ชาญฉลาดที่ใช้ gen AI มอบการบริหารจัดการไฮบริดคลาวด์อย่างเป็นหนึ่งเดียวผ่านอิมเมจโหมด และมอบวิธีการด้านความปลอดภัยเชิงรุกผ่านการเข้ารหัสหลังควอนตัม (post-quantum cryptography)”

Stefan Basenach, senior vice president, Process Automation Technology, ABB
“ความร่วมมือกับเร้ดแฮทครั้งนี้ จะช่วยให้ ABB เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของกรณีใช้งานในอุตสาหกรรมให้สอดคล้องกันทั้งบนสภาพแวดล้อมไฮบริดคลาวด์ และ edge เป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนการอัตโนมัติและการควบคุมทางอุตสาหกรรมเพื่ออนาคต อิมเมจโหมดของ Red Hat Enterprise Linux ช่วย ABB ลดความซับซ้อนของกระบวนการสร้างระบบปฏิบ้ติงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพไลฟ์ไซเคิลด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์และสามารถใช้วิธีการติดตั้งที่เป็นมาตรฐาน ซึ่งส่งผลให้สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ได้เร็วขึ้น และมี workflow ที่ง่ายและตรงไปตรงมาเหมือนกับการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป สำหรับการพัฒนาต่าง ๆ มากขึ้น ดังนั้นลูกค้าสามารถใช้เวลาในการติดตั้งน้อยลง และมุ่งเน้นไปที่การนำเทคโนโลยีของ ABB ไปในสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจได้มากขึ้น”

Ryan Caskey, research manager, IDC

“องค์กรสามารถรวบรวม Linux distributions ที่หลากหลาย เนื่องจากความต้องการด้านการปฏิบัติงานเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การบำรุงรักษาสภาพแวดล้อมที่ต่างกันเหล่านี้อย่างสม่ำเสมออาจกลายเป็นความท้าทายมากขึ้นเรื่อย ๆ โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่และซับซ้อน รวมถึงทีมงานที่มักขาดคน ขาดทักษะ และมีงบประมาณสนับสนุนไม่เพียงพอ เป็นปัญหาในปัจจุบันที่ต้องการการแก้ไข Red Hat Enterprise Linux ตอบสนองความต้องการนี้ ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างเลเยอร์พื้นฐานที่แข็งแกร่ง รองรับการดำเนินการเชิงกลยุทธ์ด้านไอทีทั้งในปัจจุบันและอนาคต”

Anish Bhatt, software architect, Salesforce
“แลนด์สเคปทางเทคโนโลยีมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน ทำให้การบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่อาจเป็นเรื่องท้าทาย อิมเมจโหมดช่วยให้สามารถผสานรวมไปป์ไลน์ของเรา และสร้างกระบวนการต่าง ๆ ที่มุ่งไปในทิศทางของคอนเทนเนอร์ไลซ์เซชันมากขึ้น ทั้งยังช่วยให้สภาพแวดล้อมไอทีมีความเสถียร ลดความคลาดเคลื่อนของการกำหนดค่า (Configuration Drift) และทำให้การกำหนดค่าของระบบสอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เรายังสามารถอัปเกรดระหว่าง Red Hat Enterprise Linux major และ minor releases ด้วยความเสี่ยงในการทำงานที่น้อยลง เพื่อให้สามารถ roll back ได้อย่างรวดเร็ว อิมเมจโหมดเป็นก้าวที่มีความหมายต่อการใช้คลาวด์-เนทีฟแอปพลิเคชันและการปฏิบัติงานด้านไอทีที่ง่ายขึ้นด้วยการเชื่อมโยง (pipeline) หนึ่งเดียว”

IDC FutureScape: Worldwide Digital Infrastructure 2025 Predictions, Document #US51665124, Oct 2024

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

Empowering Thailand’s Digital Future with AI and Cloud Innovation

เสริมศักยภาพอนาคตดิจิทัลของไทย ด้วยนวัตกรรม AI และ Cloud

Empowering Thailand’s Digital Future with AI and Cloud Innovation

By Sean Yuan, Vice President of International Business and General Manager of Thailand, Indonesia, Japan, the Philippines, and South Pacific Region at Alibaba Cloud Intelligence
By Sean Yuan, Vice President of International Business and General Manager of Thailand, Indonesia, Japan, the Philippines, and South Pacific Region at Alibaba Cloud Intelligence

Thailand’s digital economy continues to evolve rapidly, driven by government initiatives, private-sector innovation, and a growing demand for advanced cloud and AI solutions. Businesses are embracing digital tools to boost efficiency, enhance customer experiences, and unlock new opportunities, making cloud adoption and AI integration critical components of the country’s economic transformation.

The Thai government is prioritizing three strategic pillars to position the country as a regional AI hub: cultivating AI-ready talents, advancing digital infrastructure, and accelerating AI adoption across key industries. Specifically, it aims to train 10 million AI users, 90,000 professionals, and 50,000 developers within two years, alongside investments in cloud systems, data centers, and open-source AI platforms to enable scalable, cost-effective solutions.

A government study reveals that while under 20% of Thai organizations have implemented AI, over 70% plan to do so, highlighting immense growth potential. This momentum aligns with Thailand’s public cloud market, projected to grow at a 23.68% CAGR from 2025 to 2030, reaching US$8.51 billion by 2030. Infrastructure as a Service (IaaS) will lead this expansion, expected to hit US$ 950.23 million by 2025.

Building Foundations for Growth

To support the nation’s digital ambitions, we launched our second data center in Thailand with richer solutions earlier this year, strengthening our commitment to secure, high-performance cloud solutions tailored for Thai businesses. This infrastructure empowers businesses to deploy AI, big data analytics, and industry-specific applications without compromising latency, compliance, or scalability.

Beyond infrastructure, we’re collaborating with Thailand’s Digital Economy Promotion Agency (depa) and universities to nurture talent through training programs, AI competitions, and e-learning platforms. A standout initiative is “Eye for Thailand”,  our first AI-powered video contest, where participants used tools like Alibaba’s video-generation model Wan2.1 to blend tradition with innovation.

The two-month contest attracted over 200 applicants nationwide, from developers to marketers, culminating in a demo day where finalists showcased creativity and technical skills. Prize winners exemplified how AI can revolutionize storytelling, underscoring the public’s growing engagement with emerging technologies.

Expanding Regional and Global Impact

Southeast Asia remains pivotal for cloud adoption. Alongside Thailand’s new data center, we expanded infrastructure in Mexico, South Korea, and Malaysia, with the Philippines slated for October. Our global network now spans 89 availability zones across 29 regions, delivering scalable, low-latency cloud services.

Proven expertise in complex migrations was demonstrated in Indonesia, where we supported Indonesia’s largest digital ecosystem GoTo Group’s seamless transition of its financial services infrastructure to our cloud, achieving zero downtime for millions of users. Post-migration, GoTo migrated its core business data platform, leveraging Alibaba Cloud’s MaxCompute to enhance operational agility and cost efficiency, migrating tens of petabytes of data without disruption over a six-month period. Such projects highlight our capacity to deliver resilient, large-scale transformations across sectors.

Democratizing AI with Open-Source Innovation

As AI adoption accelerates, open-source models are key to inclusivity. Our latest large language model, Qwen3, has surpassed 12.5 million global downloads. The Qwen3 series, from lightweight 0.6B-parameter models to advanced Mixture-of-Experts architectures, enables developers to build AI solutions in healthcare, education, and smart devices.

Its broad language support including Thai and vibrant open-source community set it apart. On platforms like Hugging Face, developers have created over 130,000 derivative models—a testament to Qwen’s versatility. By open-sourcing these tools, we empower startups, researchers, and developers to drive AI innovations.

Towards a Collaborative Future

Thailand’s digital transformation accelerates, with cloud technology, AI adoption, and skills development as pivotal priorities. At Alibaba Cloud, we remain committed to advancing this journey through reliable infrastructure, accessible AI tools, and talent empowerment.

As we deepen our presence in Thailand and Southeast Asia, we strive to be a trusted partner in shaping the region’s digital future, where innovation meets inclusivity, and ambition meets execution. Together, we can unlock boundless opportunities for the Thailand’s businesses, communities, and the next generation of digital talents.

เสริมศักยภาพอนาคตดิจิทัลของไทย ด้วยนวัตกรรม AI และ Cloud

เสริมศักยภาพอนาคตดิจิทัลของไทย ด้วยนวัตกรรม AI และ Cloud

เสริมศักยภาพอนาคตดิจิทัลของไทย ด้วยนวัตกรรม AI และ Cloud

บทความโดย นายฌอน หยวน รองประธานฝ่ายธุรกิจระหว่างประเทศและผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และภูมิภาคแปซิฟิกใต้ อาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์
บทความโดย นายฌอน หยวน รองประธานฝ่ายธุรกิจระหว่างประเทศและผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และภูมิภาคแปซิฟิกใต้ อาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์

เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว จากแรงหนุนของภาครัฐ ภาคเอกชน และความต้องการคลาวด์และ AI ประสิทธิภาพสูงที่เพิ่มมากขึ้น องค์กรธุรกิจต่างนำเครื่องมือดิจิทัลหลากหลายไปใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เพิ่มประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้ลูกค้า และเปิดประตูสู่โอาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจ ส่งผลให้คลาวด์และ AI กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจของประเทศ

รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนประเทศให้เป็นศูนย์กลาง AI ของภูมิภาคผ่านยุทธศาสตร์สามประการคือ การปลูกฝังผู้มีความสามารถด้าน AI, การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพสูง และ เร่งการนำ AI ไปใช้ในอุตสาหกรรมหลักต่าง ๆ ให้ได้อย่างรวดเร็ว มีการตั้งเป้าที่จะฝึกอบรมผู้ใช้ AI จำนวน 10 ล้านราย, มืออาชีพด้าน AI จำนวน 90,000 ราย และ นักพัฒนาด้าน AI จำนวน 50,000 ราย ภายในสองปี ควบคู่กับการลงทุนด้านระบบคลาวด์ ดาต้าเซ็นเตอร์ และแพลตฟอร์ม open-source AI เพื่อใช้โซลูชันที่ปรับขนาดได้และคุ้มค่าการลงทุน

ผลการศึกษาของภาครัฐเผยให้เห็นว่า องค์กรไทยนำ AI มาใช้แล้วไม่ถึง 20% ในขณะที่องค์กรมากกว่า 70% มีแผนที่จะนำมาใช้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตที่ยังมีอีกมาก ความเคลื่อนไหวต่อเนื่องนี้สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของตลาดพับลิคคลาวด์ของประเทศไทย ซึ่งคาดไว้ว่าจะเติบโตที่ 23.68% CAGR ในช่วงปี พ.ศ. 2568 ถึง 2573 และมีมูลค่าถึง 8.51 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี พ.ศ. 2573 โดย Infrastructure as a Service (IaaS) ที่คาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 950.23 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2568 จะเป็นโซลูชันนำในการตอบสนองการขยายตัวดังกล่าว

สร้างรากฐานรองรับการเติบโต

อาลีบาบา ได้เปิดดาต้าเซ็นเตอร์แห่งที่สองในประเทศไทย ที่มาพร้อมโซลูชันต่าง ๆ มากมาย เมื่อต้นปีนี้ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายด้านดิจิทัลของประเทศ โดยโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์นี้จะช่วยให้ธุรกิจใช้ AI, วิเคราะห์บิ๊กดาต้า, และใช้แอปพลิเคชันเฉพาะทางของแต่ละอุตสาหกรรมได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเวลาในการตอบสนอง การปฏิบัติตามกฎระเบียบ หรือความสามารถในการปรับขนาดการใช้งาน

นอกจากด้านโครงสร้างพื้นฐานแล้ว อาลีบาบา คลาวด์ ยังได้ร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) และมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เพื่อบ่มเพาะผู้มีความสามารถผ่านโปรแกรมอบรม, การแข่งขันด้าน AI, และแพลตฟอร์มอี-เลิร์นนิงต่าง ๆ โครงการที่โดดเด่น เช่น “Eye for Thailand” ซึ่งเป็นการจัดการประกวดวิดีโอที่ใช้ AI ในการสร้างสรรค์รายการแรกของอาลีบาบา คลาวด์ โดยให้ผู้เข้าร่วมแข่งขันใช้ Wan2.1 ซึ่งเป็นโมเดลการที่ใช้สร้างวิดีโอของ ทำการผสมผสานแนวคิดสร้างสรรค์ของคนไทยเข้ากับนวัตกรรม สร้างวิดีโอสั้นส่งเข้าประกวด

มีผู้สนใจสมัครเข้าร่วมการแข่งขันจากหลากหลายวงการมากกว่า 200 รายทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ไปจนถึงนักการตลาด การแข่งขันปิดท้ายด้วยการให้ผู้เข้ารอบสุดท้ายได้แสดงความคิดสร้างสรรค์และทักษะทางเทคนิคในวัน demo day ผู้ชนะรางวัลต่าง ๆ เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า AI สามารถปฏิวัติการเล่าเรื่องได้อย่างไร และเป็นการย้ำให้เห็นว่าสาธารณชนมีส่วนร่วมกับเทคโนโลยีเกิดใหม่มากขึ้น 

ขยายประสิทธิภาพในระดับภูมิภาคและระดับโลก

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังคงเป็นศูนย์กลางสำคัญในการใช้คลาวด์ นอกจากดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่ในประเทศไทยแล้ว บริษัทฯ ยังได้ขยายบริการด้านโครงสร้างพื้นฐานในแม็กซิโก เกาหลีใต้ และมาเลเซีย และจะขยายไปยังฟิลิปปินส์ในเดือนตุลาคม ปัจจุบันเครือข่ายทั่วโลกของบริษัทฯ ครอบคลุม availability zones 15 แห่งใน 29 ภูมิภาค ให้บริการคลาวด์ที่ปรับขนาดได้และมีการตอบสนองที่รวดเร็ว (low-latency)

ความเชี่ยวชาญด้านการย้ายเวิร์กโหลดที่มีความซับซ้อน ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในประเทศอินโดนีเซีย โดยอาลีบาบา คลาวด์ ได้สนับสนุนระบบนิเวศดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ให้ GoTo Group สามารถเปลี่ยนผ่านโครงสร้างพื้นฐานบริการด้านการเงินของบริษัทฯ ไปไว้บนคลาวด์ของอาลีบาบา คลาวด์ ส่งผลให้สามารถให้บริการผู้ใช้หลายล้านคนได้โดยไม่เกิดการหยุดชะงัก (zero downtime) หลังจากย้ายไปอยู่บนอาลีบาบา คลาวด์ GoTo ย้ายแพลตฟอร์มข้อมูลสำคัญทางธุรกิจโดยใช้ประโยชน์จาก MaxCompute ของอาลีบาบา คลาวด์ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงานและความคุ้มค่าในการลงทุน มีการย้ายข้อมูลหลายสิบเพตะไบต์โดยไม่มีการหยุดชะงักตลอดระยะเวลาหกเดือน โครงการดังกล่าวเน้นให้เห็นความสามารถของบริษัทฯ ในการให้บริการการทรานส์ฟอร์มขนาดใหญ่ที่ยืดหยุ่นให้กับทุกภาคส่วน

ใคร ๆ ก็ใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยนวัตกรรมโอเพ่นซอร์ส

โมเดลโอเพ่นซอร์สคือกุญแจสำคัญสู่การมีส่วนร่วมในเวลาที่มีการนำ AI มาใช้อย่างรวดเร็ว Qwen3 ซึ่งเป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่รุ่นล่าสุดของอาลีบาบา มียอดดาวน์โหลดทั่วโลกทะลุ 12.5 ล้านครั้ง นอกจากนี้ Qwen3 series ไม่ว่าจะเป็นโมเดลที่มีพารามิเตอร์ขนาดเล็ก 0.6B ไปจนถึงสถาปัตยกรรม  Mixture-of-Experts ประสิทธิภาพสูง ยังช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สร้างโซลูชัน AI เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ ภาคการศึกษา และอุปกรณ์อัจฉริยะต่าง ๆ

Qwen สามารถรองรับภาษาที่หลากหลายซึ่งรวมถึงภาษาไทย อีกทั้งชุมชนโอเพ่นซอร์สที่ไม่หยุดนิ่ง ทำให้เกิดความแตกต่าง ทั้งนี้ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ได้สร้างโมเดลอนุพันธ์ (derivative model) มากกว่า 130,000 โมเดลบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Hugging Face ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ความเก่งกาจของ Qwen การเปิดโอเพ่นซอร์สเครื่องมือเหล่านี้ เป็นการเสริมแกร่งให้สตาร์ทอัพ นักวิจัย และนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ให้สามารถขับเคลื่อนนวัตกรรมด้าน AI ต่าง ๆ ได้

เดินหน้าสู่อนาคตแห่งความร่วมมือ

การใช้คลาวด์ การใช้ AI และการพัฒนาทักษะ มีความสำคัญในลำดับต้น ๆ ที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของประเทศทำได้อย่างรวดเร็ว อาลีบาบา คลาวด์ ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาแนวทางเพื่อตอบสนองความต้องการนี้ ผ่านโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อถือได้ เครื่องมือ AI ที่เข้าถึงได้ และการเสริมศักยภาพบุคลากรที่มีความสามารถ

ขณะที่เราขยายฐานการดำเนินงานในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรามุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ในการกำหนดอนาคตดิจิทัลของภูมิภาค ที่ซึ่งนวัตกรรมผสานรวมกับการมีส่วนร่วม และความมุ่งมั่นผสานรวมลงมือปฏิบัติจริง เมื่อร่วมมือกัน เราจะสามารถปลดล็อกโอกาสอันไร้ขีดจำกัดให้กับธุรกิจ ชุมชน และบุคลากรดิจิทัลรุ่นใหม่ของประเทศไทย

How to ปล่อยเช่าบ้าน/คอนโดฯ ได้ไว มัดใจชาว Generation Rent

How to ปล่อยเช่าบ้าน/คอนโดฯ ได้ไว มัดใจชาว Generation Rent

How to ปล่อยเช่าบ้าน/คอนโดฯ ได้ไว มัดใจชาว Generation Rent

ความท้าทายทางเศรษฐกิจได้สั่นคลอนกำลังซื้อของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อมุมมองการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย ทำให้เทรนด์ Generation Rent ได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ทั่วโลกรวมทั้งในไทย แม้ผู้บริโภคเหล่านี้จะอยู่ในวัยทำงานซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในตลาดอสังหาริมทรัพย์แต่มองว่าการซื้อที่อยู่อาศัยอาจยังไม่ใช่สิ่งจำเป็นในขณะนี้ เพราะการซื้ออสังหาฯ ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนเช่นนี้ จะกลายเป็นภาระผูกพันในระยะยาวแทน จึงส่งผลให้ความต้องการเช่าบ้านหรือเช่าคอนโดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสวนทางกับความต้องการซื้อที่ชะลอตัวลง

เจาะลึกความต้องการคนเช่า เน้นความคุ้มค่าในราคาที่จับต้องได้

ข้อมูลจากแบบสอบถาม DDproperty and Think of Living: Consumer Satisfaction, Perspectives & Preferences (CSAT) รอบล่าสุด ของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย และ Think of Living เว็บไซต์รีวิวโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย เผยว่า จากแนวโน้มปัจจุบันและปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ส่งผลให้ผู้บริโภคเกือบครึ่ง (48%) คาดว่าราคาที่อยู่อาศัยจะยังคงเพิ่มขึ้นใน 1 ปีข้างหน้า สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่มองว่าราคาอสังหาฯ จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จะมีความท้าทายรอบด้าน ขณะที่อีก 24% คาดว่าราคาจะยังทรงตัว ส่วน 23% มองว่าตลาดอสังหาฯ กำลังอยู่ในภาวะซัพพลายล้นตลาด และราคาจะลดลง 

ทั้งนี้ เหตุผลที่ผู้เช่าส่วนใหญ่ตัดสินใจเช่านั้น มากกว่า 1 ใน 3 (37%) ต้องการออมเงินเพื่อจุดประสงค์อื่น จึงเลือกเช่าเพื่อลดค่าใช้จ่าย รองลงมาคือชอบความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิตเมื่อเช่า 26% และ 21% ไม่มีเงินพอที่จะซื้อบ้าน/คอนโดฯ ตอนนี้

อย่างไรก็ดี ผู้เช่า 41% ชื่นชอบที่จะค้นหาบ้านทั้งหลังหรืออะพาร์ตเมนต์มากที่สุด นอกจากนี้ เมื่อสอบถามสถานะการเงิน 9 ใน 10 ของผู้เช่า (89%) เผยว่ายินดีจ่ายค่าเช่าไม่เกิน 30% ของเงินเดือน สะท้อนให้เห็นถึงการวางแผนการเงินที่ดี ไม่สร้างภาระจนเกินตัว 

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าตลาดเช่าที่อยู่อาศัยจึงมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้บริโภคที่มีอสังหาฯ ในมือหรือนักลงทุนที่ต้องการสร้างรายได้จากการปล่อยเช่าในเวลานี้

เปิดลิสต์บ้าน/คอนโดฯ ในฝัน แบบไหนที่ผู้เช่าตามหา!

อีกหนึ่งหัวใจสำคัญของการปล่อยเช่าบ้าน/คอนโดฯ คือการที่ผู้ให้เช่าเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของผู้เช่าและใส่ใจราวกับว่าเราเป็นผู้พักอาศัยเอง ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) ชวนมาสำรวจว่าที่อยู่อาศัยในฝันในสายตาผู้เช่าควรเป็นแบบไหน และคุณสมบัติใดที่ไม่ควรมองข้าม หากอยากปล่อยเช่าให้ได้ง่ายขึ้น 

  • เดินทางสะดวก ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ทำเลยังคงเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้น ๆ ในการตัดสินเช่า เนื่องจากผู้เช่าส่วนใหญ่มักต้องการเช่าที่อยู่อาศัยใหม่เพื่อลดเวลาในการเดินทาง เช่น เช่าคอนโดฯ ใกล้ที่ทำงาน ใกล้สถานศึกษา จึงให้ความสำคัญกับโครงการที่สามารถเดินทางได้สะดวกสบาย และใกล้ระบบขนส่งสาธารณะ เช่น ติดรถไฟฟ้า BTS/MRT นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมโดยรอบควรมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า หรือโรงพยาบาล เพื่อรองรับการดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างรอบด้าน และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือ “ไลฟ์สไตล์ของผู้เช่า” ซึ่งจะสะท้อนผ่านการเลือกทำเล หากเป็นผู้ที่ชื่นชอบการใช้ชีวิตที่สะดวกสบาย อาจมองหาที่อยู่อาศัยใกล้ห้างสรรพสินค้า แต่หากต้องการความสงบและความเป็นส่วนตัว อาจเลือกโครงการที่ตั้งอยู่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจ เพื่อหลีกหนีความวุ่นวาย 
  • สภาพห้องดูดี สวยเหมือนใหม่ บ้าน/คอนโดฯ ให้เช่าที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ ไม่เพียงสร้างความมั่นใจแต่ยังสะท้อนถึงความใส่ใจของเจ้าของได้อย่างชัดเจน จึงควรสร้างความประทับใจให้ผู้เช่าเมื่อมาเยี่ยมชมสถานที่จริง โดยการรีโนเวทบ้าน/คอนโดฯ ให้อยู่ในสภาพที่สวยเหมือนใหม่ ทาสีใหม่ ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ทันสมัย รักษาความสะอาด เลือกใช้สีและแสงไฟที่ช่วยให้ภายในห้องไม่อึดอัด และซ่อมแซมโครงสร้างหรือเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ให้พร้อมใช้งาน โดยไม่ซ่อนปัญหาไว้ สิ่งเหล่านี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ผู้เช่าประทับใจและตัดสินใจเช่าในที่สุด
  • มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน บ้าน/คอนโดฯ ให้เช่าที่มาพร้อมเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็น เช่น เครื่องปรับอากาศ เครื่องทำน้ำอุ่น ตู้เย็น โทรทัศน์ จะช่วยดึงดูดความสนใจของผู้เช่าได้มากขึ้น และเป็นข้อได้เปรียบที่ผู้เช่าหลายคนให้ความสำคัญ เนื่องจากช่วยให้ผู้เช่าสามารถเข้าอยู่ได้ทันทีและลดภาระค่าใช้จ่ายในการตกแต่งลง นอกจากนี้ โครงการที่มาพร้อมระบบสาธารณูปโภคที่ดี เช่น ระบบน้ำประปา ไฟฟ้า การจัดการขยะ รวมทั้งบริหารงานโดยนิติบุคคลที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยให้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ผู้เช่ามีความมั่นใจเมื่ออยู่อาศัยระยะยาว
  • ค่าเช่าจับต้องได้ เหมาะสมกับคุณภาพ แม้ผู้เช่าปัจจุบันจะให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตและยินดีจ่ายเพื่อความสะดวกสบาย แต่ “ความคุ้มค่า” ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญเมื่อพิจารณาเช่าเสมอ โดยเฉพาะกลุ่มผู้เช่าที่มีงบประมาณจำกัดหรือต้องการเช่าระยะยาว ดังนั้น ผู้ให้เช่าจึงควรตั้งค่าเช่าให้สอดคล้องกับสภาพตลาดและสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีให้ โดยสำรวจอัตราค่าเช่าในพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อกำหนดค่าเช่าที่เหมาะสมและแข่งขันได้ในตลาด ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดความสนใจจากผู้เช่า และกระตุ้นให้เกิดการนัดเข้าชมห้องในเวลาอันรวดเร็ว
  • มีระบบความปลอดภัยที่ทันสมัย ปัจจุบันหลายโครงการได้นำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาช่วยยกระดับการรักษาความปลอดภัยให้ดียิ่งขึ้น ช่วยสร้างความสบายใจให้กับผู้อยู่อาศัย โดยระบบรักษาความปลอดภัยพื้นฐานที่ควรมี ได้แก่ การมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง มีกล้องวงจรปิด (CCTV) ครอบคลุมทั่วโครงการ มีระบบคัดกรองบุคคลภายนอก และมีระบบลิฟต์ล็อกชั้นและคีย์การ์ดสำหรับเข้า-ออกพื้นที่ต่าง ๆ ในคอนโดฯ นอกจากนี้ เจ้าของอสังหาฯ ให้เช่ายังสามารถเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้เช่าได้อีกขั้น ด้วยการซื้อประกันภัยเพิ่มเติมจากประกันภัยส่วนกลาง เพื่อคุ้มครองทรัพย์สินส่วนตัวภายในห้องหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น น้ำรั่วซึม ไฟไหม้ ไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งการมีประกันภัยที่ครอบคลุมจะปกป้องทรัพย์สินและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเมื่อเกิดเหตุดังกล่าวได้

ส่อง 5 เทคนิคปล่อยเช่าอย่างไรให้จับใจผู้เช่า ปิดดีลได้ง่ายขึ้น

การปล่อยเช่าบ้าน/คอนโดฯ ให้ประสบความสำเร็จ ต้องอาศัยการวางแผนที่รอบคอบควบคู่กับมีกลยุทธ์ที่เหมาะสม ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เผย 5 เทคนิคปล่อยเช่าที่อยู่อาศัยอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคที่ปล่อยเช่า/นักลงทุนสามารถดึงดูดผู้เช่าที่มีคุณภาพ และเพิ่มโอกาสในการปิดดีลได้ง่ายขึ้นท่ามกลางการแข่งขันที่สูงในตลาด 

  1. ศึกษา Insight กลุ่มเป้าหมาย ประเมินโอกาสในตลาด ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดที่อยู่อาศัยให้เช่า ผู้ให้เช่าควรวางแผนแต่ละขั้นตอนอย่างละเอียด โดยกำหนดว่ากลุ่มเป้าหมายหลักคือใคร มีไลฟ์สไตล์แบบไหน รายได้อยู่ในช่วงใด และต้องการที่อยู่อาศัยประเภทไหน ขนาดเท่าไร โดยศึกษาข้อมูลจากรายงานอสังหาฯ ต่าง ๆ ประกอบกับการลงพื้นที่สำรวจในทำเลนั้น ๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ จะช่วยให้สามารถปรับปรุงหรือตกแต่งห้องเช่าให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย เลือกลงทุนในโครงการที่มีค่าเช่าเหมาะสม และประเมินโอกาสในการปล่อยเช่าในทำเลนั้น ๆ ได้ดียิ่งขึ้น
  2. โครงการในทำเลศักยภาพ เพิ่มโอกาสเช่ามากขึ้น ความต้องการเช่ามักกระจุกตัวในทำเลที่มีศักยภาพและเดินทางสะดวก เช่น โครงการอยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้า สถานศึกษา แหล่งทำงาน ส่งผลให้ทำเลเหล่านี้มีความต้องการเช่าสูงตามไปด้วย ผู้ให้เช่าจึงควรพิจารณาเลือกลงทุนในทำเลที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต เช่น มีแผนพัฒนาระบบโครงการคมนาคมและระบบสาธารณูปโภคในอนาคต หรือมีโครงการรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการพัฒนาพาดผ่าน ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอสังหาฯ ได้ในอนาคต ทั้งในด้านของราคาขายต่อและความต้องการเช่าที่มั่นคงในระยะยาว
  3. ตกแต่งสวยงามอย่างมีสไตล์ พร้อมเข้าอยู่ทันที ผู้ให้เช่าควรให้ความสำคัญกับการปรับปรุงห้องให้อยู่ในสภาพดีเหมือนใหม่ สะอาด และมีบรรยากาศที่น่าอยู่ โดยตกแต่งภายในให้ทันสมัย เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งที่ดูดี มีคุณภาพ และใช้งานได้จริง เน้นการตกแต่งที่ทำให้ห้องดูสว่าง ปลอดโปร่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก และเลือกโทนสีที่ดูสบายตาและเป็นกลาง เพื่อให้ผู้เช่าสามารถตกแต่งเพิ่มเติมในสไตล์ของตนเองได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญคือห้องต้องพร้อมสำหรับการย้ายเข้าอยู่ทันที ไม่ต้องรอการซ่อมแซมหรือปรับปรุงเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยให้ผู้เช่าตัดสินใจได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
  4. ศึกษาการตลาดและเลือกใช้สื่อให้เหมาะสม ผู้ให้เช่าควรศึกษาว่าทำการตลาดอย่างไรจึงจะเข้าถึงลูกค้าได้มากที่สุด และเลือกประกาศเช่าผ่านสื่อออฟไลน์และออนไลน์ควบคู่กัน เพื่อขยายโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น หากจะลงประกาศขาย/ปล่อยเช่าในเว็บไซต์ใด ๆ ควรอ่านนโยบายความเป็นส่วนตัวให้เข้าใจชัดเจนก่อนว่าเว็บไซต์นั้นจะนำข้อมูลส่วนตัวที่กรอกไปใช้ทำอะไรบ้าง จากนั้นจึงลงประกาศโดยระบุข้อมูลพื้นฐานของอสังหาฯ  เช่น ค่าเช่า/เดือน สถานที่ตั้งโครงการ ส่วนกลาง เป็นต้น พร้อมทั้งบอกจุดเด่นที่ดึงดูดความสนใจหรือโปรโมชั่นที่เพิ่มให้ เช่น มีเครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรบ้าง หรือช่วยออกค่าส่วนกลางให้กี่เดือน ฯลฯ โดยลงรายละเอียดของผู้ประกาศและช่องทางติดต่อให้ชัดเจน ที่สำคัญคือควรใส่ลายน้ำและข้อมูลการติดต่อไว้ที่รูปภาพที่ถ่ายเองเพื่อป้องกันการโดนผู้อื่นนำไปแอบอ้าง
  5. ใช้ “เอเจนต์” ผู้ช่วยเพิ่มโอกาสปล่อยเช่าได้เร็วขึ้น การเลือกใช้เอเจนต์อสังหาฯ มืออาชีพมาช่วยในการปล่อยเช่า ถือเป็นอีกวิธีที่ได้รับความนิยมหากผู้ให้เช่าไม่มีประสบการณ์หรือไม่มีเวลาในการพาผู้สนใจเช่าไปเยี่ยมชมบ้านหรือห้อง โดยเอเจนต์ที่มีความเชี่ยวชาญจะสามารถให้คำแนะนำที่เหมาะสม ช่วยอำนวยความสะดวกให้การปล่อยเช่าบ้าน/คอนโดฯ เป็นไปอย่างราบรื่น ช่วยทำการตลาดผ่านสื่อต่าง ๆ ช่วยประสานงานกับผู้สนใจเช่า และยังมีเครือข่ายของเอเจนต์เองหรือฐานข้อมูลลูกค้าของบริษัทที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น นอกจากนี้ เอเจนต์ยังมีความรู้ด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอสังหาฯ ซึ่งจะช่วยดูแลความเรียบร้อยของสัญญาเช่าให้ถูกต้องครบถ้วน ป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ 

การให้เช่าที่อยู่อาศัยถือเป็นอีกหนึ่งรูปแบบการลงทุนในอสังหาฯ ที่ได้รับความนิยม และสามารถสร้างรายได้ในระยะยาว อย่างไรก็ดี ผู้ให้เช่า/นักลงทุนต้องไม่ลืมที่จะพิจารณาความพร้อมทางการเงิน และปัจจัยแวดล้อมที่มีผลต่อการแข่งขันในตลาดเช่าอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถบริหารความเสี่ยงและสร้างรายได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ทั้งนี้ แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทยอย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (www.ddproperty.com) รวบรวมข้อมูลประกาศซื้อ-ขาย-เช่าที่อยู่อาศัยจากหลากหลายทำเลศักยภาพทั่วประเทศ ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานมาเป็นอันดับแรก โดยดำเนินงานภายใต้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศไทยอย่างเคร่งครัด ผู้ใช้งานจึงสามารถมั่นใจได้ว่าทุกการประกาศและค้นหาที่อยู่อาศัยผ่านเว็บไซต์ www.ddproperty.com จะได้รับการดูแลและปกป้องข้อมูลอย่างปลอดภัยในทุกขั้นตอน ช่วยให้ทุกเส้นทางการซื้อ-ขาย-เช่าเป็นไปอย่างราบรื่นและไร้กังวล

EMR June 2025 highlights global 5G subscription to reach 6.3 billion by end-2030

รายงาน Ericsson Mobility ฉบับล่าสุด เผยยอดบัญชีผู้ใช้ 5G ทั่วโลก จะพุ่งแตะ 6.3 พันล้านราย ในปี 2030

EMR June 2025 highlights global 5G subscription to reach 6.3 billion by end-2030

  • 5G networks forecast to handle 80 percent of global mobile traffic by the end of 2030
  • In Southeast Asia and Oceania, 5G subscription will likely reach 630 million by 2030 – or 49% of the total.
  • Ericsson to support Thailand’s digital transformation, leveraging its global 5G leadership

Ericsson (NASDAQ: ERIC) said global 5G subscription is expected to reach 6.3 billion by the end of 2030. The June 2025 Ericsson Mobility Report forecasts 5G subscriptions to top 2.9 billion globally by the end of 2025 – about one third of all mobile subscriptions.

Mobile network data traffic increased by 19 percent from the first quarter of 2024 to the corresponding period in 2025. Despite a declining growth rate, net added traffic will continue to increase year-on-year, with the June 2025 EMR forecasting that mobile data traffic will more than double through the forecast period through the end of 2030.

5G networks handled 35 percent of global mobile traffic by the end of 2024, with forecasters expecting the figure to top 80 percent by the end of 2030.

In Europe, 5G mid-band coverage topped 50 percent population coverage by the end of 2024. While the figure puts the region in line with the global average, it lags far behind frontrunner countries such as North America where 5G mid-band deployment has topped 90 percent population coverage, and India where 5G mid-band population coverage reached 95 percent by the end of 2024.

5G subscriptions in Southeast Asia and Oceania are expected to reach 630 million by 2030, contributing around 49% of total mobile subscriptions in the region by then. Data traffic per smartphone is expected to grow from 19 GB/month in 2024 to 38 GB/month by 2030.

In Thailand, 5G has become a significant driver of data consumption and increased average revenue per user (ARPU).

“We are at an inflection point, where 5G and the ecosystem are set to unleash a wave of innovation. The recent advancements in 5G standalone (SA) networks, coupled with the progress in 5G-enabled devices, have led to an ecosystem poised to unlock transformative opportunities for connected creativity,” says Anders Rian, Head of Ericsson Thailand. “To fully realize the potential of 5G, it is essential to continue deploying 5G SA and to further build out mid-band sites.” adds Anders.

Ericsson Thailand looks to contribute to the nation’s digital transformation by leveraging its global leadership in 5G technology. Ericsson today powers 187 live 5G networks across the globe . ”Our vision is to build high-performance, reliable, and sustainable connectivity that will accelerate Thailand’s journey towards becoming a digital economy … We believe that strong collaboration across the ecosystem is essential to unlock the full potential of the digital economy and society. By working closely with the government , industry partners, and communities, we aim to foster innovation, inclusivity, and long-term growth,” states Anders.

There are numerous existing and futuristic 5G use-cases that can potentially bring a paradigm shift across enterprises helping them become more efficient, future-ready as well as sustainable. The possibilities that 5G can create for enterprises will not only put them on a fast track to meet the demands of the new world but more importantly, contribute to the socio-economic development of Thailand.

Recent advancements in 5G standalone (SA) networks, coupled with the progress in 5G enabled devices, have led to an ecosystem poised to unlock transformative opportunities for connected creativity. ”To fully realize the potential of 5G, it is essential to continue deploying 5G SA and to further build out mid-band sites. 5G SA capabilities serve as a catalyst for driving new business growth opportunities” says Anders

Enhanced deployment of 5G SA will provide an even stronger foundation for adoption and drive new use cases for both enterprises and consumers.

As generative AI (GenAI) devices proliferate and AI apps become increasingly complex, both application service providers and communication service providers will need to focus more on uplink capabilities and latency. The Ericsson Mobility Report talks about ongoing 5G device innovation with GenAI in smartphones expanding beyond high-end models, AI-powered smart glasses gaining utility through audio interaction, and increased adoption of differentiated connectivity for new consumer and enterprise applications. Differentiated connectivity will be key in enabling a high-quality user experience for personalized AI agents and other conversational applications.

”At the heart of operations is a steadfast comitment to ethics, integrity, and transparency. We strive to set the industry’s benchmark for excellence and best practices, ensuring that our contributions are both impactful and responsible,” states Anders.  ”Together, we are shaping a connected future for Thailand—one that is inclusive, resilient, and ready for the opportunities of tomorrow.”

Read the full June 2025 Ericsson Mobility Report via this link.