Red Hat เปิดตัว Ansible Automation Platform on Google Cloud

CIMB Thai Bank และ KBTG สององค์กรไทย ได้รับรางวัล APAC Innovation Awards ประจำปี 2565 จาก Red Hat

Red Hat เปิดตัว Ansible Automation Platform on Google Cloud

เป็น Marketplace ช่วยให้ระบบอัตโนมัติบนคลาวด์บริหารจัดการระบบนิเวศด้านไอทีได้ดีและเร็วขึ้นให้บริการและปรับขนาดแอปพลิเคชันคุณภาพสูง และขับเคลื่อนนวัตกรรมทางธุรกิจมากขึ้น

Red Hat, Inc. ผู้ให้บริการโซลูชันโอเพ่นซอร์สชั้นนำของโลก เปิดให้บริการ Red Hat Ansible Automation Platform บน Google Cloud พรั่งพร้อมด้วยคุณสมบัติของโซลูชันอัตโนมัติด้านไอทีที่ยืดหยุ่น และเป็นมาตรฐานกลางที่ใช้ร่วมกันได้ ใช้งานได้ทั้งบนคลาวด์ ในดาต้าเซ็นเตอร์ และการประมวลผลที่ edge ปราศจากความซับซ้อน และไม่ต้องใช้ทักษะเฉพาะทางใด ๆ การให้บริการ Ansible Automation Platform บน Google Cloud ช่วยให้ทีมไอทีใช้งานเฟรมเวิร์กอัตโนมัติด้านไอทีที่คุ้นเคย และอยู่ในระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมได้อย่างไม่ยุ่งยาก เพราะได้มีการผสานรวมไว้ในการดำเนินงานต่าง ๆ แล้ว จึงช่วยให้ทีมไอทีเริ่มต้นการทำงานแบบอัตโนมัติกับระบบนิเวศไอทีทั้งหมดได้อย่างรวดเร็วตามต้องการ 

รายงานของ IDC[1] ระบุว่า “ฝ่ายไอทีจะมองหาระบบอัตโนมัติที่เป็น ‘การเรียนรู้เพียงครั้งเดียวแต่ใช้งานได้ทุกที่’ เพื่อลดความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมการใช้มัลติคลาวด์ ดังนั้นผู้จำหน่ายเทคโนโลยีรายใดที่มีแนวทางการใช้โค้ดในการจัดการโครงสร้างพื้นฐานไอที (infrastructure as code) เพื่อจัดเตรียมทรัพยากรต่าง ๆ บนคลาวด์ได้อย่างอัตโนมัติ จะได้ส่วนแบ่งทางการตลาดด้านนี้ไป” 

ความซับซ้อนในการจัดการฟุตพริ้นท์ของมัลติคลาวด์ที่เพิ่มขึ้นจนนำไปสู่ช่องว่างทางทักษะที่ขยายกว้างขึ้น ทำให้องค์กรต่าง ๆ ต้องการเทคโนโลยีที่ยืดหยุ่นและใหม่ ทั้งยังต้องเสริมความรู้ และใช้ทรัพยากร
ที่มีอยู่ให้ได้ประโยชน์มากที่สุดไปพร้อม ๆ กัน Ansible Automation Platform มอบโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่สำคัญต่อการใช้งานกับระบบอัตโนมัติที่ปรับขนาดการทำงานได้มากขึ้น ด้วยสถาปัตยกรรมแบบคลาวด์-เนทีฟ ซึ่งช่วยให้ระบบอัตโนมัติมีบทบาทเพิ่มขึ้นกับทุกส่วนขององค์กรด้านไอที ช่วยลดอุปสรรคในการเข้าใช้งาน และช่วยให้ทีมไอทีขับเคลื่อนงานที่มีมูลค่าทางธุรกิจได้มากขึ้น แพลตฟอร์มที่ให้บริการผ่าน Google Cloud Marketplace นี้ ช่วยให้การใช้งานด้วยตนเองง่ายขึ้น มอบความพร้อมในการเข้าถึงระบบอัตโนมัติที่ไม่ซับซ้อนและปรับให้เหมาะกับการใช้งานบนคลาวด์ ที่พร้อมใช้ตั้งแต่เริ่มต้น

องค์กรต่าง ๆ สามารถใช้ self-managed ของเร้ดแฮทจาก Google Cloud Marketplace ได้โดยตรง เพื่อให้สามารถเริ่มต้นการจัดการทรัพยากรบน Google Cloud ได้โดยอัตโนมัติอย่างรวดเร็ว Ansible Automation Platform ช่วยให้ลูกค้าของ Google Cloud สามารถเข้าใช้บริการต่าง ๆ ที่ผสานรวมกันไว้ล่วงหน้าที่คุ้นเคยอยู่แล้ว เช่น Google Virtual Private Cloud, security groups, load balancers, Google Compute และ instance groups ซึ่งช่วยให้ลูกค้าใช้และจัดการระบบอัตโนมัติของตนได้ง่ายขึ้น นอกจากการเรียกเก็บเงินรวมกันแล้ว ลูกค้าสามารถนับรวมการใช้ Ansible Automation Platform ไว้ในข้อตกลงเกี่ยวกับการใช้จ่ายขององค์กรที่ตกลงกันไว้ที่มีอยู่กับ Google ได้

คลาวด์คอนเทนต์ที่ให้บริการเป็นแพ็คเกจ อย่างเช่น Red Hat Ansible Certified Content Collection for Google Cloud ช่วยให้สามารถใช้ระบบอัตโนมัติกับสภาพแวดล้อมไอทีของลูกค้าและทั่วทั้งองค์กร ด้วยการทำให้ลูกค้าสามารถสร้าง แชร์ และจัดการคอนเทนต์ด้วยวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมาพร้อมระบบความปลอดภัยที่เรียกใช้ได้ทุกที่ทุกเวลาตามต้องการ  ทีมไอทีสามารถนำระบบอัตโนมัติไปใช้กับกระบวนการต่าง ๆ ที่องค์กรใช้อยู่ และสามารถกำกับดูแลได้ตามระดับความต้องการ ด้วยการใช้ระบบอัตโนมัติบนคลาวด์ที่ครบวงจรและสอดคล้องกัน

Ansible Automation Platform on Google Cloud Marketplace ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ Red Hat ในการมอบทางเลือกในการใช้ไฮบริดคลาวด์ให้กับลูกค้า ช่วยให้ลูกค้าซื้อและใช้โซลูชันของ Red Hat ที่ให้บริการบนโซลูชันของผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำต่าง ๆ ได้อย่างไม่ยุ่งยาก Red Hat Enterprise Linux, Red Hat Enterprise Linux for SAP และ Red Hat OpenShift on Google Cloud Marketplace ช่วยให้ลูกค้าและพันธมิตรสามารถใช้โซลูชันของ Red Hat ในรูปแบบที่ดีที่สุดที่จะตรงกับความต้องการทางธุรกิจและด้านไอทีของตน

การวางจำหน่าย

Self-managed Red Hat Ansible Automation Platform พร้อมให้บริการแก่ลูกค้าผ่าน Google Cloud Marketplace.

คำกล่าวสนับสนุน

Thomas Anderson, vice president, Ansible, Red Hat

“ในเวลาที่องค์กรต่าง ๆ เติบโตและปรับขนาดโครงสร้างพื้นฐานไอที องค์กรเหล่านั้นต้องการความสามารถในการเลือกสภาพแวดล้อมที่ต้องการ และรักษาความสม่ำเสมอไว้ได้ในเวลาเดียวกัน การรวมแพลตฟอร์มและบริการต่าง ๆ ที่เหมาะสมไว้ด้วยกันกับคลาวด์ฟุตพริ้นท์ที่มีให้ ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ มีแนวทางในการสร้างระบบนิเวศของคลาวด์ที่เชื่อมต่อกันเพื่อความสำเร็จ เรามีโซลูชันที่ทำงานกับไฮบริดคลาวด์หลากหลายเพื่อเป็นทางเลือกมากขึ้นให้กับลูกค้า มีความยืดหยุ่น และใช้งานง่าย เพื่อรองรับรูปแบบการดำเนินงานบนคลาวด์ขององค์กรเกือบทุกรูปแบบ จากนั้นระบบอัตโนมัติก็จะผสานรวมบริการต่าง ๆ เหล่านี้ไว้ด้วยกัน ดังนั้นด้วยโซลูชันชั้นนำเช่น Ansible Automation Platform องค์กรสามารถสร้างการทำงานที่สอดคล้องสม่ำเสมอกันทั่วทั้งคลาวด์ฟุตพริ้นท์ขององค์กรได้จากนวัตกรรมและความสามารถในการปรับขนาดการทำงานของแพลตฟอร์มนี้” 

Dai Vu, managing director, Marketplace & ISV GTM Programs, Google Cloud

“Google Cloud Marketplace ช่วยให้ใช้ Ansible platform on Google Cloud ง่ายขึ้น ช่วยให้ลูกค้าสามารถชำระเงินและการบริหารจัดการได้ ณ จุดเดียว และสามารถเข้าใช้งานโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อถือได้ของ Google Cloud เพื่อทำโครงการที่เป็นระบบอัตโนมัติต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น”

Jevin Jensen, vice president of Intelligent CloudOps, IDC

“องค์กรต่าง ๆ กำลังลงทุนด้านระบบอัตโนมัติในโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ของตนเพิ่มขึ้น ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางภูมิศาสตร์ที่มีต่อการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้งบประมาณด้านไอทีตกอยู่ภายใต้ความกดดัน องค์กรต่างตระหนักว่าต้องลงทุนกับเครื่องมือต่าง ๆ ที่จำเป็นที่จะช่วยให้แข่งขันได้ ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ และมอบบริการหรือผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าให้กับลูกค้าของตนได้”

[1] IDC, Worldwide Intelligent CloudOps Software Forecast, 2022–2026, Doc #US46366421, July 2022

 

อัปเดตดีมานด์วัยเก๋า โฟกัส Well-Being ตอบโจทย์การอยู่อาศัย

อัปเดตดีมานด์วัยเก๋า โฟกัส Well-Being ตอบโจทย์การอยู่อาศัย

อัปเดตดีมานด์วัยเก๋า โฟกัส Well-Being ตอบโจทย์การอยู่อาศัย

ตั้งแต่ปี 2565 ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society) และจำนวนผู้สูงวัยยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตและปัจจัยทางสังคมที่เปลี่ยนไปในยุคนี้ ส่งผลให้คนไทยเลือกครองตัวเป็นโสดมากขึ้น หรือแต่งงานแต่มีบุตรน้อยลง ซึ่งอัตราการเกิดที่ลดลงนี้สวนทางกับสัดส่วนผู้สูงอายุในไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับข้อมูลของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่เผยว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-Aged Society) ที่มีจำนวนผู้สูงอายุถึง 28% ของประชากรในประเทศ นับเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายที่ทุกภาคส่วนต้องจับตามอง 

หลายธุรกิจจึงหันมาให้ความสำคัญกับการเจาะตลาดผู้สูงอายุมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากมองว่าเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีศักยภาพ มีกำลังซื้อสูง และมีความพร้อมทางการเงิน โดยเฉพาะในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ไทย ผู้ประกอบการเริ่มหันมาเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อผู้สูงวัยที่มาพร้อมบริการด้านสุขภาพมากขึ้น ผ่านการร่วมมือกับโรงพยาบาลหรือศูนย์บริการสุขภาพเพื่อเพิ่มบริการทางการแพทย์หรือโปรแกรมดูแลสุขภาพไว้ในโครงการฯ

ส่องดีมานด์บ้านผู้สูงวัย มองหาพื้นที่สีเขียวเสริม Well-Being 

ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด เผยความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคชาวไทยอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป พบว่าเมื่อผู้สูงอายุต้องตัดสินใจซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัย ปัจจัยภายในที่ให้ความสำคัญจะเน้นไปที่ความคุ้มค่ามาเป็นอันดับแรก โดยมากกว่าครึ่ง (51%) พิจารณาจากราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรเป็นหลัก รองลงมาคือขนาดที่อยู่อาศัย 48% และตามมาด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในที่อยู่อาศัย 45% ซึ่งจะต้องตอบโจทย์การอยู่อาศัยและสอดคล้องกับวิถีชีวิตในช่วงวัยเกษียณด้วย ขณะที่สองอันดับแรกของผู้บริโภคในช่วงวัยอื่น ๆ จะพิจารณาจากขนาดที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ตามมาด้วยราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตร 

ด้านปัจจัยภายนอกโครงการที่ผู้สูงอายุใช้พิจารณาเมื่อเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยนั้น 2 ใน 3 (66%) ให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้งโครงการมากที่สุด ตามมาด้วยสามารถเดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ 55% และความปลอดภัยของทำเล 53% เนื่องจากผู้สูงอายุคำนึงถึงการใช้ชีวิตในระยะยาว จึงต้องการโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก รองรับการใช้ชีวิตประจำวันด้วยตนเองได้อย่างสบายใจและปลอดภัย  

    • เลือกห้องตกแต่งครบ ประหยัดเวลา พร้อมเข้าอยู่ เมื่อต้องเลือกซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ผู้สูงอายุเกือบครึ่ง (46%) จะเลือกโครงการที่ตกแต่งให้ครบแบบพร้อมเข้าอยู่ (Fully Furnished) มากที่สุด โดยมีเหตุผลสำคัญมาจาก ช่วยประหยัดเวลาในการตกแต่ง 76% และไม่ยุ่งยาก สามารถย้ายเข้าอยู่ได้ทันที 70% ซึ่งมีสัดส่วนสูงกว่าผู้บริโภคช่วงวัยอื่น ๆ ขณะที่ผู้สูงอายุอีก 29% สนใจโครงการที่ไม่มีการตกแต่งใด ๆ และ 25% เลือกโครงการที่ตกแต่งห้องให้บางส่วน (Fully Fitted) โดยเหตุผลที่ผู้สูงอายุเลือกห้องที่ไม่มีการตกแต่ง หรือตกแต่งห้องให้บางส่วน เนื่องจากผู้สูงอายุส่วนใหญ่ 70% ชื่นชอบการตกแต่งห้องในสไตล์ของตัวเองมากกว่า และ 37% คิดว่าสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่มีอยู่ได้ดีกว่า
    • บ้านที่ดีต้องใกล้ชิดธรรมชาติ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตที่บ้านเป็นหลัก จึงเห็นความสำคัญของบทบาทที่อยู่อาศัยในการเสริมสร้างสุขภาพกายควบคู่กับสุขภาพจิตที่ดี เมื่อพิจารณาคุณลักษณะภายในและบริเวณรอบบ้านที่จะช่วยให้มีสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ดีขึ้น ผู้สูงอายุกว่า 2 ใน 3 (70%) ต้องการที่อยู่อาศัยที่อยู่ใกล้สวนสาธารณะและใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุด เนื่องจากการมีพื้นที่สีเขียวไว้พักผ่อนหย่อนใจนั้นจะช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ดี และมีผลทางจิตวิทยาทำให้รู้สึกสดชื่นมากขึ้น รวมทั้งต้องการพื้นที่เปิดโล่งมากขึ้นภายในละแวกบ้าน 68% ตามมาด้วยยูนิตที่มีระยะห่างมากขึ้น 64% เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวและต้องการความสงบ นอกจากนี้ ผู้สูงอายุยังเข้าใจและให้ความสำคัญกับที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมแนวคิดรักษ์โลก เกือบ 2 ใน 3 (65%) คาดหวังว่าโครงการที่พัฒนาใหม่ทั้งหมดควรจะมาพร้อมกับหลังคาโซล่าเซลล์ (Solar Rooftop) เพื่อช่วยประหยัดรายจ่ายและลดการใช้พลังงานไฟฟ้า สะท้อนให้เห็นว่าผู้สูงอายุมีความตระหนักถึงความสำคัญของการใช้พลังงานทางเลือก
    • รีโนเวทห้องนั่งเล่นรองรับการใช้ชีวิต พื้นที่ภายในที่อยู่อาศัยที่ผู้สูงอายุต้องการปรับปรุงเพื่อส่งเสริมการมีสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นนั้น อันดับแรกคือห้องนั่งเล่น 66% รองลงมาคือ ห้องนอน 59% ซึ่งล้วนเป็นพื้นที่ที่ผู้สูงอายุใช้เวลาในการทำกิจกรรมประจำวันมากที่สุด จึงเห็นความสำคัญในการปรับปรุงภายในห้องนั้นให้พร้อมรองรับการทำกิจกรรมต่าง ๆ ขณะที่อันดับสามคือห้องน้ำ 38% เนื่องจากถือเป็นพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย จึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุงเพื่อเพิ่มความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกเมื่อผู้สูงอายุต้องใช้งาน ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุให้ได้มากที่สุด

ทำความรู้จัก “Reverse Mortgage” ทางเลือกสินเชื่อที่อยู่อาศัยของผู้สูงวัย 

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย ชวนทำความรู้จักกับ “Reverse Mortgage หรือสินเชื่อบ้านสำหรับผู้สูงอายุ” ทางเลือกน่าสนใจที่ช่วยให้ผู้สูงวัยมีโอกาสเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น ลดปัญหาการเงินในวัยเกษียณได้โดยไม่เป็นภาระของลูกหลาน

    • Reverse Mortgage น่าสนใจอย่างไร Reverse Mortgage หรือการจำนองแบบย้อนกลับ มีความแตกต่างกับการจำนองทั่วไปอย่างชัดเจน หลักการทำงานจะมีรูปแบบเหมือนการทยอยขายบ้านให้กับธนาคาร โดยจะเป็นรูปแบบการจำนองที่เอื้อประโยชน์ให้ผู้สูงอายุที่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองแต่ไม่ต้องการขาย เนื่องจากต้องใช้อยู่อาศัยในบั้นปลายชีวิต และต้องการรายได้เป็นแบบรายเดือนเพื่อนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน สามารถนำบ้าน/คอนโดฯ ไปจำนองกับธนาคาร แล้วให้ธนาคารจ่ายเงินให้ผู้กู้เป็นรายเดือนแทน
    • หลักการทำงานของ Reverse Mortgage ผู้สูงอายุสัญชาติไทย อายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 80 ปี สามารถนำบ้าน/คอนโดฯ ที่ถือครองกรรมสิทธิ์อยู่มาจำนองไว้กับธนาคาร จากนั้นธนาคารจะตีมูลค่าบ้านพร้อมกับประเมินอายุเฉลี่ยของผู้กู้และทยอยจ่ายเงินค่าบ้านให้ผู้กู้เป็นรายเดือน โดยที่ผู้กู้ยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านหลังนั้นและสามารถอาศัยอยู่ในบ้านได้จนกระทั่งเสียชีวิตหรือตัดสินใจขายบ้านไปก่อน เมื่อครบกำหนดตามสัญญาแล้ว บ้าน/คอนโดฯ นั้นจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคาร ซึ่งธนาคารสามารถนำไปขายทอดตลาดได้
      • ในกรณีที่ครบกำหนดสัญญาแล้วผู้กู้ยังมีชีวิตอยู่ จะสามารถยื่นเอกสารเพื่อกู้เพิ่มเติมได้ตามเงื่อนไขของธนาคาร หรือนำเงินมาไถ่บ้าน/คอนโดฯ คืนได้
      • ส่วนกรณีที่ผู้กู้เสียชีวิตก่อนและทายาทไม่มาไถ่ถอนอสังหาฯ นั้นคืน ธนาคารจะนำไปขายทอดตลาด โดยหากขายอสังหาฯ นั้นได้ราคาสูงกว่ายอดหนี้ ธนาคารจะคืนส่วนต่างดังกล่าวให้กับทายาทต่อไป

Reverse Mortgage ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจและเหมาะกับสังคมผู้สูงวัยของไทยในปัจจุบัน นอกจากจะตอบโจทย์ความต้องการมีบ้านของผู้สูงอายุเพื่อพักอาศัยในบั้นปลายชีวิตแล้ว ยังช่วยลดความกังวลในเรื่องค่าครองชีพได้อีกด้วย ทั้งนี้ เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย อย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (www.ddproperty.com) ได้รวบรวมข่าวสารและบทความน่ารู้ในแวดวงอสังหาฯ ที่เป็นประโยชน์กับผู้บริโภคทุกช่วงวัยที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย รวมทั้งเป็นแหล่งรวมข้อมูลประกาศซื้อ/ขาย/ให้เช่า พร้อมรีวิวโครงการอสังหาฯ ที่น่าสนใจในหลากหลายทำเลทั่วประเทศ เพื่อช่วยให้ทุกคนพร้อมก้าวสู่เส้นทางอสังหาฯ ได้อย่างมั่นใจ และเตรียมความพร้อมก่อนตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ได้มากที่สุด

Ericsson named the leader in ABI Research sustainability assessment

อีริคสันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำด้านความยั่งยืนจากการประเมินของ ABI Research

Ericsson named the leader in ABI Research sustainability assessment

Ericsson has been named the overall sustainability leader in a study conducted by ABI Research that evaluated the capabilities of telecom vendors to reduce energy use and waste across the industry.

ABI ranked more than 80 telco vendors and suppliers based on the two key areas of implementation and impact. The assessment provided a matrixed view of the ecosystem of companies that can best support service providers in their drive toward improved sustainability.

Ericsson led the assessment overall for implementation – ranking highest for sustainable networks and business, and number one in the main RAN (radio access network) categories, including Massive MIMO, 5G RAN, AI-driven software, and antenna solutions, according to ABI’s “Sustainability Assessment: Telco Technology Suppliers” research report.

In terms of impact, Ericsson also topped the list among vendors for its Net Zero emission targets. The company is determined to halve its value-chain emissions by 2030 and reach Net Zero by 2040. Ericsson has also committed to become Net Zero in its own activities by 2030.

Kim Arrington Johnson, principal analyst at ABI Research says: “In the sustainability assessment, Ericsson received strong scores for innovation and sustainable impact, due to the close co-design of Ericsson Silicon with hardware and software playing a crucial role in creating high-performing, lightweight, and energy-efficient products. Ericsson designs and builds RAN hardware equipment with sustainability in mind.”

Freddie Södergren, Head of Technology and Strategy, Ericsson Networks, says: “We started our sustainability journey at Ericsson many years ago with a strong focus on supporting our customers. We have been closely working with them in recent years to achieve their energy and sustainability targets. Energy performance and achieving Net Zero targets are key pillars of Ericsson’s overall company and technology strategies.”

Assessment methodology

Vendors and suppliers were scored in each equipment category against a set of impact and implementation criteria weighted in terms of their importance, ability to reduce carbon emissions and waste, and the levels at which the equipment has been implemented across the industry. (See below an example of the scoring method used).

Source: ABI’s “Sustainability Assessment: Telco Technology Suppliers” research report

Source: ABI’s “Sustainability Assessment: Telco Technology Suppliers” research report

The final stage took each company’s aggregated overall score and grouped the companies into relevant market segments (traditional vendors, non-traditional vendors, software vendors, and chipset and component vendors). Ericsson ranked number one in this overall score.

Leading the way for sustainable networks

ABI Research says in its report that focus on network energy performance and product energy management is critical to Ericsson’s sustainability efforts. The analyst firm highlights as a “product impact example” the triple-band, tri-sector Radio 6646. This Ericsson radio cuts energy use by 40 percent compared to triple-band single-sector radios and is 60 percent lighter (less aluminum used in the product).

ABI Research also assessed Ericsson’s other sustainability efforts such as its Global Product Take-Back Program, as well as Ericsson’s initiative with its strategic suppliers to set their own 1.5°C aligned climate targets.

The Ericsson USA 5G Smart Factory in Lewisville, Texas, is one example of sustainable manufacturing practices by the company highlighted in the report. The factory has been recognized as a global front-runner in the Fourth Industrial Revolution (4IR) and awarded by the World Economic Forum with the prestigious “Global Lighthouse” designation.

Being named the leader in ABI Research’s sustainability assessment is a recognition of the efforts and achieved results of Ericsson’s Net Zero ambition. The company continues to step up the challenge and has recently launched more than 10 new hardware and software products that will cut carbon emissions and site footprint, increase energy performance, and boost network capacity. The new solutions were showcased at Mobile World Congress (MWC) 2023 Barcelona.

อีริคสันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำด้านความยั่งยืนจากการประเมินของ ABI Research

อีริคสันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำด้านความยั่งยืนจากการประเมินของ ABI Research

อีริคสันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำด้านความยั่งยืนจากการประเมินของ ABI Research

อีริคสันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในรายงานผลการศึกษาที่จัดทำโดย ABI Research โดยประเมินศักยภาพของอีริคสันซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีโทรคมนาคมในการลดการใช้พลังงานและขยะทั่วทั้งภาคอุตสาหกรรม

ABI ได้จัดอันดับผู้จำหน่ายและซัพพลายเออร์ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมมากกว่า 80 ราย โดยพิจารณาจากสองปัจจัยสำคัญในด้านผลกระทบ (Impact) และการนำไปใช้งาน (Implementation) โดยการประเมินดังกล่าวได้นำเสนอมุมมองหลากหลายในระบบนิเวศของบริษัทต่าง ๆ ที่สามารถสนับสนุนผู้ให้บริการเครือข่ายทั้งหลายได้ดีที่สุดเพื่อผลักดันไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

ในรายงานการประเมินของ ABI หัวข้อ “Sustainability Assessment: Telco Technology Suppliers” อีริคสันนำหน้าการประเมินทั้งหมดทั้งด้านการนำไปใช้งาน (Implementation) โดยได้รับอันดับสูงสุดด้านเครือข่ายและธุรกิจที่มีความยั่งยืน และยังเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก RAN (Radio Access Network) ซึ่งประกอบด้วย Massive MIMO, 5G RAN, ซอฟต์แวร์ที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอ (AI-driven Software) และโซลูชันเสาอากาศ (Antenna Solutions)

ในแง่ผลกระทบ (Impact) อีริคสันยังติดอันดับสูงสุดเป็นผู้จำหน่ายที่มีเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) โดยบริษัทฯ มุ่งมั่นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่คุณค่า (Value-Chain) ลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2573 และเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2583 นอกจากนี้ ภายในปี 2573 อีริคสันยังตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในทุกกิจกรรมและการดำเนินงานทั้งหมดขององค์กร

คิม อาร์ริงตัน จอห์นสัน นักวิเคราะห์จาก ABI Research กล่าวว่า “สำหรับการประเมินศักยภาพเรื่องความยั่งยืน เราพบว่าอีริคสันได้รับคะแนนสูงในด้านนวัตกรรมและผลกระทบที่ยั่งยืน เนื่องจากขุมพลังของ Ericsson Silicon ซึ่งเป็นระบบ Systems on a Chip ที่ออกแบบมาร่วมกับผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์และมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างประสิทธิภาพขั้นสูง น้ำหนักเบา และเป็นผลิตภัณฑ์ประหยัดพลังงาน อีริคสันออกแบบและสร้างอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ RAN โดยยึดมั่นความยั่งยืนเป็นหัวใจ”  

เฟรดดี้ โซเดอเกรน หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีและกลยุทธ์ของ Ericsson Networks กล่าวว่า “ที่อีริคสัน เราเริ่มต้นการเดินทางไปบนถนนแห่งความยั่งยืนหลายปีมาแล้ว โดยมุ่งเน้นไปที่การช่วยเหลือและสนับสนุนลูกค้า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเราทำงานอย่างใกล้ชิดกับพวกเขาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนและด้านพลังงาน ซึ่งประสิทธิภาพด้านพลังงานและการบรรลุเป้าหมาย Net Zero คือหมุดหมายของอีริคสันและยังเป็นกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีที่สำคัญขององค์กร”

กระบวนวิธีการประเมิน

ผู้จำหน่าย (Vendor) และผู้จัดหาสินค้า (Supplier) จะได้รับคะแนนในแต่ละกลุ่มอุปกรณ์เทียบจากชุดข้อมูลด้านผลกระทบ (Impact) และชุดข้อมูลด้านการนำไปใช้งาน (Implementation) สำหรับใช้เป็นเกณฑ์การให้น้ำหนักในแง่ของความสำคัญด้านศักยภาพการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ และของเสีย และไล่ระดับที่มีการนำอุปกรณ์ไปใช้ทั่วทั้งอุตสาหกรรม (ดูตัวอย่างวิธีการให้คะแนนด้านล่าง)

 

Source: ABI’s “Sustainability Assessment: Telco Technology Suppliers” research report

Source: ABI’s “Sustainability Assessment: Telco Technology Suppliers” research report

ขั้นตอนสุดท้ายจะใช้คะแนนรวมของแต่ละบริษัทและจัดกลุ่มไปอยู่ในส่วนตลาดที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้จำหน่ายดั้งเดิม (Traditional Vendors) และผู้จำหน่ายรูปแบบใหม่ (Non-Traditional Vendors) ผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์  (Software Vendors) และผู้จำหน่ายชิปเซ็ตและส่วนประกอบ (Chipset And Component Vendors) ซึ่งอีริคสันครองอันดับหนึ่งในคะแนนรวมนี้ทั้งหมด

นำไปสู่เครือข่ายที่มีความยั่งยืน

ABI Research กล่าวในรายงานว่าการมุ่งเน้นไปที่ประสิทธิภาพด้านพลังงานเครือข่ายและการจัดการพลังงานในผลิตภัณฑ์นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อความพยายามในการสร้างความยั่งยืนของอีริคสัน โดยบริษัทวิเคราะห์แห่งนี้ยังให้ความสำคัญกับ “ตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ที่สร้างผลกระทบ (Product Impact Example)” อย่าง Triple-Band Tri-Sector Radio 6646 ที่ลดการใช้พลังงานลง 40% เมื่อเทียบกับ Triple-Band Single-Sector Radios และมีน้ำหนักเบากว่าถึง 60% (จากการใช้อะลูมิเนียมที่น้อยลง)

นอกจากนี้ ABI Research ยังประเมินความพยายามในการสร้างความยั่งยืนของอีริคสันเพิ่มเติม อาทิ โปรแกรมรับคืนสินค้า (หรือ Global Product Take-Back Program) เช่นเดียวกับโครงการริเริ่มต่าง ๆ ของอีริคสันที่ดำเนินการร่วมกับซัพพลายเออร์เชิงกลยุทธ์เพื่อกำหนดเป้าหมายทางด้านสภาพภูมิอากาศร่วมกันที่ตั้งเป้าจำกัดภาวะโลกร้อนจากอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส

โรงงานอัจฉริยะ 5G ของอีริคสัน ที่เมืองลูอิสวิลล์ รัฐเท็กซัส ในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นตัวอย่างหนึ่งของแนวทางปฏิบัติของภาคการผลิตที่ยั่งยืน โดยบริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญไว้ในรายงาน ซึ่งโรงงานแห่งนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำระดับโลกในการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (4IR) และได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ “Global Lighthouse” จาก World Economic Forum

การได้รับเลือกให้เป็นผู้นำความยั่งยืนจากการประเมินของ ABI Research ถือเป็นการให้การยอมรับความพยายามและบรรลุผลตามเป้าหมายไปสู่ Net Zero ของอีริคสัน บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าก้าวข้ามความท้าทายอย่างต่อเนื่องและล่าสุดเราเพิ่งเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ใหม่กว่า 10 รายการ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงจำนวนสถานีฐาน เพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน และเพิ่มขีดความสามารถของเครือข่าย ซึ่งโซลูชั่นใหม่นี้ได้นำไปจัดแสดงไว้ในงาน Mobile World Congress (MWC) 2023 ณ เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน ที่เพิ่งจบไป

SAP and Red Hat Deepen Partnership to Power SAP® Software Workloads with Red Hat Enterprise Linux

CIMB Thai Bank และ KBTG สององค์กรไทย ได้รับรางวัล APAC Innovation Awards ประจำปี 2565 จาก Red Hat

SAP and Red Hat Deepen Partnership to Power SAP® Software Workloads with Red Hat Enterprise Linux

    • SAP bolsters internal IT landscape by running a continuously increasing part of its cloud infrastructure on the world’s leading enterprise Linux platform as one of its standard operating systems for software-as-a-service applications to drive hybrid cloud innovation and greater customer value
    • SAP and Red Hat extend support for the RISE with SAP solution on Red Hat Enterprise Linux, the preferred operating system for net new business for RISE with SAP solution deployments 

SAP SE (NYSE: SAP) and Red Hat, Inc., the world’s leading provider of open source solutions, today announced an expanded partnership to significantly increase SAP’s use of and support for Red Hat Enterprise Linux. This collaboration aims to enhance intelligent business operations, support cloud transformation across industries and drive holistic IT innovation.

Building on the two companies’ long-standing collaboration, SAP is steadily migrating part of its internal IT landscape and the SAP® Enterprise Cloud Services portfolio onto the standard foundation of Red Hat Enterprise Linux, a shift intended to better meet SAP’s evolving business and IT needs. As part of its migration road map, SAP is boosting support for the RISE with SAP solution using Red Hat Enterprise Linux as the preferred operating system for net new business for RISE with SAP solution deployments. 

A hardened, production-ready Linux operating system for hybrid cloud innovation, Red Hat Enterprise Linux is trusted by global enterprises across industries worldwide. The platform builds on this trust by offering a consistent, reliable foundation for SAP software deployments, providing a standard Linux backbone to support SAP customers across hybrid and multi-cloud environments. 

SAP’s internal IT environments and SAP Enterprise Cloud Services adopting Red Hat Enterprise Linux can gain greater flexibility to address modern and future technology requirements. Paired with the RISE with SAP solution, Red Hat Enterprise Linux offers enhanced performance capabilities to support RISE with SAP solution deployments across cloud environments, smoothing the path towards cloud adoption and transformation for customers as they plan their next wave of IT innovation. Over the next year, Red Hat and SAP will collaborate closely to deepen support for RISE with SAP solution workloads on Red Hat Enterprise Linux and accelerate SAP’s adoption of Red Hat Enterprise Linux more broadly.

To support SAP in more widely implementing Red Hat Enterprise Linux, Red Hat is providing dedicated product engineers and on-site resources to assist SAP engineering and technical teams in driving standardization on Red Hat Enterprise Linux and interoperability for SAP and Red Hat solutions. SAP associates can develop critical technical skills and deepen their knowledge of Red Hat’s hybrid cloud technologies through virtual and instructor-led Red Hat training courses and hands-on labs through Red Hat Learning Subscription Premium

This joint initiative to extend SAP software workloads on Red Hat Enterprise Linux is intended to make it easier for SAP customers to achieve greater business agility, accelerate cloud deployments and drive business innovation by building on Red Hat’s scalable, flexible, open hybrid cloud infrastructure. Customers can now more readily streamline cloud transformation projects based on SAP software, including SAP S/4HANA®, based on the RISE with SAP solution underpinned by Red Hat Enterprise Linux. 

Supporting Quotes

Lalit Patil, CTO, SAP Enterprise Cloud Services, SAP SE

“Red Hat Enterprise Linux offers a robust, open infrastructure to support SAP software deployments, providing a consistent foundation for hybrid cloud workloads. We look forward to building on our legacy of  innovation together with Red Hat to empower our customers with greater flexibility and resilience across cloud environments.” 

Gunnar Hellekson, vice president and general manager, Red Hat Enterprise Linux Business Unit, Red Hat 

“As organizations look to expand business intelligence and analytics systems across the open hybrid cloud, they need an operating system foundation that is tested, validated and trusted for these critical operations on every footprint. Red Hat Enterprise Linux already serves as a trusted backbone for the global Fortune 500, and we are pleased to further extend this trust to SAP and our joint customers as the common operating system supporting SAP software workloads and business operations.”