ผลการศึกษาของ ABB ระบุว่า การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยแผนงานที่แข็งแกร่ง และการลงทุนที่เพิ่มขึ้น

ผลการศึกษาของ ABB ระบุว่า การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยแผนงานที่แข็งแกร่ง และการลงทุนที่เพิ่มขึ้น

ผลการศึกษาของ ABB ระบุว่า การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยแผนงานที่แข็งแกร่ง และการลงทุนที่เพิ่มขึ้น

  • ประเทศไทยมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน โดย 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้นำด้านการใช้พลังงานของไทยกล่าวว่า แผนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของตนยังคงเดินหน้าแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ของโลกก็ตาม  
  • แรงขับเคลื่อนในการใช้พลังงานหมุนเวียนและการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานยังเกิดขึ้นต่อเนื่องและจริงจังในวงกว้าง โดยผู้ตอบแบบสำรวจ 77 เปอร์เซ็นต์ คาดว่าจะเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ภายในห้าปี
  • 74 เปอร์เซ็นต์ขององค์กรที่ตอบแบบสำรวจจัดสรรเงินมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายในการลงทุน (CAPEX) เพื่อการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน

ผลสำรวจดัชนีความพร้อมการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกประจำปี 2025 โดยฝ่ายอุตสาหกรรมพลังงานของเอบีบี ระบุว่า ประเทศไทยมีความพร้อมและมีบทบาทเป็นผู้นำอย่างชัดเจนมากขึ้นในการกำหนดทิศทางและสนับสนุนเอเชียแปซิฟิกในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของโลก ความก้าวหน้าในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศไทย ได้รับการสนับสนุนจากความแข็งแกร่งและกรอบความคิดที่มองไปข้างหน้า เห็นได้จากผู้นำด้านการใช้พลังงานที่ตอบแบบสำรวจมากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ กล่าวว่าแผนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของตนยังคงเดินหน้าแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ของโลกเมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็ตาม ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงถึงเสถียรภาพของกลยุทธ์ด้านนี้อย่างชัดเจน 

การสำรวจนี้จัดทำโดยฝ่ายอุตสาหกรรมพลังงานของเอบีบี ทำการสำรวจผู้นำด้านการใช้พลังงานของธุรกิจจำนวน 4,085 ราย ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนและด้านเทคโนโลยีของบริษัทในอุตสาหกรรม 10 ประเภทที่ใช้พลังงานสูง ผู้ตอบแบบสำรวจมาจาก 12 ตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทำการประเมินตัวบ่งชี้ความพร้อม 20 รายการในสี่ประเด็นที่สำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ประกอบด้วย กลยุทธ์ เทคโนโลยีและหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐาน การเงิน และบุคลากรที่มีความสามารถ ซึ่งผลสำรวจของประเทศไทยเป็นไปในทิศทางของการเติบโตต่อเนื่องที่ได้รับการสนับสนุนจากเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศต่าง ๆ ของประเทศ รวมถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นต่อ AI และระบบควบคุมอัตโนมัติ

ทั้งนี้คาดได้ว่าประเทศไทยจะมีความก้าวหน้าด้านพลังงานหมุนเวียนอย่างแข็งแกร่ง โดย 77 เปอร์เซ็นต์ ของผู้นำด้านการใช้พลังงานที่ตอบแบบสำรวจคาดว่าการใช้พลังงานหมุนเวียนของตนจะเติบโตมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ในอีกห้าปีข้างหน้า ทั้งนี้ 39 เปอร์เซ็นต์ระบุว่า ปัจจุบันองค์กรของตนใช้พลังงานหมุนเวียนมากกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณพลังงานที่ใช้ทั้งหมด ซึ่งเป็นสัญญาณที่สอดคล้องกับเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net-zero) ของประเทศ รวมถึงร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (ร่าง PDP2024) ที่ตั้งเป้าให้มีสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าเป็น 51 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี พ.ศ. 2580 เพิ่มจาก 36 เปอร์เซ็นต์ ในแผน PDP2018 ที่ใช้ในปัจจุบัน

นายแอนเดอร์ มัลทีเซ็น ประธานฝ่ายอุตสาหกรรมพลังงานของเอบีบีในภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า “สมรรถนะของประเทศไทยที่ได้จากตัวชี้วัดความพร้อมทุกรายการนั้นเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งเป็นผลจากการใช้พลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและได้รับการยอมรับอย่างมาก การลงทุนที่เพิ่มขึ้น และการใช้ AI อย่างมีวิสัยทัศน์ ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากความมุ่งมั่นระดับประเทศ ประเทศไทยจึงมีความพร้อมที่จะเป็นผู้นำทิศทางการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของภูมิภาคนี้ และเพื่อให้ได้ใช้ศักยภาพอย่างเต็มประสิทธิภาพ องค์กรธุรกิจไทยจำเป็นต้องเสริมการวางแผนกลยุทธ์และทักษะกำลังคนให้แข็งแกร่ง ด้วยการลงทุนที่ตรงเป้า และความร่วมมือข้ามภาคส่วน เพื่อปิดช่องว่างและสร้างอนาคตด้านพลังงานที่ยั่งยืนมากขึ้น”

ผลสำรวจยังพบว่าผู้นำ 65 เปอร์เซ็นต์กล่าวว่าเทคโนโลยีเป็นหนึ่งในตัวเร่งสำคัญของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน และ 34 เปอร์เซ็นต์กล่าวว่ายังมีโอกาสในการปรับขนาดการใช้โซลูชันที่ได้รับการพิสูจน์แล้วที่ยังไม่ได้ใช้ ในขณะเดียวกัน ก็มีมุมมองเชิงบวกอย่างมากเกี่ยวกับ AI และระบบควบคุมอัตโนมัติ (ผู้ตอบแบบสำรวจ 69 เปอร์เซ็นต์มองว่าเป็นตัวช่วยสำคัญ) ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากนโยบายการขับเคลื่อนดิจิทัลและการพัฒนา AI ระดับประเทศ ซึ่งรวมถึงกลยุทธ์ AI ล่าสุดมูลค่า 25,000 ล้านบาท และเพื่อให้ตระหนักถึงศักยภาพนี้ องค์กf รต่าง ๆ ต้องจับคู่การใช้งานกับโครงสร้างของระบบปฏิบัติการและความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่จำเป็นเพื่อให้ได้รับประสิทธิภาพที่เชื่อถือได้

องค์กรที่ตอบแบบสำรวจ 74 เปอร์เซ็นต์วางแผนจัดสรรงบมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายในการลงทุน (CAPEX) ของตน เพื่อโครงการการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในอีกห้าปีข้างหน้า และเมื่อรวมกับความเชื่อมั่นด้านเทคโนโลยีและการวางแนวทางประสานกันของภาคส่วนที่กำลังเติบโตแล้ว ประเทศไทยอยู่ในสถานะที่พร้อมเปลี่ยนความก้าวหน้าของกระบวนการต่าง ๆ ให้กลายเป็นผลลัพธ์ที่ยั่งยืน และเสริมสร้างบทบาทของไทยในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้แข็งแกร่ง

เอบีบี เป็นผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีเกี่ยวกับการใช้พลังงานไฟฟ้าและระบบควบคุมอัตโนมัติ ช่วยขับเคลื่อนอนาคตที่ยั่งยืนและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เอบีบี เชื่อมโยงความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและดิจิทัลของบริษัทเข้าด้วยกัน เพื่อช่วยให้ธุรกิจในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ควบคู่กับความสำเร็จที่เหนือกว่า ด้วยประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และยั่งยืนมากขึ้น และเราเรียกสิ่งนี้ว่า “วิศวกรรมเพื่อการก้าวข้ามขีดจำกัด” เอบีบี มีประวัติยาวนานมากกว่า 140 ปี มีพนักงานทั่วโลกประมาณ 110,000 คน หุ้นของเอบีบีจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ SIX Swiss Exchange (ABBN) และ Nasdaq Stockholm (ABB). www.abb.com  

ธุรกิจโพรเซส ออโตเมชันของเอบีบี ช่วยให้กระบวนการทำงานของธุรกิจในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
เป็นระบบด้วยระบบควบคุมอัตโนมัติ ระบบไฟฟ้า และดิจิทัลโซลูชั่น ซึ่งตอบสนองความต้องการที่จำเป็นพื้นฐานหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาพลังงาน น้ำ และวัสดุต่าง ๆ ไปจนถึง การผลิตสินค้าและการขนส่งสินค้าออกสู่ตลาด ธุรกิจโพรเซส ออโตเมชันของเอบีบี มีพนักงานประมาณ 20,000 คน เมื่อรวมเข้ากับความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีและการให้บริการระดับแนวหน้า เราสามารถช่วยให้กระบวนการผลิตอุตสาหกรรมแบบต่อเนื่อง กระบวนการผลิตอุตสาหกรรมแบบผสมผสาน รวมถึงอุตสาหกรรมการเดินเรือสมุทร มีประสิทธิภาพสูงสุด ควบคู่การลดต้นทุนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม go.abb/processautomation

Sovereign AI: The New Strategic Imperative for Governments and Enterprises

Sovereign AI: The New Strategic Imperative for Governments and Enterprises

Sovereign AI: The New Strategic Imperative for Governments and Enterprises

Article by Vincent Caldeira, Chief Technology Officer, APAC at Red Hat

Over the past year, the concept of “Sovereign AI” has evolved from an aspirational idea to a strategic priority for both governments and enterprises seeking to build AI systems that reflect their values, protect their data, and serve their unique societal or business objectives. As artificial intelligence becomes embedded in everything from public services to economic infrastructure, the ability to govern, control, and shape these systems is becoming a key differentiator.

This journey isn’t about isolationism or digital protectionism. Rather, it is about building AI that is trustworthy, performant, and inclusive, which means an AI rooted in local languages, regulatory frameworks, and cultural norms, yet still able to connect to and benefit from a global innovation ecosystem. Let’s explore the recent and major trends shaping the sovereign AI landscape and the growing role open source plays in this transformation.

From Nation-States to Enterprises: Who is Pursuing Sovereign AI?

At its core, sovereign AI is about having control over data, infrastructure, and the development and deployment of AI technologies. This drive toward sovereignty is being seen across both the public and private sectors.

Governments are pursuing sovereign AI to ensure alignment with national regulations such as GDPR, the EU AI Act, Thai PDPA or even the draft Thai AI Law, to mitigate risks to national security, and to reinforce cultural or linguistic relevance in AI systems. From ensuring data does not cross borders, to creating AI that reflects societal norms and democratic values, governments are investing in AI that they can trust and shape.

Enterprises, especially those in regulated industries like finance and healthcare, are also embracing the concept. These organizations are motivated by the desire to reduce dependency on third-party providers, maintain ownership of their proprietary data, and deploy AI in secure and cost-effective environments, often within hybrid or on-premise infrastructures.

Open Source: The Cornerstone of a Sovereign AI Strategy

Open source is emerging as the critical foundation for achieving AI sovereignty. This is not because it enables isolation, but because it grants agency.

With access to “open source” (technically, open weights) models such as LLaMA, Falcon, Qwen, and Mistral, and open source tooling covering the entire spectrum of requirements to build and maintain scalable AI platforms, governments and enterprises can inspect, modify, and fine-tune AI systems to suit their specific needs. Properly implemented, open source AI platforms allow full visibility into the data flows and logic driving AI outputs, and offer the flexibility to innovate faster through collaboration with a global community.

Recent research from the Linux Foundation indicates that 41% of organizations express a preference for open source GenAI technologies, while only 9% lean towards proprietary solutions.

Models of Sovereignty: Centralized, Decentralized, or Collaborative?

In Europe, countries are combining strong regulatory frameworks with investments in open AI infrastructure. Initiatives like the AI Act, the BLOOM language model, and the Gaia-X project reflect a philosophy that emphasizes control, trust, and open collaboration.

The United States is leaning on the strength of its private sector and open-source community contribution, with state-level R&D investments complementing a broader innovation-led approach.

China, in contrast, is pursuing a centralized, state-led model of sovereignty, but this effort is increasingly powered by significant investments from both state-backed research institutions and leading technology firms. Major players like Alibaba, through its Qwen model series, and startups such as DeepSeek are actively developing frontier LLMs that rival global counterparts. These initiatives are aligned with national goals for technological self-reliance, while also adhering to strict content governance policies set by the government. The result is a rapidly advancing ecosystem where public mandates and private innovation converge to build end-to-end AI capabilities tailored to domestic needs and values.

Meanwhile, countries in ASEAN and the Middle East are making bold investments in regional AI capacity. Singapore’s SEA-LION and the UAE’s Falcon projects showcase how open source and regional collaboration can be leveraged to achieve sovereignty, especially in multilingual and culturally specific contexts.

While governance models differ, a shared thread unites these efforts: the ambition to tailor AI to local values, languages, needs, and goals.

The Dimensions of Digital Sovereignty

Sovereign AI doesn’t exist in isolation. It is deeply connected to broader principles of digital sovereignty, which can be broken down into three key dimensions:

  • Technology Sovereignty: As AI systems become increasingly foundational to public services and economic competitiveness, the ability to independently design, build, and operate these systems is critical. Technology sovereignty refers not only to visibility into model architecture, training data, and system behavior, but also to control over the hardware and platforms on which these models run. A key concern is the widespread dependence on foreign-made accelerators, such as GPUs from NVIDIA and AMD, which currently dominate the AI compute landscape. In response, countries and enterprises are investing in alternative supply chains, domestic chip manufacturing, and open hardware initiatives to reduce strategic vulnerabilities. Achieving technology sovereignty means being able to develop and deploy AI models on infrastructure that is both trusted and locally governed, minimizing risks associated with geopolitical tensions, export controls, or external platform dependencies.
  • Operational Sovereignty: This dimension addresses not only where AI systems are deployed—such as on-premises or in a sovereign cloud—but also who has the authority, skills, and access to operate and maintain them. For governments and enterprises seeking greater autonomy, it is not sufficient to own the infrastructure; operational sovereignty means ensuring that AI systems can be managed by locally trusted personnel with the appropriate skills and clearance. This includes building a talent pipeline of AI engineers, MLOps specialists, and cybersecurity professionals, as well as reducing reliance on foreign managed service providers. In many cases, national policies are beginning to mandate that critical digital infrastructure must be supported by staff of specific nationality or within legal jurisdictions to safeguard sensitive data and systems from foreign influence or supply chain risks. Achieving operational sovereignty ensures that AI systems remain functional, secure, and accountable under local control, even in times of global disruption.
  • Data Sovereignty: Data sovereignty pertains to the legal and ethical governance of data—specifically, ensuring that data is collected, stored, and processed within the boundaries of national laws and values. In a world increasingly reliant on AI, data is not just an asset; it is a strategic resource. Sovereign AI systems must operate in compliance with local regulations, including privacy laws, data residency requirements, and consent frameworks. Moreover, data governance must reflect cultural and societal expectations, particularly in areas like biometric data, healthcare, and finance. Countries and enterprises are therefore investing in trusted data infrastructures, federated data platforms, and national datasets to maintain control over critical information assets. The ability to govern who can access, analyze, and share data – especially in multi-cloud or cross-border contexts – is essential to maintaining trust, compliance, and competitive advantage.

Open source enhances each of these pillars. It supports transparency, enables interoperability, and provides a foundation for aligning systems with both national regulations and organizational strategies.

Challenges Ahead: Compute, Data, Skills, and Governance

Despite growing momentum, implementing sovereign AI at scale remains complex. Several challenges persist:

Access to high-performance computing remains a major constraint, with shortages in GPUs and the cost of training large models proving prohibitive for many governments and businesses. The availability of high-quality, localized datasets is also a limiting factor, particularly for underrepresented languages or niche domains.

Workforce development is another pressing issue. There is a global shortage of professionals with the skills to build, deploy, and govern AI systems responsibly. At the same time, the absence of shared technical and ethical standards across jurisdictions can create barriers to cross-border collaboration and model interoperability.

Overcoming these obstacles will require a combination of public investment, private innovation, international cooperation, and sustained support for open source communities.

What’s Next? A Sovereign, Open, and Responsible Future

We are entering a critical phase where the capabilities of AI will help define national competitiveness and organizational resilience. Those that succeed will not necessarily be the ones with the largest models, but rather those with systems that are most aligned with their strategic priorities and stakeholder needs.

Sovereign AI, when grounded in open source principles, provides a powerful pathway forward. It enables localized innovation without duplicating global efforts. It fosters transparency and accountability without compromising on performance. And it supports a more ethical and sustainable AI ecosystem, with governance models that reflect the values of those who build and use it.

Open source is not just a tool for achieving AI sovereignty. In many ways, it is the model of sovereignty itself.

If your organization is exploring its own path toward Sovereign AI – whether in government, industry, or research – this is the time to embrace openness as a lever for control, not a concession. By doing so, we can build an AI future that is not only powerful and intelligent but also inclusive, transparent, and truly our own.

Sovereign AI: กลยุทธ์ใหม่ที่รัฐและธุรกิจต้องมี

Sovereign AI: The New Strategic Imperative for Governments and Enterprises

Sovereign AI: กลยุทธ์ใหม่ที่รัฐและธุรกิจต้องมี

บทความโดย นายวินเซนต์ คัลเดรา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของเร้ดแฮท

 ในช่วงปีที่ผ่านมา แนวคิด “Sovereign AI” หรือความมีอิสระในการสร้างและควบคุม AI ได้ด้วยตนเอง ได้พัฒนาจากแนวคิดที่เป็นแรงบันดาลใจ ไปเป็นความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของภาครัฐและองค์กรธุรกิจต่าง ๆ ที่กำลังแสวงหาวิธีการสร้างระบบ AI ที่สะท้อนถึงคุณค่าขององค์กร ตอบโจทย์ด้านการปกป้องข้อมูล และตอบสนองวัตถุประสงค์ทางธุรกิจหรือทางสังคมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตน

การที่ AI กลายมาเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่บริการสาธารณะ ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ทำให้ความสามารถในการควบคุม สั่งการ และกำหนดรูปแบบระบบต่าง ๆ เหล่านี้ กำลังกลายเป็นตัวสร้างความแตกต่างที่สำคัญ

วิถีทางนี้ไม่ใช่การโดดเดี่ยวตัวเองหรือมีนโยบายกีดกันหรือควบคุมทางดิจิทัล แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้าง AI ที่เชื่อถือได้ มีประสิทธิภาพ และครอบคลุม ซึ่งหมายถึง AI ที่มีรากฐานมาจากภาษาท้องถิ่น เป็นไปตามกรอบการกำกับดูแลและบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นนั้น ๆ แต่ยังคงสามารถเชื่อมต่อและได้รับประโยชน์จากระบบนิเวศทางนวัตกรรมจากทั่วโลก

แนวโน้มสำคัญล่าสุดที่เป็นตัวกำหนดภูมิทัศน์ Sovereign AI รวมถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของโอเพ่นซอร์สที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ประกอบด้วย

ตั้งแต่ระดับประเทศไปถึงองค์กรธุรกิจ:  ใครบ้างที่กำลังแสวงหา Sovereign AI

โดยแก่นแท้แล้ว Sovereign AI เป็นเรื่องเกี่ยวกับการมีอำนาจควบคุมข้อมูล โครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาและการใช้เทคโนโลยี AI ซึ่งเป็นความต้องการที่เกิดขึ้นทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน

ภาครัฐหลายแห่งกำลังมุ่งสู่การใช้ Sovereign AI เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการดำเนินงานด้าน AI จะเป็นไปตามกฎระเบียบของประเทศ เช่น GDPR, EU AI Act รวมถึง PDPA ของไทย และร่างกฎหมาย AI ที่กำลังดำเนินการอยู่ เพื่อลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงของประเทศ และเพื่อส่งเสริมความแข็งแกร่งทางวัฒนธรรมและภาษาในระบบ AI ต่าง ๆ ดังนั้นภาครัฐต่างลงทุนด้าน AI ที่ตนไว้ใจและกำหนดรูปแบบได้เอง เพื่อตอบโจทย์เฉพาะของตน ตั้งแต่ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลจะไม่ถูกนำออกนอกประเทศ ไปจนถึงการสร้าง AI ที่สะท้อนบรรทัดฐานทางสังคมและคุณค่าของความอิสระที่สามารถควบคุมได้ด้วยตนเอง

องค์กรต่าง ๆ โดยเฉพาะองค์กรที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีกฎระเบียบควบคุม เช่น การเงิน และ การดูแลสุขภาพ ต่างนำแนวคิดนี้ไปใช้เช่นเดียวกัน เนื่องจากองค์กรเหล่านี้ต้องการลดการพึ่งพาผู้ให้บริการภายนอก คงความเป็นเจ้าของข้อมูลที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตน และใช้ AI บนสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและคุ้มค่าการลงทุน ซึ่งโดยมากมักใช้โครงสร้างพื้นฐานไอทีแบบไฮบริดหรือที่ติดตั้งอยู่ภายในองค์กร (on-premise)

โอเพ่นซอร์ส: เสาหลักของกลยุทธ์ Sovereign AI

โอเพ่นซอร์สกำลังก้าวขึ้นเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จในการควบคุม AI ของตน (AI sovereignty) ซึ่งไม่เพียงเพราะโอเพ่นซอร์สช่วยให้แยกออกมาเป็นเอกเทศได้เท่านั้นแต่ยังให้สิทธิ์ในการควบคุมด้วย

การเข้าถึงโมเดลด้านภาษาขนาดใหญ่ที่เป็นโอเพ่นซอร์ส(ในทางเทคนิค คือโอเพ่นเวท) ต่าง ๆ เช่น LLaMA, Falcon, Qwen, และ Mistral รวมถึงสามารถเข้าถึงเครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ครอบคลุมความต้องการทั้งหมดที่ต้องการใช้ในการสร้างและคงความสามารถในการปรับขนาดของแพลตฟอร์ม AI ต่าง ๆ ได้นั้น จะช่วยให้ภาครัฐและองค์กรธุรกิจสามารถตรวจสอบ ปรับเปลี่ยน และปรับแต่งระบบ AI ให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะของตนได้ เมื่อมีการนำแพลตฟอร์ม open source AI ไปใช้อย่างเหมาะสม ผู้ใช้จะสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวหรือกระแสการไหลของข้อมูล และ ตรรกะหรือระบบการใช้เหตุผลที่ใช้ขับเคลื่อนผลลัพธ์ของ AI ทั้งยังมีความยืดหยุ่นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้อย่างรวดเร็วผ่านความร่วมมือกับชุมชนทั่วโลก ทั้งนี้ งานวิจัยล่าสุดจาก Linux Foundation ระบุว่าองค์กร 41% ชื่นชอบเทคโนโลยี open source GenAI ในขณะที่มีเพียง 9% เท่านั้นที่ใช้โซลูชันที่มีกรรมสิทธิ์ 

รูปแบบของอำนาจควบคุม AI ควรเป็นแบบรวมศูนย์ กระจายอำนาจ หรือร่วมมือกัน

ประเทศต่าง ๆ ในยุโรปกำลังผสานกรอบการกำกับดูแลที่แข็งแกร่งเข้ากับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน open AI เช่น AI Act, โมเดลภาษา BLOOM, และโปรเจกต์ Gaia-X สะท้อนให้เห็นหลักคิดที่เน้นการควบคุม ความไว้วางใจ และการทำงานร่วมกันแบบเปิด

สหรัฐอเมริกากำลังใช้จุดแข็งของภาคเอกชนและการมีส่วนร่วมของชุมชนโอเพ่นซอร์ส ด้วยการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาในระดับรัฐเพื่อส่งเสริมแนวทางที่ใช้นวัตกรรมเป็นตัวนำในวงกว้างมากขึ้น

ในทางตรงกันข้าม จีนกำลังใช้โมเดล sovereignty แบบรวมศูนย์ที่นำโดยภาครัฐ โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการลงทุนสำคัญจากทั้งสถาบันวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ให้บริการรายใหญ่เช่นอาลีบาบาที่เป็นเจ้าของชุดโมเดล Qwen และสตาร์ทอัพอย่าง DeepSeek กำลังพัฒนา LLMs ที่มีศักยภาพระดับแนวหน้าที่สามารถแข่งขันกับบริษัทระดับโลกอย่างแข็งขัน การริเริ่มเหล่านี้ สอดคล้องกับเป้าหมายระดับประเทศด้านการพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยี และการปฏิบัติตามนโยบายการกำกับดูแลเนื้อหาที่เข้มงวดที่กำหนดโดยรัฐบาล ผลลัพธ์ที่ได้คือระบบนิเวศที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจากการที่นโยบายและกฎเกณฑ์ของรัฐและนวัตกรรมของภาคเอกชนมาบรรจบกัน เพื่อสร้างความสามารถด้าน AI ครบวงจรที่ได้รับการปรับให้เหมาะกับความต้องการและคุณประโยชน์ที่ท้องถิ่นและประเทศต้องการ

ในขณะที่ประเทศในอาเซียนและตะวันออกกลางลงทุนพัฒนาศักยภาพด้าน AI ในระดับภูมิภาคอย่างหนัก โครงการ SEA-LION ของสิงคโปร์ และโครงการ Falcon ของ UAE เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าโอเพ่นซอร์สและความร่วมมือระดับภูมิภาคจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายการมีอำนาจควบคุมด้วยตนเอง (sovereignty) โดยเฉพาะในบริบทที่มีภาษาและวัฒนธรรมหลากหลายได้อย่างไร

แม้รูปแบบการกำกับดูแลจะต่างกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ ความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะปรับแต่ง AI ให้เข้ากันกับค่านิยมในท้องถิ่น ภาษา ความต้องการ และเป้าหมาย ของท้องถิ่นนั้น ๆ

มิติของความมีอิสระทางดิจิทัล (Digital Sovereignty)

Sovereign AI ไม่ใช่การโดดเดี่ยวตัวเอง แต่มีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับหลักการที่กว้างขวางของความมีอิสระทางดิจิทัล (digital sovereignty) ซึ่งแบ่งเป็นสามมิติหลักคือ

  • ความมีอิสระทางเทคโนโลยี (technology sovereignty): การที่ระบบ AI ข้ามาเป็นฐานของบริการสาธารณะต่าง ๆ และเป็นฐานหลักให้กับการแข่งขันทางเศรษฐกิจมากขึ้น ทำให้ความสามารถในการออกแบบ สร้าง และใช้งานระบบเหล่านี้ได้อย่างอิสระเป็นสิ่งสำคัญ 

Technology sovereignty ไม่เพียงหมายถึงความสามารถในการมองเห็นสถาปัตยกรรมของโมเดล ข้อมูลที่ใช้เทรน และพฤติกรรมของระบบเท่านั้น แต่ยังหมายถึงความสามารถในการควบคุมฮาร์ดแวร์และแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่โมเดลเหล่านั้นทำงานด้วย ข้อกังวลสำคัญประการหนึ่งคือ การที่ต้องพึ่งพาฮาร์ดแวร์เร่งความเร็ว (accelerators) จากต่างประเทศอย่างมาก เช่น GPU จาก NVIDIA และ AMD ซึ่งครองอิทธิพลด้านการประมวลผล AI ในปัจจุบัน  

ประเทศและองค์กรต่าง ๆ ตอบสนองต่อความกังวลนี้ด้วยการลงทุนในซัพพลายเชนทางเลือก การผลิตชิปในประเทศ และแนวคิดฮาร์ดแวร์แบบเปิด เพื่อลดช่องโหว่เชิงกลยุทธ์ต่าง ๆ  ทั้งนี้การบรรลุเป้าหมาย technology sovereignty นั้นหมายถึง ต้องสามารถพัฒนาและใช้โมเดล AI บนโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อถือได้และอยู่ภายใต้การควบคุมของท้องถิ่นเอง ต้องสามารถลดความเสี่ยงที่เกี่ยวกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ การควบคุมการส่งออกทางเทคโนโลยี หรือการต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มจากภายนอกให้เหลือน้อยที่สุด

  • ความมีอิสระในการปฏิบัติงาน (operational sovereignty): มิตินี้ไม่ได้ดูเพียงว่าใช้ระบบ AI ที่ไหน เช่น ใช้อยู่ภายในองค์กร (on-premises) หรือใช้บนคลาวด์ของตนเอง (sovereign cloud) แต่ยังต้องดูว่าใครมีอำนาจ มีทักษะ และสามารถเข้าถึงระบบเพื่อดำเนินงานและบำรุงรักษาระบบเหล่านั้นด้วย การเป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานนั้นไม่เพียงพอสำหรับรัฐและองค์กรธุรกิจที่ต้องการความมีอิสระมากขึ้น operational sovereignty นั้น หมายถึงต้องมั่นใจได้ว่าระบบ AI ต่าง ๆ จะได้รับการบริหารจัดการโดยบุคลากรในท้องถิ่นที่ไว้วางใจได้ มีทักษะและได้รับการอนุญาตอย่างเหมาะสม ซึ่งรวมถึงการสร้างกลุ่มบุคลากรที่มีทักษะรองรับงานด้านนี้ เช่น วิศวกรด้าน AI ผู้เชี่ยวชาญด้าน MLOps และ มืออาชีพด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ตลอดจนลดการพึ่งพาผู้ให้บริการ managed service ต่างประเทศ นโยบายระดับชาติของหลายประเทศเริ่มกำหนดว่าโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสำคัญ ๆ ต้องได้รับการดูแลและสนับสนุนโดยเจ้าหน้าที่ที่มีสัญชาตินั้น ๆ หรือ ภายในเขตอำนาจศาลทางกฎหมายใด ๆ เพื่อปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนและระบบต่าง ๆ จากอิทธิพลจากต่างประเทศ หรือ ความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน เมื่อมีอิสระในการปฏิบัติงานแล้ว จะทำให้มั่นใจว่าระบบ AI ต่าง ๆ ยังคงทำงานได้เป็นปกติ ปลอดภัย และเป็นไปตามการควบคุมของท้องถิ่น แม้ในเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับโลกก็ตาม
  • ความมีอิสระด้านข้อมูล (data sovereignty): ความมีอิสระด้านข้อมูลเกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลด้านกฎหมายและจริยธรรมของข้อมูล เพื่อให้มั่นใจว่าการรวบรวม การจัดเก็บ และการประมวลผลข้อมูล อยู่ภายในขอบเขตของกฎหมายและค่านิยมของประเทศ ในโลกที่พึ่งพา AI มากขึ้นนั้น ข้อมูลไม่ได้เป็นเพียงทรัพย์สิน แต่เป็นทรัพยากรเชิงกลยุทธ์ ระบบ Sovereign AI ต่าง ๆ ต้องทำงานตามกฎข้อบังคับของท้องถิ่น ซึ่งรวมถึงกฎหมายความเป็นส่วนตัว ข้อกำหนดด้านที่อยู่ของข้อมูล และกรอบการทำงานด้านการให้ความยินยอมต่าง ๆ นอกจากนี้ การกำกับดูแลข้อมูลต้องสะท้อนความคาดหวังด้านวัฒนธรรมและสังคม โดยเฉพาะในลักษณะเช่น ข้อมูลไบโอเมตริกซ์ การดูแลสุขภาพ และ การเงิน ประเทศและองค์กรธุรกิจจึงลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้ แพลตฟอร์มข้อมูลแบบรวมศูนย์ และชุดข้อมูลของประเทศ เพื่อคงความสามารถในการควบคุมทรัพย์สินด้านข้อมูลสำคัญไว้ ทั้งนี้ความสามารถในการควบคุมว่าใครเข้าถึงระบบและข้อมูลได้บ้าง ความสามารถในการวิเคราะห์และการแชร์ข้อมูล โดยเฉพาะในบริบทที่ใช้มัลติคลาวด์ หรือ ทำงานข้ามพรมแดน เป็นสิ่งสำคัญต่อการรักษาความไว้วางใจ การปฏิบัติตามกฎระเบียบ และความได้เปรียบทางการแข่งขัน

โอเพ่นซอร์สช่วยเสริมแกร่งให้เสาหลักเหล่านี้ ด้วยคุณสมบัติด้านความโปร่งใส ช่วยให้สามารถทำงานร่วมกันได้ และ เป็นรากฐานของการปรับระบบต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับกฎระเบียบของประเทศและกลยุทธ์ขององค์กร

ความท้าทายที่รออยู่: การประมวลผล ข้อมูล ทักษะ และการกำกับดูแล

แม้มีแนวโน้มว่าจะมีการใช้ Sovereign AI เพิ่มขึ้น แต่การนำไปใช้ในวงกว้างยังคงประสบความซับซ้อนจากความท้าทายหลายประการ เช่น

รัฐบาลและธุรกิจหลายแห่งยังติดขัดกับข้อจำกัดที่สำคัญประการหนึ่ง คือความสามารถในการเข้าถึงการประมวลผลประสิทธิภาพสูง อันเนื่องมาจากการขาดแคลน GPU และค่าใช้จ่ายในการเทรนโมเดลขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ความพร้อมใช้ของชุดข้อมูลภายในท้องถิ่นที่มีคุณภาพสูงเป็นอีกหนึ่งข้อจำกัด โดยเฉพาะชุดข้อมูลที่เป็นภาษาถิ่นของตนที่มีไม่เพียงพอ หรือชุดข้อมูลเฉพาะทางด้านต่าง ๆ ที่มีอยู่จำกัด

การพัฒนาบุคลากรเป็นอีกหนึ่งประเด็นเร่งด่วน ทั่วโลกขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะในการสร้าง ปรับใช้ และควบคุมระบบ AI อย่างมีความรับผิดชอบ ในขณะเดียวกัน การขาดมาตรฐานทางเทคนิคและจริยธรรมที่ใช้ร่วมกันในทุกเขตอำนาจศาล อาจสร้างอุปสรรคต่อการทำงานร่วมกันข้ามพรมแดน และการทำงานร่วมกันของโมเดลได้

 อุปสรรคเหล่านี้สามารถหมดไปได้ด้วยการผสานพลังจากการลงทุนของภาครัฐ นวัตกรรมของภาคเอกชน ความร่วมมือระหว่างประเทศ และการสนับสนุนชุมชนโอเพ่นซอร์สอย่างยั่งยืน

อนาคตของความมีอิสระ ความเปิดกว้าง และความรับผิดชอบ

เรากำลังเข้าสู่ช่วงสำคัญที่ความสามารถต่าง ๆ ของ AI จะช่วยกำหนดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ และความแข็งแกร่งขององค์กร ผู้ที่ประสบความสำเร็จไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่มีโมเดลขนาดใหญ่ที่สุด แต่เป็นผู้ที่มีระบบต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับลำดับความสำคัญทางกลยุทธ์และความต้องการของผู้ถือผลประโยชน์ร่วมกันได้มากที่สุด

Sovereign AI ที่มีพื้นฐานมาจากหลักการของโอเพ่นซอร์ส จะมอบเส้นทางข้างหน้าที่ทรงพลัง ช่วยให้เกิดนวัตกรรมในท้องถิ่นโดยไม่ต้องเหมือนกับที่อื่นในโลก ส่งเสริมความโปร่งใสและความรับผิดชอบโดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน และ สนับสนุนระบบนิเวศ AI ที่มีจริยธรรมและยั่งยืนมากขึ้น ด้วยโมเดลการกำกับดูแลต่าง ๆ ที่สะท้อนคุณค่าของผู้สร้างและผู้ใช้

โอเพ่นซอร์สไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จด้าน AI sovereignty แต่เป็นโมเดลที่มีความเป็นอิสระในตัวของมันเอง

หากองค์กรของท่านกำลังมองหาเส้นทางสู่ Sovereign AI ของตนเอง ไม่ว่าท่านจะเป็นภาครัฐ บริษัทในอุตสาหกรรม หรือหน่วยงานวิจัย ถึงเวลาแล้วที่จะต้องใช้ความเปิดกว้างเป็นเครื่องมือในการควบคุมที่ไม่ใช่การยอมรับตามเจ้าของบริการเสียทั้งหมด และเราจะสามารถสร้างอนาคตของ AI ที่ไม่เพียงแต่จะทรงพลังและชาญฉลาดเท่านั้น แต่ยังเป็น AI ที่ครอบคลุม โปร่งใส และเป็นของเราเองอย่างแท้จริง

Alibaba Cloud to Power First Youth Olympic Games in Africa to Boost Efficiency and Engagement

อาลีบาบา คลาวด์ เสริมประสิทธิภาพและการมีส่วนร่วมในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเยาวชน ที่จัดเป็นครั้งแรกในแอฟริกา

Alibaba Cloud to Power First Youth Olympic Games in Africa to Boost Efficiency and Engagement

Dakar 2026’s core digital services to be deployed on Alibaba Cloud’s digital infrastructure

Alibaba Cloud, the digital technology and intelligence backbone of Alibaba Group, today announced to power the Summer Youth Olympic Games Dakar 2026 (“Dakar 2026”) – the first Olympic sporting event to be held in Africa – with its proven cloud and AI technologies. 

Dakar 2026 as the 4th Summer Youth Olympic Games will take place in Senegal, the first country on the African continent to be awarded the honor of hosting an Olympic sports event. 

As the official cloud service provider of the IOC, Alibaba Cloud is committed to supporting the digital transformation of the Olympic Games, delivering a future-ready digital foundation that enhances the operational efficiency and fan engagement of the Youth Olympic Games.

The initiative was announced during a signing ceremony in Hangzhou, China among Alibaba Cloud, the Dakar 2026 Youth Olympic Games Organizing Committee (YOGOC) and the International Olympic Committee (IOC).

Antoine Azokly, Head o Youth Olympic Games Technology & Energy at International Olympic Committee said: “As a result of our ongoing partnership, the integration of Alibaba Cloud’s proven AI and cloud technology into Dakar 2026 exemplifies our shared commitment to making the Olympic events more efficient, sustainable and engaging. This collaboration will not only benefit the Youth Olympic Games but also leave a lasting digital legacy for sport in Africa.”

As we prepare to host Africa’s first Olympic event, partnering with Alibaba Cloud marks a crucial step in our journey to deliver a technologically advanced and seamlessly operated Youth Olympic Games,” said Ibrahima Wade, General Coordinator of Dakar 2026 Youth Olympic Games Organizing Committee, “The implementation of Alibaba Cloud’s digital technologies across our core services will not only ensure efficient Games operations but also create a lasting technological legacy that will benefit Senegal and the African sporting community long after the Games conclude.”

Under the partnership, the Dakar 2026 Organizing Committee will deploy Alibaba Cloud’s Apsara Stack, a comprehensive private cloud solution to build a secure, scalable and high-performance infrastructure for the Summer Youth Olympic Games Dakar 2026. The platform will serve as the core IT infrastructure, hosting digital applications and services required for the planning, operation, logistics and post-event activities for the Dakar 2026, enabling enhanced fan experiences and streamlined event logistics

Notably, Alibaba Cloud will support Dakar 2026 with digital flame services, leveraging its latest AI and cloud technologies to create dynamic, immersive visual experiences for global audiences and sports fans.

The Summer Youth Olympic Games Dakar 2026 will be held in Senegal from October 31 to November 13, across three host cities: Dakar, Diamniadio, and Saly. The Games will bring together 2700 world’s best young athletes, with a maximum age of 17. A total of 35 sports will feature on the YOG programme, including 25 competition sports and 10 engagement sports.

อาลีบาบา คลาวด์ เสริมประสิทธิภาพและการมีส่วนร่วมในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเยาวชน ที่จัดเป็นครั้งแรกในแอฟริกา

อาลีบาบา คลาวด์ เสริมประสิทธิภาพและการมีส่วนร่วมในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเยาวชน ที่จัดเป็นครั้งแรกในแอฟริกา

อาลีบาบา คลาวด์ เสริมประสิทธิภาพและการมีส่วนร่วมในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเยาวชน ที่จัดเป็นครั้งแรกในแอฟริกา

บริการดิจิทัลหลักของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อน Dakar 2026 จะทำงานอยู่บนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของอาลีบาบา คลาวด์

อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป ประกาศใช้เทคโนโลยีคลาวด์ และ AI ทรงประสิทธิภาพของบริษัทฯ เสริมศักยภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อนประจำปี 2568 ที่ดาการ์ (Summer Youth Olympic Games Dakar 2026: Dakar 2026) ซึ่งเป็นการจัดการแข่งขันโอลิมปิกครั้งแรกในแอฟริกา 

การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อนครั้งที่ 4 หรือ Dakar 2026 นี้ จะจัดขึ้นที่ประเทศเซเนกัล ซึ่งเป็นประเทศแรกในในทวีปแอฟริกาที่ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 

อาลีบาบา คลาวด์ ในฐานะผู้ให้บริการคลาวด์อย่างเป็นทางการของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) มุ่งมั่นสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก มอบโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่พร้อมรับอนาคต ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และให้แฟนกีฬาโอลิมปิกเยาวชนได้มีส่วนร่วมในการแข่งขันมากขึ้น

การดำเนินการและความมุ่งมั่นนี้ประกาศ ณ เมืองหางโจว ประเทศจีน ในพิธีลงนามความร่วมมือระหว่างอาลีบาบา คลาวด์ คณะกรรมการจัดการแข่งขันโอลิมปิกเยาวชน Dakar 2026 (Dakar 2026 Youth Olympic Games Organizing Committee: YOGOC) และคณะกรรมการโอลิมปิกสากล

นายอองตวน อาโซคลี หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีและพลังงานของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเยาวชนภายใต้คณะกรรมการโอลิมปิกสากล กล่าวว่า “การนำเทคโนโลยี AI และคลาวด์ที่ได้รับการพิสูจน์ประสิทธิภาพแล้วของอาลีบาบา คลาวด์ มาใช้ที่ Dakar 2026 เป็นความร่วมมืออย่างต่อเนื่องของเรา และเป็นตัวอย่างความมุ่งมั่นร่วมกันของเราในการทำให้การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกมีประสิทธิภาพมากขึ้น ยั่งยืนมากขึ้น และสร้างการมีส่วนร่วมมากขึ้น ความร่วมมือนี้ไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเยาวชน แต่ยังทิ้งมรดกทางดิจิทัลที่ยั่งยืนให้กับวงการกีฬาในแอฟริกาด้วย”

นายอิบราฮิมา เวด ผู้ประสานงานทั่วไปของคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเยาวชน Dakar 2026 กล่าวว่า “ความร่วมมือกับอาลีบาบา คลาวด์ เป็นก้าวสำคัญในการดำเนินงานในระหว่างที่เราเตรียมจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งแรกในแอฟริกา เพื่อให้เกิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเยาวชนที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและราบรื่น การนำเทคโนโลยีดิจิทัลของอาลีบาบา คลาวด์ มาใช้กับบริการหลักของเรา ไม่เพียงเป็นการรับประกันว่าการดำเนินการแข่งขันจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังสร้างมรดกทางเทคโนโลยีที่ยั่งยืนที่จะเป็นประโยชน์ต่อเซเนกัลและชุมชนด้านกีฬาในแอฟริกาไปอีกยาวนานหลังจากการแข่งขันจบลง”

ภายใต้ความร่วมมือนี้ คณะกรรมการจัดงาน Dakar 2026 จะนำ Apsara Stack ซึ่งเป็นโซลูชันไพรเวทคลาวด์ครบวงจรของอาลีบาบา คลาวด์ ไปใช้สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพสูง และปรับขนาดได้ ให้กับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเยาวชน Dakar 2026 โดยแพลตฟอร์มนี้จะให้บริการเป็นโครงสร้างพื้นฐานไอทีหลัก เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้โฮสต์แอปพลิเคชันและบริการดิจิทัลต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการวางแผน การดำเนินงาน ด้านโลจิสติกส์ และกิจกรรมหลังการแข่งขัน ช่วยให้แฟนกีฬาได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น และการทำงานด้านโลจิสติกส์มีความคล่องตัว

ที่น่าสนใจคือ อาลีบาบา คลาวด์ จะสนับสนุน Dakar 2026 ด้วยบริการเปลวไฟดิจิทัลต่าง ๆ โดยใช้เทคโนโลยี AI และคลาวด์ที่ทันสมัยล่าสุด สร้างประสบการณ์ให้กับผู้ชมและแฟนกีฬาทั่วโลกให้ได้รับชมภาพวิชวลที่สมจริง มีชีวิตชีวา 

การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อน Dakar 2026 จะจัดขึ้นที่ประเทศเซเนกัล ตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม ถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน โดยจัดในสามเมือง ได้แก่ ดาการ์ ดิอัมเนียดิโอ และ ซาลี การแข่งขันนี้จะเป็นการนำนักกีฬาเยาวชนที่มีฝีมือที่สุดในโลกที่มีอายุไม่เกิน 17 ปี จำนวน 2,700 คนมารวมกัน มีชนิดกีฬาทั้งหมด 35 รายการ ประกอบด้วยกีฬาที่ต้องแข่งขันเพื่อชัยชนะ 25 รายการ และกีฬาที่ไม่แข่งขันแต่เน้นการมีส่วนร่วม พัฒนาทักษะ หรือกระชับมิตร 10 รายการ