“พร็อพเพอร์ตี้กูรู” บริษัทแม่ 2 แพลตฟอร์มอสังหาฯ ชั้นนำของไทย ประกาศแต่งตั้ง “เรย์ เฟอร์กูสัน” นั่งตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร มีผลตั้งแต่ 1 ม.ค. 67 เป็นต้นไป

“พร็อพเพอร์ตี้กูรู” บริษัทแม่ 2 แพลตฟอร์มอสังหาฯ ชั้นนำของไทย ประกาศแต่งตั้ง “เรย์ เฟอร์กูสัน” นั่งตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร มีผลตั้งแต่ 1 ม.ค. 67 เป็นต้นไป

“พร็อพเพอร์ตี้กูรู” บริษัทแม่ 2 แพลตฟอร์มอสังหาฯ ชั้นนำของไทย ประกาศแต่งตั้ง “เรย์ เฟอร์กูสัน” นั่งตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร มีผลตั้งแต่ 1 ม.ค. 67 เป็นต้นไป

พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป จำกัด  (หรือชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก NYSE คือ PGRU) (จากนี้จะเรียกว่า “พร็อพเพอร์ตี้กูรู” หรือ “บริษัท”) บริษัทเทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (“PropTech”)1 และเป็นบริษัทแม่ของ 2 แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของเมืองไทย ประกอบด้วย ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งของไทย และ thinkofliving.com เว็บไซต์รีวิวโครงการอสังหาฯ ชั้นนำของไทย วันนี้ได้ประกาศมติของคณะกรรมการบริหารในการแต่งตั้งให้นายเรย์ เฟอร์กูสัน ดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการอิสระที่ไม่ได้มีตำแหน่งเป็นผู้บริหารในบอร์ดปัจจุบัน และขึ้นเป็นประธานกรรมการบริหาร โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป 

ทั้งนี้ นายเรย์จะดำรงตำแหน่งต่อจากนายโอลิเวียร์ ลิม ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารของพร็อพเพอร์ตี้กูรูมาตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2562 

ภายใต้การบริหารของนายโอลิเวียร์ พร็อพเพอร์ตี้กูรูประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจให้เติบโตขึ้น ทั้งในด้านของผลิตภัณฑ์และบริการ ไปจนถึงการเติบโตของรายได้ที่มีการเติบโตในระดับตัวเลขสองหลักอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถขยายธุรกิจไปสู่บริการด้านฟินเทค (Fintech), ข้อมูลและโซลูชันซอฟต์แวร์ต่าง ๆ (Data and software solutions) และยังขยายธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการควบรวมกิจการในตลาดที่บริษัทดำเนินกิจการอยู่อย่างมาเลเซีย ไทย และสิงคโปร์ และที่สำคัญที่สุด นายโอลิเวียร์มีบทบาทสำคัญที่ผลักดันให้บริษัทกลายเป็นบริษัทมหาชน และสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กได้สำเร็จเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา 

ในขณะที่นายเรย์มีประสบการณ์อย่างยาวนานในธุรกิจด้านการเงินการธนาคาร โดยร่วมงานกับธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดมาเป็นเวลา 28 ปี ดูแลตลาดทั้งในเอเชีย อเมริกา ตะวันออกกลาง และยุโรป โดยตำแหน่งสุดท้ายของนายเรย์ที่ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คือ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ประจำประเทศสิงคโปร์ นอกจากนี้ เขายังดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารและคณะกรรมการบริหารในอีกหลายบอร์ดบริหารย่อยของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดอีกด้วย  

ปัจจุบันนายเรย์ยังดำรงตำแหน่งประธานบริหารของซิงไลฟ์ กรุ๊ป อีกทั้งยังเป็นคณะกรรมการอิสระที่ไม่ได้เป็นผู้บริหารในบอร์ดบริหารของกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาฯ Paragon REIT รวมทั้งเป็นประธานกรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทผลิตเรือยอร์ช ZEN Yachts และยังเป็นประธานกรรมการที่ไม่ได้เป็นผู้บริหารในบริษัทฟินเทค Hashstacs Pte. Ltd. 

นายเรย์ได้รับรางวัลบุคคลทรงคุณค่า (Distinguished Fellow) จากสถาบันการธนาคารและการเงินแห่งสิงคโปร์ และยังเป็นสมาชิกของสถาบันกรรมการบริษัทของประเทศสิงคโปร์ นอกจากนี้ เขายังดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารสมาคมธนาคารแห่งสก็อตแลนด์ 

นายเรย์สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท หลักสูตรบริหารธุรกิจ จากวิทยาลัยการจัดการเฮนลีย์  (Henley Management College)

ด้านนายแฮร์รี่ วี. คริชนัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป กล่าวว่า “ในฐานะตัวแทนของคณะกรรมการและทีมบริหารทุกคน ผมอยากจะแสดงความขอบคุณคุณโอลิเวียร์ที่นำพากรุ๊ปของเราเดินหน้าสู่การเติบโตอย่างมากมายตลอด 4 ปีที่ผ่านมา คุณโอลิเวียร์เป็นผู้นำที่ทรงคุณค่าและเป็นหัวหน้าทีมที่คอยให้คำปรึกษาที่ดีให้กับทีมบริหารและตัวผมเอง สามารถพากรุ๊ปเติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วงที่เราต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจรอบด้าน อีกทั้งยังขยายธุรกิจให้กว้างขวางออกไปได้ และที่สำคัญที่สุด ภายใต้การนำทีมของคุณโอลิเวียร์ เราสามารถเข้าไปเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กได้ ผมขอขอบคุณสำหรับความทุ่มเท และทุก ๆ สิ่งที่คุณโอลิเวียร์ได้อุทิศให้กับบริษัทของเรา ในขณะที่เรากำลังวางแผนสู่การเติบโตในเฟสต่อไป ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะทำงานร่วมกับประธานกรรมการและนักสร้างธุรกิจผู้มากประสบการณ์อย่างคุณเรย์”

 

Ant International Unveils Strategy to Drive Inclusive Global Commerce with Payment and Digitalization Technologies

แอนท์ อินเตอร์เนชั่นแนล (Ant International) เผยกลยุทธ์ส่งเสริมการค้าระดับโลกอย่างครอบคลุมด้วยเทคโนโลยีการชำระเงินและเทคโนโลยีดิจิทัล

Ant International Unveils Strategy to Drive Inclusive Global Commerce with Payment and Digitalization Technologies

  • Accelerating growth and expanding partnerships across cross-border mobile payment, global merchant payment, cross-border SME digital payment and financial services, and digital banking services

Ant International, a digital payment and financial services leader dedicated to building an inclusive and sustainable global commerce ecosystem, today unveils its strategy in digital payment and digital commerce for global merchants at its flagship Voyage Conference, from its headquarters in Singapore.

“Despite the uncertainties in the global economy, trends like evolving financial infrastructure, accelerating digitalization and swift advances on the tech frontier present unprecedented opportunities for merchants all around the world seeking to achieve new growth, especially for small businesses who aspire to overcome the digital divide,” said Yang Peng, President of Ant International.

“Travel, trade, technology and talent are the cornerstones of global inclusion and prosperity,” said Yang. “We will accelerate innovations in digital payment and digital commerce to link up these areas of global collaboration.”

Digital Payment and Digital Commerce Solutions across 4 Pillars

To realize the 4T vision and provide support to merchants, particularly in helping SMEs achieve their growth goals, Ant International has established a robust global compliance and service structure over the years. Additionally, it boasts an extensive coverage worldwide, especially in Asia, deep expertise in digitalization, and a continuously expanding repertoire of cutting-edge technologies.

The Company now focuses on 4 areas of innovations:

1. Alipay+ Cross-Border Mobile Payment Service connects over 88 million merchants to 1.5 billion consumer accounts on over 25 e-wallets and banking apps in 57 countries and regions, allowing consumers to travel and pay worry-free across borders, and merchants to build out cross-border consumer engagement and digital marketing.

The service builds on Alipay+’s extensive regional partnerships, including those with national QR schemes such as Singapore’s SGQR, Malaysia’s PayNet, South Korea’s ZeroPay, and Sri Lanka’s LankaPay.

“Alipay+ focuses on bridging various payment methods and promoting mobile interoperability across Asia and beyond. Its aim is to enable people to travel and live worry-free, while offering businesses, both large and small, new digital avenues for growth,” said Douglas L. Feagin, Senior Vice President of Ant Group and Head of Alipay+. “We are proud of how through Alipay+, tens of millions of even mom-and-pop stalls can reach and transact with international travelers on the same basis as much larger enterprises such as luxury stores.”

2. Antom Merchant Payment Services help global merchants to engage digitally with consumers in Asia and beyond. 

“With our AI-driven payment and digital marketing engine, we offer our merchants the broadest consumer reach in Asia and globally, and help them collect payments and grow revenue.” according to Gary Liu, Head of Merchant Payment Services at Ant International.

3. WorldFirst digital payment and financial services for cross-border trade SMEs has served over 1 million SMEs to grow internationally with its World Account, by connecting small traders to over 120 global marketplaces and conduct secure and fast payment transactions in over 40 currencies.

“Today’s cross-border trade is led by young entrepreneurs who are digital natives with global ambitions,” said Clara Shi, CEO of WorldFirst. “With World Account, we aim to help them acquire next-gen CFO capabilities to sell, manage and grow across marketplaces and regions.”

Building on its success in China and Singapore, Shi said, WorldFirst plans to expand its SME e-commerce digital finance solutions across Southeast Asia in 2023 and 2024. 

4. ANEXT Bank, a digital wholesale bank regulated by the Monetary Authority of Singapore, focuses on enabling effortless and accessible financial services to SMEs. In staying true to its mission to serve the underserved financial needs of micro businesses and to help SMEs achieve their cross-border ambitions, the bank now counts 68% of its customers as micro-SMEs. The bank has also seen an average of 40% month-on-month increase in cross-border transactions and expects to see these numbers grow as it embarks on more embedded financing collaborations with industry partners.

Toh Su Mei, Chief Executive Officer of ANEXT Bank, said: “We recognize the diverse needs of SMEs and believe that the way to alleviate the various stress and spillover effect from the macro environment is to work very closely with industry partners who have a first-hand view of their customers’ pain points.”

Continued Investments in Cutting-Edge Digital Technology Solutions

Ant International began its journey by supporting the rapid rise of e-commerce and cross-border tourism in China. Over the years, Ant International has built up a repertoire of foundational technology capabilities to support long-term growth across its main business pillars.

  • Wallet Tech offers full-stack architectural solutions and future-ready capabilities for payment apps;
  • Payment Tech enables robust payment processing with improved conversion and user engagement;
  • Credit Tech achieves an industry-leading low NPL ratio and configuration for scalability;
  • Platform Tech comes with a series of proprietary blockchain and AI technologies; and
  • Risk Tech is powered by world-leading graph computing and risk detection algorithms.

“Together with our partners, we will build enduring local commitments to bring the world more small and beautiful changes,” said Yang Peng.

แอนท์ อินเตอร์เนชั่นแนล (Ant International) เผยกลยุทธ์ส่งเสริมการค้าระดับโลกอย่างครอบคลุมด้วยเทคโนโลยีการชำระเงินและเทคโนโลยีดิจิทัล

แอนท์ อินเตอร์เนชั่นแนล (Ant International) เผยกลยุทธ์ส่งเสริมการค้าระดับโลกอย่างครอบคลุมด้วยเทคโนโลยีการชำระเงินและเทคโนโลยีดิจิทัล

แอนท์ อินเตอร์เนชั่นแนล (Ant International) เผยกลยุทธ์ส่งเสริมการค้าระดับโลกอย่างครอบคลุมด้วยเทคโนโลยีการชำระเงินและเทคโนโลยีดิจิทัล

  • เร่งการเติบโตและขยายพันธมิตรด้านโมบายเพย์เมนต์ระหว่างประเทศการชำระเงินของผู้ค้าทั่วโลกการชำระเงินและบริการทางการเงินระหว่างประเทศในรูปแบบดิจิทัลสำหรับเอสเอ็มอี และบริการธนาคารดิจิทัล

แอนท์ อินเตอร์เนชั่นแนล (Ant International) ผู้นำด้านการชำระเงินและบริการทางการเงินดิจิทัลที่มุ่งสร้างอีโคซิสเต็มการค้าทั่วโลกที่ครอบคลุมและยั่งยืน เผยกลยุทธ์ด้านการชำระเงินดิจิทัลและดิจิทัลคอมเมิร์ซสำหรับผู้ค้าระดับโลกในการประชุม Voyage Conference ซึ่งจัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ในประเทศสิงคโปร์

นายหยาง เป็ง ประธานบริษัทแอนท์ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “แม้ว่ามีความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลก แต่เทรนด์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่กำลังเปลี่ยนแปลง, การเติบโตของดิจิทัลไลเซชัน, และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ได้ให้โอกาสกับผู้ค้าทั่วโลกในการมองหาการเติบโตใหม่ ๆ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่มุ่งมั่นก้าวข้ามความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลในสังคม”

“การท่องเที่ยว, การค้า, เทคโนโลยี และบุคลากรที่มีความสามารถเป็นปัจจัยสำคัญของ global inclusion และความสำเร็จระดับโลก,” นายหยาง กล่าว “เราจะขับเคลื่อนนวัตกรรมในการชำระเงินดิจิทัลและดิจิทัลคอมเมิร์ซเพื่อเชื่อมต่อกับสิ่งเหล่านี้ในการสร้างความร่วมมือระดับโลก”

ดิจิทัลเพย์เมนต์และโซลูชันดิจิทัลคอมเมิร์ซ ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่

เพื่อทำให้วิสัยทัศน์ 4T สัมฤทธิ์ผลและสนับสนุนผู้ค้า ทั่วโลกโดยเฉพาะในการช่วยเหลือเอสเอ็มอีให้บรรลุเป้าหมายการเติบโต แอนท์ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้สร้างแนวทางปฏิบัติทั่วโลก พร้อมโครงสร้างการให้บริการระดับโลกที่แข็งแกร่งมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังขยายพื้นที่การให้บริการไปทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย พร้อมพัฒนาความเชี่ยวชาญเชิงลึกในด้านดิจิทัลไลเซชัน และการขยายพอร์ตโฟลิโอด้านเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยอย่างต่อเนื่อง

บริษัทมุ่งเน้นนวัตกรรม 4 ด้าน ได้แก่:

  1. Alipay+ Cross-Border Mobile Payment Service เชื่อมต่อร้านค้ากว่า 88 ล้านรายเข้ากับบัญชีผู้บริโภค 1.5 พันล้านบัญชีบน 25 อีวอลเล็ตและแอปธนาคารใน 57 ประเทศและภูมิภาค ช่วยให้ผู้บริโภคเดินทางท่องเที่ยวและชำระเงินข้ามพรมแดนได้อย่างไร้กังวล และทำให้ผู้ค้าสร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้าระหว่างประเทศ รวมถึงการทำตลาดดิจิทัล

บริการดังกล่าวต่อยอดจากความร่วมมือระดับภูมิภาคที่ขยายออกไปของอาลีเพย์พลัส (Alipay+)  รวมถึงประเทศที่มี QR scheme เช่น SGQR ของสิงคโปร์, PayNet ของมาเลเซีย, ZeroPay ของเกาหลีใต้ และ LankaPay ของศรีลังกา

ดักลาส แอล ฟีกิน รองประธานอาวุโสของแอนท์กรุ๊ปและหัวหน้าของอาลีเพย์พลัส กล่าวว่า “อาลีเพย์พลัส (Alipay+) มุ่งเน้นไปที่การเชื่อมวิธีการชำระเงินที่หลากหลาย และส่งเสริมการทำงานร่วมกันผ่านโมบายทั่วทั้งเอเชียและประเทศอื่น ๆ เป้าหมายคือการช่วยให้ผู้คนสามารถเดินทางท่องเที่ยวและใช้ชีวิตอย่างไร้กังวล ในขณะเดียวกันก็นำเสนอช่องทางดิจิทัลใหม่ ๆ เพื่อการเติบโตให้กับธุรกิจทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เราภูมิใจที่ร้านค้าหรือธุรกิจเล็ก ๆ ที่เป็นของครอบครัวหลายสิบล้านแห่งสามารถเข้าถึงและทำธุรกรรมกับนักท่องเที่ยวต่างประเทศผ่านอาลีเพย์พลัส (Alipay+) ได้บนมาตรฐานเดียวกับบริษัทใหญ่ อย่างร้านลักชูรี่ต่าง ๆ”

  1. Antom Merchant Payment Services ช่วยให้ผู้ค้าทั่วโลกมีส่วนร่วมกับกับผู้บริโภคในเอเชียและประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกผ่านดิจิทัล

นาย แกรี่ หลิว หัวหน้าฝ่ายบริการการชำระเงินสำหรับผู้ค้าของแอนท์ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “ด้วยการชำระเงินที่ขับเคลื่อนด้วย AI และเครื่องมือการตลาดดิจิทัล เราช่วยให้ผู้ค้าของเราสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้กว้างที่สุดในเอเชียและทั่วโลก และช่วยให้พวกเขารวบรวมการชำระเงินและเพิ่มรายได้”

  1. WorldFirst ผู้ให้บริการดิจิทัลเพย์เมนต์และบริการทางการเงินกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเพื่อธุรกิจการค้าข้ามพรมแดน โดยได้ให้บริการเอสเอ็มอีมากกว่า 1 ล้านรายเพื่อเติบโตในระดับโลกผ่าน World Account ด้วยการเชื่อมโยงผู้ค้ารายย่อยเข้ากับมาร์เก็ตเพลสทั่วโลกกว่า 120 แห่ง และดำเนินธุรกรรมการชำระเงินที่ปลอดภัยและรวดเร็วมากกว่า 40 สกุลเงิน

คลารา ชิ ซีอีโอของ WorldFirst กล่าวว่า “การค้าข้ามพรมแดนในปัจจุบันขับเคลื่อนโดยผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่เป็น digital natives และมีความมุ่งมั่น ด้วย World Account เรามุ่งหวังที่จะช่วยให้พวกเขามีความสามารถของ next-gen CFO ในการขาย การจัดการ และมีการเติบโตในมาร์เก็ตเพลสและภูมิภาค”

“จากความสำเร็จในจีนและสิงคโปร์ WorldFirst วางแผนที่จะขยายโซลูชันการเงินดิจิทัลสำหรับอีคอมเมิร์ซให้แก่เอสเอ็มอีทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2566 และ 2567” ชิ กล่าว

  1. ANEXT Bank ธนาคารdigital wholesale ที่ควบคุมโดยองค์การเงินตราแห่งประเทศสิงคโปร์ หรือธนาคารกลางของสิงคโปร์ มุ่งเน้นการให้บริการทางการเงินที่ง่ายและเข้าถึงได้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ยึดมั่นพันธกิจในการตอบสนองความต้องการทางการเงินของธุรกิจขนาดเล็ก และช่วยให้เอสเอ็มอีบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจข้ามพรมแดน ปัจจุบันธนาคารมีลูกค้า 68% ที่เป็นเอสเอ็มอีขนาดเล็ก นอกจากนี้ ธนาคารยังพบว่าธุรกรรมข้ามพรมแดนเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 40% ต่อเดือน (month-on-month) และคาดว่าจะเห็นตัวเลขเหล่านี้เพิ่มขึ้น เนื่องจากธนาคารเริ่มมีความร่วมมือทางการเงิน (embedded financing collaborations) มากขึ้นกับพันธมิตรอุตสาหกรรม

โต ซู เหม่ย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของ ANEXT Bank กล่าวว่า “เราตระหนักถึงความต้องการที่หลากหลายของเอสเอ็มอี และเชื่อว่าวิธีการบรรเทาความเครียดและผลกระทบที่ล้นหลามจากสภาพแวดล้อมระดับมหภาคคือการทำงานอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมที่มองเห็นปัญหาของลูกค้าตั้งแต่เริ่มต้น”

การลงทุนอย่างต่อเนื่องในโซลูชันเทคโนโลยีดิจิทัลที่ล้ำสมัย

แอนท์ อินเตอร์เนชั่นแนล เริ่มต้นการเดินทางด้วยการสนับสนุนการเติบโตอย่างรวดเร็วของอีคอมเมิร์ซและการท่องเที่ยวข้ามพรมแดนในประเทศจีน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แอนท์ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้สร้างพอร์ตโฟลิโอด้านเทคโนโลยีพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาวของเสาหลักทางธุรกิจของบริษัทซึ่งประกอบด้วย:

  • Wallet Tech นำเสนอโซลูชันสถาปัตยกรรมแบบครบวงจร และความสามารถที่พร้อมของแอปการชำระเงินในอนาคต
  • Payment Tech ช่วยให้สามารถประมวลผลการชำระเงินที่มีประสิทธิภาพด้วย conversion และ user engagement ที่ดีขึ้น
  • Credit Tech ช่วยให้อัตราส่วน NPL อยู่ในระดับต่ำขั้นแถวหน้าของอุตสาหกรรม และมี configuration ในการปรับขยาย 
  • Platform Tech มาพร้อมกับบล็อกเชนและเทคโนโลยี AI ที่มีลิขสิทธิ์
  • Risk Tech ขับเคลื่อนด้วยการประมวลผลกราฟชั้นนำของโลก และอัลกอริธึมที่ตรวจจับความเสี่ยง 

“เราจะสร้าง commitment ระดับท้องถิ่นที่ยั่งยืนร่วมกับพันธมิตรของเรา เพื่อย่อโลกให้เล็กลงและเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สวยงาม” หยาง เป็ง กล่าว

The Future of Distribution: Top 10 Trends and Predictions for the Next Decade

AI สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม

The Future of Distribution: Top 10 Trends and Predictions for the Next Decade

By Terry Smagh, Senior Vice President and General Manager for Asia Pacific and Japan, Infor

The distribution industry connects producers and manufacturers with consumers in a rapidly evolving global marketplace. As technology advances at an unprecedented pace, the distribution landscape is poised for significant transformation over the next decade. Here are 10 trends and predictions that I believe will shape the future of distribution, enabling businesses to stay ahead of the curve and thrive in the dynamic market of tomorrow.

  1. Automation revolutionizes supply chains: The rise of automation, driven by robotics and artificial intelligence, will profoundly revolutionize and reshape supply chains. Smart warehouses with cutting-edge technologies, including autonomous vehicles, state-of-the-art automated picking systems, and advanced predictive analytics, will optimize inventory management, significantly reduce costs, and remarkably enhance operational efficiency. Therefore, deploying a best-in-class warehouse management system (WMS) is of utmost importance as it acts as a crucial link, seamlessly connecting your automation to your enterprise resource planning (ERP) system, facilitating smooth and efficient operations.
  2. Advanced analytics and big data drive decision-making: Looking ahead, the future of distribution heavily relies on harnessing the immense power of big data and advanced analytics, which play a pivotal role in shaping strategic decision-making processes. Forward-thinking businesses will utilize sophisticated predictive algorithms and real-time data analytics to make highly informed decisions, optimize inventory levels, accurately predict demand patterns, and deliver personalized customer experiences. To fully leverage these invaluable data tools, distributors should migrate their ERP systems to the cloud, enabling them to effectively deploy and capitalize on the transformative potential of advanced analytics and big data.
  3. Last-mile delivery revolution: Last-mile delivery is on the verge of a transformational shift as pioneering delivery models emerge and gain widespread adoption. Cutting-edge technologies such as drones, autonomous vehicles, and delivery robots are poised to become commonplace, revolutionizing the final leg of the delivery process by offering unprecedented speed, exceptional cost-effectiveness, and unrivaled convenience as products are swiftly transported to consumers’ doorsteps. Additionally, the rise of crowd-sourced and shared delivery networks will further propel the efficiency and effectiveness of last-mile delivery, making it an increasingly prominent force in distribution.
  4. Sustainable and eco-friendly practices: In response to mounting environmental concerns and an ever-increasing demand for ethically conscious products, the importance of incorporating sustainable and eco-friendly practices in distribution cannot be overstated. Forward-thinking businesses are proactively adopting and embracing environmentally friendly initiatives, such as green packaging, integrating electric vehicles into their fleets, and optimizing logistics routes to drastically reduce carbon footprints. By prioritizing sustainability, companies address environmental challenges and cater to a growing market segment that values eco-conscious products and distribution practices.
  5. The rise of direct-to-consumer (D2C) channels: Direct-to-consumer (D2C) sales are poised to experience continuous and substantial growth, steadily bypassing traditional distribution channels altogether. Fueled by technological advancements, manufacturers actively leverage cutting-edge tools and platforms to establish an unprecedented direct connection with consumers. This direct link fosters personalized experiences, empowers data-driven marketing strategies, and grants manufacturers more control over brand messaging, brand-consumer relationships and customer loyalty.
  6. Blockchain revolutionizes traceability and transparency: Blockchain technology’s revolutionary potential within the supply chain management realm could be genuinely transformative, offering unparalleled traceability and transparency. Distributed ledger systems powered by blockchain enable real-time tracking and monitoring of products throughout the entire distribution network. By effectively combating counterfeiting, substantially reducing instances of fraud, and ensuring the authenticity of goods, blockchain technology significantly enhances trust and accountability within the supply chain.
  7. Hyper-personalization and customer-centric experiences: The future distribution landscape will be characterized by an unwavering dedication to customer-centricity fueled by the immense power of hyper-personalization. Leveraging advanced analytics, machine learning, and artificial intelligence, businesses will possess the extraordinary ability to deeply understand individual preferences, enabling them to deliver meticulously tailored products, personalized offers, and unforgettable experiences that foster exceptional customer satisfaction and unparalleled brand loyalty.
  8. Augmented reality (AR) enhances product visualization: Augmented reality (AR) emerges as a groundbreaking technology that plays an instrumental role in elevating the visualization of products and profoundly shaping consumer decision-making processes. As AR-enabled devices become increasingly prevalent, consumers can experience products virtually before purchasing. This transformative capability revolutionizes the online shopping experience, effectively bridging the gap between physical and digital realms and empowering consumers with unprecedented confidence and satisfaction.
  9. 3D printing enables distributed manufacturing: The advent of 3D printing technology disrupts traditional manufacturing and distribution models by offering an array of unprecedented advantages. The remarkable capability to produce goods locally, precisely on demand, and with significantly reduced waste gives rise to the establishment of distributed manufacturing networks. This transformative shift leads to substantially shorter lead times and empowers businesses to deliver highly customized products tailored to individual consumers’ precise needs and preferences, effectively revolutionizing manufacturing and distribution.
  10. Collaboration and ecosystem integration: As the distribution landscape unfolds, a profound transformation characterized by intensified collaboration and seamless ecosystem integration becomes increasingly prominent. Forward-thinking businesses recognize the immense value of forming strategic partnerships, engaging in data-sharing initiatives, and fostering close collaboration in critical areas such as logistics, inventory management, and fulfillment. This concerted effort enables seamless end-to-end operations, propelling businesses toward faster time-to-market, enhanced competitiveness, and unparalleled operational excellence.

The future of distribution promises exciting advancements and transformative changes that will reshape the industry. Ensuring your tech stack is robust enough to handle these new tools is critical. Embracing automation, leveraging big data and analytics, adopting sustainable practices, and harnessing emerging technologies will be crucial for businesses to stay competitive. By embracing these trends, wholesale distributors can unlock new opportunities, enhance efficiency, and deliver exceptional customer experiences in the next decade and beyond.

Infor คาดการณ์ 10 แนวโน้มแห่งอนาคต ของอุตสาหกรรมการกระจายสินค้าในทศวรรษหน้า

AI สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม

Infor คาดการณ์ 10 แนวโน้มแห่งอนาคต ของอุตสาหกรรมการกระจายสินค้าในทศวรรษหน้า

บทความโดย เทอร์รี สมา, รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น, บริษัทอินฟอร์

อุตสาหกรรมการกระจายสินค้ามีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงผู้ผลิตและผู้บริโภคเข้าด้วยกันในตลาดโลกที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว  ในขณะที่เทคโนโลยีก้าวล้ำหน้าไปอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน ภาพรวมของการกระจายสินค้าก็กำลังเตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทศวรรษหน้า  สำหรับแนวโน้มและการคาดการณ์ที่คาดว่าจะกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมการกระจายสินค้า พร้อมกับช่วยให้ธุรกิจสามารถก้าวนำหน้าและประสบความสำเร็จในตลาดที่มีพลวัตในอนาคต 10 ประการ ได้แก่

  1. ระบบอัตโนมัติจะเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบห่วงโซ่อุปทานอย่างสิ้นเชิง: การเพิ่มขึ้นของระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนโดยหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะมีส่วนในการปฏิวัติและปรับโฉมห่วงโซ่อุปทานอย่างมีนัยสำคัญ  คลังสินค้าอัจฉริยะพร้อมเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ยานยนต์อัตโนมัติ ระบบการเลือกสินค้าอัตโนมัติชั้นนำ และการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ขั้นสูง จะช่วยให้มีการจัดการสินค้าคงคลังที่เหมาะสม ซึ่งจะลดต้นทุนได้อย่างมีนัยสำคัญและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานได้อย่างน่าทึ่ง  ดังนั้น การใช้ระบบการจัดการคลังสินค้า (WMS) ที่ดีที่สุดในระดับเดียวกันจึงมีความสำคัญสูงสุด เนื่องจากระบบจะทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมโยงที่สำคัญในการเชื่อมต่อระบบอัตโนมัติเข้ากับระบบการวางแผนทรัพยากรขององค์กร (ERP)ได้อย่างไร้อุปสรรค ช่วยให้การดำเนินงานราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
  2. การใช้บิ๊กดาต้าและการวิเคราะห์ขั้นสูงเพื่อตัดสินใจ: เมื่อมองไปในอนาคต การกระจายสินค้าจะต้องพึ่งพาพลังมหาศาลของบิ๊กดาต้าและการวิเคราะห์ขั้นสูงเป็นอย่างมาก เพราะจะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดรูปแบบของกระบวนการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์  ธุรกิจที่มองการณ์ไกลจะใช้อัลกอริธึมการคาดการณ์และการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพสูงในการตัดสินใจแบบใช้ข้อมูลอย่างรอบคอบ เพื่อจัดการกับระดับสินค้าคงคลังให้เหมาะสม รวมทั้งใช้คาดการณ์รูปแบบความต้องการได้อย่างแม่นยำ และมอบประสบการณ์เฉพาะสำหรับลูกค้าแต่ละราย  ดังนั้น เพื่อให้สามารถใช้เครื่องมือด้านข้อมูลอันล้ำค่าเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ ผู้จัดจำหน่ายควรย้ายระบบ ERP ของตนไปยังระบบคลาวด์ ซึ่งจะช่วยให้สามารถนำศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงของการวิเคราะห์ขั้นสูงและบิ๊กดาต้ามาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. การปรับเปลี่ยนการจัดส่งระยะสุดท้าย (Last-mile delivery): Last-mile delivery กำลังเปลี่ยนแปลง เนื่องจากการบุกเบิกรูปแบบการจัดส่งที่ล้ำสมัยเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง  เทคโนโลยีล้ำสมัยที่นำมาใช้งาน เช่น โดรน ยานยนต์อัตโนมัติ และหุ่นยนต์ส่งสินค้า กำลังกลายเป็นเรื่องปกติที่ปฏิวัติขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการจัดส่งด้วยความเร็วที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ให้ความคุ้มค่าคุ้มทุนเป็นเลิศ และความสะดวกสบายที่ไม่มีใครเทียบได้ เพราะผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จะถูกนำส่งอย่างรวดเร็วถึงประตูบ้านของผู้บริโภค  นอกจากนี้ เครือข่ายการจัดส่งแบบ crowd-sourced ซึ่งเป็นการรวมตัวกันทำงานของคนจำนวนมาก และแบบแลกเปลี่ยนเครือข่ายการจัดส่งร่วมกันที่เพิ่มขึ้นจะทำให้การจัดส่ง Last-mile มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น และเป็นพลังที่โดดเด่นในการกระจายสินค้า
  4. แนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม: เพื่อตอบสนองต่อความกังวลและความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การผสานแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่อาจละเลย  ธุรกิจที่มองการณ์ไกลมีการนำแนวคิดริเริ่มที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใช้ในเชิงรุก เช่น บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การนำยานยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในกองยาน และการปรับปรุงเส้นทางโลจิสติกส์ให้เหมาะสมเพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมากดังนั้น บริษัทที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนจะสามารถแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและตอบสนองต่อกลุ่มตลาด ที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์และแนวปฏิบัติในการกระจายสินค้าที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมที่กำลังเพิ่มขึ้นได้
  5. ช่องทางการจำหน่ายตรงถึงผู้บริโภค (Direct-to-Consumer: D2C) จะเพิ่มขึ้น: การขายแบบ D2C มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง และไม่ต้องผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายแบบดั้งเดิม ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้ผู้ผลิตสามารถใช้เครื่องมือและแพลตฟอร์มที่ล้ำสมัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างการเชื่อมต่อโดยตรงกับผู้บริโภคได้อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมประสบการณ์ส่วนบุคคล สร้างพลังให้กับกลยุทธ์การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล และทำให้ผู้ผลิตสามารถควบคุมการส่งข้อความของแบรนด์ สร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค และความภักดีของลูกค้าได้มากขึ้น
  6. บล็อกเชนจะปฏิวัติการตรวจสอบย้อนกลับและความโปร่งใส: ศักยภาพในการปฏิวัติวงการของเทคโนโลยีบล็อกเชนภายในขอบเขตการจัดการห่วงโซ่อุปทานจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง พร้อมให้ความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับและความโปร่งใสอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้  ระบบจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledger systems) ที่ขับเคลื่อนด้วยบล็อกเชน ช่วยให้สามารถติดตามและตรวจสอบผลิตภัณฑ์ได้แบบเรียลไทม์ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง  เทคโนโลยีบล็อกเชนจะช่วยเพิ่มความไว้วางใจและความรับผิดชอบภายในห่วงโซ่อุปทานได้อย่างมาก สามารถป้องกันการปลอมแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดอัตราการฉ้อโกงลงได้อย่างมีนัยสำคัญ พร้อมกับรับประกันความถูกต้องของสินค้า
  7. ประสบการณ์ Hyper-Personalization และเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง: ภาพรวมของการกระจายสินค้าในอนาคตจะมีลักษณะที่เน้นการสร้างประสบการณ์ลูกค้าเป็นสำคัญ โดยใช้ Hyper-Personalizationที่มีพลังมหาศาลในการขับเคลื่อน  ธุรกิจที่ใช้การวิเคราะห์ขั้นสูง แมชชีนเลิร์นนิง และ AI จะมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความชอบส่วนบุคคล ซึ่งจะช่วยให้สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน พร้อมข้อเสนอตามความต้องการเฉพาะบุคคลและประสบการณ์ที่น่าจดจำ ซึ่งจะสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าและความภักดีต่อแบรนด์ที่ไม่มีใครเทียบได้
  8. เทคโนโลยีโลกเสมือน Augmented Reality (AR) ที่จะเพิ่มประสบการณ์การรับชมผลิตภัณฑ์: AR เป็นเทคโนโลยีล้ำสมัยที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการยกระดับการมองเห็นผลิตภัณฑ์แบบเสมือนจริงซึ่งส่งผลอย่างมากต่อกระบวนการตัดสินใจของผู้บริโภค  จากการที่อุปกรณ์รองรับ AR เป็นที่แพร่หลายมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคสามารถลองใช้ผลิตภัณฑ์เสมือนก่อนตัดสินใจซื้อได้ เป็นการปฏิวัติประสบการณ์ในการชอปปิงออนไลน์ โดยลดระยะห่างระหว่างโลกกายภาพและโลกดิจิทัลให้เชื่อมต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสริมศักยภาพให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจและความพึงพอใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
  9. การพิมพ์ 3 มิติช่วยให้การผลิตแบบกระจายศูนย์เป็นไปได้: การถือกำเนิดของเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิตและการกระจายสินค้าแบบดั้งเดิมโดยนำเสนอข้อดีมากมายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน  ด้วยความสามารถที่โดดเด่นในการผลิตสินค้าในท้องถิ่น การผลิตตามความต้องการอย่างแม่นยำและการลดของเสียลงได้อย่างมาก ทำให้เกิดการสร้างเครือข่ายการผลิตแบบกระจายศูนย์เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้ลดระยะเวลาในการผลิตสินค้าลงได้อย่างมาก และช่วยให้ธุรกิจสามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ปรับให้เหมาะสมกับความต้องการและความชอบของผู้บริโภคแต่ละรายได้อย่างตรงจุด ซึ่งปฏิวัติอุตสาหกรรมการผลิตและการกระจายสินค้าให้เต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพได้อย่างแท้จริง
  10. การผสานรวมความร่วมมือและระบบนิเวศ: ในขณะที่ภาพรวมของการกระจายสินค้ากำลังพัฒนาเราจะได้เห็นการทำงานร่วมกันอย่างแข็งแกร่งมากขึ้นและการผสานรวมระบบนิเวศที่ไร้ขีดจำกัดได้อย่างเด่นชัด  ธุรกิจที่มองการณ์ไกลต่างตระหนักถึงคุณประโยชน์อันมหาศาลของการสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ การมีส่วนร่วมในการริเริ่มแบ่งปันข้อมูล และการส่งเสริมการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดในด้านที่สำคัญ ๆ เช่น โลจิสติกส์ การจัดการสินค้าคงคลัง และการดำเนินการตามคำสั่งซื้อ ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินงานแบบครบวงจรเป็นไปอย่างราบรื่น สามารถขับเคลื่อนให้ธุรกิจนำสินค้าออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น ตลอดจนมีความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น และมีความเป็นเลิศในการดำเนินงานที่ไม่มีใครเทียบได้

อนาคตของอุตสาหกรรมการกระจายสินค้าจะก้าวหน้าอย่างน่าทึ่งและจะมีการเปลี่ยนแปลงมากมายที่จะพลิกโฉมวงการอย่างแน่นอน  คุณจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า ชุดเครื่องมือและซอฟต์แวร์ที่ใช้แข็งแกร่งพอที่จะรองรับเครื่องมือใหม่ ๆ เหล่านี้ได้  และสิ่งสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจคงความสามารถในการแข่งขันได้คือ จะต้องมีการใช้ระบบอัตโนมัติ ใช้บิ๊กดาต้าและการวิเคราะห์ พร้อมทั้งใช้แนวทางปฏิบัติที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอุบัติใหม่ที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว เพราะการเปิดใจยอมรับเทรนด์เหล่านี้จะช่วยให้ผู้จัดจำหน่ายขายส่งสามารถปลดล็อกเพื่อเปิดรับโอกาสใหม่ ๆ เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ตลอดจนส่งมอบประสบการณ์ลูกค้าที่ยอดเยี่ยมได้ในทศวรรษหน้าและต่อไปในอนาคต 

สำหรับประเทศไทย ภาคโลจิสติกส์เป็นอุตสาหกรรมกำลังพัฒนาและเติบโตอย่างรวดเร็วที่ขับเคลื่อนด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีอุบัติใหม่มาใช้งาน  ดัชนีประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ (LPI) ที่จัดทำโดยธนาคารโลกประจำปี 2566 ได้จัดให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 34 จาก 139 ประเทศทั่วโลกและอยู่ในอันดับที่ 3 ของอาเซียนรองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย และเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้จัดงานประชุมวิชาการนานาชาติ Symposium 2023 ภายใต้แนวคิด “Sustainable Logistics : Smart and Green” ที่เกี่ยวกับเทรนด์ธุรกิจโลจิสติกส์เพื่อความยั่งยืน โดยมีธุรกิจกว่า 415 แบรนด์จาก 25 ประเทศเข้าร่วมงาน

โดยข้อมูลสำคัญที่ได้จากการประชุมพบว่า ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ (LSPs) จำเป็นต้องปรับปรุงบริการให้ดียิ่งขึ้น ลงทุนในแพลตฟอร์มขั้นสูง และนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างระบบอัตโนมัติมาใช้เพื่อเสริมการเชื่อมต่อกับลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นและเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา  ขณะนี้อุตสาหกรรมต่าง ๆ กำลังเผชิญมาตรการทางการค้าที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น มาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดนของสหภาพยุโรป (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ซึ่งเป็นการเก็บภาษีเพิ่มสำหรับสินค้านำเข้าที่ไม่มีการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้ามาในสหภาพยุโรป ที่ได้ประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป  

ในช่วงแรก CBAM จะบังคับใช้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ 6 ประเภทที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมากในกระบวนการผลิต ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้นและอาจกระทบกับผู้ผลิตวัตถุดิบที่ส่งสินค้าไปจำหน่ายในยุโรป เพราะอาจสูญเสียส่วนแบ่งตลาดหากไม่สามารถปรับตัวได้ และในอนาคตอันใกล้นี้ CBAM จะขยายครอบคลุมสินค้าอื่น ๆ เพิ่มขึ้นอีก  ดังนั้น ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ รวมถึงผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าในประเทศไทยจะต้องเริ่มปรับปรุงกระบวนการทำงาน ปรับเปลี่ยนวิธีการส่งสินค้าที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อสร้างความต่างและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีการค้าระหว่างประเทศต่อไป