ผลสำรวจพบธุรกิจส่วนใหญ่ มีการตั้งเป้าหมายด้านความยั่งยืน แต่มากกว่าครึ่งยังใช้เครื่องมือวัดประสิทธิภาพแบบแมนนวล

ผลสำรวจพบธุรกิจส่วนใหญ่ มีการตั้งเป้าหมายด้านความยั่งยืน แต่มากกว่าครึ่งยังใช้เครื่องมือวัดประสิทธิภาพแบบแมนนวล

ผลสำรวจพบธุรกิจส่วนใหญ่ มีการตั้งเป้าหมายด้านความยั่งยืน แต่มากกว่าครึ่งยังใช้เครื่องมือวัดประสิทธิภาพแบบแมนนวล

  • ธุรกิจมากกว่าสามในสี่เชื่อว่าเทคโนโลยีเป็นสิ่งจำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนของโลก การใช้ดิจิทัลเป็นกุญแจสำคัญทำให้ก้าวสู่ความยั่งยืนได้เร็วขึ้น
  • 82% ของผู้ตอบแบบสอบถามในไทยมีการตั้งเป้าหมายด้านความยั่งยืน ในจำนวนนี้ 66% ระบุว่าพวกเขาเดินอยู่บนเส้นทางที่จะนำพาไปสู่การบรรลุเป้าหมายดังกล่าว
  • อุปสรรคต่อการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน 3 ลำดับแรก ที่องค์กรพบบ่อยที่สุดคือ ข้อจำกัดด้านงบประมาณ ซัพพลายเชนที่ซับซ้อน และข้อจำกัดทางเทคโนโลยี

ผลสำรวจ “แนวโน้มและดัชนีความยั่งยืนที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี 2024” (Tech-Driven Sustainability Trends and Index 2024) จัดทำโดยอาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป พบว่า 80% ของธุรกิจที่ตอบแบบสำรวจจากเอเชีย ยุโรป และตะวันออกกลาง ระบุว่าได้มีการตั้งเป้าหมายด้านความยั่งยืนแล้ว แต่ในจำนวนนี้มากกว่าครึ่ง (53%) ยังคงใช้วิธีการวัดประสิทธิภาพความก้าวหน้าของเป้าหมายดังกล่าวแบบแมนนวล ธุรกิจไทยก็มีแนวโน้มคล้ายกัน โดยมีธุรกิจถึง 82% ที่มีการตั้งเป้าหมายด้านความยั่งยืน แต่ 50% ยังคงใช้วิธีวัดประสิทธิภาพแบบแมนนวล

ข้อมูลจากรายงานเผยให้เห็นว่า 92% ของบรรดาธุรกิจที่มีเป้าหมายด้านความยั่งยืน ได้ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม มีเพียงหนึ่งในสามขององค์กรเหล่านี้ ที่ให้คำมั่นด้าน net-zero ด้วยการกำหนดเป้าหมายที่อิงตามหลักวิทยาศาสตร์ (science-based targets: SBTs) ทั้งนี้ตลาดเกิดใหม่ในเอเชียมีการกำหนดเป้าหมายอิงตามหลักวิทยาศาสตร์ (SBTs) มากที่สุด อยู่ที่ 39% ตามด้วยยุโรป 35% ตลาดพัฒนาแล้วในเอเชีย 30% และตะวันออกกลาง 22%

ธุรกิจที่มีเป้าหมายด้านความยั่งยืนประมาณครึ่งหนึ่งระบุว่า แรงจูงใจสำคัญในการตั้งเป้าหมายต่าง ๆ มาจาก การขับเคลื่อนการเติบโต (56%) การปฏิบัติตามกฎระเบียบ (54%) และเพื่อความแข็งแกร่งขององค์กร (49%) ในบรรดาตลาดที่ทำการสำรวจทั้งหมด องค์กรธุรกิจในอินโดนีเซียให้ความสำคัญกับการเติบโตของธุรกิจมากที่สุด (70%) ในขณะที่ซาอุดีอาระเบียเน้นการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (73%) และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เน้นเรื่องความแข็งแกร่งขององค์กร (61%) สำหรับตลาดไทย ธุรกิจให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้า (45%) การขับเคลื่อนการเติบโต (44%) และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (43%)

ธุรกิจ 78% เห็นด้วยว่าเทคโนโลยีมีความสำคัญมากต่อการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนของโลก โดยตลาดที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ลำดับต้น ๆ คือ มาเลเซีย (89%) ซาอุดีอาระเบีย (87%) สิงคโปร์ (86%) และฝรั่งเศส (86%) หากพิจารณาในระดับภูมิภาค ตะวันออกกลางเป็นภูมิภาคที่มีความเชื่อว่า เทคโนโลยีมีความสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนมากที่สุด (86%) โดยมีตลาดเกิดใหม่ในเอเชียตามติดมาเป็นอันดับสอง (83%) ในขณะที่ 78% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าการนำเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น คลาวด์คอมพิวติ้ง และ AI มาใช้ จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนได้เร็วขึ้น ตลาดที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากที่สุดคือซาอุดีอาระเบีย (90%) ตามด้วยสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (84%) และสิงคโปร์ (81%)

ระดับและความท้าทายที่มีต่อความมุ่งมั่นของแต่ละตลาด

เมื่อประเมินระดับความมุ่งมั่นของแต่ละตลาดแล้ว สิงคโปร์อยู่ในระดับสูงสุดจากดัชนีความยั่งยืนที่ 91% ตามติดด้วยเยอรมนีที่ 89% และอินโดนีเซียที่ 86% ทั้งนี้ ดัชนีความยั่งยืนหมายถึงเปอร์เซ็นต์ของธุรกิจต่าง ๆ ที่มีการตั้งเป้าหมายด้านความยั่งยืนจากตลาด 13 แห่งที่ทำการสำรวจ

ธุรกิจต่างต้องเผชิญกับอุปสรรคหลากหลายบนเส้นทางสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายด้านความยั่งยืน องค์กรที่ตอบแบบสำรวจ 29% ระบุว่า ข้อจำกัดด้านงบประมาณเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุด ที่ส่งผลกระทบต่อองค์กร โดยเฉพาะองค์กรในตะวันออกกลาง (41%) และยุโรป (31%) ซัพพลายเชนที่ซับซ้อนยิ่งทำให้ความพยายามต่าง ๆ ยุ่งยากมากขึ้น โดย 28% ขององค์กรที่ตอบแบบสำรวจ ได้รับผลกระทบด้านนี้ หากดูเฉพาะองค์กรในไทยผลสำรวจเผยว่าได้รับผลกระทบในสัดส่วนที่สูงกว่า (32%) นอกจากนี้ 23% ของบริษัทต่าง ๆ พบกับอุปสรรคที่เป็นข้อจำกัดทางเทคโนโลยี โดยตะวันออกกลางพบในอัตราสูงขึ้นเล็กน้อยที่ 26% ข้อจำกัดด้านเวลาเป็นความท้าทายที่สำคัญมากในทุกภูมิภาค และส่งผลกระทบต่อ 23% ขององค์กรที่ตอบแบบสำรวจ โดยไทยมีสัดส่วนสูงสุดที่ 34% ส่วนอุปสรรคสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนขององค์กรที่ยังไม่ได้ตั้งเป้าหมายด้านความยั่งยืน ได้แก่ ข้อจำกัดด้านงบประมาณ (32%) และข้อจำกัดทางเทคโนโลยี (29%)

การพึ่งพาการวัดผลแบบแมนนวล

เครื่องมือดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งจำเป็นต่อความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนของธุรกิจอย่างเห็นได้ชัด การสำรวจครั้งนี้เน้นให้เห็นความจำเป็นที่ธุรกิจต่างต้องทำความเข้าใจเครื่องมือดิจิทัลต่าง ๆ ให้มากขึ้น เนื่องจากผู้ตอบแบบสำรวจ 59% ยอมรับว่า ยังมีช่องว่างทางความรู้ว่าเทคโนโลยีสามารถช่วยให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนได้อย่างไร ความรู้สึกเช่นนี้เห็นได้ชัดเจนในสิงคโปร์ (83%) ฮ่องกง (75%) และไทย (70%)

รายงานยังแสดงให้เห็นว่า โดยทั่วไปธุรกิจพึ่งพาแนวปฏิบัติแบบดั้งเดิม ซึ่งอาจทำให้เกิดความท้าทายต่อความสำเร็จของเป้าหมายด้านความยั่งยืน ผลสำรวจบ่งชี้ว่า มากกว่า 50% ขององค์กรธุรกิจใช้กระบวนการวัดประสิทธิภาพด้านความยั่งยืนแบบแมนนวล เช่น การใช้สเปรดชีต อีเมล และวิธีการที่คล้ายคลึงกัน ตลาดที่ทำการสำรวจทุกตลาด ยกเว้น ฮ่องกง (29%) เกาหลีใต้ (43%) และฝรั่งเศส (49%) อยู่ในเกณฑ์ที่เกิน 50% โดยสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีเปอร์เซ็นต์สูงสุด (68%) ตามด้วยซาอุดีอาระเบีย (61%) และสหราชอาณาจักร (60%) ในขณะเดียวกัน มีเพียงประมาณหนึ่งในสามขององค์กรที่ใช้เครื่องมือที่เป็นซอฟต์แวร์ดิจิทัล ซึ่งรวมถึงคลาวด์แพลตฟอร์มต่าง ๆ สำหรับติดตามความคืบหน้าและวัดประสิทธิภาพด้านความยั่งยืน ตลาดที่แสดงให้เห็นว่ามีการนำโซลูชันที่ทำงานบนคลาวด์ไปใช้มากขึ้น คือ อินโดนีเซีย (59%) สิงคโปร์ (48%) และญี่ปุ่น (43%) ในขณะที่ค่าเฉลี่ยการใช้งานอยู่ที่ 38%

คุณเซลิน่า หยวน ประธานด้านธุรกิจระหว่างประเทศของอาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “ผลสำรวจเน้นให้เห็นความจำเป็นเร่งด่วนที่องค์กรต่าง ๆ ต้องประเมินวิธีการวัดประสิทธิภาพด้านความยั่งยืนของตนใหม่ และเปิดรับเทคโนโลยีโซลูชันที่ล้ำหน้า เช่น แพลตฟอร์มที่ทำงานบนคลาวด์ และบริการด้าน AI ต่าง ๆ เครื่องมือดิจิทัลเหล่านี้ไม่เพียงเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการวัดผลเท่านั้น แต่ยังมอบข้อมูลเชิงลึกที่นำไปใช้ได้จริง ซึ่งสามารถขับเคลื่อนความก้าวหน้าด้านความยั่งยืนได้อย่างมีนัยสำคัญ”

เซลิน่า กล่าวเสริมว่า “ในฐานะผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำ เรามุ่งมั่นมอบนวัตกรรมและโซลูชันที่ ขับเคลื่อนการทำงานด้วย AI เช่น Energy Expert เพื่อช่วยให้องค์กรต่าง ๆ วัดและวิเคราะห์ การปล่อยก๊าซคาร์บอนและการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อก้าวสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนขององค์กร การจัดการอุปสรรคที่มีอยู่ และการลงทุนในเครื่องมือที่ล้ำหน้าดังกล่าว จะช่วยให้องค์กรสามารถปรับแนวความคิดริเริ่ม ด้านความยั่งยืนให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้ดีขึ้น”

รายงาน “Tech-Driven Sustainability Trends and Index 2024” ของอาลีบาบา คลาวด์ มีจุดประสงค์เพื่อมอบข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าให้กับการพัฒนาภูมิทัศน์ด้านความยั่งยืนขององค์กร และเน้นให้เห็นวิธีการที่เทคโนโลยีสามารถใช้เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพได้อย่างไร

World Economic Forum: Siemens factory in Erlangen named Digital Lighthouse Factory

โรงงานซีเมนส์ใน Erlangen ได้รับเลือกให้เป็น Digital Lighthouse Factory จาก World Economic Forum

World Economic Forum: Siemens factory in Erlangen named Digital Lighthouse Factory

  • World Economic Forum’s Global Lighthouse Network honors leading manufacturing sites
  • AI, digital twin, and robotics have increased productivity at Erlangen factory by 69 percent and reduced energy consumption by 42 percent
  • Successful launch of in-house semiconductor production for high-performance frequency converters

The World Economic Forum (WEF) has announced that the Siemens factory in Erlangen, Germany, will become a Digital Lighthouse Factory, part of its the Global Lighthouse Network. The award recognizes leading technology companies that are at the forefront of applying fourth industrial revolution technologies. By following the Green Lean Digital approach, which combines innovative technologies and sustainable practices, the plant has made significant progress, increasing productivity by 69 percent and reducing energy consumption by 42 percent in four years.

Siemens announced last year that it would invest €500 million in research and infrastructure in Erlangen, establishing the site as a global research and development hub and as a nucleus for global technology activities for the industrial metaverse. The Siemens plant in Erlangen is already the third Siemens manufacturing site to be recognized by the WEF as one of the most modern factories in the world, following in the footsteps of Amberg, Germany, and Chengdu, China. 

“All good things come in threes. Following recognitions for Amberg and Chengdu, this award highlights the inventiveness of our Erlangen team. By utilizing technologies like AI, digital twin, and robotics, we have increased productivity by 69 percent, cut energy consumption by 42 percent, and are creating a blueprint for the industrial metaverse,” said Cedrik Neike,  of Siemens AG and CEO of Digital Industries. “This acknowledgement motivates us to continue our own sustainability efforts and to help our customers become more resilient and sustainable.”

Innovative technologies and sustainable practices

By deploying AI across more than 100 use cases and using the power of digital twin, the plant has made significant advances in enhancing the efficiency of its production. In addition, the plant has implemented innovative approaches to waste reduction, making optimal use of resources and minimizing its environmental impact. 

The Siemens factory in Erlangen aims to “become the leading supplier of power electronics for the energy transition,” says Site Manager Stephan Schlauss. “This award recognizes the commitment of all our employees in recent years. It’s also an incentive for us to never rest on our laurels, but to improve even more.” 

The factory convinced the WEF’s jury with five specific use cases of digital technologies in a manufacturing environment. A notable example is the in-house semiconductor production project. A clean-room production facility was built in just 11 months to produce semiconductors for the latest generation of the SINAMICS frequency converter. Thanks to its end-to-end data analytics platform, space requirements were reduced by 50 percent and material consumption by 40 percent, while still maintaining a high performance and improving energy efficiency. A special energy management system reduced energy consumption by over 50 percent. 

โรงงานซีเมนส์ใน Erlangen ได้รับเลือกให้เป็น Digital Lighthouse Factory จาก World Economic Forum

โรงงานซีเมนส์ใน Erlangen ได้รับเลือกให้เป็น Digital Lighthouse Factory จาก World Economic Forum

โรงงานซีเมนส์ใน Erlangen ได้รับเลือกให้เป็น Digital Lighthouse Factory จาก World Economic Forum

  • Global Lighthouse Network โดย World Economic Forum คือกลุ่มเครือข่ายโรงงานการผลิตชั้นนำ
  • การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ดิจิทัลทวิน (Digital Twin) และหุ่นยนต์มาใช้ในโรงงาน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในโรงงานของซีเมนส์ที่ Erlangen ถึง 69% และลดการใช้พลังงานลง 42%
  • โรงงานแห่งนี้ยังประสบความสำเร็จในการเริ่มผลิตเซมิคอนดักเตอร์สำหรับอุปกรณ์แปลงความถี่ประสิทธิภาพสูงภายในโรงงาน

World Economic Forum (WEF) รับรองโรงงานของซีเมนส์ในเมือง Erlangen ประเทศเยอรมนี เป็นDigital Lighthouse Factory ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Global Lighthouse Network สถานะนี้ WEF มอบให้กับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในกลุ่มของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4

ด้วยการใช้แนวทาง Green Lean Digital ซึ่งผสมผสานระหว่างนวัตกรรมเทคโนโลยีและแนวปฏิบัติที่ยั่งยืน โรงงานแห่งนี้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้ถึง 69% และใช้พลังงานลดลง 42% ในระยะเวลาสี่ปี

เมื่อปีที่แล้วซีเมนส์ได้ประกาศว่าจะลงทุน 500 ล้านยูโรในการวิจัยและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเมือง Erlangen โดยวางเป้าหมายให้เป็นศูนย์กลางด้านการวิจัยและพัฒนาระดับโลก พร้อมเป็นแกนหลักของการทำกิจกรรมด้านเทคโนโลยีสำหรับเมตาเวิร์สภาคอุตสาหกรรมในระดับโลก

โรงงานของซีเมนส์ที่ Erlangen นี้เป็นโรงงานแห่งที่สามของซีเมนส์ที่ได้รับการรับรองจาก WEF ให้เป็นหนึ่งในโรงงานที่ทันสมัยที่สุดในโลก ต่อจากโรงงานในเมือง Amberg ประเทศเยอรมนี และโรงงานในเมือง Chengdu (เฉิงตู) ประเทศจีน

เซดริค ไนเค สมาชิกของคณะกรรมการบริหาร ซีเมนส์ เอจี และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจ Digital Industries กล่าวว่า “การได้รับสถานะนี้ตอกย้ำถึงความสร้างสรรค์ของทีมงานที่ Erlangen ของเรา การนำเทคโนโลยีเช่น AI ดิจิทัลทวิน และหุ่นยนต์มาใช้ได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตขึ้นถึง 69% ลดการใช้พลังงานลง 42% และยังเป็นการสร้างต้นแบบพิมพ์เขียวให้กับเมตาเวิร์สของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งการได้รับสถานะนี้เป็นกำลังให้เราเดินหน้าดำเนินการตามเป้าหมายด้านความยั่งยืนของเราอย่างต่อเนื่อง และช่วยลูกค้าของเราให้มีความยืดหยุ่นและยั่งยืนมากขึ้น”

นวัตกรรมเทคโนโลยีและแนวปฏิบัติที่ยั่งยืน

ด้วยการนำเทคโนโลยี AI มาปรับใช้ในกว่า 100 กรณีการใช้งานจริง ร่วมกับเทคโนโลยีดิจิทัลทวิน โรงงานสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ โรงงานยังได้นำแนวทางนวัตกรรมเพื่อลดการเกิดของเสียมาใช้ โดยมุ่งใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุดและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด

สเตฟาน ชเลาส์ ผู้จัดการโรงงาน กล่าวว่า “โรงงานของซีเมนส์ใน Erlangen มีเป้าหมายที่จะก้าวสู่การเป็นผู้นำในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (energy transition) การได้มาซึ่งสถานะนี้ถือเป็นการตอกย้ำความทุ่มเทของพนักงานทุกคนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และยังเป็นแรงจูงใจให้เราไม่หยุดนิ่งที่ความสำเร็จ แต่พร้อมพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น”

โรงงานแห่งนี้สร้างความประทับใจให้กับคณะกรรมการของ WEF ด้วย 5 กรณีการใช้งานจริงของเทคโนโลยีดิจิทัลในสภาพแวดล้อมการผลิต ตัวอย่างที่โดดเด่นคือโครงการผลิตเซมิคอนดักเตอร์เองในโรงงาน ห้องปลอดเชื้อสำหรับการผลิตถูกสร้างขึ้นในเวลาเพียง 11 เดือนเพื่อผลิตเซมิคอนดักเตอร์สำหรับอุปกรณ์แปลงความถี่ SINAMICS รุ่นล่าสุด ด้วยแพลตฟอร์มการวิเคราะห์ข้อมูลแบบครบวงจร ทำให้ลดการใช้พื้นที่ใช้สอยลง 50% ลดการใช้วัสดุลง 40% ขณะที่ยังคงรักษาประสิทธิภาพการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน

Red Hat Recognized as a Leader and Furthest in Vision in 2024 Gartner Magic Quadrant™ for Container Management

Red Hat ได้รับการจัดให้อยู่ในตำแหน่งผู้นำในกลุ่ม Leaders ด้าน Vision ในรายงาน 2024 Gartner® Magic Quadrant™ for Container Management

Red Hat Recognized as a Leader and Furthest in Vision in 2024 Gartner Magic Quadrant™ for Container Management

This marks the 2nd consecutive year Gartner has named Red Hat a Leader in the report

Red Hat, Inc., the world’s leading provider of open source solutions, today announced that Red Hat has been positioned by Gartner as a Leader and furthest on the Completeness of Vision axis in the Magic Quadrant for Container Management for its Red Hat OpenShift offering. Additionally, Red Hat ranked first in three of six Use Cases in the 2024 Gartner Critical Capabilities for Container Management, including Hybrid Container Development, Container Management Tooling and Edge Container Deployment.

Red Hat OpenShift is a comprehensive platform for developing, modernizing and deploying applications at scale, including AI-enabled apps. It provides a consistent experience across hybrid environments — from the datacenter, to the cloud, to the edge. With Red Hat OpenShift, organizations have a unified platform with a complete set of tools and services as well as security and compliance capabilities integrated directly into the platform, streamlining the entire application lifecycle, from development to delivery to management. Available in both fully managed or self-managed options, Red Hat OpenShift runs wherever and however customers need.

The Gartner Magic Quadrant for Container Management evaluated 12 vendor solutions and was based on specific criteria that analyzed the company’s overall completeness of vision and ability to execute. According to Gartner, Leaders execute well against their current vision and are well positioned for tomorrow.

This report follows the Gartner recognition of Red Hat as a Challenger in the most recent 2024 Gartner Magic Quadrant for DevOps Platforms. As one of the only three vendors named in both Magic Quadrant reports, we believe this showcases Red Hat OpenShift’s capabilities as a fully integrated application development platform — enabling a standardized developer experience across the hybrid cloud and supporting diverse workloads from AI-enabled to applications at the edge.

View a complimentary copy of the Magic Quadrant report to learn more about Red Hat’s strengths and cautions, among other provider offerings, here.

Supporting Quote
Mike Barrett, vice president and general manager, Hybrid Cloud Platforms, Red Hat
“We are proud to be recognized as a Leader and Furthest in Completeness of Vision in the Gartner Magic Quadrant for Container Management. We believe this recognition is a testament not only to Red Hat OpenShift’s current capabilities, but also our vision for enabling the solution to best meet the needs of tomorrow, including powering intelligent and AI-enabled workloads. With Red Hat OpenShift, organizations have a complete application development platform with built-in DevSecOps tools, helping them bring cloud-native applications to market faster — wherever they may live across the hybrid cloud.

Red Hat ได้รับการจัดให้อยู่ในตำแหน่งผู้นำในกลุ่ม Leaders ด้าน Vision ในรายงาน 2024 Gartner® Magic Quadrant™ for Container Management

Red Hat ได้รับการจัดให้อยู่ในตำแหน่งผู้นำในกลุ่ม Leaders ด้าน Vision ในรายงาน 2024 Gartner® Magic Quadrant™ for Container Management

Red Hat ได้รับการจัดให้อยู่ในตำแหน่งผู้นำในกลุ่ม Leaders ด้าน Vision ในรายงาน 2024 Gartner® Magic Quadrant™ for Container Management

นับเป็นปีที่สองติดต่อกันที่ Gartner จัดให้ Red Hat อยู่ในกลุ่มผู้นำในรายงานนี้

เร้ดแฮท ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันโอเพ่นซอร์ส ได้รับการจัดอันดับ จากการ์ทเนอร์ให้อยู่ในตำแหน่งผู้นำในกลุ่ม Leader ด้านความสมบูรณ์ของวิสัยทัศน์ (Completeness of Vision) ในรายงาน Magic Quadrant ด้าน Container Management จากผลิตภัณฑ์ Red Hat OpenShift[1] และยังติดอันดับหนึ่งในสามจากหกของตัวอย่างการนำไปช้งานใน 2024 Gartner Critical Capabilities for Container Management ซึ่งรวมถึง Hybrid Container Development, Container Management Tooling และ Edge Container Deployment

Red Hat OpenShift เป็นแพลตฟอร์มที่ครอบคลุม เพื่อการพัฒนาแอปพลิเคชันปรับให้ทันสมัย และใช้แอปพลิเคชันเหล่านั้นได้ในสเกลที่ใหญ่ขึ้นซึ่งรวมถึงแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่รองรับ AI มอบประสบการณ์การใช้งานที่คงเส้นคงวาในสภาพแวดล้อมแบบไฮบริด ไม่ว่าจะเป็นที่ดาต้าเซ็นเตอร์ คลาวด์ หรือ edge ทั้งนี้ Red Hat OpenShift ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ได้ใช้แพลตฟอร์มรวมศูนย์หนึ่งเดียว ที่มาพร้อมชุดเครื่องมือและบริการที่สมบูรณ์พร้อม รวมถึง ความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ผสานอยู่บนแพลตฟอร์มนี้โดยตรง ซึ่งเป็นการช่วยปรับปรุงวงจรการใช้งานแอปพลิเคชันทั้งหมดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตั้งแต่การพัฒนา การให้บริการ ไปจนถึงการบริหารจัดการ Red Hat OpenShift ทำงานได้กับทุกสภาพแวดล้อมและทุกเวลาที่ลูกค้าต้องการใช้ มีให้เลือกทั้งแบบที่เร้ดแฮทจัดการให้อย่างเต็มรูปแบบ และแบบที่ลูกค้าบริหารจัดการด้วยตนเอง

Gartner Magic Quadrant for Container Management ได้ประเมินโซลูชันจากผู้ขายเทคโนโลยีจำนวน 12 ราย และอิงตามเกณฑ์เฉพาะที่วิเคราะห์ความสมบูรณ์โดยรวมของวิสัยทัศน์ของแต่ละบริษัท รวมถึงความสามารถในการดำเนินการให้สำเร็จ โดยการ์ทเนอร์ระบุว่าผู้ที่อยู่ในกลุ่มผู้นำต้องดำเนินการได้ดีตามวิสัยทัศน์ปัจจุบัน และอยู่ในตำแหน่งที่ดีในอนาคต

รายงานนี้ออกมาต่อจากรายงาน Gartner Magic Quadrant for DevOps Platforms ปี 2024 ซึ่งการ์ทเนอร์จัดให้เร้ดแฮทเป็นหนึ่งในกลุ่ม Challenger ทั้งนี้ เร้ดแฮทเป็นหนึ่งในสามของผู้จำหน่ายเทคโนโลยีที่มีรายชื่ออยู่ในรายงาน Magic Quadrant ทั้งสองประเภท ซึ่งย้ำให้เห็นถึงสมรรถนะของ Red Hat OpenShift ในการเป็นแพลตฟอร์มด้านการพัฒนาแอปพลิเคชันแบบครบวงจร ที่ช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ได้รับประสบการณ์ที่เป็นมาตรฐานในการใช้งานบนไฮบริดคลาวด์ทุกที่ และรองรับเวิร์กโหลดที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันที่รองรับ AI ไปจนถึงแอปพลิเคชันที่ edge

ดูรายงาน Magic Quadrant เพื่อศึกษาจุดแข็งและคำแนะนำของเร้ดแฮท รวมถึงข้อเสนอของผู้ให้บริการอื่น ๆ ได้ที่นี่

คำกล่าวสนับสนุน

Mike Barrett, vice president and general manager, Hybrid Cloud Platforms, Red Hat

“เราภูมิใจที่ได้รับการยอมรับให้อยู่ในตำแหน่งผู้นำในกลุ่ม Leaders ด้าน Completeness of Vision ในรายงาน Gartner Magic Quadrant for Container Management เราเชื่อว่าการได้รับการยอมรับในครั้งนี้เป็นสิ่งพิสูจน์ว่าไม่เพียงแต่ความสามารถในปัจจุบันของ Red Hat OpenShift เท่านั้นที่ได้รับการยอมรับ แต่ยังรวมถึงวิสัยทัศน์ในการทำให้โซลูชันนี้ตอบความต้องการในอนาคตได้ดีที่สุด รวมถึงการเสริมแกร่งให้กับเวิร์กโหลดที่รองรับ AI และเวิร์กโหลดอัจฉริยะ Red Hat OpenShift ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ได้ใช้แพลตฟอร์มด้านการพัฒนาแอปพลิเคชันที่สมบูรณ์พร้อมด้วยเครื่องมือด้าน DevSecOps ที่ติดตั้งมาเรียบร้อย เป็นการช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์นำแอปพลิเคชันแบบคลาวด์-เนทีฟ ออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น ไม่ว่าจะทำงานอยู่ ณ จุดใดบนไฮบริดคลาวด์ก็ตาม