เสริมศักยภาพอนาคตดิจิทัลของไทย ด้วยนวัตกรรม AI และ Cloud

เสริมศักยภาพอนาคตดิจิทัลของไทย ด้วยนวัตกรรม AI และ Cloud

เสริมศักยภาพอนาคตดิจิทัลของไทย ด้วยนวัตกรรม AI และ Cloud

บทความโดย นายฌอน หยวน รองประธานฝ่ายธุรกิจระหว่างประเทศและผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และภูมิภาคแปซิฟิกใต้ อาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์
บทความโดย นายฌอน หยวน รองประธานฝ่ายธุรกิจระหว่างประเทศและผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และภูมิภาคแปซิฟิกใต้ อาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์

เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว จากแรงหนุนของภาครัฐ ภาคเอกชน และความต้องการคลาวด์และ AI ประสิทธิภาพสูงที่เพิ่มมากขึ้น องค์กรธุรกิจต่างนำเครื่องมือดิจิทัลหลากหลายไปใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เพิ่มประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้ลูกค้า และเปิดประตูสู่โอาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจ ส่งผลให้คลาวด์และ AI กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจของประเทศ

รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนประเทศให้เป็นศูนย์กลาง AI ของภูมิภาคผ่านยุทธศาสตร์สามประการคือ การปลูกฝังผู้มีความสามารถด้าน AI, การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพสูง และ เร่งการนำ AI ไปใช้ในอุตสาหกรรมหลักต่าง ๆ ให้ได้อย่างรวดเร็ว มีการตั้งเป้าที่จะฝึกอบรมผู้ใช้ AI จำนวน 10 ล้านราย, มืออาชีพด้าน AI จำนวน 90,000 ราย และ นักพัฒนาด้าน AI จำนวน 50,000 ราย ภายในสองปี ควบคู่กับการลงทุนด้านระบบคลาวด์ ดาต้าเซ็นเตอร์ และแพลตฟอร์ม open-source AI เพื่อใช้โซลูชันที่ปรับขนาดได้และคุ้มค่าการลงทุน

ผลการศึกษาของภาครัฐเผยให้เห็นว่า องค์กรไทยนำ AI มาใช้แล้วไม่ถึง 20% ในขณะที่องค์กรมากกว่า 70% มีแผนที่จะนำมาใช้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตที่ยังมีอีกมาก ความเคลื่อนไหวต่อเนื่องนี้สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของตลาดพับลิคคลาวด์ของประเทศไทย ซึ่งคาดไว้ว่าจะเติบโตที่ 23.68% CAGR ในช่วงปี พ.ศ. 2568 ถึง 2573 และมีมูลค่าถึง 8.51 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี พ.ศ. 2573 โดย Infrastructure as a Service (IaaS) ที่คาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 950.23 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2568 จะเป็นโซลูชันนำในการตอบสนองการขยายตัวดังกล่าว

สร้างรากฐานรองรับการเติบโต

อาลีบาบา ได้เปิดดาต้าเซ็นเตอร์แห่งที่สองในประเทศไทย ที่มาพร้อมโซลูชันต่าง ๆ มากมาย เมื่อต้นปีนี้ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายด้านดิจิทัลของประเทศ โดยโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์นี้จะช่วยให้ธุรกิจใช้ AI, วิเคราะห์บิ๊กดาต้า, และใช้แอปพลิเคชันเฉพาะทางของแต่ละอุตสาหกรรมได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเวลาในการตอบสนอง การปฏิบัติตามกฎระเบียบ หรือความสามารถในการปรับขนาดการใช้งาน

นอกจากด้านโครงสร้างพื้นฐานแล้ว อาลีบาบา คลาวด์ ยังได้ร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) และมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เพื่อบ่มเพาะผู้มีความสามารถผ่านโปรแกรมอบรม, การแข่งขันด้าน AI, และแพลตฟอร์มอี-เลิร์นนิงต่าง ๆ โครงการที่โดดเด่น เช่น “Eye for Thailand” ซึ่งเป็นการจัดการประกวดวิดีโอที่ใช้ AI ในการสร้างสรรค์รายการแรกของอาลีบาบา คลาวด์ โดยให้ผู้เข้าร่วมแข่งขันใช้ Wan2.1 ซึ่งเป็นโมเดลการที่ใช้สร้างวิดีโอของ ทำการผสมผสานแนวคิดสร้างสรรค์ของคนไทยเข้ากับนวัตกรรม สร้างวิดีโอสั้นส่งเข้าประกวด

มีผู้สนใจสมัครเข้าร่วมการแข่งขันจากหลากหลายวงการมากกว่า 200 รายทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ไปจนถึงนักการตลาด การแข่งขันปิดท้ายด้วยการให้ผู้เข้ารอบสุดท้ายได้แสดงความคิดสร้างสรรค์และทักษะทางเทคนิคในวัน demo day ผู้ชนะรางวัลต่าง ๆ เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า AI สามารถปฏิวัติการเล่าเรื่องได้อย่างไร และเป็นการย้ำให้เห็นว่าสาธารณชนมีส่วนร่วมกับเทคโนโลยีเกิดใหม่มากขึ้น 

ขยายประสิทธิภาพในระดับภูมิภาคและระดับโลก

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังคงเป็นศูนย์กลางสำคัญในการใช้คลาวด์ นอกจากดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่ในประเทศไทยแล้ว บริษัทฯ ยังได้ขยายบริการด้านโครงสร้างพื้นฐานในแม็กซิโก เกาหลีใต้ และมาเลเซีย และจะขยายไปยังฟิลิปปินส์ในเดือนตุลาคม ปัจจุบันเครือข่ายทั่วโลกของบริษัทฯ ครอบคลุม availability zones 15 แห่งใน 29 ภูมิภาค ให้บริการคลาวด์ที่ปรับขนาดได้และมีการตอบสนองที่รวดเร็ว (low-latency)

ความเชี่ยวชาญด้านการย้ายเวิร์กโหลดที่มีความซับซ้อน ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในประเทศอินโดนีเซีย โดยอาลีบาบา คลาวด์ ได้สนับสนุนระบบนิเวศดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ให้ GoTo Group สามารถเปลี่ยนผ่านโครงสร้างพื้นฐานบริการด้านการเงินของบริษัทฯ ไปไว้บนคลาวด์ของอาลีบาบา คลาวด์ ส่งผลให้สามารถให้บริการผู้ใช้หลายล้านคนได้โดยไม่เกิดการหยุดชะงัก (zero downtime) หลังจากย้ายไปอยู่บนอาลีบาบา คลาวด์ GoTo ย้ายแพลตฟอร์มข้อมูลสำคัญทางธุรกิจโดยใช้ประโยชน์จาก MaxCompute ของอาลีบาบา คลาวด์ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงานและความคุ้มค่าในการลงทุน มีการย้ายข้อมูลหลายสิบเพตะไบต์โดยไม่มีการหยุดชะงักตลอดระยะเวลาหกเดือน โครงการดังกล่าวเน้นให้เห็นความสามารถของบริษัทฯ ในการให้บริการการทรานส์ฟอร์มขนาดใหญ่ที่ยืดหยุ่นให้กับทุกภาคส่วน

ใคร ๆ ก็ใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยนวัตกรรมโอเพ่นซอร์ส

โมเดลโอเพ่นซอร์สคือกุญแจสำคัญสู่การมีส่วนร่วมในเวลาที่มีการนำ AI มาใช้อย่างรวดเร็ว Qwen3 ซึ่งเป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่รุ่นล่าสุดของอาลีบาบา มียอดดาวน์โหลดทั่วโลกทะลุ 12.5 ล้านครั้ง นอกจากนี้ Qwen3 series ไม่ว่าจะเป็นโมเดลที่มีพารามิเตอร์ขนาดเล็ก 0.6B ไปจนถึงสถาปัตยกรรม  Mixture-of-Experts ประสิทธิภาพสูง ยังช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สร้างโซลูชัน AI เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ ภาคการศึกษา และอุปกรณ์อัจฉริยะต่าง ๆ

Qwen สามารถรองรับภาษาที่หลากหลายซึ่งรวมถึงภาษาไทย อีกทั้งชุมชนโอเพ่นซอร์สที่ไม่หยุดนิ่ง ทำให้เกิดความแตกต่าง ทั้งนี้ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ได้สร้างโมเดลอนุพันธ์ (derivative model) มากกว่า 130,000 โมเดลบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Hugging Face ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ความเก่งกาจของ Qwen การเปิดโอเพ่นซอร์สเครื่องมือเหล่านี้ เป็นการเสริมแกร่งให้สตาร์ทอัพ นักวิจัย และนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ให้สามารถขับเคลื่อนนวัตกรรมด้าน AI ต่าง ๆ ได้

เดินหน้าสู่อนาคตแห่งความร่วมมือ

การใช้คลาวด์ การใช้ AI และการพัฒนาทักษะ มีความสำคัญในลำดับต้น ๆ ที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของประเทศทำได้อย่างรวดเร็ว อาลีบาบา คลาวด์ ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาแนวทางเพื่อตอบสนองความต้องการนี้ ผ่านโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อถือได้ เครื่องมือ AI ที่เข้าถึงได้ และการเสริมศักยภาพบุคลากรที่มีความสามารถ

ขณะที่เราขยายฐานการดำเนินงานในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรามุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ในการกำหนดอนาคตดิจิทัลของภูมิภาค ที่ซึ่งนวัตกรรมผสานรวมกับการมีส่วนร่วม และความมุ่งมั่นผสานรวมลงมือปฏิบัติจริง เมื่อร่วมมือกัน เราจะสามารถปลดล็อกโอกาสอันไร้ขีดจำกัดให้กับธุรกิจ ชุมชน และบุคลากรดิจิทัลรุ่นใหม่ของประเทศไทย

How to ปล่อยเช่าบ้าน/คอนโดฯ ได้ไว มัดใจชาว Generation Rent

How to ปล่อยเช่าบ้าน/คอนโดฯ ได้ไว มัดใจชาว Generation Rent

How to ปล่อยเช่าบ้าน/คอนโดฯ ได้ไว มัดใจชาว Generation Rent

ความท้าทายทางเศรษฐกิจได้สั่นคลอนกำลังซื้อของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อมุมมองการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย ทำให้เทรนด์ Generation Rent ได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ทั่วโลกรวมทั้งในไทย แม้ผู้บริโภคเหล่านี้จะอยู่ในวัยทำงานซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในตลาดอสังหาริมทรัพย์แต่มองว่าการซื้อที่อยู่อาศัยอาจยังไม่ใช่สิ่งจำเป็นในขณะนี้ เพราะการซื้ออสังหาฯ ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนเช่นนี้ จะกลายเป็นภาระผูกพันในระยะยาวแทน จึงส่งผลให้ความต้องการเช่าบ้านหรือเช่าคอนโดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสวนทางกับความต้องการซื้อที่ชะลอตัวลง

เจาะลึกความต้องการคนเช่า เน้นความคุ้มค่าในราคาที่จับต้องได้

ข้อมูลจากแบบสอบถาม DDproperty and Think of Living: Consumer Satisfaction, Perspectives & Preferences (CSAT) รอบล่าสุด ของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย และ Think of Living เว็บไซต์รีวิวโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย เผยว่า จากแนวโน้มปัจจุบันและปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ส่งผลให้ผู้บริโภคเกือบครึ่ง (48%) คาดว่าราคาที่อยู่อาศัยจะยังคงเพิ่มขึ้นใน 1 ปีข้างหน้า สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่มองว่าราคาอสังหาฯ จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จะมีความท้าทายรอบด้าน ขณะที่อีก 24% คาดว่าราคาจะยังทรงตัว ส่วน 23% มองว่าตลาดอสังหาฯ กำลังอยู่ในภาวะซัพพลายล้นตลาด และราคาจะลดลง 

ทั้งนี้ เหตุผลที่ผู้เช่าส่วนใหญ่ตัดสินใจเช่านั้น มากกว่า 1 ใน 3 (37%) ต้องการออมเงินเพื่อจุดประสงค์อื่น จึงเลือกเช่าเพื่อลดค่าใช้จ่าย รองลงมาคือชอบความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิตเมื่อเช่า 26% และ 21% ไม่มีเงินพอที่จะซื้อบ้าน/คอนโดฯ ตอนนี้

อย่างไรก็ดี ผู้เช่า 41% ชื่นชอบที่จะค้นหาบ้านทั้งหลังหรืออะพาร์ตเมนต์มากที่สุด นอกจากนี้ เมื่อสอบถามสถานะการเงิน 9 ใน 10 ของผู้เช่า (89%) เผยว่ายินดีจ่ายค่าเช่าไม่เกิน 30% ของเงินเดือน สะท้อนให้เห็นถึงการวางแผนการเงินที่ดี ไม่สร้างภาระจนเกินตัว 

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าตลาดเช่าที่อยู่อาศัยจึงมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้บริโภคที่มีอสังหาฯ ในมือหรือนักลงทุนที่ต้องการสร้างรายได้จากการปล่อยเช่าในเวลานี้

เปิดลิสต์บ้าน/คอนโดฯ ในฝัน แบบไหนที่ผู้เช่าตามหา!

อีกหนึ่งหัวใจสำคัญของการปล่อยเช่าบ้าน/คอนโดฯ คือการที่ผู้ให้เช่าเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของผู้เช่าและใส่ใจราวกับว่าเราเป็นผู้พักอาศัยเอง ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) ชวนมาสำรวจว่าที่อยู่อาศัยในฝันในสายตาผู้เช่าควรเป็นแบบไหน และคุณสมบัติใดที่ไม่ควรมองข้าม หากอยากปล่อยเช่าให้ได้ง่ายขึ้น 

  • เดินทางสะดวก ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ทำเลยังคงเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้น ๆ ในการตัดสินเช่า เนื่องจากผู้เช่าส่วนใหญ่มักต้องการเช่าที่อยู่อาศัยใหม่เพื่อลดเวลาในการเดินทาง เช่น เช่าคอนโดฯ ใกล้ที่ทำงาน ใกล้สถานศึกษา จึงให้ความสำคัญกับโครงการที่สามารถเดินทางได้สะดวกสบาย และใกล้ระบบขนส่งสาธารณะ เช่น ติดรถไฟฟ้า BTS/MRT นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมโดยรอบควรมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า หรือโรงพยาบาล เพื่อรองรับการดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างรอบด้าน และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือ “ไลฟ์สไตล์ของผู้เช่า” ซึ่งจะสะท้อนผ่านการเลือกทำเล หากเป็นผู้ที่ชื่นชอบการใช้ชีวิตที่สะดวกสบาย อาจมองหาที่อยู่อาศัยใกล้ห้างสรรพสินค้า แต่หากต้องการความสงบและความเป็นส่วนตัว อาจเลือกโครงการที่ตั้งอยู่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจ เพื่อหลีกหนีความวุ่นวาย 
  • สภาพห้องดูดี สวยเหมือนใหม่ บ้าน/คอนโดฯ ให้เช่าที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ ไม่เพียงสร้างความมั่นใจแต่ยังสะท้อนถึงความใส่ใจของเจ้าของได้อย่างชัดเจน จึงควรสร้างความประทับใจให้ผู้เช่าเมื่อมาเยี่ยมชมสถานที่จริง โดยการรีโนเวทบ้าน/คอนโดฯ ให้อยู่ในสภาพที่สวยเหมือนใหม่ ทาสีใหม่ ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ทันสมัย รักษาความสะอาด เลือกใช้สีและแสงไฟที่ช่วยให้ภายในห้องไม่อึดอัด และซ่อมแซมโครงสร้างหรือเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ให้พร้อมใช้งาน โดยไม่ซ่อนปัญหาไว้ สิ่งเหล่านี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ผู้เช่าประทับใจและตัดสินใจเช่าในที่สุด
  • มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน บ้าน/คอนโดฯ ให้เช่าที่มาพร้อมเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็น เช่น เครื่องปรับอากาศ เครื่องทำน้ำอุ่น ตู้เย็น โทรทัศน์ จะช่วยดึงดูดความสนใจของผู้เช่าได้มากขึ้น และเป็นข้อได้เปรียบที่ผู้เช่าหลายคนให้ความสำคัญ เนื่องจากช่วยให้ผู้เช่าสามารถเข้าอยู่ได้ทันทีและลดภาระค่าใช้จ่ายในการตกแต่งลง นอกจากนี้ โครงการที่มาพร้อมระบบสาธารณูปโภคที่ดี เช่น ระบบน้ำประปา ไฟฟ้า การจัดการขยะ รวมทั้งบริหารงานโดยนิติบุคคลที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยให้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ผู้เช่ามีความมั่นใจเมื่ออยู่อาศัยระยะยาว
  • ค่าเช่าจับต้องได้ เหมาะสมกับคุณภาพ แม้ผู้เช่าปัจจุบันจะให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตและยินดีจ่ายเพื่อความสะดวกสบาย แต่ “ความคุ้มค่า” ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญเมื่อพิจารณาเช่าเสมอ โดยเฉพาะกลุ่มผู้เช่าที่มีงบประมาณจำกัดหรือต้องการเช่าระยะยาว ดังนั้น ผู้ให้เช่าจึงควรตั้งค่าเช่าให้สอดคล้องกับสภาพตลาดและสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีให้ โดยสำรวจอัตราค่าเช่าในพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อกำหนดค่าเช่าที่เหมาะสมและแข่งขันได้ในตลาด ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดความสนใจจากผู้เช่า และกระตุ้นให้เกิดการนัดเข้าชมห้องในเวลาอันรวดเร็ว
  • มีระบบความปลอดภัยที่ทันสมัย ปัจจุบันหลายโครงการได้นำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาช่วยยกระดับการรักษาความปลอดภัยให้ดียิ่งขึ้น ช่วยสร้างความสบายใจให้กับผู้อยู่อาศัย โดยระบบรักษาความปลอดภัยพื้นฐานที่ควรมี ได้แก่ การมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง มีกล้องวงจรปิด (CCTV) ครอบคลุมทั่วโครงการ มีระบบคัดกรองบุคคลภายนอก และมีระบบลิฟต์ล็อกชั้นและคีย์การ์ดสำหรับเข้า-ออกพื้นที่ต่าง ๆ ในคอนโดฯ นอกจากนี้ เจ้าของอสังหาฯ ให้เช่ายังสามารถเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้เช่าได้อีกขั้น ด้วยการซื้อประกันภัยเพิ่มเติมจากประกันภัยส่วนกลาง เพื่อคุ้มครองทรัพย์สินส่วนตัวภายในห้องหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น น้ำรั่วซึม ไฟไหม้ ไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งการมีประกันภัยที่ครอบคลุมจะปกป้องทรัพย์สินและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเมื่อเกิดเหตุดังกล่าวได้

ส่อง 5 เทคนิคปล่อยเช่าอย่างไรให้จับใจผู้เช่า ปิดดีลได้ง่ายขึ้น

การปล่อยเช่าบ้าน/คอนโดฯ ให้ประสบความสำเร็จ ต้องอาศัยการวางแผนที่รอบคอบควบคู่กับมีกลยุทธ์ที่เหมาะสม ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เผย 5 เทคนิคปล่อยเช่าที่อยู่อาศัยอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคที่ปล่อยเช่า/นักลงทุนสามารถดึงดูดผู้เช่าที่มีคุณภาพ และเพิ่มโอกาสในการปิดดีลได้ง่ายขึ้นท่ามกลางการแข่งขันที่สูงในตลาด 

  1. ศึกษา Insight กลุ่มเป้าหมาย ประเมินโอกาสในตลาด ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดที่อยู่อาศัยให้เช่า ผู้ให้เช่าควรวางแผนแต่ละขั้นตอนอย่างละเอียด โดยกำหนดว่ากลุ่มเป้าหมายหลักคือใคร มีไลฟ์สไตล์แบบไหน รายได้อยู่ในช่วงใด และต้องการที่อยู่อาศัยประเภทไหน ขนาดเท่าไร โดยศึกษาข้อมูลจากรายงานอสังหาฯ ต่าง ๆ ประกอบกับการลงพื้นที่สำรวจในทำเลนั้น ๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ จะช่วยให้สามารถปรับปรุงหรือตกแต่งห้องเช่าให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย เลือกลงทุนในโครงการที่มีค่าเช่าเหมาะสม และประเมินโอกาสในการปล่อยเช่าในทำเลนั้น ๆ ได้ดียิ่งขึ้น
  2. โครงการในทำเลศักยภาพ เพิ่มโอกาสเช่ามากขึ้น ความต้องการเช่ามักกระจุกตัวในทำเลที่มีศักยภาพและเดินทางสะดวก เช่น โครงการอยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้า สถานศึกษา แหล่งทำงาน ส่งผลให้ทำเลเหล่านี้มีความต้องการเช่าสูงตามไปด้วย ผู้ให้เช่าจึงควรพิจารณาเลือกลงทุนในทำเลที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต เช่น มีแผนพัฒนาระบบโครงการคมนาคมและระบบสาธารณูปโภคในอนาคต หรือมีโครงการรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการพัฒนาพาดผ่าน ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอสังหาฯ ได้ในอนาคต ทั้งในด้านของราคาขายต่อและความต้องการเช่าที่มั่นคงในระยะยาว
  3. ตกแต่งสวยงามอย่างมีสไตล์ พร้อมเข้าอยู่ทันที ผู้ให้เช่าควรให้ความสำคัญกับการปรับปรุงห้องให้อยู่ในสภาพดีเหมือนใหม่ สะอาด และมีบรรยากาศที่น่าอยู่ โดยตกแต่งภายในให้ทันสมัย เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งที่ดูดี มีคุณภาพ และใช้งานได้จริง เน้นการตกแต่งที่ทำให้ห้องดูสว่าง ปลอดโปร่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก และเลือกโทนสีที่ดูสบายตาและเป็นกลาง เพื่อให้ผู้เช่าสามารถตกแต่งเพิ่มเติมในสไตล์ของตนเองได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญคือห้องต้องพร้อมสำหรับการย้ายเข้าอยู่ทันที ไม่ต้องรอการซ่อมแซมหรือปรับปรุงเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยให้ผู้เช่าตัดสินใจได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
  4. ศึกษาการตลาดและเลือกใช้สื่อให้เหมาะสม ผู้ให้เช่าควรศึกษาว่าทำการตลาดอย่างไรจึงจะเข้าถึงลูกค้าได้มากที่สุด และเลือกประกาศเช่าผ่านสื่อออฟไลน์และออนไลน์ควบคู่กัน เพื่อขยายโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น หากจะลงประกาศขาย/ปล่อยเช่าในเว็บไซต์ใด ๆ ควรอ่านนโยบายความเป็นส่วนตัวให้เข้าใจชัดเจนก่อนว่าเว็บไซต์นั้นจะนำข้อมูลส่วนตัวที่กรอกไปใช้ทำอะไรบ้าง จากนั้นจึงลงประกาศโดยระบุข้อมูลพื้นฐานของอสังหาฯ  เช่น ค่าเช่า/เดือน สถานที่ตั้งโครงการ ส่วนกลาง เป็นต้น พร้อมทั้งบอกจุดเด่นที่ดึงดูดความสนใจหรือโปรโมชั่นที่เพิ่มให้ เช่น มีเครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรบ้าง หรือช่วยออกค่าส่วนกลางให้กี่เดือน ฯลฯ โดยลงรายละเอียดของผู้ประกาศและช่องทางติดต่อให้ชัดเจน ที่สำคัญคือควรใส่ลายน้ำและข้อมูลการติดต่อไว้ที่รูปภาพที่ถ่ายเองเพื่อป้องกันการโดนผู้อื่นนำไปแอบอ้าง
  5. ใช้ “เอเจนต์” ผู้ช่วยเพิ่มโอกาสปล่อยเช่าได้เร็วขึ้น การเลือกใช้เอเจนต์อสังหาฯ มืออาชีพมาช่วยในการปล่อยเช่า ถือเป็นอีกวิธีที่ได้รับความนิยมหากผู้ให้เช่าไม่มีประสบการณ์หรือไม่มีเวลาในการพาผู้สนใจเช่าไปเยี่ยมชมบ้านหรือห้อง โดยเอเจนต์ที่มีความเชี่ยวชาญจะสามารถให้คำแนะนำที่เหมาะสม ช่วยอำนวยความสะดวกให้การปล่อยเช่าบ้าน/คอนโดฯ เป็นไปอย่างราบรื่น ช่วยทำการตลาดผ่านสื่อต่าง ๆ ช่วยประสานงานกับผู้สนใจเช่า และยังมีเครือข่ายของเอเจนต์เองหรือฐานข้อมูลลูกค้าของบริษัทที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น นอกจากนี้ เอเจนต์ยังมีความรู้ด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอสังหาฯ ซึ่งจะช่วยดูแลความเรียบร้อยของสัญญาเช่าให้ถูกต้องครบถ้วน ป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ 

การให้เช่าที่อยู่อาศัยถือเป็นอีกหนึ่งรูปแบบการลงทุนในอสังหาฯ ที่ได้รับความนิยม และสามารถสร้างรายได้ในระยะยาว อย่างไรก็ดี ผู้ให้เช่า/นักลงทุนต้องไม่ลืมที่จะพิจารณาความพร้อมทางการเงิน และปัจจัยแวดล้อมที่มีผลต่อการแข่งขันในตลาดเช่าอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถบริหารความเสี่ยงและสร้างรายได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ทั้งนี้ แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทยอย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (www.ddproperty.com) รวบรวมข้อมูลประกาศซื้อ-ขาย-เช่าที่อยู่อาศัยจากหลากหลายทำเลศักยภาพทั่วประเทศ ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานมาเป็นอันดับแรก โดยดำเนินงานภายใต้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศไทยอย่างเคร่งครัด ผู้ใช้งานจึงสามารถมั่นใจได้ว่าทุกการประกาศและค้นหาที่อยู่อาศัยผ่านเว็บไซต์ www.ddproperty.com จะได้รับการดูแลและปกป้องข้อมูลอย่างปลอดภัยในทุกขั้นตอน ช่วยให้ทุกเส้นทางการซื้อ-ขาย-เช่าเป็นไปอย่างราบรื่นและไร้กังวล

EMR June 2025 highlights global 5G subscription to reach 6.3 billion by end-2030

รายงาน Ericsson Mobility ฉบับล่าสุด เผยยอดบัญชีผู้ใช้ 5G ทั่วโลก จะพุ่งแตะ 6.3 พันล้านราย ในปี 2030

EMR June 2025 highlights global 5G subscription to reach 6.3 billion by end-2030

  • 5G networks forecast to handle 80 percent of global mobile traffic by the end of 2030
  • In Southeast Asia and Oceania, 5G subscription will likely reach 630 million by 2030 – or 49% of the total.
  • Ericsson to support Thailand’s digital transformation, leveraging its global 5G leadership

Ericsson (NASDAQ: ERIC) said global 5G subscription is expected to reach 6.3 billion by the end of 2030. The June 2025 Ericsson Mobility Report forecasts 5G subscriptions to top 2.9 billion globally by the end of 2025 – about one third of all mobile subscriptions.

Mobile network data traffic increased by 19 percent from the first quarter of 2024 to the corresponding period in 2025. Despite a declining growth rate, net added traffic will continue to increase year-on-year, with the June 2025 EMR forecasting that mobile data traffic will more than double through the forecast period through the end of 2030.

5G networks handled 35 percent of global mobile traffic by the end of 2024, with forecasters expecting the figure to top 80 percent by the end of 2030.

In Europe, 5G mid-band coverage topped 50 percent population coverage by the end of 2024. While the figure puts the region in line with the global average, it lags far behind frontrunner countries such as North America where 5G mid-band deployment has topped 90 percent population coverage, and India where 5G mid-band population coverage reached 95 percent by the end of 2024.

5G subscriptions in Southeast Asia and Oceania are expected to reach 630 million by 2030, contributing around 49% of total mobile subscriptions in the region by then. Data traffic per smartphone is expected to grow from 19 GB/month in 2024 to 38 GB/month by 2030.

In Thailand, 5G has become a significant driver of data consumption and increased average revenue per user (ARPU).

“We are at an inflection point, where 5G and the ecosystem are set to unleash a wave of innovation. The recent advancements in 5G standalone (SA) networks, coupled with the progress in 5G-enabled devices, have led to an ecosystem poised to unlock transformative opportunities for connected creativity,” says Anders Rian, Head of Ericsson Thailand. “To fully realize the potential of 5G, it is essential to continue deploying 5G SA and to further build out mid-band sites.” adds Anders.

Ericsson Thailand looks to contribute to the nation’s digital transformation by leveraging its global leadership in 5G technology. Ericsson today powers 187 live 5G networks across the globe . ”Our vision is to build high-performance, reliable, and sustainable connectivity that will accelerate Thailand’s journey towards becoming a digital economy … We believe that strong collaboration across the ecosystem is essential to unlock the full potential of the digital economy and society. By working closely with the government , industry partners, and communities, we aim to foster innovation, inclusivity, and long-term growth,” states Anders.

There are numerous existing and futuristic 5G use-cases that can potentially bring a paradigm shift across enterprises helping them become more efficient, future-ready as well as sustainable. The possibilities that 5G can create for enterprises will not only put them on a fast track to meet the demands of the new world but more importantly, contribute to the socio-economic development of Thailand.

Recent advancements in 5G standalone (SA) networks, coupled with the progress in 5G enabled devices, have led to an ecosystem poised to unlock transformative opportunities for connected creativity. ”To fully realize the potential of 5G, it is essential to continue deploying 5G SA and to further build out mid-band sites. 5G SA capabilities serve as a catalyst for driving new business growth opportunities” says Anders

Enhanced deployment of 5G SA will provide an even stronger foundation for adoption and drive new use cases for both enterprises and consumers.

As generative AI (GenAI) devices proliferate and AI apps become increasingly complex, both application service providers and communication service providers will need to focus more on uplink capabilities and latency. The Ericsson Mobility Report talks about ongoing 5G device innovation with GenAI in smartphones expanding beyond high-end models, AI-powered smart glasses gaining utility through audio interaction, and increased adoption of differentiated connectivity for new consumer and enterprise applications. Differentiated connectivity will be key in enabling a high-quality user experience for personalized AI agents and other conversational applications.

”At the heart of operations is a steadfast comitment to ethics, integrity, and transparency. We strive to set the industry’s benchmark for excellence and best practices, ensuring that our contributions are both impactful and responsible,” states Anders.  ”Together, we are shaping a connected future for Thailand—one that is inclusive, resilient, and ready for the opportunities of tomorrow.”

Read the full June 2025 Ericsson Mobility Report via this link.

รายงาน Ericsson Mobility ฉบับล่าสุด เผยยอดบัญชีผู้ใช้ 5G ทั่วโลก จะพุ่งแตะ 6.3 พันล้านราย ในปี 2030

รายงาน Ericsson Mobility ฉบับล่าสุด เผยยอดบัญชีผู้ใช้ 5G ทั่วโลก จะพุ่งแตะ 6.3 พันล้านราย ในปี 2030

รายงาน Ericsson Mobility ฉบับล่าสุด เผยยอดบัญชีผู้ใช้ 5G ทั่วโลก จะพุ่งแตะ 6.3 พันล้านราย ในปี 2030

  • ภายในสิ้นปี 2030 เครือข่าย 5G จะครอบคลุมการใช้มือถือทั่วโลกถึง 80%
  • ในปี 2030 จำนวนบัญชีผู้ใช้ 5G ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย จะพุ่งแตะ 630 ล้านราย คิดเป็น 49% ของผู้ใช้บริการมือถือทั้งหมดในภูมิภาคนี้
  • อีริคสันจะสนับสนุนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสร้างการเปลี่ยนแปลงสำคัญให้กับประเทศไทยโดยใช้ความเป็นผู้นำ 5G ระดับโลก

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) คาด สิ้นปี 2030 จำนวนบัญชีผู้ใช้บริการ 5G ทั่วโลก จะพุ่งแตะ 6.3 พันล้านราย ตามรายงาน Ericsson Mobility Report (ฉบับเดือนมิถุนายน 2025) และคาดว่าสิ้นปี 2025 บัญชีผู้ใช้ 5G ทั่วโลกจะเพิ่มเป็น 2.9 พันล้านราย หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของยอดผู้ใช้บริการมือถือทั้งหมด

ปริมาณการใช้ดาต้าเน็ตบนเครือข่ายมือถือทั่วโลกเพิ่มขึ้น 19% จากไตรมาสแรกของปี 2024 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีนี้ ถึงแม้อัตราการเติบโตจะลดลง แต่ปริมาณการใช้ดาต้ายังเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในรายงาน Ericsson Mobility Report ยังคาดการณ์ว่ายอดการใช้ดาต้าเน็ตมือถือจะเพิ่มมากกว่าสองเท่าตลอดช่วงของการคาดการณ์จนถึงสิ้นปี 2030

เมื่อสิ้นปี 2024 เครือข่าย 5G รองรับการใช้ดาต้าเน็ตมือถือทั่วโลกถึง 35% โดยคาดการณ์ว่าสิ้นปี 2030 ตัวเลขนี้จะขยับเพิ่มขึ้นเกินกว่า 80%

เครือข่าย 5G Mid-Band ครอบคลุมเกิน 50% ของจำนวนประชากรในทวีปยุโรป เมื่อสิ้นปี 2024 อย่างไรก็ดีถึงแม้ว่าความครอบคลุมของเครือข่าย 5G Mid-Band ในภูมิภาคนี้จะอยู่ในระนาบเดียวกับค่าเฉลี่ยของโลก แต่ยังตามหลังประเทศผู้นำต่าง ๆ อาทิ อเมริกาเหนือที่นำ 5G Mid-Band มาใช้งานครอบคลุมเกินกว่า 90% ของประชากร และอินเดียที่ใช้ 5G Mid-Band ครอบคลุมถึง 95% ของประชากร

ในปี 2030 คาดว่าจำนวนบัญชีผู้ใช้บริการ 5G ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย จะเพิ่มเป็น 630 ล้านราย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 49% ของจำนวนบัญชีผู้ใช้บริการมือถือทั้งหมดในภูมิภาคนี้ ขณะที่ปริมาณการใช้ดาต้าเน็ตต่อสมาร์ทโฟนคาดว่าจะเติบโตจาก 19 กิกะไบต์ต่อเดือน ในปี 2024 เพิ่มเป็น 38 กิกะไบต์ต่อเดือน ในปี 2030

สำหรับประเทศไทย เครือข่าย 5G เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการบริโภคข้อมูลและการเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้งาน (ARPU)

มร.แอนเดอร์ส เรียน ประธานบริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “เราอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่เครือข่าย 5G และระบบนิเวศมีความพร้อมที่จะปลดปล่อย A Wave of Innovation หรือคลื่นแห่งนวัตกรรม ด้วยความก้าวหน้าของเครือข่าย 5G Standalone (SA) ประกอบกับพัฒนาการในอุปกรณ์ที่รองรับ 5G ได้นำไปสู่ระบบนิเวศที่พร้อมสำหรับการปลดล็อกโอกาสเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ในการเชื่อมต่อไอเดียสร้างสรรค์ และเพื่อให้ 5G ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญที่จะต้องดำเนินการคือการนำเครือข่าย 5G SA มาใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสร้างฐานย่านความถี่ Mid-Band เพิ่มเติม”

อีริคสัน ประเทศไทย พร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของประเทศไทย โดยอาศัยความเป็นผู้นำระดับโลกของเราในด้านเทคโนโลยี 5G ที่วันนี้เปิดให้บริการเครือข่าย 5G ไปแล้ว 187 เครือข่ายทั่วโลก “วิสัยทัศน์หลักของเรา คือ การสร้างเครือข่ายการเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพสูง เชื่อถือได้ และยั่งยืน เพื่อเร่งการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล…เราเชื่อว่าการร่วมมือที่เข้มแข็งในระบบนิเวศเป็นสิ่งสำคัญช่วยปลดล็อกศักยภาพของเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลได้เต็มที่ ด้วยการทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานภาครัฐ พันธมิตรในอุตสาหกรรม และชุมชนต่าง ๆ เราตั้งเป้าส่งเสริมนวัตกรรม สร้างความเท่าเทียม และการเติบโตระยะยาวให้กับประเทศไทย” มร.แอนเดอร์ส กล่าว

มียูสเคสการใช้งาน 5G ปัจจุบันและในอนาคตมากมายที่อาจสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับองค์กรต่าง ๆ ทั้งในการเพิ่มประสิทธิภาพ เตรียมพร้อมสำหรับอนาคต และมีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น ความเป็นไปได้ของ 5G ไม่เพียงช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองความต้องการของโลกยุคใหม่ได้อย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยควบคู่ไปด้วยกัน

ความก้าวหน้าของเครือข่าย 5G Standalone (SA) ประกอบกับพัฒนาการในอุปกรณ์ที่รองรับ 5G นำไปสู่ระบบนิเวศที่พร้อมสำหรับปลดล็อกโอกาสเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ เพื่อเชื่อมต่อไอเดียสร้างสรรค์ “เพื่อให้ 5G ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญที่จะต้องดำเนินการคือการนำเครือข่าย 5G SA มาใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสร้างฐานย่านความถี่ Mid-Band เพิ่มเติม” มร.แอนเดอร์ส กล่าว

การใช้ 5G SA ที่ได้รับการพัฒนาเพิ่มขึ้นจะเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นสำหรับการนำไปปรับใช้และขับเคลื่อนยูสเคสการใช้งานใหม่ ๆ ให้กับทั้งองค์กรและผู้บริโภค

เนื่องจากอุปกรณ์ generative AI (GenAI) เป็นที่แพร่หลายและแอปฯ AI มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันและผู้ให้บริการด้านการสื่อสารจึงต้องให้ความสำคัญกับความสามารถในการอัปลิงก์ (Uplink) และระยะเวลาแฝงในการรับ-ส่งข้อมูล (Latency) มากขึ้น ตามรายงาน Ericsson Mobility Report ระบุถึงอุปกรณ์ 5G ที่เป็นนวัตกรรมอื่น ๆ นอกเหนือจาก GenAI ที่ฝังอยู่ในสมาร์ทโฟนรุ่นไฮเอนด์ อย่าง แว่นตาอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI และใช้ประสิทธิภาพจากการโต้ตอบด้วยเสียง รวมถึงการนำประสิทธิภาพการเชื่อมต่อที่แตกต่างกัน (Differentiated Connectivity) มาใช้มากขึ้นในแอปพลิเคชันใหม่ ๆ สำหรับผู้บริโภคและสำหรับองค์กร โดย Differentiated Connectivity จะเป็นกุญแจสำคัญมอบประสบการณ์คุณภาพสูงให้กับผู้ใช้ สำหรับ AI Agent ที่ออกแบบมาเฉพาะบุคคลและแอปพลิเคชันการสนทนาอื่น ๆ

“หัวใจหลักของการดำเนินงานไปสู่เป้าหมายของเรา คือ ความตั้งใจแน่วแน่และมีจริยธรรม มีความซื่อสัตย์ และโปร่งใส เรามุ่งมั่นสร้างมาตรฐานความเป็นเลิศและสรรหาแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดมอบให้กับอุตสาหกรรม เพื่อให้มั่นใจว่าบทบาทและการมีส่วนร่วมของเราสามารถสร้างผลกระทบและมีความรับผิดชอบไปพร้อมกัน ด้วยการผนึกกำลังร่วมกัน เรากำลังสร้างอนาคตที่เชื่อมต่อถึงกันให้กับประเทศไทย ซึ่งมีทั้งความครอบคลุม ยืดหยุ่น และพร้อมเปิดรับทุกโอกาสในอนาคต” มร.แอนเดอร์ส กล่าวสรุป

อ่านรายงาน Ericsson Mobility ฉบับเต็ม มิถุนายน 2025 ได้ที่ลิงก์นี้

Kyndryl Launches AI Innovation Lab in Singapore

Kyndryl เปิด AI Innovation Lab ในสิงคโปร์

Kyndryl Launches AI Innovation Lab in Singapore

The new Lab will employ approximately 50 AI professionals to accelerate AI adoption and support growth agendas across Southeast Asia

Kyndryl (NYSE: KD), a leading provider of mission-critical enterprise technology services, today announced the launch of its ASEAN AI Innovation Lab in Singapore. The Lab will offer responsible enterprise artificial intelligence (AI) solutions with advanced security features across Southeast Asia. This announcement follows Kyndryl’s recent investments in the United Kingdom and France, demonstrating its commitment to create regional hubs of AI talent, drive innovation and support national growth agendas.

Kyndryl’s new ASEAN AI Innovation Lab will advise customers in adopting AI capabilities, merging technologies and software and platform engineering solutions through Kyndryl Consult. The Lab will also include a co-creation experience with Kyndryl Vital, allowing customers to tackle complex and real-world business challenges through design-led thinking. It will employ approximately 50 local AI specialists, including data scientists, data engineers and AI developers, and help organizations understand responsible AI technologies with use cases and live demonstrations.

“Our ASEAN AI Innovation Lab underscores Kyndryl’s long-term commitment to the region,” said Andrew Lim, Managing Director, Kyndryl ASEAN and Korea. “Our experience in designing and delivering complex systems at scale gives us an advantage in implementing end-to-end AI solutions. By partnering with Digital Industry Singapore (DISG), Google Cloud and other ecosystem players, we aim to scale trustworthy and high-impact AI solutions that enable businesses to move faster and smarter with responsible AI principles at the core.”

Kyndryl is working with Google Cloud and Digital Industry Singapore (DISG) to help Singapore-based companies accelerate AI transformation through the AI Cloud Takeoff program under DISG’s Enterprise Compute Initiative (ECI). As a launch partner for Kyndryl’s ASEAN AI Innovation Lab, Google Cloud is providing access to Vertex AI, BigQuery, Agent Development Kit (ADK), and Google Agentspace to enable AI solution development and business growth.

“Enterprises across Southeast Asia are moving quickly to harness generative AI and agentic AI, and they need trusted partners to do it responsibly and at scale,” said Mark Micallef, Managing Director, Southeast Asia, Google Cloud. “Our partnership with Kyndryl brings together deep consultancy expertise and interoperable data-to-AI capabilities to help organizations unlock tangible and measurable ROI from deployments of enterprise-grade AI with cutting edge security capabilities.”

Customers Will Leverage the Lab for Accelerated AI Adoption

The Lab will help customers operationalize AI through proven infrastructure and cloud-native architectures. Working with Digital Industry Singapore (DISG) and Singapore’s top universities and research institutions, customers can cultivate AI talent and build reusable assets and services to help future-proof their workforce and innovation efforts. Additionally, the Lab’s AI experts will help organizations implement robust governance, privacy and security frameworks to address compliance and regulatory mandates, while also creating energy-efficient and cost-effective AI solutions that will reduce carbon footprints and computing costs.

For example, across ASEAN countries:

  • In hospitality: Frasers Hospitality worked with Kyndryl to enhance the processes through which operational expertise is documented and streamlined. A solution was jointly built to transform training videos and add interactive multimedia features and multilingual capabilities to scale across its global portfolio.
  • In logistics: Kyndryl used AI to help Vietnam SuperPort™automate x-ray image analysis and validate documents.
  • In employment services: Quest is using AI to further personalize the user experience on its gig marketplace, improving the connection between businesses with open positions and skilled local talent, resulting in increased job matching and fulfilment rates.

Kyndryl’s recently launched People Readiness Report 2025 reveals a striking gap between AI investment and workforce preparedness, noting that 95% of businesses have invested in AI, yet 71% of leaders say their workforces are not yet ready to successfully leverage the technology. However, there is a small group (14%) of “Pacesetters” who are seeing the benefits from AI by aligning their workforce, technology and growth goals.

Supporting Singapore’s National AI Vision

Kyndryl’s ASEAN AI Innovation Lab supports Singapore’s goal of becoming a global AI leader by establishing a technology-forward, AI ecosystem, while providing valuable expertise across Malaysia, Indonesia, Thailand, Vietnam and the Philippines to meet growing regional AI demand.

 

“Kyndryl’s ASEAN AI Innovation Lab contributes to Singapore’s ambition to be a hub for AI innovation. We are keen for companies to develop their innovation mandates in Singapore and tap into our ecosystem to grow their businesses. Kyndryl is one such partner of the Enterprise Compute Initiative, a national-level program aimed at accelerating AI-powered transformation projects” said Philbert Gomez, Senior Vice President and Head and Executive Director, Digital Industry Singapore. “By bringing together industry, academia and government, this Lab will serve as a catalyst for innovation, workforce skilling and the development of scalable AI infrastructure in Singapore and the broader ASEAN region.”