อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว Tongyi Qianwen 2.0 และโมเดลเฉพาะทางสำหรับธุรกิจต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนลูกค้าให้เก็บเกี่ยวคุณประโยชน์จาก Generative AI

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว Tongyi Qianwen 2.0 และโมเดลเฉพาะทางสำหรับธุรกิจต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนลูกค้าให้เก็บเกี่ยวคุณประโยชน์จาก Generative AI

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว Tongyi Qianwen 2.0 และโมเดลเฉพาะทางสำหรับธุรกิจต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนลูกค้าให้เก็บเกี่ยวคุณประโยชน์จาก Generative AI

แพลตฟอร์มใหม่สำหรับการสร้างโมเดล AI และชุดผลิตภัณฑ์นวัตกรรมคลาวด์ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าและนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่พุ่งสูงขึ้น

อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป เปิดตัว Tongyi Qianwen 2.0 (ทงอี้เชียนเวิ่น 2.0) ซึ่งเป็นโมเดลด้านภาษาขนาดใหญ่ (large language model: LLM) รุ่นล่าสุด และเปิดตัวโมเดลเฉพาะด้านสำหรับธุรกิจแต่ละประเภท ณ งาน Apsara Conference ซึ่งเป็นงานเทคโนโลยีประจำปีครั้งสำคัญของอาลีบาบา คลาวด์ การเปิดตัวครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าครั้งสำคัญของอาลีบาบา คลาวด์ ในความพยายามสร้างสรรค์นวัตกรรมด้าน AI ที่นำสมัย และสานต่อความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันให้กับธุรกิจต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง

อาลีบาบา คลาวด์ ยังได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI model training และชุดผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรม คลาวด์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการโครงสร้างพื้นฐานเปี่ยมประสิทธิภาพที่สามารถรองรับการพัฒนา generative AI ที่พุ่งสูงขึ้นได้ พร้อมกันนี้ได้นำเสนอความคิดริเริ่มใหม่ ๆ เพื่อส่งเสริมคอมมิวนิตี้ที่เป็น open-source AI model และสตาร์ทอัพด้าน AI ระดับโลกในงานเดียวกัน โดยทรัพยากรที่กล่าวมาเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยลูกค้า พันธมิตร นักพัฒนาซอฟต์แวร์ สตาร์ทอัพ และคอมมิวนิตี้ในวงกว้าง ให้สามารถใช้ศักยภาพของ generative AI ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

นายโจ ไซ ประธานของอาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวว่า “ปัจจุบัน 80% ของบริษัทด้านเทคโนโลยีในประเทศจีนและบริษัทขนาดใหญ่ทำงานโดยใช้อาลีบาบา คลาวด์ เรามุ่งมั่นเป็นคลาวด์ที่โอเพ่นที่สุดในยุค AI เราหวังว่าคลาวด์นี้จะช่วยให้ทุกคนพัฒนาและใช้ AI ได้ง่ายขึ้นด้วยค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม และจะสามารถช่วยองค์กรต่าง ๆ โดยเฉพาะองค์กรขนาดเล็กและกลางให้เปลี่ยนพลังของ AI ให้เป็นความสามารถในการผลิตและผลิตผลมหาศาล”

Tongyi Qianwen 2.0: การพัฒนา LLMs แบบก้าวกระโดด

Tongyi Qianwen 2.0 เป็น LLM ที่มีพารามิเตอร์หลายแสนล้านรายการ นับเป็นการอัปเดทครั้งสำคัญจากเวอร์ชันก่อนหน้านี้ที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนเมษายน โมเดลนี้ให้ผลลัพธ์เกินเกณฑ์มาตรฐานสำคัญ ๆ ของ LLM ไม่ว่าจะเป็นโดเมนเกี่ยวกับความเข้าใจภาษา การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ไปจนถึงการตอบคำถาม

Tongyi Qianwen 2.0 มีขนาดโมเดลที่ขยายมากขึ้น และพัฒนาเทคนิคให้สอดคล้องกับเป้าหมายของมนุษย์เพิ่มมากขึ้น จึงมีความสามารถโดดเด่นที่จะทำความเข้าใจคำสั่งที่ซับซ้อน การเขียนข้อความเพื่อการโฆษณาหรือการตลาด การใช้เหตุผล การจดจำ และการป้องกันภาพหลอน (hallucinations) เช่น สร้างเนื้อหาที่ฟังดูถูกต้องอย่างไม่ถูกต้อง ปัจจุบันเปิดให้ผู้ใช้งานทั่วไปเข้าถึงโมเดลนี้ได้ผ่านเว็บไซต์ และโมบายแอปพลิเคชัน และพร้อมให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์เข้าถึงได้ผ่าน APIs

Tongyi Qianwen 2.0 แซงหน้าโมเดลด้านภาษาขนาดใหญ่ชั้นนำบางโมเดล ในเกณฑ์มาตรฐานด้านความเข้าใจภาษาแบบมัลติ-ทาสก์ (MMLU), การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ (GSM8K), การตอบคำถาม (ARC-C), ความเข้าใจภาษาแบบมัลติ-ทาสก์ (BBH) และการแก้ปัญหาคำทางคณิตศาสตร์ (Math)
Tongyi Qianwen 2.0 แซงหน้าโมเดลด้านภาษาขนาดใหญ่ชั้นนำบางโมเดล ในเกณฑ์มาตรฐานด้านความเข้าใจภาษาแบบมัลติ-ทาสก์ (MMLU), การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ (GSM8K), การตอบคำถาม (ARC-C), ความเข้าใจภาษาแบบมัลติ-ทาสก์ (BBH) และการแก้ปัญหาคำทางคณิตศาสตร์ (Math)

โมเดลเฉพาะสำหรับธุรกิจแต่ละประเภท: AI เพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจ

อาลีบาบา คลาวด์ ยังได้เปิดตัวโมเดลใหม่ที่มีคุณสมบัติเฉพาะกับธุรกิจแต่ละประเภท เพื่อช่วยให้ธุรกิจทุกประเภทได้ใช้ศักยภาพที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ของ generative AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจ เช่น การให้การสนับสนุนลูกค้า ให้คำปรึกษาทางกฎหมาย การดูแลสุขภาพ การเงิน การบริหารจัดการเอกสาร การจัดการออดิโอและวิดีโอ การพัฒนาโค้ด และผู้ช่วยทางดิจิทัล

นายจิงเหริน โจว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี ของอาลีบาบา คลาวด์ กล่าวว่า “โมเดลด้านภาษาขนาดใหญ่มีศักยภาพต่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมสูงมาก เรามุ่งมั่นใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยต่าง ๆ รวมถึง generative AI ช่วยลูกค้าของเราให้ก้าวไกลบนเส้นทางการเติบโตสู่เป้าหมาย ช่วยให้ธุรกิจเก็บเกี่ยวประโยชน์ของ generative AI ได้ดีขึ้น ด้วยวิธีที่คุ้มค่าการลงทุน การที่เราเปิดตัวโมเดลพื้นฐานที่ทรงพลังมากขึ้น รวมถึงโมเดลเฉพาะสำหรับธุรกิจต่าง ๆ ก็เพื่อรับมือกับความท้าทายที่เฉพาะเจาะจง และด้วยความคิดริเริ่มเหล่านี้ เราหวังว่าโมเดลต่าง ๆ ที่เราเป็นเจ้าของเหล่านี้ จะมอบคุณค่าที่แท้จริงให้ลูกค้าของเราสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน และคงความสามารถในการแข่งขันไว้ได้”

GenAI Service Platform: แพลตฟอร์มครบวงจรเพื่อสร้างโมเดล AI

เพื่อตอบสนองต่อความต้องการ generative AI ที่กำลังขยายตัว อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว GenAI Service Platform ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการสร้างโมเดล AI แบบครบวงจร มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาโมเดลและกระบวนการสร้างแอปพลิเคชัน แพลตฟอร์มนี้นำเสนอชุดเครื่องมือครบครันสำหรับการจัดการข้อมูล การใช้และประเมินโมเดล และการสื่อสารกับ AI ด้วยชุดคำสั่ง (prompt engineering) ซึ่งช่วยให้องค์กรทุกภาคส่วนพัฒนาโมเดล AI เฉพาะองค์กรของตนได้ง่ายขึ้น 

ผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมด้านคลาวด์ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนา Generative AI

อาลีบาบา คลาวด์ได้เปิดตัวชุดผลิตภัณฑ์นวัตกรรมด้านคลาวด์ทั้งที่เป็นแมชชีนเลิร์นนิง คอนเทนเนอร์ และดาต้าเบส เพื่อรองรับความต้องการด้านคอมพิวติ้งและการประมวลผลข้อมูลที่การพัฒนา generative AI จำเป็นต้องใช้ โดย

  • เพิ่มประสิทธิภาพให้กับการเทรนด์และการอนุมานโมเดล LLM ต่าง ๆ: อาลีบาบา คลาวด์ได้อัปเกรด Platform for Artificial Intelligence (PAI) ของบริษัทฯ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพด้านคอมพิวติ้ง เน็ตเวิร์ก พื้นที่จัดเก็บ การประมวลผล คอนเทนเนอร์ ความสามารถในการเทรนด์และอนุมานโมเดล ทั้งนี้ Futureverse ซึ่งเป็นบริษัทด้าน AI และเทคโนโลยี metaverse ได้เทรนด์โมเดล text-to-music generation model บน PAI โดยใช้ประโยชน์จากประสิทธิภาพที่สูงและความสามารถในการสเกลได้ง่ายของ PAI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล
  • เร่งกระบวนการสร้างแอปพลิเคชัน generative AI ตามความต้องการเฉพาะของผู้ใช้งาน: อาลีบาบา คลาวด์ ได้เพิ่มประสิทธิภาพให้กับโซลูชันด้านดาต้าเบสแบบเต็มรูปแบบด้วยเวกเตอร์เอ็นจิ้นที่เป็นของอาลีบาบา คลาวด์ ประกอบด้วย PolarDB ซึ่งเป็นคลาวด์-เนทีฟดาต้าเบส, AnalyticDB ที่เป็นคลาวด์-เนทีฟดาต้าแวร์เฮ้าส์ และ Lindorm ซึ่งเป็นมัลติ-โมเดลด้านดาต้าเบสที่เป็นคลาวด์-เนทีฟ นอกจากนี้ ยังได้เปิดตัวเครื่องมือระบบนิเวศด้านดาต้าเบสที่ขับเคลื่อนด้วย LLM ซึ่งรวมถึงผู้ช่วยอัจฉริยะด้านการวิเคราะห์ข้อมูล Data Management Service (DMS) Data Copilot
  • พัฒนาแอปพลิเคชันด้วยโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่สเกลได้มากขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น: อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว Alibaba Cloud Container Compute Service (ACS) ซึ่งเป็นโซลูชันที่ไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์แรกเริ่ม ที่ผสานรวมบริการคอนเทนเนอร์ต่าง ๆ เข้ากับทรัพยากรการประมวลผลคลาวด์ ทั้งนี้ ACS จะช่วยให้องค์กรธุรกิจและนักพัฒนาซอฟต์แวร์ใช้ทรัพยากรของ Kubernetes ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์การจัดการที่ใช้คอนเทนเนอร์เป็นหลัก ด้วยแนวทางที่คุ้มค่าการลงทุนและใช้งานง่ายมากขึ้น

โปรแกรมด้านคอมมิวนิตี้ต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการพัฒนา AI

อาลีบาบา คลาวด์มุ่งสนับสนุนคอมมิวนิตี้ด้าน AI ให้กว้างขึ้น ด้วยการให้คำมั่นว่าจะมีส่วนร่วมสนับสนุนคอมมิวนิตี้ด้านโอเพ่นซอร์สให้มากขึ้น เช่น ModelScope ซึ่งเป็นคอมมิวนิตี้ด้าน AI ที่ริเริ่มโดยบริษัทเอง ที่มีการดาวน์โหลดโมเดลมากกว่า 100 ล้านรายการนับจากที่ก่อตั้งเมื่อปีที่แล้ว และบริษัทฯ วางแผนจะโอเพ่นซอร์ส Tongyi Qianwen เวอร์ชันที่มี 72 พันล้านพารามิเตอร์ปลายปีนี้

อาลีบาบา คลาวด์ ยังได้เปิดตัว Alibaba Cloud Startup Catalyst Program เพื่อมอบทรัพยากรคลาวด์คอมพิวติ้ง และสนับสนุนคลาวด์เครดิตสูงถึง 120,000 เหรียญสหรัฐฯ มอบการเป็นสมาชิกการเรียนรู้ออนไลน์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และมอบโอกาสในการสร้างเครือข่ายกับสตาร์ทอัพที่มีอนาคตดีและบริษัทด้าน AI ต่าง ๆ ทั่วโลก

Rethinking Cloud Strategies So Applications and Data Can Run Anywhere

ทบทวนกลยุทธ์ด้านคลาวด์ เพื่อให้แอปพลิเคชันและข้อมูลสามารถรันที่ใดก็ได้

Rethinking Cloud Strategies So Applications and Data Can Run Anywhere

Cracking The Code of Misplaced Eggs

Fetra Syahbana

Article by Fetra Syahbana, country manager for Growth and Emerging Market’s (GEMS), Nutanix

In the ever-evolving landscape of cloud computing, organizations in the Asia-Pacific and Japan (APJ) region are experiencing a paradigm shift. As they rushed toward the cloud, many are now realizing that they may have placed their eggs in the wrong baskets. This realization has sparked a renewed focus on optimizing data and application placement to maximize business impact while reducing cost and complexity.

Reallocating Eggs

The initial enthusiasm for cloud adoption has led organizations to re-evaluate their strategies. In their rush to the cloud, some organizations may have inadvertently disregarded the importance of finding the right environment for their data and workloads. By matching resources and spending directly with business demands, organizations can reduce over-provisioning and waste while optimizing cloud costs.

To achieve this, organizations must have the ability to scale compute and storage resources. This ensures that the infrastructure can dynamically respond to changing workload requirements, thereby reducing  costs associated with underutilized resources. By adopting a cloud operating model that allows for on-demand scaling of resources, organizations can align their infrastructure with business needs, maximizing both efficiency and cost-effectiveness. This shift in perspective positions the cloud as an alternative option rather than a one-size-fits-all destination.

Dynamic Operations

Embracing a hybrid multicloud strategy is paramount for organizations seeking to minimize the impact of misjudged actions and adapt to changing business demands. The ability to allocate resources across the edge, public clouds and on-premises in private clouds provides the necessary agility and flexibility to optimize workloads. Organizations can mix and match workloads in the environment that makes the most sense.

A significant advantage of adopting a hybrid multicloud model is the ability to maintain a consistent operating model across various environments. This eliminates the need to juggle multiple tools, processes, and skill sets, reducing complexity and eliminating time-consuming refactoring when applications need to be moved. By streamlining operations, organizations can contain costs, enhance productivity, and ensure a unified experience across their diverse infrastructure. A holistic IT strategy that seamlessly integrates on-premise, edge, and hybrid multicloud will empower organizations to remain agile and responsive to evolving business needs.

AI Potential

AI-powered applications have emerged as long-term drivers for enterprises. Organizations today are building more AI applications and the ability to run these workloads wherever they desire is crucial. Aligning resources and spending directly with business demands allows organizations to reduce over-provisioning and waste, resulting in lower cloud costs. A hybrid multicloud model offers the necessary flexibility to run AI workloads in the most suitable environments, ensuring optimal performance and cost-efficiency.

Furthermore, hybrid multicloud provides organizations with greater visibility and control over their data, addressing concerns around data governance and compliance. By leveraging the power of AI in diverse environments, organizations can capitalize on the value it brings, irrespective of their infrastructure setup. As compute costs for running AI on-premise or in the public cloud rise, organizations are increasingly recognizing the value of synthesizing AI data closer to the source, even on the network’s edge. 

Examples of organizations that have sought a flexible hybrid multicloud strategy to help them remain agile and adaptable to changing business needs include:

  • In Yogyakarta, Indonesia, Diskominfosan partnered with Nutanix to integrate all 229 government applications into Jogja Smart Service (JSS). This integration significantly improves the delivery of citizen services and transparency and aims to cater to over 217,000 JSS users.
  • To distribute pandemic-related financial aid to remote Filipino families who lack access to traditional banking services, Universal Storefront Services Corporation (USSC) leveraged Nutanix to establish cash caravans, ensuring KYC compliance, identity verification, and expedited payment processing. This empowered USSC with enhanced agility, flexibility, and innovation capabilities.
  • Future Generali India considered cloud options but found pure cloud to be economically unfeasible due to regulatory requirements for customer data to remain on-premise. They chose the Nutanix Cloud Platform as the optimal solution, providing agility, security, and connectivity to a public cloud while complying with Indian law. Adopting the Nutanix Cloud Platform resulted in a 91% improvement in application response time, enabling insurance distributors to serve customers more efficiently.

The APJ region is currently undergoing a transformative period in cloud computing, with organizations reevaluating their cloud strategies. By placing their eggs in the right baskets, embracing hybrid multicloud and enabling the ultimate cloud flexibility for AI workloads, businesses can maximize their impact, reduce costs and effectively adapt to evolving demands. Nutanix remains at the forefront of this transformation, empowering organizations to navigate the cloud landscape and unlock new business opportunities.

ทบทวนกลยุทธ์ด้านคลาวด์ เพื่อให้แอปพลิเคชันและข้อมูลสามารถรันที่ใดก็ได้

ทบทวนกลยุทธ์ด้านคลาวด์ เพื่อให้แอปพลิเคชันและข้อมูลสามารถรันที่ใดก็ได้

ทบทวนกลยุทธ์ด้านคลาวด์ เพื่อให้แอปพลิเคชันและข้อมูลสามารถรันที่ใดก็ได้

ถอดรหัสการวางเวิร์กโหลดไว้บนสภาพแวดล้อมไอทีที่ไม่เหมาะสม

Fetra Syahbana

บทความโดยนายเฟตรา ชาห์บานา ผู้จัดการประจำกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่เติบโต (GEMs), นูทานิคซ์

รูปแบบของการประมวลผลแบบคลาวด์คอมพิวติ้งที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ส่งผลให้องค์กรในเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น (APJ) กำลังประสบกับการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ของการนำคลาวด์คอมพิวติ้งมาใช้ ปัจจุบันองค์กรจำนวนมากตระหนักแล้วว่าการนำคลาวด์มาใช้อย่างเร่งรีบในช่วงเวลาที่ผ่านมา เป็นการใช้เทคโนโลยีแบบผิดฝาผิดตัวกับงานแต่ละประเภท องค์กรเหล่านี้จึงหันมาโฟกัสกับการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับข้อมูลและการวางแอปพลิเคชันไว้ให้ถูกที่ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ทางธุรกิจได้มากที่สุดควบคู่กับการลดค่าใช้จ่ายและลดความซับซ้อน

วางไข่ไว้ในตะกร้าที่เหมาะสม

เบื้องต้นการนำคลาวด์มาใช้ทำให้องค์กรต้องประเมินกลยุทธ์ใหม่ องค์กรบางแห่งที่นำคลาวด์มาใช้อย่างเร่งรีบ อาจละเลยความสำคัญของการใช้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับข้อมูลและเวิร์กโหลดต่าง ๆ การจับคู่แหล่งทรัพยากรและการใช้จ่ายเข้ากับความต้องการทางธุรกิจ จะช่วยให้องค์กรลดการจัดเตรียมล่วงหน้าที่เกินจำเป็น และลดการใช้งานที่เปล่าประโยชน์ไปพร้อม ๆ กับลดต้นทุนด้านคลาวด์และเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจจากการใช้คลาวด์ได้

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว องค์กรต้องมีความสามารถในการปรับขนาดทรัพยากรที่ใช้ในการประมวลผลและการจัดเก็บ เพื่อให้มั่นใจว่าโครงสร้างพื้นฐานสามารถตอบสนองได้อย่างไดนามิกต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของเวิร์กโหลด ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับทรัพยากรที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ การใช้โมเดลการดำเนินงานบนคลาวด์ที่ช่วยให้สามารถปรับขนาดทรัพยากรได้ตามความต้องการ องค์กรต่าง ๆ สามารถปรับโครงสร้างพื้นฐานของบริษัทให้สอดคล้องกับความต้องการทางธุรกิจได้ และจะทำให้ได้รับประสิทธิภาพสูงสุดและคุ้มค่าใช้จ่ายมากที่สุด ซึ่งเป็นการเปลี่ยนมุมมองบทบาทของคลาวด์ให้เป็นทางเลือก มากกว่าจะเป็นเพียงเป้าหมายสำหรับทุกสิ่ง

การดำเนินงานแบบไดนามิก

การนำกลยุทธ์ไฮบริดมัลติคลาวด์มาใช้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับองค์กรที่มองหาแนวทางลดผลกระทบจากการตัดสินใจผิดผลาด และการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง ความสามารถในการจัดสรรทรัพยากรเพื่อใช้งานได้ทั้งที่เอดจ์ พับลิคคลาวด์ต่าง ๆ และระบบที่อยู่ในองค์กร ช่วยให้เกิดความคล่องตัวและความยืดหยุ่นในการปรับเวิร์กโหลดให้เหมาะสม และองค์กรต่าง ๆ สามารถผสมผสานและจับคู่เวิร์กโหลดต่าง ๆ บนสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุดได้

จุดเด่นสำคัญของการใช้โมเดลไฮบริดมัลติคลาวด์ คือความสามารถในการคงรูปแบบการทำงานที่สอดคล้องกันไว้ได้ไม่ว่าจะใช้สภาพแวดล้อมไอทีที่แตกต่างกันอย่างไร ซึ่งช่วยขจัดความจำเป็นที่ต้องใช้เครื่องมือหลายอย่างสลับกันไป เพื่อจัดการกับสภาพแวดล้อมหนึ่ง ๆ ทั้งยังลดกระบวนการและการใช้ทักษะเฉพาะทางต่าง ๆ ลดความซับซ้อนและไม่ต้องเสียเวลาในการปรับโครงสร้างของแอปพลิเคชันใหม่เมื่อต้องการนำแอปพลิเคชันนั้นไปใช้กับอีกสภาพแวดล้อมหนึ่งที่ต่างออกไป การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน จะช่วยให้องค์กรลดค่าใช้จ่าย เพิ่มความสามารถในการผลิต และจะได้รับประสบการณ์การทำงานที่เป็นหนึ่งเดียวเหมือนกันไม่ว่าจะทำงานบนโครงสร้างพื้นฐานใดก็ตาม กลยุทธ์ด้านไอทีแบบองค์รวมที่ผสานการทำงานของระบบที่อยู่ในองค์กร เอดจ์ และไฮบริดมัลติคลาวด์เข้าด้วยกัน จะส่งให้องค์กรต่าง ๆ มีความคล่องตัวและตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ศักยภาพของ AI

แอปพลิเคชันที่ทำงานด้วย AI ได้กลายเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนในระยะยาวให้กับองค์กร ทั้งนี้องค์กรต่าง ๆ ในปัจจุบันสร้างแอปพลิเคชัน AI มากขึ้น และสามารถรันเวิร์กโหลดของตนที่ใดก็ได้ที่พวกเขาตัดสินใจแล้วว่าเป็นสภาพแวดล้อมไอทีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเวิร์กโหลดนั้น ๆ การจัดการทรัพยากรและการใช้จ่ายให้เหมาะสมกับความต้องการทางธุรกิจ ช่วยให้องค์กรลดการเตรียมการที่ไม่จำเป็นและไม่ต้องใช้ลง ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านคลาวด์ลดลง โมเดลไฮบริด มัลติคลาวด์ มอบความยืดหยุ่นที่ต้องใช้เพื่อรันเวิร์กโหลด AI ต่าง ๆ บนสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุด จึงมั่นใจได้ว่าองค์กรจะได้รับประสิทธิภาพสูงสุดและคุ้มค่าใช้จ่าย

นอกจากนี้ ไฮบริดมัลติคลาวด์ยังช่วยให้องค์กรมองเห็นและควบคุมข้อมูลของตนได้ เป็นการขจัดความกังวลเกี่ยวกับการกำกับดูแลข้อมูลและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ การใช้ศักยภาพของ AI กับสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ใช้คุณประโยชน์ที่ AI มีให้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงการตั้งค่าโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้อยู่ การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการประมวลผลเพื่อรัน AI ในระบบที่อยู่ในองค์กร หรือบนพับลิคคลาวด์ ทำให้องค์กรต่าง ๆ ตระหนักถึงคุณประโยชน์ของการสังเคราะห์ข้อมูล AI ที่อยู่ใกล้กับแหล่งที่มาของข้อมูลมากขึ้น แม้กระทั่งที่เอดจ์ซึ่งอยู่ปลายสุดของเน็ตเวิร์ก

ตัวอย่างองค์กรต่าง ๆ ที่มองหาการใช้กลยุทธ์ไฮบริดมัลติคลาวด์ที่ยืดหยุ่นมาใช้ช่วยคงความคล่องตัวและปรับให้ทันกับความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

  • Diskominfosan ในเมืองยอกยาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ได้ร่วมมือกับ Nutanix เพื่อผสานรวมแอปพลิเคชันของภาครัฐทั้งหมด 229 รายการเข้ากับ Jogja Smart Service (JSS) การบูรณาการนี้ได้ช่วยปรับปรุงการให้บริการประชาชนและความโปร่งใสอย่างมาก และตั้งเป้ารองรับผู้ใช้ JSS มากกว่า 217,000 ราย 
  • Universal Storefront Services Corporation (USSC) ใช้โซลูชันของนูทานิคซ์ในการสร้างคาราวานเงินสด, สร้างความมั่นใจในการปฏิบัติตาม KYC, การยืนยันตัวตน และประมวลผลการชำระเงินที่รวดเร็วขึ้น เพื่อกระจายความช่วยเหลือทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับโรคระบาดไปยังครอบครัวชาวฟิลิปปินส์ในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการธนาคารที่เป็นออฟไลน์ได้ ความร่วมมือกับนูทานิคซ์นี้ช่วยเสริมให้ USSC มีความคล่องตัว ยืดหยุ่น และมีความสามารถในด้านนวัตกรรมมากขึ้น
  • Future Generali India พิจารณาเลือกใช้คลาวด์ แต่ได้พบว่าการใช้คลาวด์เพียงอย่างเดียวเป็นไปไม่ได้ในเชิงเศรษฐกิจ เนื่องจากข้อมูลลูกค้ายังวางอยู่ในระบบภายในองค์กรเพราะติดขัดเรื่องกฎระเบียบ บริษัทฯ จึงเลือก Nutanix Cloud Platform ให้เป็นโซลูชันที่เหมาะสมที่สุดที่ช่วยให้เกิดความคล่องตัว ปลอดภัย และสามารถเชื่อมต่อกับพับลิคคลาวด์โดยที่ยังคงความสามารถในการปฏิบัติตามกฎหมายของอินเดียไว้ได้ และการใช้ Nutanix Cloud Platform นี้ส่งผลให้ระยะเวลาในการตอบสนองของแอปพลิเคชันดีขึ้น 91% ช่วยให้ผู้ขายประกันภัยให้บริการลูกค้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นในปัจจุบัน อยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงด้านคลาวด์คอมพิวติ้ง จากการที่องค์กรต่าง ๆ กำลังประเมินกลยุทธ์ด้านคลาวด์ของตนใหม่ การวางเวิร์กโหลดไว้บนสภาพแวดล้อมไอทีที่เหมาะสม การใช้ไฮบริดมัลติคลาวด์ และใช้ความยืดหยุ่นสูงสุดของคลาวด์เพื่อรันเวิร์กโหลด AI จะช่วยให้ธุรกิจได้ผลลัพธ์สูงสุด ลดค่าใช้จ่ายได้มากที่สุด และปรับตัวเข้ากับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ นูทานิคซ์เป็นผู้นำในการทรานส์ฟอร์มลักษณะดังกล่าวนี้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการเสริมศักยภาพให้องค์กรต่าง ๆ นำรูปแบบของคลาวด์ที่เหมาะสมมาใช้ และเปิดประตูสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ

รายงาน Ericsson ConsumerLab 5G สร้างความแตกต่างของเครือข่ายและโอกาสทางธุรกิจให้กับค่ายมือถือ

รายงาน Ericsson ConsumerLab 5G สร้างความแตกต่างของเครือข่ายและโอกาสทางธุรกิจให้กับค่ายมือถือ

รายงาน Ericsson ConsumerLab 5G สร้างความแตกต่างของเครือข่ายและโอกาสทางธุรกิจให้กับค่ายมือถือ

  • 20% ของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G ยินดีจ่ายค่าบริการเพิ่มขึ้นแก่ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารเพื่อใช้บริการ 5G ที่มีคุณภาพโดดเด่นกว่า
  • ผู้บริโภค 5G มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนผู้ให้บริการเพิ่มขึ้น 3 เท่า หากได้รับประสบการณ์การเชื่อมต่อที่ไม่ดีตามสถานที่ที่มีการใช้ดาต้าหนาแน่น อาทิ สนามกีฬาและสนามบินต่าง ๆ
  • อีริคสันทำวิจัยการตลาดสำหรับประเทศไทยเฉพาะ โดยการสำรวจกลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนผู้บริโภคราว 23 ล้านคนในประเทศ

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) เผยการวิจัยในรายงาน Ericsson ConsumerLab ฉบับล่าสุด ระบุ 1 ใน 5 ของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G มองหาประสบการณ์บริการ 5G ที่แตกต่าง เช่น คุณภาพของการบริการ สำหรับการใช้แอปพลิเคชันยอดนิยม โดยผู้บริโภคยินดีจ่ายเงินแก่ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารในอัตราพิเศษสูงสุดถึง 11% เพื่อเพลิดเพลินไปกับการเชื่อมต่อที่มีมูลค่าเพิ่ม

รายงาน 5G Value: Turning Performance into Value ยังเน้นด้านความพึงพอใจและความภักดีของผู้ใช้ โดยให้ความสำคัญกับศักยภาพของเคสทางธุรกิจของผู้ให้บริการ 5G เนื่องจากยอดผู้สมัครใช้บริการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกแสดงให้เห็นถึงความพึงพอใจเพิ่มขึ้นกับการใช้งานเครือข่าย 5G

นอกจากนี้ ในรายงานยังเผยประสบการณ์การเชื่อมต่อ 5G ที่ไม่น่าพึงพอใจในสถานที่หลัก ๆ อาทิ สนามกีฬา สถานบันเทิงและสนามบิน ทำให้ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะย้ายค่ายมือถือมากขึ้นถึงสามเท่า

การวิจัยโดยรอบด้านครั้งนี้สะท้อนมุมมองของผู้บริโภคประมาณ 1.5 พันล้านรายทั่วโลก รวมถึงลูกค้า 5G ประมาณ 650 ล้านราย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยของอีริคสันเพื่อติดตามวิวัฒนาการของตลาดผู้บริโภค 5G ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562

ในประเทศไทยอีริคสันยังได้วิจัยตลาดแบบเฉพาะเจาะจง โดยการสอบถามกลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนผู้บริโภคราว 23 ล้านคนในประเทศ

พบว่าปัจจัยขับเคลื่อนความพึงพอใจของเครือข่าย 5G กำลังพัฒนาไปสู่ประสบการณ์การใช้งานแอปพลิเคชัน โดยจำนวนผู้ใช้ที่พึงพอใจอย่างมากกับประสิทธิภาพเครือข่าย 5G ในภาพรวมของประเทศไทยเพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

5G กำลังเปลี่ยนโฉมการสตรีมวิดีโอและการใช้งาน AR ผู้ใช้ชาวไทยที่ใช้แพ็คเกจบริการประเภทนี้จะใช้เวลาเกือบ 60% ของเวลาสตรีมมิ่งวิดีโอทั้งหมดไปกับการเพิ่มความน่าสนใจให้กับเนื้อหาวิดีโอหรือ AR ขณะที่ผู้ใช้ที่ไม่ได้ใช้แพ็คเกจบริการประเภทนี้จะใช้เวลาเพียง 40% ไปกับคอนเทนต์สมจริง (Immersive Content)

ประสิทธิภาพ 5G ในจุดสำคัญ ๆ มีผลต่อความภักดีของผู้บริโภค นับตั้งแต่เปิดตัว 5G ในประเทศไทย มีผู้ใช้บริการมือถือประมาณ 19% ย้ายค่ายมือถือ และในบรรดาผู้ที่ย้ายเครือข่าย เกือบ 60% เกิดจากเหตุผลด้านประสิทธิภาพเครือข่าย 5G ซึ่งหากผู้ใช้มีปัญหาการเชื่อมต่อในพื้นที่ต่าง ๆ ตั้งแต่ 2 แห่งขึ้นไปก็มีแนวโน้มที่ย้ายค่ายมากขึ้น 1.3 เท่า

ผู้บริโภค 5G ในประเทศไทยจะจ่ายค่าบริการพิเศษสำหรับการเชื่อมต่อที่มีความต่างและโดดเด่น โดยผู้ใช้สมาร์ทโฟนยินดีจ่ายค่าบริการเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 13% สำหรับข้อเสนอที่รวมการใช้บริการแอปฯ ชั้นนำ

ญาสมีต ซิงห์ เซธิ หัวหน้าฝ่าย Ericsson ConsumerLab กล่าวว่าในการสำรวจครั้งนี้ มีผู้บริโภค 5G ราว 37% เชื่อว่าการเพิ่มปริมาณการใช้ดาต้าในแพ็คเกจ 5G ของพวกเขาสมเหตุสมผลกับอัตราค่าบริการพรีเมียมของผู้ให้บริการ

“ที่น่าสนใจคือประมาณหนึ่งในห้าของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G แสดงความพึงพอใจชัดเจนต่อคุณภาพการเชื่อมต่อบริการที่มีความแตกต่าง โดยผู้บริโภคกลุ่มนี้มองหาประสิทธิภาพเครือข่ายที่ยกระดับและมีความเสถียรแทนการเลือกใช้ 5G แบบทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครือข่ายที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับแอปพลิเคชันที่ต้องการประสิทธิภาพเครือข่ายสูง ๆ และเจาะจงสถานที่สำคัญ ๆ ผลการวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าพวกเขายินดีจ่ายค่าบริการพิเศษเพิ่มขึ้นอีก 11% หากผู้ให้บริการมีบริการเหล่านี้เสนอให้”

วิธีเก็บข้อมูล

อีริคสันสัมภาษณ์ผู้บริโภคมากกว่า 37,000 คน ใน 28 ประเทศ ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน พ.ศ. 2566 โดยขอบเขตการวิจัยสะท้อนมุมมองความคิดเห็นของผู้บริโภคประมาณ 1.5 พันล้านคน รวมถึงผู้ใช้ 5G จำนวน 650 ล้านราย

Ericsson Consumer Lab report highlights differentiated 5G connectivity opportunity for CSPs

Ericsson ConsumerLab report highlights differentiated 5G connectivity opportunity for CSPs

Ericsson ConsumerLab report highlights differentiated 5G connectivity opportunity for CSPs

  • Twenty percent of 5G smartphone users willing to pay premium to CSPs for differentiated quality of service over 5G.
  • 5G consumers three times more likely to switch provider because of poor connectivity experiences at major venues such as stadiums, arenas and airports.
  • Ericsson conducted a market research specifically for Thailand, where its sampling group represented 23 million consumers in the country.

One-in-five 5G smartphone users seeking differentiated 5G service experiences, such as quality of service, for demanding applications are willing to pay communications service providers (CSPs) a premium of up to 11 percent to enjoy the value-added connectivity, new research from Ericsson (NASDAQ: ERIC) ConsumerLab reveals.

The satisfaction and user-loyalty-focused report – called 5G Value: Turning Performance into Value – highlights the CSP business case potential for 5G as growing number of subscribers around the world express increased satisfaction with 5G.

It also reveals that unsatisfactory 5G connectivity experiences at key locations such as stadiums, entertainment arenas and airports can make customers up to three times more likely to switch communications service providers.

The comprehensive research – which reflects the views of an estimated 1.5 billion consumers globally, including about 650 million 5G customers – is part of an Ericsson research series which has tracked the evolution of the 5G consumer market since 2019.

Ericsson also conducted a market research specifically for Thailand, where its sampling group represented 23 million consumers in the country.

It was found that 5G network satisfaction drivers are evolving to application experience. The number of users highly satisfied with overall 5G network performance has increased by 18 percent year-on-year in Thailand.

5G is reshaping video streaming and AR usage. Thai users with innovative service bundles spent almost 60 percent of their total video streaming time on enhanced video content or AR, while those without spent 40 percent of their time on immersive content.

5G performance at key locations influences consumer loyalty. 19% users have switched providers since launch of 5G in Thailand. Among those who have switched operators, almost 60 percent have switched due to 5G network performance. If a user has connectivity issues in two or more locations, they are 1.3 times more likely to churn.

5G consumers In Thailand will pay premiums for differentiated connectivity. Smartphone users are willing to pay an average premium of 13 percent for app bundling-led offerings.

Jasmeet Singh Sethi, Head of Ericsson ConsumerLab, says about 37 percent of 5G consumers polled believe that increased data allowances in their 5G plans would justify premium rate charges from CSPs.

“Interestingly, about one-in-five 5G smartphone users polled expressed a clear preference for differentiated quality of service connectivity. Rather than settling for generic, best-effort 5G performance, these users are actively seeking elevated and consistent network performance, especially tailored for demanding applications and specific key locations. The research shows they are willing to pay an 11 percent premium if their service provider offers it.”

Methodology

More than 37,000 consumers in 28 countries were interviewed during May and June 2023. The research scope is reflective of the opinions of about 1.5 billion consumers, including 650 million 5G users.