เคล็ด (ไม่) ลับวางแผนเลือกซื้อบ้านใหม่เป็นเรือนหออย่างไรให้รักมั่นคง

เคล็ด (ไม่) ลับวางแผนเลือกซื้อบ้านใหม่เป็นเรือนหออย่างไรให้รักมั่นคง

เคล็ด (ไม่) ลับวางแผนเลือกซื้อบ้านใหม่เป็นเรือนหออย่างไรให้รักมั่นคง

เมื่อความรักสุกงอมแล้วการวางแผนซื้อเรือนหอร่วมกันถือเป็นก้าวสำคัญของชีวิตคู่ เนื่องจากการมีบ้านเป็นของตัวเองนอกจากจะสร้างความมั่นคงแล้วยังเป็นสัญลักษณ์การเริ่มต้นสร้างครอบครัวอีกด้วย สอดคล้องกับข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุดของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย พบว่าผู้บริโภคเกือบ 1 ใน 3 (31%) ตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับพ่อแม่และบุตรหลานเมื่อขยายครอบครัว รวมถึงการวางแผนระยะยาวสำหรับผู้ที่มีแผนแต่งงานสร้างครอบครัว

ส่อง 4 ปัจจัยสำคัญที่คู่รักควรพิจารณาเมื่อซื้อเรือนหอ

การซื้อบ้านใหม่เป็นเรือนหอถือเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่คู่รักต้องพิจารณาร่วมกันหลายด้าน เนื่องจากเป็นการสร้างภาระผูกพันทางการเงินระยะยาวร่วมกัน ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) ชวนคู่รักมาสำรวจปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อบ้านใหม่เป็นเรือนหอ เพื่อให้สามารถเลือกที่อยู่อาศัยได้ตอบโจทย์ความต้องการของทั้งสองฝ่ายมากที่สุด ดังนี้

  1. ตั้งงบประมาณให้เหมาะสมกับรายได้ สิ่งแรกที่คู่รักต้องทำคือการตั้งงบประมาณเรือนหอในฝันให้ชัดเจน โดยพิจารณาจากรายได้และค่าใช้จ่ายของทั้งสองคนรวมกัน เพื่อนำมาคำนวณความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ต่อเดือนหากต้องยื่นกู้สินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยจากธนาคาร ขณะเดียวกันควรสร้างประวัติทางการเงินให้ดี หลีกเลี่ยงการมีประวัติค้างชำระซึ่งจะส่งผลต่อการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้ นอกจากนี้ยังต้องมีเงินเก็บเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ ค่าตกแต่งบ้าน เป็นต้น ทั้งนี้ การกำหนดงบประมาณซื้อที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมกับความสามารถทางการเงินจะช่วยให้คู่รักเลือกบ้านได้ตรงตามกำลังทรัพย์ และไม่สร้างภาระทางการเงินในอนาคต
  1. เลือกทำเลให้ตอบโจทย์ ครอบคลุมไลฟ์สไตล์ คู่รักทั้งสองฝ่ายควรเลือกทำเลเรือนหอให้สามารถเดินทางสะดวกทั้งในการไปทำงานหรือใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ที่ชื่นชอบ เช่น ใกล้สวนสาธารณะ ใกล้แหล่งช็อปปิ้ง หากวางแผนมีบุตรในอนาคตก็ควรเลือกที่อยู่อาศัยที่ไม่ไกลจากสถานศึกษา หรือหากมีสัตว์เลี้ยงก็ควรพิจารณาโครงการบ้าน/คอนโดมิเนียมที่เลี้ยงสัตว์ได้ (Pet-Friendly) มีสิทธิประโยชน์หรือมีส่วนกลางที่อำนวยความสะดวกสำหรับสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ

ล่าสุดดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) ได้ออกฟิลเตอร์ใหม่เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายของคนหาบ้าน ให้สามารถเลือกค้นหาบ้าน/คอนโดฯ หลังใหม่ที่ใช่ได้ง่ายขึ้น ประกอบด้วยฟิลเตอร์ค้นหาโครงการที่มีส่วนกลางเอาใจคนรักสัตว์, โครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, โครงการใกล้โรงเรียน และโครงการหรู นอกจากนี้ คู่รักควรเลือกทำเลที่มีระบบสาธารณูปโภคครบครัน อยู่ใกล้โรงพยาบาลหรือคลินิกเพื่อความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตและดูแลสุขภาพในอนาคต 

  1. พิจารณารูปแบบที่อยู่อาศัยให้เหมาะสม คู่รักควรตัดสินใจร่วมกันว่าจะเลือกซื้อที่อยู่อาศัยรูปแบบไหนเป็นเรือนหอ โดยพิจารณาจากจำนวนสมาชิกในครอบครัว เช่น หากวางแผนมีลูกในอนาคตบ้านเดี่ยวอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ส่วนคู่รักที่ต้องการความคล่องตัวและไม่ต้องการพื้นที่มากนักควรเลือกคอนโดฯ แทน ทั้งนี้ หากคู่รักต้องทำงานที่บ้านหรือต้องการพื้นที่ทำธุรกิจเล็กน้อยอาจจะเลือกบ้านเดี่ยวหรือทาวน์เฮ้าส์ที่ตอบโจทย์มากกว่า อย่างไรก็ดี ปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือการไปดูโครงการจริงเพื่อพิจารณาสภาพแวดล้อมโดยรอบก่อนตัดสินใจซื้อ เช่น ความปลอดภัยในพื้นที่ ความเงียบสงบ และสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อให้การอยู่อาศัยเป็นไปอย่างราบรื่น
  1. วางแผนสร้างครอบครัวในอนาคตอย่างรอบคอบ การซื้อเรือนหอเป็นทรัพย์สินที่มีราคาสูง คู่รักจึงควรวางแผนอนาคตร่วมกันให้รอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อ ทั้งด้านการวางแผนครอบครัวว่าจะมีบุตรในอนาคต, จะอาศัยอยู่กันสองคน หรือจะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงแทนลูก (Pet Humanization) ซึ่งจะส่งผลต่อการเลือกขนาดและรูปแบบที่อยู่อาศัย รวมทั้งพิจารณาถึงความมั่นคงในอาชีพของทั้งสองฝ่าย โดยต้องไม่ลืมประเมินความเสี่ยงว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงทางอาชีพเกิดขึ้น จะยังคงมีเงินเก็บเพียงพอในการผ่อนชำระต่อได้มากน้อยเพียงใด ดังนั้น คู่รักจึงควรปรึกษาและพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อเรือนหอที่ใช่ในเวลาที่พร้อม

กฎหมายควรรู้ การซื้อเรือนหอถือเป็นสินสมรสหรือไม่?

ตามกฎหมายแล้วคู่สมรสจะมีสิทธิในการบริหารจัดการสินสมรสร่วมกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474 บัญญัติไว้ว่า สินสมรส ได้แก่ ทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส เช่น เงินเดือน โบนัส หรือทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยพินัยกรรมหรือการให้เป็นหนังสือโดยระบุว่าเป็นสินสมรส รวมทั้งทรัพย์สินที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว สำหรับสิทธิในการครอบครองอสังหาฯ หรือเรือนหอนั้น

  • หากคู่รักจดทะเบียนสมรสกันก่อนซื้อบ้าน/คอนโดฯ เพื่อเป็นเรือนหอจะถือเป็นสินสมรส ซึ่งทั้งสองคนมีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน หากขายบ้านที่มีกรรมสิทธิ์ร่วมกันนี้ รายได้จากการขายจะต้องแบ่งครึ่งหรือแบ่งตามสัดส่วนกรรมสิทธิ์ ส่วนกรณีที่มีการหย่าร้างในภายหลัง สินสมรสจะต้องนำมาแบ่งกันระหว่างสามีภรรยา 
  • ในกรณีที่ผู้บริโภคซื้อบ้าน/คอนโดฯ ตั้งแต่ตอนยังโสดจะถือว่าที่อยู่อาศัยนั้นเป็นสินส่วนตัว หากผู้บริโภคมีการจดทะเบียนสมรสในภายหลังและต้องการเพิ่มชื่อคู่สมรสเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกัน จะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น หรือหากต้องการเพิ่มชื่อคู่สมรสในกรณีที่เปลี่ยนจากการกู้เดี่ยวมาเป็นการกู้ร่วมเพื่อช่วยกันผ่อนชำระบ้านนั้น ธนาคารจะนำรายได้และภาระหนี้ของคู่สมรสที่กู้ร่วมมาพิจารณาอีกครั้ง  

ด้านกรรมสิทธิ์ในการครอบครองที่อยู่อาศัย เมื่อผู้กู้ผ่อนชำระสินเชื่อบ้านครบแล้วกรรมสิทธิ์จะเป็นของผู้กู้โดยตรง ในกรณีการกู้ร่วมของคู่รัก ผู้กู้ร่วมจะต้องตกลงกันว่าจะให้ใครถือกรรมสิทธิ์ หรือจะถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน หรือจะระบุไปในสัญญาว่าจะมอบกรรมสิทธิ์ให้ผู้ใด อย่างไรก็ดี หากผู้กู้เสียชีวิตโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ คู่สมรสที่ยังมีชีวิตจะถือเป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิรับมรดกของคู่สมรสที่เสียชีวิตได้ตามกฎหมาย ซึ่งรวมทั้งอสังหาริมทรัพย์ 

เปิดสูตรผ่อนบ้านฉบับคู่รัก วางแผนอย่างไรให้ผ่อนหมดไวไปด้วยกัน

การซื้อเรือนหอถือเป็นก้าวแรกในการเริ่มต้นใช้ชีวิตคู่ เมื่อคู่รักคิดจะสร้างครอบครัวร่วมกันแล้วจึงไม่ควรละเลยการวางแผนทางการเงินเพื่อผ่อนบ้านในอนาคต ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) ขอแนะนำเคล็ด (ไม่) ลับช่วยให้คู่รักวางแผนผ่อนบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระดอกเบี้ยให้หมดไว สานฝันให้คู่รักมีเรือนหอในฝันได้อย่างมั่นใจ 

  • ตกลงหน้าที่ผ่อนบ้านให้ชัดเจน คู่รักทั้งสองฝ่ายควรปรึกษาและตกลงกันให้ชัดเจนเกี่ยวกับหน้าที่ความรับผิดชอบในการผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน เช่น ใครจะเป็นผู้ยื่นกู้ซื้อบ้านหรือจะกู้ร่วมกัน ใครจะรับหน้าที่ผ่อนบ้านเป็นหลัก แบ่งสัดส่วนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนกลางหรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เกี่ยวกับบ้านอย่างไร หรือจะตั้งเงินกองกลางเพื่อดูแลรักษาบ้านเท่าไร ซึ่งควรพิจารณาโดยอ้างอิงจากรายได้และค่าใช้จ่ายส่วนตัวของแต่ละฝ่ายว่าใครมีความสามารถในการผ่อนชำระได้มากกว่า เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกันและแยกรายจ่ายเพื่อผ่อนบ้านอย่างเป็นระบบ ลดความขัดแย้งเรื่องนี้ในภายหลัง
  • เลือกอัตราดอกเบี้ยอย่างชาญฉลาด ผู้บริโภคควรศึกษาและทำความเข้าใจว่าอัตราดอกเบี้ยแบบไหนที่คุ้มค่าที่สุด โดยนำอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อแต่ละตัวมาเฉลี่ยเป็นอัตราดอกเบี้ยตลอดอายุของสินเชื่อและปรับให้เป็นอัตราดอกเบี้ยต่อปี ซึ่งจะทำให้สามารถเปรียบเทียบสินเชื่อของแต่ละธนาคารได้ง่ายขึ้น สิ่งสำคัญคือผู้กู้ควรเลือกจากอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยใน 3 ปีแรกเป็นหลักว่าธนาคารใดให้ดอกเบี้ยต่ำที่สุด และเมื่อผ่อนชำระครบ 3 ปีแล้ว ให้พิจารณายื่นเรื่องขอลดดอกเบี้ยกับธนาคารเดิม (Retention) หรือรีไฟแนนซ์ (Refinance) กับธนาคารใหม่ ซึ่งจะช่วยให้ได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง ประหยัดค่าดอกเบี้ยในระยะยาวได้มากขึ้น 

เคล็ดลับในการเลือกสินเชื่อนั้นผู้กู้ควรเลือกอัตราดอกเบี้ยลอยตัวในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้มีแนวโน้มที่จะปรับลดลง ซึ่งจะทำให้ยอดดอกเบี้ยที่ผู้กู้ต้องชำระลดลงตามไปด้วย แต่หากอยู่ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้น ผู้กู้ควรเลือกสินเชื่อที่อัตราดอกเบี้ยคงที่ทั้ง 3 ปี เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ยลอยตัวที่อาจปรับสูงขึ้นตามสภาพเศรษฐกิจในช่วงนั้น โดยสามารถติดตามสถานการณ์ที่ส่งผลต่อการปรับอัตราดอกเบี้ยได้จากข่าวเศรษฐกิจและการคาดการณ์จากนักวิเคราะห์

  • “ผ่อนแบบลดต้นลดดอก” ช่วยลดภาระดอกเบี้ย “การผ่อนบ้านแบบลดต้นลดดอก” (Effective Rate) เป็นวิธีการคำนวนของธนาคารที่ชี้แจงให้เห็นถึงความตรงต่อเวลาในการส่งเงินต้น อันเป็นผลทำให้ดอกเบี้ยในงวดต่อไปลดลง โดยคำว่า “ลดต้น” หมายถึงเงินต้นซึ่งจะนำมาคิดดอกเบี้ยในแต่ละงวด โดยเงินต้นจะลดลงไปเรื่อย ๆ จากการนำจำนวนเงินในงวดที่ชำระไปก่อนหน้าส่วนที่เหลือจากหักชำระดอกเบี้ยมาหักลบออกไป ส่วน “ลดดอก” หมายถึงดอกเบี้ยในงวดถัดมาที่จะลดลงเรื่อย ๆ แปรผันตามเงินต้นที่ลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เงินต้นเหลือน้อยลงเรื่อย ๆ เนื่องจากถูกหักออกไปจากการชำระในงวดก่อนหน้า แม้ว่าจำนวนเงินที่ชำระในแต่ละงวดจะกำหนดไว้คงที่ แต่การคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกนี้จะทำให้จำนวนเงินที่ผ่อนชำระในงวดหลัง ๆ จะถูกกันส่วนหนึ่งไปชำระดอกเบี้ยน้อยลง และเหลือส่วนที่ไปตัดยอดหนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ จึงถือเป็นวิธีที่ช่วยประหยัดดอกเบี้ยในระยะยาว
  • วางแผนโปะบ้านให้ผ่อนหมดไวแบบติดสปีดการโปะบ้าน” เป็นการผ่อนชำระหนี้ให้มากกว่าที่กำหนดไว้หรือมากกว่าจำนวนเงินชำระต่องวดที่ระบุไว้ในสินเชื่อ เพื่อให้มีจำนวนเงินไปหักชำระเงินต้นมากขึ้นหรือไปหักยอดหนี้โดยตรง ถือเป็นวิธีที่ช่วยให้ผ่อนบ้านหมดเร็วและลดดอกเบี้ยอย่างเห็นผลได้ชัดเจน โดยสามารถทำได้ทั้งการกระจายเงินเพื่อชำระเงินเกินด้วยจำนวนเงินน้อย ๆ แต่เลือกชำระเกินทุกงวด หรือจะชำระเกินด้วยจำนวนเงินมาก ๆ เพียงก้อนเดียวและโปะบ้านเพิ่มปีละครั้งก็ได้เช่นกัน

ซึ่งการโปะบ้านด้วยการชำระเกินทุกงวดด้วยจำนวนเงินน้อย ๆ เหมาะกับผู้มีรายได้คงที่และรายจ่ายค่อนข้างคงที่ ซึ่งจะดีกว่าการรอนำเงินก้อนใหญ่เพียงก้อนเดียวอย่างเงินโบนัสมาโปะยอดหนี้ ส่วนการผ่อนบ้านแบบโปะเงินจำนวนมากนั้นเหมาะสมกับอาชีพที่รายได้ไม่คงที่และไม่สม่ำเสมอ เช่น พนักงานขาย หรืออาชีพอิสระ ที่จะได้รับค่าจ้างหรือค่าคอมมิชชันเป็นครั้งไป จึงอาจไม่สามารถผ่อนบ้านแบบชำระเกินได้ทุกงวด อย่างไรก็ดี การโปะบ้านทุกครั้งที่มีโอกาสไม่ว่าจะวิธีไหนก็ช่วยให้ผู้กู้สามารถผ่อนชำระหนี้บ้านได้ไวกว่าปกติอย่างแน่นอน

การวางแผนซื้อเรือนหอแม้ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ยากเกินจะทำความเข้าใจ เพียงคู่รักใช้ความรักและความเข้าใจในการวางแผนก็จะสามารถเลือกซื้อเรือนหอในฝันได้อย่างราบรื่น ทั้งนี้ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ได้พัฒนาฟิลเตอร์ช่วยค้นหาที่อยู่อาศัยให้ตรงโจทย์คนหาบ้านทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาด้วยสถานีรถไฟฟ้า BTS/MRT หรือหาโครงการใกล้โรงเรียนสำหรับผู้ที่เน้นความสะดวกในการเดินทาง หรือจะเลือกฟิลเตอร์ค้นหาตามไลฟ์สไตล์ไม่ว่าจะเป็นโครงการที่มาพร้อมส่วนกลางเอาใจคนรักสัตว์, โครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และโครงการหรู นอกจากนี้ ยังได้รวบรวมข้อมูลประกาศซื้อ/ขาย/ให้เช่าโครงการบ้าน/คอนโดฯ ใหม่ในหลากหลายทำเลทั่วประเทศ เพื่อช่วยให้ทุกคนเตรียมความพร้อมก่อนตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในฝันได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

Alibaba Cloud Establishes Second Data Center in Thailand with Richer Product Portfolio for Generative AI and Industry-specific Solutions

อาลีบาบา คลาวด์ เปิด ดาต้าเซ็นเตอร์ แห่งที่สองในประเทศไทย มาพร้อมกลุ่มผลิตภัณฑ์หลากหลายเพื่อรองรับ Generative AI และโซลูชันเฉพาะทางสำหรับแต่ละอุตสาหกรรม

Alibaba Cloud Establishes Second Data Center in Thailand with Richer Product Portfolio for Generative AI and Industry-specific Solutions

Enhanced operational efficiency achieved for local customers in the technology, media, fintech, and retail sectors

– Alibaba Cloud, the digital technology and intelligence backbone of Alibaba Group, today announced the launch of its second data center in Thailand. The addition aims to increase local capacity in response to the rising demand for cloud computing services, particularly in supporting generative AI applications, while supporting the government’s initiatives for fostering digital innovation and sustainable technology development.

“Our latest data center strengthens our commitment to providing reliable, secure, and high-performance cloud services tailored to the needs of local businesses,” said Sean Yuan, Vice President of International Business, General Manager of Thailand, Indonesia, Japan, the Philippines, and South Pacific Region, Alibaba Cloud Intelligence, “With enhanced local infrastructure, we aim to empower enterprises to leverage the full potential of cloud technology, especially in generative AI applications.”

Following the inauguration of this new data center, Alibaba Cloud now operates 86 availability zones across 28 regions globally, solidifying its position as a leading cloud service provider in Southeast Asia. Alibaba Cloud launched its first data center in Thailand in 2022.

Alibaba Cloud has over 140 security and compliance accreditations worldwide, ensuring top-tier protection and resilience for its cloud offerings. With two data centers, it will facilitate Alibaba Cloud’s provision of scalable, elastic, and highly available cloud computing products with enhanced disaster recovery capabilities tailored to the nation’s dynamic digital landscape while adhering to stringent security and regulatory standards. 

Innovative Solutions for Local Businesses

Alibaba Cloud is enhancing its diverse portfolio of services aimed at empowering businesses in Thailand. This portfolio includes elastic computing, storage, database, security, network products, data analytics and AI services and solutions can address vertical industry challenges. 

Leveraging AnalyticDB’s cloud-native vector engine, Thai businesses especially from fintech and retail sectors can create enterprise-grade retrieval-augmented generation (RAG) solutions that improve customer interactions via customized large language model (LLM) applications. This allows companies to build a dedicated knowledge base, efficiently managing structured and unstructured data as vectors. Consequently, businesses can rapidly develop tailored chatbots and intelligent engagement tools featuring intelligent Q&A and personalized product recommendations, elevating the customer experience.

In addition, the newly introduced Alibaba Cloud Container Compute Service (ACS) simplifies and optimizes workload deployment using Kubernetes as its interface, offering a serverless container environment. ACS enables businesses to scale their operations efficiently by minimizing the complexities associated with infrastructure management, allowing them to focus on innovation while effectively managing costs.

Alibaba Cloud offers a range of industry-specific solutions tailored to the needs of digital-native clients in sectors such as fintech, retail, and public services. These solutions include the Workspace Elastic Desktop Service (EDS), eKYC solutions, SuperApp development capabilities, and AI-driven sustainability solutions.

Supporting Diverse Clients in Thailand

Alibaba Cloud has been instrumental in supporting Thai businesses across a diverse array of sectors, including technology, media, retail, fintech, and public sectors. By offering scalable, secure, and innovative cloud solutions, Alibaba Cloud empowers organizations to enhance operational efficiency, accelerate digital transformation, and better serve their customers.

True Digital Group, a core business of True Corporation Plc., one of Thailand’s leading Telecom-Tech companies, has leveraged Alibaba Cloud’s proven and trustworthy cloud computing products particularly in database and container technologies to enhance the efficiency, stability, and scalability of its energy platform.

Yell Group, a leading creative digital company headquartered in Thailand, has formed a transformative partnership with Alibaba Cloud to enhance its storyboard AI platform, AI-Deate. This collaboration seeks to revolutionize creative workflows using generative AI technologies, empowering creators in 102 countries to develop innovative applications while addressing work-life balance challenges in the digital age.

“This strategic partnership with Alibaba Cloud allows us to harness advanced AI capabilities, transforming how we empower creatives,” said Dissara Udomdej, CEO of Yell Group, “Together, we are set to redefine the creative landscape across Asia and beyond.”

Codium, a prominent software company in Thailand specializing in digital workplace solutions, has partnered with Alibaba Cloud to utilize its scalable infrastructure. This collaboration aims to establish a strong digital foundation for businesses in Thailand and improve the local cloud market ecosystem through accessible cloud services and comprehensive support for Thai clients.

“Collaborating with Alibaba Cloud has allowed us to provide our customers with flexible and scalable digital workplace solutions,” said Sivabudh Umpudh, CEO of Codium, “Their infrastructure not only supports our growth, but also enhances our ability to serve the unique needs of Thai businesses.”

White Channel, a well-known television broadcasting and OTT service provider in Thailand, has optimized its video-on-demand platform by implementing Alibaba Cloud’s end-to-end video streaming service, ApsaraVideo VOD. This partnership enables White Channel to deliver high-quality video playback without latency, utilizing a global CDN and scalable storage solutions to manage its extensive content library effectively, even during surge traffic periods.

“Working with Alibaba Cloud has significantly improved our ability to deliver seamless video services to our audience,” said Chawalit Ueaferua, Head of IT Department of White Channel, “Their cutting-edge technology ensures that our viewers receive high-quality content, anytime and anywhere.”

Fostering Local Ecosystem and Digital Talent

Alibaba Cloud is actively nurturing the local ecosystem by partnering with approximately 70 local partners, including Cloud HM, Kaopanwa, Softdebut, Thai Data Cloud, and True IDC, to empower the digital transformation of businesses across Thailand.

Alibaba Cloud is also committed to fostering digital talent through collaborations with local universities including Chulalongkorn University, King Mongkut’s University of Technology Thonburi, Prince of Songkla University and Bangkok University, offering workshops and certified courses in cloud computing and generative AI. In late 2023, Alibaba Cloud launched its first global skills center at Chulalongkorn University, which provides free training courses, boot camps, AI competitions, and leadership development programs. These initiatives are part of Alibaba Cloud’s ongoing efforts to enhance educational resources and promote a thriving digital landscape through further collaborations with local institutions.

อาลีบาบา คลาวด์ เปิด ดาต้าเซ็นเตอร์ แห่งที่สองในประเทศไทย มาพร้อมกลุ่มผลิตภัณฑ์หลากหลายเพื่อรองรับ Generative AI และโซลูชันเฉพาะทางสำหรับแต่ละอุตสาหกรรม

อาลีบาบา คลาวด์ เปิด ดาต้าเซ็นเตอร์ แห่งที่สองในประเทศไทย มาพร้อมกลุ่มผลิตภัณฑ์หลากหลายเพื่อรองรับ Generative AI และโซลูชันเฉพาะทางสำหรับแต่ละอุตสาหกรรม

อาลีบาบา คลาวด์ เปิด ดาต้าเซ็นเตอร์ แห่งที่สองในประเทศไทย มาพร้อมกลุ่มผลิตภัณฑ์หลากหลายเพื่อรองรับ Generative AI และโซลูชันเฉพาะทางสำหรับแต่ละอุตสาหกรรม

เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานให้กับลูกค้าในประเทศไทย ในวงการฟินเทค สื่อ เทคโนโลยี และค้าปลีก

อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป ประกาศเปิดตัวดาต้าเซ็นเตอร์แห่งที่สองในประเทศไทย มุ่งเพิ่มสมรรถนะในการตอบสนองความต้องการบริการคลาวด์คอมพิวติ้งที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทย โดยเฉพาะเพื่อรองรับแอปพลิเคชัน generative AI และสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลไทยที่มุ่งส่งเสริมนวัตกรรมดิจิทัลและการพัฒนาเทคโนโลยีที่นำสู่ความยั่งยืน

นาย ฌอน หยวน รองประธานฝ่ายธุรกิจระหว่างประเทศ และ ผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และภูมิภาคแปซิฟิกใต้ ของอาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “ดาต้าเซ็นเตอร์ล่าสุดของเรานี้ เป็นการเสริมแกร่งความมุ่งมั่นของเราในการให้บริการคลาวด์ที่เชื่อถือได้ ปลอดภัย และทรงประสิทธิภาพ ที่ปรับให้ตรงตามความต้องการของธุรกิจในประเทศไทย เราเพิ่มประสิทธิภาพให้กับโครงสร้างพื้นฐานในประเทศเพื่อมุ่งเสริมศักยภาพให้องค์กรในการใช้ศักยภาพของเทคโนโลยีคลาวด์ให้ได้สูงสุด โดยเฉพาะกับแอปพลิเคชัน generative AI”

ดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่นี้ ตอกย้ำจุดยืนที่มั่นคงในฐานะผู้ให้บริการคลาวด์ระดับแนวหน้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของอาลีบาบา คลาวด์ ด้วย availability zone ทั้งหมด 86 แห่ง ใน 28 ภูมิภาคทั่วโลก ทั้งนี้ อาลีบาบา คลาวด์ ได้เปิดดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2565

อาลีบาบา คลาวด์ ได้รับการรับรองด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎระเบียบมากกว่า 140 รายการจากทั่วโลก จึงมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์และบริการคลาวด์ที่บริษัทฯ นำเสนอนั้นมีความยืดหยุ่นและมีการป้องกันระดับสูงสุด ดาต้าเซ็นเตอร์สองแห่งนี้จะช่วยสนับสนุนให้อาลีบาบา คลาวด์ สามารถให้บริการผลิตภัณฑ์คลาวด์คอมพิวติ้งที่มีความพร้อมใช้สูง มีความสามารถในการสเกล และยืดหยุ่น ที่มาพร้อมความสามารถในการกู้คืนระบบจากความเสียหายที่ได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพแล้ว และปรับให้เหมาะกับภูมิทัศน์ดิจิทัลที่ไดนามิกของประเทศ ในขณะเดียวกันก็ยังคงยึดมั่นในมาตรฐานด้านความปลอดภัยและกฎระเบียบอย่างรัดกุมเข้มงวด

โซลูชันที่เป็นนวัตกรรม เสริมศักยภาพให้ธุรกิจในประเทศ

อาลีบาบา คลาวด์ มุ่งมั่นเพิ่มขีดความสามารถให้องค์กรธุรกิจในประเทศไทย ด้วยการปรับปรุงกลุ่มผลิตภัณฑ์หลากหลาย ซึ่งรวมถึง การประมวลผลแบบยืดหยุ่น (elastic computing), สตอเรจ, ฐานข้อมูล, ความปลอดภัย, ผลิตภัณฑ์ด้านเน็ตเวิร์ก, การวิเคราะห์ข้อมูล และบริการด้าน AI ต่าง ๆ รวมถึงโซลูชันต่าง ๆ ที่สามารถขจัดความท้าทายให้กับอุตสาหกรรมแต่ละประเภท

Cloud-native vector engine ของ AnalyticDB ช่วยให้ธุรกิจไทยโดยเฉพาะฟินเทคและค้าปลีก สร้างโซลูชันที่สามารถดึงข้อมูลองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องได้แบบเรียลไทม์ (retrieval-augmented generation:RAG) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า ผ่านแอปพลิเคชันที่เป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ที่ได้รับการปรับแต่งให้เหมาะสมกับธุรกิจนั้น ๆ ความสามารถดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทต่าง ๆ สร้างฐานความรู้เฉพาะของตน และจัดการข้อมูลทั้งที่มีโครงสร้างและไม่มีโครงสร้างในรูปแบบเวกเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้สามารถพัฒนาแชทบอทที่ตรงตามความต้องการของตน และพัฒนาครื่องมือสำหรับการปฏิสัมพันธ์ ที่สามารถถามตอบได้อย่างชาญฉลาด และให้คำแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เฉพาะเจาะจงกับความต้องการของแต่ละองค์กรได้ นับเป็นการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าได้อย่างมาก

เร็ว ๆ นี้ บริษัทฯ ได้เปิดตัว Alibaba Cloud Container Compute Service (ACS) ที่มีคุณสมบัติในการลดความยุ่งยากและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการใช้เวิร์กโหลดด้วยการใช้ Kubernetes เป็นอินเทอร์เฟซ มาพร้อมสภาพแวดล้อมคอนเทนเนอร์ที่ไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ ACS ช่วยให้ธุรกิจปรับขนาดการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการลดความซับซ้อนที่เกี่ยวกับการจัดการโครงสร้างพื้นฐานให้เหลือน้อยที่สุด เพื่อให้บุคลากรสามารถโฟกัสงานที่เป็นนวัตกรรมได้ ทั้งยังจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อาลีบาบา คลาวด์ นำเสนอโซลูชันหลากหลายที่ปรับให้เหมาะเฉพาะกับแต่ละอุตสาหกรรม และความต้องการของลูกค้าที่ใช้ดิจิทัลเป็นพื้นฐานในหลายภาคส่วน เช่น ฟินเทค ค้าปลีก และ บริการสาธารณะ โซลูชันเหล่านี้ประกอบด้วย Workspace Elastic Desktop Service (EDS), โซลูชัน eKYC ต่าง ๆ, สมรรถนะในการพัฒนา SuperApp และโซลูชันด้านความยั่งยืนที่ขับเคลื่อนด้วย AI

ให้การสนับสนุนลูกค้าหลากหลายในประเทศไทย

อาลีบาบา คลาวด์ มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนธุรกิจไทยหลายภาคส่วน ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยี สื่อ ค้าปลีก ฟินเทค และภาครัฐ โซลูชันคลาวด์ที่ปรับขนาดได้ ปลอดภัย และเป็นการสร้างสรรค์ใหม่ของอาลีบาบา คลาวด์ ช่วยเสริมให้องค์กรต่าง ๆ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และให้บริการลูกค้าของตนได้ดีขึ้น

ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป หนึ่งในธุรกิจหลักของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีโทรคมนาคมระดับแนวหน้าแห่งหนึ่งของไทย ใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์คลาวด์คอมพิวติ้งที่เชื่อถือได้และพิสูจน์ประสิทธิภาพแล้วของอาลีบาบา คลาวด์ โดยเฉพาะเทคโนโลยีด้านฐานข้อมูลและคอนเทนเนอร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความเสถียร และเพิ่มความสามารถในการปรับขนาดการทำงานของแพลตฟอร์มด้านพลังงานของบริษัทฯ

เยลล์ กรุ๊ป บริษัทด้านดิจิทัลครีเอทีฟชั้นนำที่มีสำนักงานใหญ่ในประเทศไทย ร่วมมือกับอาลีบาบา คลาวด์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ AI-Deate ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสตอรี่บอร์ดที่ใช้ AI ความร่วมมือนี้มุ่งปฏิวัติเวิร์กโฟลว์เชิงสร้างสรรค์ โดยใช้เทคโนโลยี generative AI เสริมศักยภาพให้กับนักสร้างสรรค์ใน 102 ประเทศ ในการพัฒนาแอปพลิเคชันด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ พร้อมจัดการความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตและการทำงานในยุคดิจิทัล

นายดิศรา อุดมเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เยลล์ กรุ๊ป กล่าวว่า “ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับอาลีบาบา คลาวด์ ในครั้งนี้ช่วยให้เราใช้ประโยชน์จากความสามารถที่ล้ำหน้าของ AI และเปลี่ยนวิธีที่เราใช้เสริมพลังให้งานครีเอทีฟต่าง ๆ เราจะร่วมกันกำหนดนิยามใหม่ให้กับงานด้านความคิดสร้างสรรค์ทั่วทั้งเอเชียและที่อื่น ๆ”

โคเดียม บริษัทซอฟต์แวร์ชั้นนำในประเทศไทยที่เชี่ยวชาญด้านโซลูชันสำหรับสถานที่ทำงานดิจิทัล ร่วมมือกับอาลีบาบา คลาวด์ เพื่อใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่ปรับขนาดการใช้งานได้ โดยมุ่งสร้างรากฐานดิจิทัลให้กับธุรกิจต่าง ๆ ในประเทศไทย และเพิ่มประสิทธิภาพระบบนิเวศคลาวด์ในประเทศ ผ่านบริการคลาวด์ที่เข้าถึงได้และสนับสนุนลูกค้าคนไทยอย่างครอบคลุม

นายศิวบุธ อัมพุช ซีอีโอของโคเดียม กล่าวว่า “ความร่วมมือกับอาลีบาบา คลาวด์ ช่วยให้เรามอบโซลูชันที่ทำงานดิจิทัลที่ปรับขนาดได้และยืดหยุ่นให้ลูกค้าของเราได้ โครงสร้างพื้นฐานของอาลีบาบา คลาวด์ ไม่เพียงสนับสนุนการเติบโตของเรา แต่ยังช่วยให้เราสามารถให้บริการลูกค้าธุรกิจไทยที่มีความต้องการอย่างเฉพาะเจาะจงได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

ไวท์แชนแนล ผู้ให้บริการโทรทัศน์และ OTT ที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย ได้เพิ่มประสิทธิภาพให้กับแพลตฟอร์มวิดีโอออนดีมานด์ ด้วยการใช้บริการสตรีมมิ่งวิดีโอครบวงจรของอาลีบาบา คลาวด์ ซึ่งช่วยให้ไวท์แชนแนลสามารถให้บริการการเล่นวิดีโอที่มีคุณภาพสูงโดยไม่มีการหน่วงเวลา โดยใช้เครือข่าย CDN ระดับโลกและโซลูชันด้านการจัดเก็บข้อมูลที่ปรับขนาดการใช้งานได้ เพื่อจัดการคอนเทนต์ไลบรารีได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ในช่วงที่มีการรับส่งข้อมูลในปริมาณมากขึ้น

นายชวลิต เอื้อเฟื้อ หัวหน้าฝ่ายไอที ของไวท์แชนแนล กล่าวว่า “การทำงานร่วมกับอาลีบาบา คลาวด์ ได้ช่วยเพิ่มความสามารถของเราในการให้บริการวิดีโอไปยังผู้ชมอย่างราบรื่นเป็นอย่างมาก เทคโนโลยีล้ำสมัยของอาลีบาบา คลาวด์ ช่วยให้เรามั่นใจว่า ผู้ชมของเราจะได้รับคอนเทนต์ที่มีคุณภาพสูงทุกที่ทุกเวลา”

เสริมศักยภาพระบบนิเวศและความสามารถด้านดิจิทัลให้กับประเทศ

อาลีบาบา คลาวด์ ดูแลระบบนิเวศในไทยอย่างเข้มแข็ง ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรในประเทศประมาณ 70 ราย ในจำนวนนี้รวมถึง Cloud HM, Kaopanwa, Softdebut, Thai Data Cloud และ True IDC เพื่อเสริมศักยภาพให้กับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของธุรกิจทั่วประเทศไทย

อาลีบาบา คลาวด์ มุ่งมั่นส่งเสริมผู้มีความสามารถด้านดิจิทัล ผ่านความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของไทย เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ โดยนำเสนอเวิร์กช็อปและหลักสูตรคลาวด์คอมพิวติ้งและ generative AI ที่มีการให้การรับรองเมื่อผ่านหลักสูตร เมื่อปลายปี 2566 อาลีบาบา คลาวด์ ได้เปิดตัว global skills center แห่งแรกที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยให้บริการหลักสูตรฝึกอบรม บูธแคมป์ การแข่งขันด้าน AI และโปรแกรมพัฒนาความเป็นผู้นำ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย โครงการเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างต่อเนื่องของอาลีบาบา คลาวด์ ในการเพิ่มประสิทธิภาพทรัพยากรทางการศึกษาและส่งเสริมแลนด์สเคปดิจิทัลที่รุ่งเรืองผ่านความร่วมมือกับสถาบันในประเทศต่าง ๆ

Red Hat Unveils Red Hat OpenShift Virtualization Engine

Red Hat เปิดตัว Red Hat OpenShift Virtualization Engine

Red Hat Unveils Red Hat OpenShift Virtualization Engine

New virtualization-centric offering provides a tailored experience for managing virtual machines while providing a path for application modernization

Red Hat, Inc., the world’s leading provider of open source solutions, today announced the general availability of Red Hat OpenShift Virtualization Engine, a new edition of Red Hat OpenShift that provides a dedicated way for organizations to access the proven virtualization functionality already available within Red Hat OpenShift. Focused exclusively on virtualization workloads, Red Hat OpenShift Virtualization Engine provides a tailored option for deploying, managing and scaling virtual machines (VMs), removing features unrelated to VM management. This ensures organizations can maximize the value of OpenShift Virtualization while aligning with their specific infrastructure needs.

While containerization may have shifted how virtual machines are used for certain applications, VMs remain a critical tool in IT infrastructure. However, with the virtualization market experiencing significant changes in recent years, many organizations face uncertainty and rising costs when it comes to managing their virtualization infrastructure.

Red Hat OpenShift Virtualization Engine delivers a cost-efficient virtualization-only solution for deploying, managing and scaling virtual machines.

Redefined virtualization through a streamlined approach

Red Hat OpenShift Virtualization Engine helps maximize the value of these investments by entitling only essential OpenShift features and components required for virtualization, delivering simplified operations and improved efficiency. Powered by Red Hat OpenShift Virtualization and  the KVM hypervisor used across the enterprise datacenter and cloud, Red Hat OpenShift Virtualization Engine is able to run on on-premises hardware that supports Red Hat Enterprise Linux, and on supported bare metal cloud services including AWS bare metal instances. Red Hat OpenShift Virtualization Engine scales to meet workload demands while providing built-in security capabilities and more consistent performance across the hybrid cloud.

To ease migration efforts, Red Hat OpenShift Virtualization Engine includes access to Red Hat’s intuitive migration tool – the migration toolkit for virtualization – that assists organizations in transitioning from other virtualization platforms, simplifying the migration workflow and helping to reduce downtime while driving greater operational continuity. Red Hat also offers a Virtualization Migration Assessment, an interactive workshop with Red Hat experts that will assess an organization’s business drivers, current state and the path to low risk VM migration. Additionally, Red Hat OpenShift Virtualization Engine integrates with Red Hat Ansible Automation Platform enabling IT teams to automate VM migrations at scale, along with day-to-day VM management tasks. With Red Hat Ansible Automation Platform, organizations can automate and orchestrate across their virtualized environments and other areas of IT for more efficient, resilient and consistent operations at scale.

Additionally, the Red Hat partner ecosystem is well-positioned to support Red Hat OpenShift Virtualization Engine with capabilities like storage solutions, extensive backup and disaster recovery options and networking tools to streamline deployments and scale to modern IT needs.

To unify virtual machine management at scale and limit sprawl, Red Hat is also introducing Red Hat Advanced Cluster Management for Virtualization. This new edition of Red Hat Advanced Cluster Management for Kubernetes provides focused access to Advanced Cluster Management’s existing features designed to centralize VM lifecycle management and streamline tasks such as VM provisioning, monitoring and day-to-day compliance, while maintaining greater consistency across an organization’s virtualized estate.

Availability

Red Hat OpenShift Virtualization Engine and Red Hat Advanced Cluster Management for Virtualization are now available, more information on how to get started can be found here.

Supporting Quotes

Mike Barrett, vice president and general manager, Hybrid Cloud Platforms, Red Hat

“Virtualization solutions are in the bedrock of most private and public cloud environments. As organizations look to modernize their virtual environments to meet the demands of today’s IT climate, we have found that no two organizations are at the same point in their virtualization journey. This causes diversity in the approaches they want to take with the solutions Red Hat provides. Red Hat needed to change how we were offering our virtualization solution to accommodate organizations that wanted to use only the Red Hat OpenShift product features focused on virtualization. Red Hat OpenShift Virtualization Engine and Advanced Cluster Management for Virtualization allow Red Hat to significantly lower the price point of the solution to meet those users where they are in their modernization efforts.”

Stephen Elliott, group vice president, I&O, Cloud Operations, and DevOps, IDC

“Even as containers grow in adoption, virtualized infrastructure remains one of the backbones of modern computing for critical applications, driving a multibillion-dollar industry. With many organizations facing budget constraints, they are looking for streamlined options for managing virtual machines that reduce complexity and deliver scale, performance and security.”

Additional Resources

Red Hat เปิดตัว Red Hat OpenShift Virtualization Engine

Red Hat เปิดตัว Red Hat OpenShift Virtualization Engine

Red Hat เปิดตัว Red Hat OpenShift Virtualization Engine

ผลิตภัณฑ์ใหม่เน้นด้านเวอร์ชวลไลเซชัน มอบประสบการณ์ในการบริหารจัดการเวอร์ชวลแมชชีน ที่ปรับให้ตรงตามความต้องการขององค์กรแต่ละแห่งได้อย่างเฉพาะตัว พร้อมเส้นทางสู่การปรับแอปพลิเคชันให้ทันสมัย

เร้ดแฮท ผู้ให้บริการระดับโลกด้านโซลูชันโอเพ่นซอร์สประกาศ วางตลาด Red Hat OpenShift Virtualizaion Engine ซึ่งเป็นความก้าวหน้าครั้งใหม่ของ Red Hat OpenShift ที่มอบแนวทางเฉพาะให้องค์กรในการเข้าใช้ฟังก์ชันด้านเวอร์ชวลไลเซชันที่ได้รับการพิสูจน์ประสิทธิภาพแล้ว และพร้อมใช้อยู่บน Red Hat OpenShift

Red Hat OpenShift Virtualization Engine เป็นโซลูชันเฉพาะทางด้านเวิร์กโหลดเวอร์ชวลไลเซชัน มอบทางเลือกที่สามารถปรับแต่งได้อย่างเจาะจง การบริหารจัดการ และการปรับขนาดเวอร์ชวลแมชชีนต่าง ๆ รวมถึงการถอดฟีเจอร์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดการเวอร์ชวลแมชชีนออก เพื่อให้องค์กรมั่นใจได้ว่าจะสามารถใช้คุณประโยชน์จาก OpenShift Virtualization ได้มากที่สุด และสอดคล้องกับความต้องการด้านโครงสร้างพื้นฐานเฉพาะทางของแต่ละองค์กร

แม้ว่าการทำคอนเทนเนอร์จะส่งผลต่อการใช้งานเวอร์ชวลแมชชีนของแอปพลิเคชันบางแอปฯ แต่เวอร์ชวลแมชชีนยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานไอที อย่างไรก็ตามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดเวอร์ชวลไลเซชันเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก องค์กรจำนวนมากต้องเผชิญความท้าทายในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานเวอร์ชวลไลเซชันของตนที่เกิดจากความไม่แน่นอนและค่าใช้จ่ายที่พุ่งสูงขึ้น

Red Hat OpenShift Virtualization Engine นำเสนอโซลูชันเฉพาะด้านเวอร์ชวลไลเซชันที่คุ้มค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็น การใช้งาน การบริหารจัดการ และการปรับขนาดเวอร์ชวลแมชชีนต่าง ๆ

กำหนดนิยามใหม่เวอร์ชวลไลเซชันด้วยแนวทางที่คล่องตัว

Red Hat OpenShift Virtualization Engine ช่วยให้การลงทุนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยการใช้เฉพาะฟีเจอร์ของ OpenShift และส่วนประกอบที่จำเป็นต้องใช้สำหรับเวอร์ชวลไลเซชันเท่านั้น ซึ่งช่วยให้ทำงานง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เบื้องหลังของ Red Hat OpenShift Virtualization Engine คือแรงขับเคลื่อนจาก Red Hat OpenShift Virtualization และ KVM hypervisor ที่อยู่บนดาต้าเซ็นเตอร์ขององค์กรและบนคลาวด์ที่องค์กรใช้ โซลูชันใหม่นี้จึงสามารถรันได้ทั้งในฮาร์ดแวร์ที่รองรับ Red Hat Enterprise Linux ที่อยู่ภายในองค์กร และบนบริการคลาวด์ที่ใช้ภายในองค์กรต่าง ๆ เช่น AWS bare metal instances

Red Hat OpenShift Virtualization Engine ปรับขนาดเพื่อตอบความต้องการของเวิร์กโหลด ในขณะเดียวกันก็มอบความสามารถด้านความปลอดภัยที่ติดตั้งมาเรียบร้อย รวมถึงมีประสิทธิภาพความสม่ำเสมอและสอดคล้องกันมากขึ้นบนไฮบริดคลาวด์

Red Hat OpenShift Virtualization Engine ช่วยให้ย้ายข้อมูลได้ง่ายขึ้น ด้วยการให้ผู้ใช้สามารถเข้าใช้ชุดเครื่องมือเพื่อการโยกย้ายสำหรับเวอร์ชวลไลเซชันโดยเฉพาะได้ เครื่องมือเหล่านี้ใช้ง่าย ช่วยองค์กรย้ายจากแพลตฟอร์มเวอร์ชวลไลเซชันอื่น ช่วยโยกย้ายเวิร์กโฟลว์ได้อย่างไม่ยุ่งยาก ช่วยลดดาวน์ไทม์ ทำให้การทำงานมีความต่อเนื่องมากขึ้น เร้ดแฮทยังนำเสนอ Virtualization Migration Assessment ซึ่งเป็นเวิร์คช็อปแบบมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เชี่ยวชาญของเร้ดแฮทที่จะช่วยประเมินปัจจัยขับเคลื่อนธุรกิจขององค์กร สถานะปัจจุบัน และเส้นทางการโยกย้ายเวอร์ชวลแมชชีนที่มีความเสี่ยงต่ำให้กับองค์กร นอกจากนี้ Red Hat OpenShift Virtualization Engine ยังผสานการทำงานกับ Red Hat Ansible Automation Platform ที่ช่วยให้ทีมไอทีโยกย้ายเวอร์ชวลแมชชีนได้โดยอัตโนมัติ รวมถึงช่วยให้งานด้านการจัดการเวอร์ชวลแมชชีนในแต่ละวันเป็นอัตโนมัติ ทั้งนี้ Red Hat Ansible Automation Platform ช่วยให้องค์กรสามารถสร้างระบบอัตโนมัติและประสานการทำงานร่วมกันให้กับสภาพแวดล้อมเวอร์ชวลไลซ์ต่าง ๆ และงานด้านไอทีอื่น ๆ เพื่อให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ยืดหยุ่น และสอดคล้องกันในวงกว้าง

นอกจากนี้ ระบบนิเวศพันธมิตรของเร้ดแฮทยังให้การสนับสนุน Red Hat OpenShift Virtualization Engine ด้วยความสามารถต่าง ๆ เช่น โซลูชันด้านสตอเรจ ทางเลือกในการสำรองและกู้คืนข้อมูลที่มีอยู่อย่างครอบคลุม และเครื่องมือด้านเครือข่ายต่าง ๆ เพื่อให้สามารถใช้และปรับขนาดโซลูชันให้สอดคล้องกับความต้องการด้านไอทีที่ทันสมัย

เร้ดแฮทยังได้เปิดตัว Red Hat Advanced Cluster Management for Virtualization ศูนย์รวมด้านการบริหารจัดการเวอร์ชวลแมชชีนในระดับที่ต้องการและจำกัดการขยายตัว ความสามารถใหม่ที่อยู่บน Red Hat Advanced Cluster Management for Kubernetes นี้มอบการเข้าใช้งานที่เน้นไปที่ฟีเจอร์ที่มีอยู่ของ Advanced Cluster Management ที่ออกแบบมาเพื่อเป็นศูนย์ในการจัดการไลฟ์ไซเคิลของเวอร์ชวลแมชชีน และเพิ่มประสิทธิภาพงานต่าง ๆ เช่น การเตรียมเวอร์ชวลแมชชีน การติดตามดูความเป็นไป และการปฏิบัติตามกฎระเบียบในแต่ละวัน ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้สภาพแวดล้อมแบบเวอร์ชวลต่าง ๆ ขององค์กร   มีความสอดคล้องกัน

การวางจำหน่าย

Red Hat OpenShift Virtualization Engine และ Red Hat Advanced Cluster Management for Virtualization พร้อมให้บริการแล้ว ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์นี้

คำกล่าวสนับสนุน

Mike Barrett, vice president and general manager, Hybrid Cloud Platforms, Red Hat

โซลูชันเวอร์ชวลไลเซชันเป็นฐานที่มั่นคงให้กับไพรเวทและพับลิคคลาวด์เกือบทั้งหมด ในขณะที่องค์กรต่างกำลังปรับปรุงสภาพแวดล้อมเวอร์ชวลของตนให้ทันสมัย เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงด้านไอทีในปัจจุบัน เราพบว่าองค์กรแต่ละแห่งอยู่ ณ จุดที่แตกต่างกันบนเส้นทางด้านเวอร์ชวลไลเซชัน ซึ่งทำให้แต่ละองค์กรต้องการใช้โซลูชันที่เร้ดแฮทให้บริการในแนวทางที่หลากหลาย เร้ดแฮทจึงปรับเปลี่ยนวิธีการนำเสนอโซลูชันด้านเวอร์ชวลไลเซชัน ให้รองรับความต้องการขององค์กรที่ต้องการใช้เพียงฟีเจอร์ของ Red Hat OpenShift ที่เน้นเฉพาะเรื่องเวอร์ชวลไลเซชัน ทั้งนี้ Red Hat OpenShift Virtualization Engine และ Advanced Cluster Management for Virtualization ช่วยให้เร้ดแฮทปรับราคาโซลูชันลงได้อย่างมากเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้ที่กำลังปรับปรุงระบบให้ทันสมัย”

Stephen Elliott, group vice president, I&O, Cloud Operations, and DevOps, IDC

แม้ว่าจะมีการใช้คอนเทนเนอร์เพิ่มขึ้น แต่โครงสร้างพื้นฐานแบบเวอร์ชวลยังคงเป็นหนึ่งในแกนหลักของการประมวลผลที่ทันสมัยสำหรับแอปพลิเคชันสำคัญ ๆ ที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ เนื่องจากองค์กรจำนวนมากต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านงบประมาณ พวกเขากำลังมองหาทางเลือกด้านการบริหารจัดการเวอร์ชวลแมชชีนที่มีประสิทธิภาพ ที่สามารถลดความซับซ้อน ปรับขนาดได้ ทรงประสิทธิภาพ และ มีความปลอดภัย”

ข้อมูลเพิ่มเติม