เทรนด์ “สุขภาพ-รักษ์โลก” มาแรง ผลสำรวจดีดีพร็อพเพอร์ตี้เผย กว่า 9 ใน 10 สนใจการอยู่อาศัยแบบยั่งยืน

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้

เทรนด์ “สุขภาพ-รักษ์โลก” มาแรง ผลสำรวจดีดีพร็อพเพอร์ตี้เผย กว่า 9 ใน 10 สนใจการอยู่อาศัยแบบยั่งยืน

สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ผลักดันให้ทุกชีวิตบนโลกใบนี้ต้องเปลี่ยนรูปแบบวิถีชีวิตใหม่เพื่อรับมือและหาวิธีอยู่ร่วมกับสถานการณ์นี้ให้ได้ โดยเรื่องสุขภาพกลายเป็นปัจจัยหลักที่ทุกคนหันมาตระหนักถึงความสำคัญมากขึ้น รวมทั้งใส่ใจดูแลเรื่องอื่น ๆ อย่างรอบด้านในทุกมิติ ครอบคลุมไปถึงการพิจารณาคุณภาพของปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ที่มีบทบาทในการใช้ชีวิต รวมไปถึงการเลือกที่อยู่อาศัย จากที่เคยมีบทบาทเป็นปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิต ตอนนี้ได้กลายเป็นพื้นที่ส่วนรวมของคนในครอบครัวที่เป็นมากกว่าเพียงแค่การพักผ่อน ส่งผลให้ผู้บริโภคเริ่มมองหาความยั่งยืนที่จะเข้ามายกระดับที่อยู่อาศัยให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในระยะยาวอย่างมีคุณภาพ

นางกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทยของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า “วิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่ได้ส่งผลกระทบในด้านการเติบโตของเศรษฐกิจและธุรกิจเพียงอย่างเดียว ในมุมผู้บริโภคถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตไปอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการปรับพฤติกรรมการเดินทาง การกิน การอยู่ การใช้จ่าย การทำงาน การเรียน หรือการพบแพทย์ ถือเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายจากการที่ยังไม่สามารถคาดเดาตอนจบในอนาคตได้ ทุกคนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพไปพร้อม ๆ กับเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ส่งสัญญาณให้เห็นชัดขึ้นจากสถานการณ์ภัยพิบัติต่าง ๆ ทั่วโลก

การพัฒนาอย่างยั่งยืนจึงเป็นคำตอบในการใช้ชีวิตของผู้บริโภคยุคนี้ ทุกคนหันมาตระหนักถึงผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้แนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เข้ามามีอิทธิพลในการดำเนินชีวิต และชัดเจนขึ้นจากการปรับตัวของภาคธุรกิจต่าง ๆ เพื่อรับเทรนด์นี้ จากผลสำรวจ Global Consumer Insights Pulse Survey ของ PwC เผยว่า 76% ของผู้บริโภคชาวไทยต้องการซื้อสินค้าที่มีบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือใช้บรรจุภัณฑ์น้อยที่สุด ขณะที่ 78% เลือกซื้อเฉพาะผลิตภัณฑ์จากบริษัทที่มีจิตสำนึกและสนับสนุนการปกป้องสิ่งแวดล้อมเท่านั้น เห็นได้ชัดถึงแนวโน้มการเติบโตของแนวคิดรักษ์โลกที่มีอิทธิพลชัดเจนยิ่งขึ้นในทุกธุรกิจ

ในขณะที่ความต้องการที่อยู่อาศัยก็มีทิศทางการเติบโตในเทรนด์นี้เช่นกัน ผลสำรวจ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุดเผยว่า ผู้บริโภคกว่า 9 ใน 10 (93%) ให้ความสำคัญกับการอยู่อาศัยแบบยั่งยืน ที่จะช่วยผสมผสานไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตเข้ากับบ้านที่เป็นสถานที่พักผ่อนได้อย่างลงตัว ที่อยู่อาศัยในอุดมคติจึงต้องมาพร้อมกับการออกแบบภายใต้แนวคิดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างความยั่งยืนในการอยู่อาศัยในระยะยาว ผู้พัฒนาอสังหาฯ จึงต้องหันมาให้ความสำคัญกับการออกแบบฟังก์ชั่นที่อยู่อาศัยทั้งในส่วนพื้นที่พักอาศัยและพื้นที่ส่วนกลางภายใต้แนวคิดการใช้ชีวิตที่ยั่งยืนและรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และสร้างจุดต่างในการดึงดูดผู้บริโภคมากกว่าการแข่งขันสงครามราคาที่อาจจะดูฉาบฉวยในสายตาผู้ซื้อตอนนี้”

ความยั่งยืน” คำตอบของคนหาบ้านยุคใหม่

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด อัปเดตเทรนด์ที่อยู่อาศัยในอุดมคติของผู้บริโภคในยุค Next Normal เพื่อยกระดับการใช้ชีวิตอย่างราบรื่นและยั่งยืนในระยะยาว

    ●  เทรนด์รักษ์โลกส่งเสริมการใช้ชีวิตประหยัดพลังงาน การ Work from Home ทำให้บ้านกลายมาเป็นสถานที่ทำงาน/เรียนออนไลน์ หรือแม้แต่พื้นที่ออกกำลังกายดูแลสุขภาพ กิจกรรมเหล่านี้ทำให้เกิดการใช้ไฟฟ้ามากขึ้นและกลายเป็นค่าไฟที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเช่นกัน ทำให้ผู้บริโภคหันมาเลือกที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานภายใต้แนวคิดรักษ์โลกที่ช่วยประหยัดการใช้พลังงาน โดยมากกว่าครึ่ง (62%) ต้องการบ้าน/คอนโดฯ ที่มีระบบหลังคาโซล่าเซลล์ (Solar Rooftop) เพื่อสร้างพลังงานทางเลือกทดแทนการใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังให้ความสำคัญกับบ้าน/คอนโดฯ ที่มาพร้อมระบบระบายความร้อน (58%) และฟังก์ชั่นดูดซับมลพิษภายในบ้าน (48%) เพื่อช่วยให้การใช้ชีวิตภายในบ้านมีความสะดวกสบายและมั่นใจยิ่งขึ้น เมื่อต้องรับมือปัญหาภาวะโลกร้อนที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอยู่เรื่อย ๆ

    ●  นวัตกรรมมีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพ การที่ผู้บริโภคหันมาตระหนักถึงความสำคัญในการดูแลสุขภาพมากขึ้น ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมที่ชัดเจนที่สุดหลังเผชิญวิกฤติการแพร่ระบาดฯ ทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรรมมาช่วยยกระดับการดูแลสุขภาพให้ง่ายขึ้นแม้ในช่วงที่ยังต้องเว้นระยะห่างทางสังคม ผ่านบริการดูแลสุขภาพแบบออนไลน์ รวมไปถึงการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ที่ช่วยให้เข้าถึงการตรวจรักษาและรับการวินิจฉัยจากแพทย์ได้โดยตรง ในตลาดที่อยู่อาศัย นอกจากผู้พัฒนาอสังหาฯ จะหันมาจับมือโรงพยาบาลหรือศูนย์บริการสุขภาพเพื่อเพิ่มบริการดูแลสุขภาพหรือบริการทางการแพทย์ไว้ในโครงการฯ แล้ว นวัตกรรมที่เลือกใช้ในการก่อสร้างโดยตรงก็เป็นปัจจัยที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญเช่นกัน มากกว่าครึ่งนึงของผู้บริโภค (60%) มองว่า บ้าน/คอนโดฯ ที่ถูกออกแบบให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเลือกที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมการก่อสร้างที่ช่วยให้บ้านเย็นขึ้นและสะท้อนความร้อนภายนอก บ้านที่มีระบบสร้างอากาศบริสุทธิ์ ป้องกันฝุ่น PM 2.5 หรือบ้านปลอดไวรัส ก็ล้วนมีผลต่อการเลือกซื้อบ้าน/คอนโดฯ ที่ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยไม่น้อย

    ●  พื้นที่ใช้สอยต้องพร้อมรองรับ Work from Home ระยะยาว แม้การทำงานที่บ้านจะไม่ใช่เรื่องใหม่และอาจกลายเป็นวิถีชีวิตที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องแม้การแพร่ระบาดฯ จะหมดไป แต่การลงทุนสร้างห้องทำงานไว้ที่บ้านอาจไม่ใช่เรื่องจำเป็นของทุกคน ดังนั้น พื้นที่ใช้สอยในบ้าน/คอนโดฯ จึงต้องสามารถปรับเปลี่ยนให้รองรับการ Work from Home และอำนวยความสะดวกให้สามารถทำงานออนไลน์ได้อย่างราบรื่นเช่นกัน ผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในเรื่องการจัดแต่งสภาพแวดล้อมให้เหมาะกับการทำงาน ซึ่งจะส่งผลดีและช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเน้นไปที่สภาพแวดล้อมที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก (65%) ตามมาด้วยการมีระบบถ่ายเทความร้อนและประหยัดพลังงานภายในห้อง (49%) และมีสัญญาณอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงรองรับการทำงานที่ลื่นไหล (48%) ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ไม่ได้จำกัดเพียงการทำงานที่บ้านเท่านั้น แต่ยังอำนวยความสะดวกให้คนในครอบครัวสามารถใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ได้อย่างราบรื่นอีกด้วย

    ●  รถยนต์ไฟฟ้า พลิกโฉมการเดินทางยุคใหม่ การเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าและขยายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องทำให้ผู้บริโภคตื่นตัวและหันมาพิจารณาข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น เพราะนอกจากจะช่วยลดการเกิดมลพิษแล้ว ยังประหยัดค่าใช้จ่ายเมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบสันดาป ข้อมูลจากศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS เผยว่า ยอดใช้ยานยนต์ไฟฟ้าสะสมในไทยมีโอกาสแตะ 1 ล้านคันได้ในปี 2028 หรือขยายตัวเฉลี่ยปีละ 7% จากแรงผลักดันของยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริดเป็นสำคัญ นอกจากนั้น รถยนต์ไฟฟ้ายังถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจก่อนเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยอีกด้วย จากผลสำรวจ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study เผยว่า ผู้บริโภคเกือบ 2 ใน 3 (64%) มองว่า การมาของรถยนต์ไฟฟ้ามีอิทธิพลในการเปลี่ยนแผนการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในอนาคต โดยผู้บริโภคจะให้ความสนใจพิจารณาบ้าน/คอนโดฯ ที่รองรับการติดตั้งที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือมีสถานีชาร์จให้บริการในพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อรองรับการวางแผนเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต

แม้ผลกระทบจากภาพรวมเศรษฐกิจจะยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เร็ว ๆ นี้ แต่ความท้าทายจากการใช้ชีวิตในสถานการณ์ปัจจุบันได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผลักดันให้ผู้บริโภคเกิดการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้รวดเร็วขึ้น การก้าวข้ามไปสู่ประสบการณ์ใหม่หลังรับมือวิกฤติในครั้งนี้ถือเป็นบททดสอบที่ทำให้ผู้บริโภคได้มองย้อนกลับไปทบทวนความต้องการและเป้าหมายในการใช้ชีวิต มองเห็นความสำคัญของการดำเนินชีวิตที่เชื่อมโยงเข้ากับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การให้ความสำคัญกับแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียวและความยั่งยืนในการใช้ชีวิตจึงถือเป็นเทรนด์ที่ภาคธุรกิจไม่ควรมองข้าม อย่างไรก็ตาม แม้การแพร่ระบาดฯ จะหมดไปในอนาคต แต่ความสำคัญด้านสุขภาพและความยั่งยืนในการดำเนินชีวิตจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคยังคงมองหาจากผู้ประกอบการ และช่วยกระตุ้นให้ทุกคนหันมาตระหนักถึงบทบาทที่ควรรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

ใช้ไฮบริดคลาวด์เพื่อความคล่องตัว และความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ

ใช้ไฮบริดคลาวด์เพื่อความคล่องตัว และความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ

ไฮบริดคลาวด์_ทวิพงษ์
บทความโดยนายทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี ผู้จัดการประจำประเทศไทย นูทานิคซ์

แมคคินซีย์ บริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารองค์กรชั้นนำระดับโลก ระบุว่า ภายในปี พ.ศ. 2583 เศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีขนาดใหญ่คิดเป็นครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจโลก ภูมิภาคนี้มีความแข็งแกร่งหลายประการ ตั้งแต่การเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีระดับโลก ไปจนถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาและการขยายตัวของเมือง ประชากร และกลุ่มคนวัยทำงานจึงเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพต่อการเติบโตของบริษัทต่าง ๆ เป็นอย่างดี

ภูมิภาคต่าง ๆ ในโลกมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก มีภาษาพูดหลายพันภาษา มีรูปแบบการปกครองที่หลากหลาย และมีแนวทางด้านเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน ประเทศเหล่านี้อยู่ท่ามกลางความพร้อมของตลาดที่เติบโตเต็มที่ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่ธุรกิจมีโอกาสขยายตัวและทำกำไรได้อย่างแน่นอน แต่ความซับซ้อนต่าง ๆ ที่มีอยู่อาจทำให้โอกาสเหล่านี้ไม่ราบรื่นนัก

ความท้าทายสำคัญอย่างหนึ่งที่บริษัทจำนวนมากเผชิญในปีที่ผ่านมาคือ การเปลี่ยนไปใช้ดิจิทัลและการตัดสินใจด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้ การระบาดของโควิด-19 ผลักดันให้ธุรกิจจำนวนมากต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองแบบก้าวกระโดด บ่อยครั้งหลายปีล่วงหน้าไปกว่าแผนการที่มีอยู่ และอาจเป็นไปได้ว่าโซลูชันคลาวด์จะเป็นทางเลือกที่ชัดเจน ธุรกิจที่ต้องทำการเปลี่ยนตัวเองอย่างรวดเร็วนี้ต้องพึ่งพาพับลิคคลาวด์อย่างมาก เพื่อทำให้พนักงานทำงานจากระยะไกลได้ และเป็นการแก้ปัญหาการขาดแคลนทักษะที่จำเป็นต่าง ๆ หรือเพื่อให้ปรับขนาดการทำงานได้ตามต้องการ

อย่างไรก็ตาม ถึงเวลาแล้วที่ผู้นำทางธุรกิจทั้งหลายควรหยุดคิดและทบทวนกลยุทธ์ด้านคลาวด์คอมพิวติ้งขององค์กร เพื่อให้มั่นใจและแสดงให้เห็นว่าองค์กรได้มีการพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างอย่างเหมาะสมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านกฎระเบียบของแต่ละประเทศที่พวกเขาทำธุรกิจอยู่หรือต้องการเข้าไปทำธุรกิจ และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะเป็นบททดสอบการดำเนินการที่มีความท้าทายสูงให้กับองค์กรเหล่านี้

เมื่อปี พ.ศ. 2563 สหประชาชาติได้ตรวจสอบว่ามีภูมิภาคและประเทศใดบ้างที่มีการใช้มาตรการปกป้องข้อมูลและความเป็นส่วนตัวให้กับพลเมืองของตน และพบว่ามีเพียง 57 เปอร์เซ็นต์ของประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและคุ้มครองความเป็นส่วนตัวบังคับใช้เทียบกับ 69 เปอร์เซ็นต์ของประเทศในทวีปอเมริกาและ 96 เปอร์เซ็นต์ในทวีปยุโรปที่มีกฎหมายดังกล่าวบังคับใช้ ทำไมเรื่องนี้จึงเป็นความท้าทาย?

ในขณะที่สหภาพยุโรปมีการใช้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ประเทศสมาชิกทั้งหมดต้องปฏิบัติตามเหมือนกัน แต่ในเอเชียแปซิฟิกไม่มีกรอบการกำกับดูแลที่ใช้ร่วมกันทั้งภูมิภาค นอกจากนี้จำนวนประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังมีมากกว่าในทวีปอเมริกาเกือบสองเท่า นี่อาจเป็นความท้าทายสำคัญในการจัดการข้อมูลและการใช้โซลูชันทางเทคโนโลยสำหรับธุรกิจต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ 

ดังนั้นดูเหมือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนระหว่างประเทศต่าง ๆ ที่ใช้พับลิคคลาวด์ในปัจจุบัน คือการเพิ่มขึ้นของความท้าทายในการพัฒนาที่จะส่งผลสำคัญต่อองค์ประกอบทุกรูปแบบที่แตกต่างกัน ไม่มีวิธีการใดเพียงหนึ่งเดียวที่จะเหมาะกับทุกสถานการณ์และทุกสภาพแวดล้อม หรือเพียงวิธีเดียวที่ธุรกิจจะใช้ปรับตัวเพื่อดำเนินธุรกิจภายในภูมิภาคนี้ได้อย่างง่าย ๆ

ธุรกิจใดที่ตัดสินใจใช้ไพรเวทคลาวด์เพื่อเก็บข้อมูลและทรัพย์สินขององค์กร และปกป้องข้อมูลนั้นไว้ภายในสภาพแวดล้อมขององค์กรเอง เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านกฎระเบียบต่าง ๆ องค์กรนั้นอาจประสบกับอีกปัญหานั่นคือ การใช้ทรัพยากร แม้ว่าเครื่องมือที่ใช้ในการติดตามตรวจสอบและบริหารจัดการไพรเวทคลาวด์มีประสิทธิภาพค่อนข้างดี แต่การสรรหาพนักงานที่มีทักษะที่จำเป็นต้องใช้ในการคงประสิทธิภาพการทำงาน การบำรุงรักษา และใช้งานไพรเวทคลาวด์ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย และอาจทำให้การพัฒนาล่าช้า ปัญหานี้แก้ไขไม่ได้ง่ายในปัจจุบันโดยเฉพาะในประเทศที่มีการใช้คลาวด์อย่างจำกัด และในภาวะการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคที่ต้องใช้ถูกจำกัดด้านการเดินทาง

ไฮบริดคลาวด์ คือโอกาสในวิกฤติ ไฮบริดคลาวด์ทำหน้าที่เป็นทางเชื่อมระหว่างพับลิคและไพรเวทคลาวด์ขององค์กรนั้นๆ องค์กรสามารถเลือกได้ว่าจะเก็บข้อมูลไว้บนไพรเวทคลาวด์ของตนโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ในขณะที่เลือกใช้พับลิคคลาวด์เพื่อเร่งความเร็วในการใช้งานและปรับขยายขนาดการทำงานมากน้อยได้ตามความจำเป็น และนี่คือการเชื่อมต่อคลาวด์สองระบบให้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

การลดความซับซ้อนในการเชื่อมต่อระหว่างระบบต่าง ๆ บนไพรเวทและพับลิคคลาวด์ และการบริหารจัดการคลาวด์ทั้งสองประเภทด้วยระบบจัดการหนึ่งเดียว ทำให้สภาพแวดล้อมไฮบริดคลาวด์ไม่มีความซับซ้อน ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถควบคุมสภาพแวดล้อมในการทำงานขององค์กรได้ทั้งหมด องค์กรสามารถเคลื่อนย้ายแอปพลิเคชันไปทำงานบนคลาวด์ที่ต้องการได้อย่างราบรื่น ทั้งยังสามารถจัดเก็บและบริหารจัดการข้อมูลบนระบบที่ต้องการและในเวลาที่ต้องการ เพื่อให้สอดคล้องตามกฎระเบียบต่าง ๆ ณ เวลานั้นได้ นอกจากนี้ยังคงความคล่องตัว และเปิดการใช้งานต่าง ๆ ได้ในกรอบเวลาที่เร็วขึ้นมาก

แม้ว่าการระบาดของโควิด-19 ยังคงดำเนินต่อไป แต่เมื่อมีการฉีดวัคซีนทั่วโลก และการผ่อนคลายข้อจำกัดด้านการเดินทาง ธุรกิจจะยังคงลงทุนในการทำงานแบบผสมผสานมากขึ้น โดยสามารถทำงานจากที่ใดก็ได้ ผลสำรวจดัชนีการใช้คลาวด์ระดับองค์กรล่าสุดของนูทานิคซ์ระบุว่า จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 องค์กรที่ตอบแบบสำรวจจัดลำดับความสำคัญด้านไอทีในอีก 12 ถึง 18 เดือนข้างหน้า โดยให้ความสำคัญกับการปรับปรุงประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานไอที (50 เปอร์เซ็นต์) และความสามารถในการทำงานจากที่บ้าน (47 เปอร์เซ็นต์)

เมื่อมองจากมุมด้านกฎระเบียบ จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกมาก ประเทศต่าง ๆ เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ กำลังส่งเสริมการปกป้องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผ่านการออกกฎหมายต่าง ๆ 

ในมุมมองทางธุรกิจอาจกล่าวได้ว่าขณะนี้คือช่วงเวลาเหมาะสมที่จะพิจารณาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่จะช่วยให้ธุรกิจขององค์กรมีความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ ซึ่งไฮบริดคลาวด์สามารถสร้างความได้เปรียบสำคัญเหล่านี้ให้ธุรกิจได้ และผู้มีอำนาจตัดสินใจทางธุรกิจจะมีความสามารถในการพิจารณาวางเวิร์กโหลดต่าง ๆ และข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนสูงไว้บนสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งจะช่วยขจัดความกังวลเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎระเบียบได้

“หนี้บ้าน” มรดกที่ควรได้หรือภาระที่ต้องจ่าย

DDProperty

“หนี้บ้าน” มรดกที่ควรได้หรือภาระที่ต้องจ่าย

การกู้ซื้อที่อยู่อาศัยถือเป็นการกู้ที่มีวงเงินสูง และมีระยะเวลาผ่อนชำระสินเชื่อที่ยาวนาน ธนาคารจึงมีหลักเกณฑ์พิจารณาที่เข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อจากความสามารถของผู้ขอสินเชื่อ และหลักทรัพย์ที่นำมาเป็นหลักประกัน นอกจากนี้เพื่อกระจายความเสี่ยงในการค้างชำระหนี้ ธนาคารจะมีการนำเสนอประกันต่าง ๆ ที่มีความคุ้มครองในหลายรูปแบบเพื่อให้ผู้กู้ได้พิจารณาผลประโยชน์ที่ได้รับ ช่วยลดปัญหาการเกิดภาระหนี้จากเหตุสุดวิสัย รวมทั้งแนะนำประกันที่ช่วยลดความเสี่ยงในการผลักภาระการผ่อนชำระนี้ให้เป็นมรดกหนี้ก้อนโตตกทอดไปสู่ทายาทของผู้กู้แบบไม่ได้ตั้งใจ หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดกับผู้กู้อีกด้วย ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงให้กับธนาคารจากการไม่ได้รับชำระหนี้ด้วยเช่นกัน

อสังหาริมทรัพย์ถือเป็นทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในมุมมองผู้บริโภคจึงถือเป็นมรดกชิ้นสำคัญที่พ่อแม่จะส่งมอบให้กับบุตรหลานในอนาคต ข้อมูลจากผลสำรวจ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่า แผนการซื้อที่อยู่อาศัยของกลุ่มมิลเลนเนียลชาวไทยซึ่งอยู่ในวัยทำงาน เกือบครึ่งนึง (49%) ยังต้องการอยู่บ้านเดิมเพื่อดูแลพ่อแม่อย่างใกล้ชิด ตามมาด้วย ยังไม่มีเงินออมเพียงพอสำหรับเช่าหรือซื้อบ้านเป็นของตนเองถึง 43% ในขณะที่อีก 22% มีความตั้งใจจะรับช่วงต่อบ้านหลังเดิมจากพ่อแม่อยู่แล้ว สะท้อนให้เห็นว่าการซื้อบ้านใหม่อาจจะยังไม่ใช่สิ่งจำเป็นมากนักเมื่อประเมินจากสภาพคล่องทางการเงินของผู้บริโภคในเวลานี้ นอกจากนี้ การรับมรดกที่อยู่อาศัยต่อจากพ่อแม่หรือผู้ปกครองก็เป็นความหวังในการมีบ้านเป็นของตัวเองที่หลายคนรอคอยเช่นกัน  

DDproperty

โดยทั่วไปแล้วผู้บริโภคส่วนใหญ่มักมีภาระในการผ่อนชำระสินเชื่ออื่น ๆ ไปพร้อมกับสินเชื่อที่อยู่อาศัย ทำให้เมื่อประเมินภาระหนี้แล้ว จำเป็นต้องกู้ร่วมกับคู่รักหรือญาติพี่น้องเพื่อให้ได้สินเชื่อบ้านตามวงเกินที่ต้องการ อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคต้องไม่ลืมที่จะวางแผนสำรองเพื่อเตรียมรับมือเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดในระยะยาวด้วย อาทิ ผู้กู้ร่วมอาจประสบปัญหาทางการเงินหรือตกงาน การเลิกรา/หย่าร้างของผู้กู้ร่วมในกรณีที่เป็นคู่รัก หรือการเสียชีวิตของตัวผู้กู้เอง หรือผู้กู้ร่วม ซึ่งล้วนมีผลต่อการผ่อนชำระหนี้โดยตรง อาจทำให้ต้องแบกรับภาระหนี้บ้านเพียงลำพังที่หนักเกินไป นอกจากนี้ยังอาจส่งผลให้เกิดปัญหาด้านกรรมสิทธิ์ของบ้าน/คอนโดฯ ที่เป็นเจ้าของร่วมกันตามมาได้ในภายหลัง

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย ชวนผู้บริโภคมาทำความเข้าใจเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ควรรู้เมื่อคิดกู้ซื้อที่อยู่อาศัย พร้อมทำความเข้าใจบทบาทของสินเชื่ออสังหาฯ ว่าจะกลายเป็นมรดกตกทอดไปสู่ทายาทได้หรือไม่ หากผู้กู้เสียชีวิตระหว่างผ่อนชำระและไม่มีการทำพินัยกรรมไว้ก่อน

เมื่อผู้กู้จากไป กรรมสิทธิ์ “ที่อยู่อาศัย” ถือเป็นมรดกหรือไม่?

ปกติแล้วเมื่อผู้กู้ผ่อนชำระสินเชื่อบ้านครบเรียบร้อยแล้วกรรมสิทธิ์จะเป็นของผู้กู้โดยตรง หากในกรณีการกู้ร่วม ผู้กู้ร่วมจะต้องตกลงกันว่าจะให้ใครถือกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ หรือจะถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน หรือจะระบุเจาะจงลงไปในสัญญาว่าเมื่อผ่อนชำระเรียบร้อยแล้วจะมอบกรรมสิทธิ์ให้ผู้ใด

แต่หากในระยะเวลาที่ผ่อนชำระเกิดเหตุไม่คาดคิดที่ทำให้ผู้กู้เสียชีวิตไปก่อน ในทางกฎหมายถือว่าอสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นทรัพย์สินของผู้ซื้อตามกฎหมาย ทรัพย์สินดังกล่าวจะกลายเป็นมรดกตกทอดไปสู่ทายาทโดยธรรมตามลำดับ

หรือหากผู้ซื้อทำพินัยกรรมไว้ ทายาทตามพินัยกรรมก็จะถือเป็นคนแรกที่ได้รับผลประโยชน์ ซึ่งมรดกที่ทายาทจะได้รับนั้นรวมไปถึงสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ ของผู้ซื้อที่เสียชีวิตไปแล้วด้วย ซึ่งหมายรวมถึงทรัพย์สินที่มีและหนี้สินที่ยังต้องผ่อนชำระที่จะตกทอดมาสู่ผู้รับมรดกให้ต้องรับผิดชอบภาระทั้งหมดนั้นด้วยเช่นกัน ยกเว้นในกรณีที่เจ้ามรดกมีหนี้สินมากกว่าทรัพย์มรดก หรือมีแต่หนี้สิน ไม่มีการส่งมอบทรัพย์สินใด ๆ ให้แก่ทายาทเลย ทายาทจะไม่ต้องรับผิดชอบชำระหนี้สินเกินกว่ามรดกที่ตนได้รับ

สัญญากู้บ้านยังมีผลหรือไม่ หากผู้กู้ร่วมเสียชีวิตไปก่อน

การเสียชีวิตของผู้กู้ร่วมไม่กระทบต่อสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ยังอยู่ในระหว่างสัญญา โดยสัญญากู้เงินที่ทำกับธนาคารนั้นไม่ได้ระงับไปด้วย และสถานะของผู้กู้ร่วมแต่ละฝ่ายยังคงอยู่ในสภาพเดิมเหมือนก่อนเสียชีวิต แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของสินเชื่อบ้าน เมื่อมีผู้ที่เกี่ยวข้องแจ้งให้ธนาคารทราบว่าผู้กู้ร่วมเสียชีวิต เมื่อนั้นธนาคารจะเรียกให้ทายาทหรือผู้จัดการมรดกของผู้เสียชีวิตเข้ามาลงชื่อเพื่อแสดงเจตนาที่จะรับสภาพหนี้ภายใน 1 ปี และจะมีผลผูกพันทำให้ทายาทที่รับสภาพหนี้เข้ามาอยู่ในฐานะลูกหนี้ของธนาคารแทนที่ผู้กู้ร่วมที่เสียชีวิต โดยทายาทที่จะสามารถรับสภาพหนี้ได้นั้นจะต้องเป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้วเท่านั้น

ในส่วนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น จากเดิมที่กรรมสิทธิ์ในบ้านเป็นของผู้กู้ร่วมแต่ละฝ่ายคนละครึ่ง แต่เมื่อผู้กู้ร่วมฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตจะส่งผลให้กรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่งตกทอดไปสู่ทายาท ซึ่งอาจต้องมีการตกลงกันใหม่ว่าทายาทของผู้เสียชีวิตนั้นมีความพร้อมและยินยอมที่จะผ่อนชำระต่อหรือไม่

นอกจากนี้ ผู้กู้ร่วมยังสามารถหาผู้กู้ร่วมรายใหม่มาช่วยผ่อนสินเชื่อบ้านต่อได้ ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าผู้กู้ร่วมใหม่จะต้องมีความสัมพันธ์ในเชิงเครือญาติกัน โดยต้องแจ้งความต้องการเปลี่ยนผู้กู้ร่วมใหม่แก่ธนาคารเพื่อให้ประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ร่วมรายใหม่ต่อไป หรือในกรณีที่ผู้กู้ร่วมอีกฝ่ายมีความสามารถที่จะผ่อนชำระสินเชื่อในส่วนของตนเองและส่วนของผู้กู้ร่วมที่เสียชีวิตไปด้วย ก็สามารถเลือกผ่อนชำระต่อไปได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องติดต่อทางธนาคาร แต่จะมีประเด็นที่น่ากังวลในเรื่องกรรมสิทธิ์อสังหาฯ ที่อีกครึ่งหนึ่งยังคงตกทอดสู่ทายาทของผู้กู้ร่วมฝ่ายที่เสียชีวิตเช่นเดิม

ได้รับ “มรดกหนี้บ้าน” แบบไม่ทันตั้งตัว ควรรับมืออย่างไร

อย่างไรก็ตาม ในทางกฎหมายแล้วสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างผ่อนชำระของผู้กู้ที่เสียชีวิตนั้นถือเป็นกรรมสิทธิ์ที่ตกทอดมายังทายาทโดยธรรมและทายาทตามพินัยกรรม ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) ขอแนะนำแนวทางรับมือเมื่อผู้บริโภคต้องกลายเป็นทายาทที่ได้รับมรดกหนี้บ้านแบบไม่ทันตัว เพื่อช่วยให้ค้นหาวิธีจัดการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของแต่ละคนและแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด

ทายาทมีสิทธิเลือกปฏิเสธ หากไม่พร้อมและไม่มีความจำเป็น เมื่อทราบว่าผู้กู้ได้เสียชีวิตลงและมีภาระในการชำระสินเชื่ออสังหาฯ ค้างอยู่ ในเบื้องต้นบรรดาทายาทจะต้องทำการประเมินความพร้อมทางด้านการเงินของตนเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะประเมินระดับความจำเป็นว่าการมีบ้าน/คอนโดฯ เพื่ออยู่อาศัยหรือเก็บไว้ลงทุนเพิ่มขึ้นนั้น มีความคุ้มค่าเพียงพอกับการต้องรับภาระหนี้ระยะยาวเหล่านี้หรือไม่ เนื่องจากทายาทมีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่รับทรัพย์สินที่จะตกทอดเป็นมรดกจากผู้เสียชีวิตได้เช่นกัน โดยสถาบันการเงิน/ธนาคารผู้ปล่อยกู้ในฐานะเจ้าหนี้โดยตรงจะดำเนินการยึดทรัพย์สินนั้น ๆ ของผู้เสียชีวิตเพื่อนำไปขายทอดตลาดและนำเงินที่ได้จากการขายมาชำระหนี้บ้านต่อไป ซึ่งหากจำนวนเงินเพียงพอที่จะชำระหนี้ที่ค้างอยู่ได้หมด ทายาทก็ไม่ต้องรับภาระหนี้ใด ๆ ต่อจากผู้เสียชีวิตเลย อย่างไรก็ตาม การที่ธนาคารนำทรัพย์สินไปขายทอดตลาดส่วนใหญ่นั้นมักได้ราคาที่ต่ำกว่ายอดหนี้ จึงอาจส่งผลให้ทายาทยังคงต้องรับภาระหนี้ที่เหลือบางส่วนต่อไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

เช็กสภาพคล่องทางการเงินให้มั่นใจ ก่อนยินยอมรับทรัพย์สิน ในกรณีที่ทายาทได้พิจารณาและประเมินความคุ้มค่าเปรียบเทียบระหว่างกรรมสิทธิ์จากทรัพย์สินมรดกที่ได้และหนี้สินที่ต้องรับภาระต่อแล้ว สามารถแจ้งความจำนงขอรับทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตได้เช่นกัน โดยต้องไม่ลืมที่จะประเมินสภาพคล่องทางการเงินและวางแผนความมั่นคงทางการเงินในอนาคตให้พร้อมด้วย เพราะนอกจากความยินยอมรับมรดกหนี้ตามกฎหมายแล้วทายาทยังต้องมีความพร้อมในการผ่อนชำระต่อด้วย เนื่องจากสินเชื่ออสังหาฯ เป็นสินเชื่อที่มีระยะเวลาผ่อนชำระค่อนข้างนาน ทายาทผู้รับมรดกบ้านต่อจึงจำเป็นต้องได้รับการประเมินสภาพหนี้ใหม่โดยสถาบันการเงิน/ธนาคาร เช่นเดียวกับการยื่นกู้ใหม่ โดยจะประเมินจากจำนวนหนี้ที่เหลือและความสามารถในการผ่อนชำระของทายาท หากทายาทมีความสามารถผ่อนต่อได้หรือกู้ผ่าน ก็สามารถรับหน้าที่ผ่อนต่อไปจนหมด แต่หากทายาทไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ต่อหรือกู้ไม่ผ่าน จะทำให้แนวทางการชำระหนี้อสังหาฯ มีรูปแบบเหมือนกับกรณีที่ทายาทปฏิเสธไม่รับทรัพย์สิน ซึ่งสถาบันการเงิน/ธนาคารจะทำการยึดทรัพย์สินเพื่อขายทอดตลาด และนำเงินที่ได้จากการขายมาชำระหนี้บ้านที่เหลือต่อไป

การจากไปของคนในครอบครัวถือเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดและไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เมื่อไม่สามารถเลี่ยงได้ การวางแผนเตรียมความพร้อมจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน นอกเหนือจากประกันอัคคีภัยที่ผู้กู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจำเป็นต้องทำไว้แล้ว ยังมี “ประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองทรัพย์สิน หรือ ประกัน MRTA” ที่ถือเป็นอีกทางเลือกในการป้องกันความเสี่ยงในกรณีที่ผู้กู้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพ โดยสถาบันการเงิน/ธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้จะได้รับการชำระเงินกู้ต่อจากบริษัทที่รับทำประกันแทนผู้กู้จนครบสัญญา นอกจากจะมีประโยชน์ในมุมที่ไม่ก่อให้เกิดการผลักภาระหนี้ไปยังลูกหลานโดยไม่ได้ตั้งใจแล้ว ทายาทของผู้กู้ยังจะได้รับอสังหาฯ นั้นเป็นมรดกแบบไร้หนี้สินอีกด้วย อย่างไรก็ดี ผู้กู้ควรศึกษา ประเมินความคุ้มค่า และทำความเข้าใจเงื่อนไขที่บริษัทประกันระบุไว้อย่างครบถ้วนก่อนตัดสินใจอีกครั้ง เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย อย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (https://www.ddproperty.com/) ได้รวบรวมข่าวสารในแวดวงอสังหาฯ และบทความที่น่าสนใจเพื่อเป็นแหล่งความรู้ให้ผู้บริโภคที่กำลังวางแผนอยากมีบ้านได้เข้ามาศึกษา รวมทั้งมีข้อมูลประกาศซื้อ-ขาย-เช่าที่อยู่อาศัยในหลากหลายทำเล เพื่อให้ทุกคนเตรียมความพร้อมเป็นเจ้าของบ้านได้อย่างมั่นใจ และค้นหาบ้านในฝันได้ง่ายยิ่งขึ้น

เตรียมพร้อมสู่ยุคใหม่ของความปลอดภัยและสุขภาพ

Fabio Tiviti

เตรียมพร้อมสู่ยุคใหม่ของความปลอดภัยและสุขภาพ

บทความโดย นายฟาบิโอ ทิวิติ รองประธาน ประจำภูมิภาคอาเชียน บริษัท อินฟอร์

ไม่มีใครทราบเลยว่า การแพร่ระบาดของโควิดนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด และโลกของการทำงานจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรหลังจากเหตุการณ์นี้ แต่ที่แน่ ๆ ดูเหมือนว่าเราจะรับรู้ได้ถึงผลกระทบและปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตเรานี้ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงมากมายที่เราได้ประสบในช่วง 12-18 เดือนที่ผ่านมา จะพบว่า การทำงานเสมือนจริงไม่ว่าจะเป็นแบบไฮบริดที่ทำงานจากบ้านหรือจากที่ใดก็ตาม หรือเข้าออฟฟิศทุกวันเต็มเวลา ดูเหมือนว่าการทำงานแบบนี้จะยังคงอยู่กับเราต่อไปอีกนาน

ในมุมหนึ่ง โควิดให้โอกาสพิสูจน์แนวคิดเรื่องการทำงานจากที่บ้าน (work from home = WFH) ว่าเป็นไปได้จริงหรือไม่ จากการศึกษาล่าสุดของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดแสดงให้เห็นว่า พนักงานที่ได้รับอนุญาตให้ WFH มีความสามารถในการทำงานเพิ่มขึ้น เทียบได้กับการทำงานเต็มวันในทุกสัปดาห์ ยิ่งไปกว่านั้น ผลสำรวจเพิ่มเติมจากรายงานฉบับนี้ยังแสดงให้เห็นว่า การ WFH ทำให้การลาออกของพนักงานลดลง 50% และมีการลาป่วยน้อยลงอีกด้วย ซึ่งสิ่งที่ตอกย้ำข้อเท็จจริงนี้คือ การลดพื้นที่สำนักงานได้ช่วยประหยัดเงินค่าเช่าลงได้อย่างมาก โดยผลการศึกษาระบุว่า สามารถประหยัดได้ถึง 2,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อพนักงานหนึ่งคน ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นผลดีต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ในทำนองเดียวกัน จากผลสำรวจของ Gartner เมื่อเร็ว ๆ นี้ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้จะยังคงอยู่ตลอดไป โดยมีผู้บริหารองค์กรจำนวนสูงถึง 82% วางแผนให้พนักงานทำงานจากระยะไกลในอนาคต อย่างน้อยที่สุดก็ในช่วงพาร์ทไทม์

ทว่าในขณะที่กลยุทธ์และนโยบายการ WFH ส่วนใหญ่เกิดจากการจัดการกับวิกฤตท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรค ข้อบ่งชี้ถึงการทำงานระยะยาวแบบนี้เห็นได้ชัดว่า จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ที่ครอบคลุมทั้งผู้คน กระบวนการ และระบบ ตลอดจนโครงสร้างที่จำเป็นเพื่อความยั่งยืนในระยะยาว มากกว่าเพื่อการวางแผนการทำงานในระยะสั้น

ผลลัพธ์ที่น่าแปลกใจ
อย่างไรก็ดี ปัจจัยสำคัญที่สุดประการหนึ่งที่พึงตระหนักถึงในการจัดทำแผนกลยุทธ์ระยะยาว คือ ทางเลือกนี้ไม่ได้ปราศจากความเสี่ยงโดยสิ้นเชิง และเมื่อต้องประเมินกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่เป็นไปได้ องค์กรต้องมองภาพรวมให้รอบคอบก่อนจะทำการตัดสินใจ

สำหรับประเด็นสำคัญด้านสุขภาพและความปลอดภัย มีสิ่งที่ควรพิจารณาและไม่ควรมองข้าม ซึ่งจะเห็นได้จากการนำมาตรฐาน ISO ใหม่ – ISO 45003 ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลกที่ประเมินถึงความเสี่ยงด้านจิตสังคมฉบับแรกมาเริ่มใช้งานในเดือนมิถุนายน 2564 โดยมาตรฐานใหม่นี้จะให้คำแนะนำในการจัดการสุขภาพจิต และความปลอดภัยในการทำงาน เน้นในเรื่องที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพจิต รวมทั้งการสื่อสารที่ไม่มีประสิทธิผล แรงกดดันที่มีมากเกินไป ความเป็นผู้นำที่ไม่ดี และวัฒนธรรมองค์กร โดยองค์กรที่มุ่งมั่นในความยั่งยืนสามารถปรับกลยุทธ์ระดับองค์กรให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติได้มากขึ้น เพราะการใช้มาตรฐาน ISO 45003 จะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการรับรองสภาพการทำงานที่มีคุณค่า สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

มาตรฐานนี้ได้รับการแนะนำให้ใช้กันอย่างกว้างขวางด้วยตระหนักถึงข้อเท็จจริงที่ว่า แม้การทำงานระยะไกลจะมีความยืดหยุ่นก็ตาม แต่พนักงานที่ทำงานในออฟฟิศแบบดั้งเดิมจำนวนมากพบว่า ตนเองกำลังประสบกับภาวะหมดไฟจากการทำงานเมื่อต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อเนื่องท่ามกลางภาระหน้าที่และความต้องการ
ต่าง ๆ ภายในครอบครัว สำหรับหลาย ๆ คนเส้นแบ่งระหว่างงานกับบ้านอาจเลือนลาง จนทำให้การสร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวกลับตาลปัตร ไปเป็นการผสานชีวิตส่วนตัวและการทำงานเข้าด้วยกัน (work-life integration) ซึ่งแน่นอนว่าบางคนอาจปรับตัวได้ง่าย แต่ไม่ใช่กับทุกคน

จากมุมมองของนายจ้าง การติดตามและจัดการกับภาวะหมดไฟในการทำงานที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งสัญญาณด้านสุขภาพจิตที่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้พนักงานที่ทำงานอยู่นอกออฟฟิศ (virtual workforce) มีความสุข เกิดแรงจูงใจ และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งทำให้เกิดผลเชิงบวกในท้ายที่สุดด้วย
ผู้ริเริ่มเรื่องนี้กำลังมุ่งเน้นที่ความเสี่ยงด้านสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงานที่ทำงานอยู่นอกออฟฟิศมากขึ้นเป็นสองเท่า โดยใช้แนวทางสร้างสรรค์ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และลดความเสี่ยงลงให้เหลือน้อยที่สุด

การใช้แนวทางอย่างเป็นระบบ
การใช้แนวทางต่าง ๆ ดังกล่าวจะแตกต่างกันไปในแต่ละบริษัท แต่บริษัทหลายแห่งก็หันมาใช้ระบบบริหารจัดการทุนมนุษย์ (Human Capital Management: HCM) เป็นจุดเริ่มต้น โดยใช้ประโยชน์จากเกณฑ์วัดด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ทำให้เข้าใจถึงสุขภาพของพนักงาน ติดตามแนวโน้มและรูปแบบ และเน้นย้ำประเด็นที่ต้องให้ความสนใจแบบเรียลไทม์ โปรไฟล์ของพนักงานแต่ละคนสามารถสร้างขึ้นได้ตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น ระยะทางจากที่พักพนักงานถึงออฟฟิศ ตลอดจนการขาดงานจากการเจ็บป่วยและการนัดหมายทางการแพทย์ ซึ่งเมื่อนำมารวมกับการวิเคราะห์ของ Microsoft ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับชั่วโมงทำงาน เวลาประชุม จำนวนอีเมลที่ส่งออกแล้ว จะทำให้เห็นภาพว่าจำเป็นต้องยื่นมือเข้าไปช่วย ณ จุดใดบ้าง (design interventions) เพื่อทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น ระบบประเภทนี้ยังช่วยระบุได้ว่า พนักงานมีความเหมาะสมที่จะทำงานระยะไกลในระยะยาวหรือไม่ ในความเป็นจริงที่ตรงกันข้ามกับความเข้าใจส่วนใหญ่พบว่า การทำงานแบบนี้ไม่ได้เหมาะกับทุก ๆ คน ทั้งนี้เนื่องจากหลายคนจะพบว่าตนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างสรรค์ยิ่งขึ้นก็ต่อเมื่ออยู่ในออฟฟิศ เมื่อตระหนักถึงความสำคัญพื้นฐานนี้ องค์กรที่มองการณ์ไกลจึงใช้การวิเคราะห์ความสามารถเชิงคาดการณ์ เพื่อค้นหาโปรไฟล์ และขยายความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ DNA ด้านพฤติกรรมของพนักงานแต่ละคนในองค์กร ปีที่ผ่านมา อินฟอร์ได้ทำการวิจัยในส่วนที่สำคัญนี้ ระบุโปรไฟล์จำนวนหนึ่งที่เหมาะสมที่สุดกับการทำงานระยะไกล โดยมีผลการวิจัยที่ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการโฟกัสที่งาน พร้อมจุดแข็งจุดอ่อนของแต่ละคน ตลอดจนความพร้อมและความสบายใจในการแสดงความคิดและอารมณ์ ซึ่งผลจากการวิจัยยังได้แสดงให้เห็นว่า พนักงานที่ประสบความสำเร็จในการทำงานระยะไกลนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยสนใจกับคำชมของคนนอกมากนัก แต่จะรู้สึกกระตือรือร้นเมื่อได้รับรู้ถึงความเร่งด่วนของงานที่ทำมากกว่า

การออกแบบแนวทางการทำงานแบบไฮบริด
ข้อมูลเชิงลึกประเภทนี้เผยให้เห็นถึงข้อกังวลของนายจ้าง ที่กำลังพิจารณาเปลี่ยนการทำงานทั้งหมดไปเป็นการทำงานแบบเวอร์ชวล หลายองค์กรเลือกใช้แนวทางแบบไฮบริดมากขึ้น เพื่อรองรับโปรไฟล์พนักงานที่หลากหลาย และเลือกใช้อย่างเหมาะสมเพื่อให้พนักงานได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่

สำหรับองค์กรที่ใช้วิธีทำงานแบบไฮบริด แม้แต่การจะเปลี่ยนกลับไปทำงานที่ออฟฟิศก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป เพราะจะต้องมีการจัดตารางเวลาการทำงานที่สร้างสรรค์ของคนในออฟฟิศ เพื่อลดการทำงานใกล้กันให้เหลือน้อยที่สุด โดยจะต้องมีพื้นที่ในการทำงานที่กว้างขวางขึ้น พร้อมระบบกรองอากาศที่ได้รับการปรับปรุง ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ควรต้องรวมไว้เป็นส่วนหนึ่งของแผนงาน

อนาคตของการทำงานมาถึงแล้ว
ขณะนี้ดูเหมือนจะเป็นที่ยอมรับกันในระดับสากลแล้วว่า การทำงานในออฟฟิศแบบเต็มเวลากำลังเหลือน้อยลงทุกขณะ และไม่ว่ารูปแบบการทำงานแบบเวอร์ชวลหรือไฮบริดจะเหมาะสมหรือไม่ก็ตาม สิ่งสำคัญอย่างยิ่ง คือ จะต้องทำตามแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดตามที่กำหนดไว้ในการรับรองมาตรฐาน ISO ใหม่ ที่ให้คำแนะนำในการจัดการสุขภาพจิต และความปลอดภัยในการทำงานโดยประเมินถึงความเสี่ยงด้านจิตสังคม ทั้งนี้ จะต้องตระหนักถึงความสำคัญของการมีระบบที่เหมาะสมในการติดตาม ให้ความสำคัญ และส่งเสริมการมีส่วนร่วม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้

รูปแบบการทำงานในอนาคตอยู่ที่นี่แล้ว และองค์กรที่มองการณ์ไกลกำลังสรุปกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนประสิทธิภาพการทำงาน ลดความเสี่ยงให้เหลือน้อยที่สุด รวมถึงรักษาบุคลากรที่มีความสามารถที่องค์กรต้องการเอาไว้ เพื่อจะได้ยืนหยัดได้อย่างมั่นคงท่ามกลางเศรษฐกิจที่ผันผวนมากขึ้นในอนาคต

“เพย์ โซลูชั่น” จับมือ “ทรูมันนี่” ขยายฐานร้านค้า เปิดให้บริการรับชำระเงินผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท หนุนธุรกิจรับ Cashless สู้โควิด

“เพย์ โซลูชั่น” จับมือ “ทรูมันนี่” ขยายฐานร้านค้า เปิดให้บริการรับชำระเงินผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท หนุนธุรกิจรับ Cashless สู้โควิด

บริษัท เพย์ โซลูชั่น จำกัด ผู้ให้บริการระบบชำระเงินออนไลน์แห่งแรกของเมืองไทย ร่วมกับ ทรูมันนี่ ผู้นำด้านบริการอิเล็กทรอนิกส์เพย์เมนท์ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขยายฐานร้านค้าที่เปิดให้บริการรับชำระเงินผ่านแอปพลิเคชั่นทรูมันนี่ วอลเล็ท เพื่อสนับสนุนธุรกิจออนไลน์ในยุคสังคมไร้เงินสด และช่วยสร้างโอกาสในการเพิ่มยอดขายและขยายกิจการให้เข้าถึงฐานลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่รวมถึงผู้ใช้ทรูมันนี่มากกว่า 19 ล้านราย

ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) เผยว่า ‘โควิด-19’ เป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายไปสู่ตลาดอีคอมเมิร์ซอย่างรวดเร็ว พร้อมระบุในอีก 12 เดือนหลังจากนี้ ผู้บริโภคชาวไทยจะเพิ่มการใช้จ่ายออนไลน์อีกถึง 43% นับเป็นโอกาสท่ามกลางวิกฤติสำหรับผู้ประกอบการในการเร่งมองหาและนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาเสริมช่องทางการขายเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดอีคอมเมิร์ซ ซึ่งช่องทางการรับชำระเงินผ่านอีวอลเล็ทถือเป็นหัวใจสำคัญในการซื้อ-ขายสินค้าผ่านออนไลน์ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในช่วงการแพร่ระบาด

เพย์ โซลูชั่น_ทรูมันนี่

นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพย์ โซลูชั่น จำกัด กล่าวว่า “การร่วมมือกับทรูมันนี่ตอกย้ำถึงความทุ่มเทของเราในการพัฒนาบริการชำระเงินใหม่ ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ซื้อพร้อมสร้างความได้เปรียบในการทำธุรกิจแก่ผู้ประกอบการและร้านค้า เนื่องจากการซื้อขายสินค้าและการชำระเงินของผู้บริโภควันนี้เปลี่ยนไปใช้จ่ายแบบอีเพย์เม้นต์มากขึ้น เราจึงเพิ่มช่องทางรับชำระผ่านแอปฯ ทรูมันนี่ วอลเล็ท เพื่อให้ร้านค้าสามารถเข้าถึงฐานลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่และคุ้นเคยกับการช้อปปิ้งแบบ Cashless ได้อย่างง่ายดาย เพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขายใหม่ ๆ ผ่านช่องทางชำระเงินที่รวดเร็วในแบบที่ต้องการ”

นายนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด (ประเทศไทย) กล่าวว่า “การจับมือกับ เพย์ โซลูชั่น จะช่วยให้ผู้ประกอบการธุรกิจและร้านค้าเชื่อมต่อธุรกิจกับแพลตฟอร์มอีเพย์เม้นต์ของทรูมันนี่ที่มอบทั้งความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน ร้านค้าจึงสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ใหม่ ๆ ซึ่งรวมถึงผู้ใช้มากกว่า 19 ล้านรายของเรา อีกทั้งเพิ่มศักยภาพธุรกิจและโอกาสปิดการขายได้รวดเร็ว”

4 ขั้นตอนการ “ชำระเงิน” ด้วยแอปฯ TrueMoney Wallet กับ เพย์ โซลูชั่น

ทรูมันนี่_ทรูมันนี่ วอลเล็ท