ทรูมันนี่ วอลเล็ท เปิดตัว “อาลีเพย์พลัส รีวอร์ด” (Alipay+ Rewards) พร้อมโปรโมชั่น ‘11.11 Mega Deals’

Alipay+ RewardsTrueMoney

ทรูมันนี่ วอลเล็ท เปิดตัว “อาลีเพย์พลัส รีวอร์ด” (Alipay+ Rewards) พร้อมโปรโมชั่น ‘11.11 Mega Deals’

มอบข้อเสนอสุดพิเศษจากแบรนด์ดังในธุรกิจบันเทิง ค้าปลีก อาหารและเครื่องดื่ม และไลฟ์สไตล์ แก่ผู้ใช้ทรูมันนี่ 20 ล้านคน

ทรูมันนี่ วอลเล็ท เปิดตัว “อาลีเพย์พลัส รีวอร์ด” (Alipay+ Rewards) รูปแบบของฟีเจอร์ใหม่ภายในแอพ (in-app feature) เพื่อให้ผู้ใช้ 20 ล้านคนได้รับข้อเสนอโปรโมชั่นสุดพิเศษ พร้อมสิทธิ์ลุ้นชิงโชคจากแบรนด์ชั้นนำต่าง ๆ ในธุรกิจบันเทิง ค้าปลีก อาหารและเครื่องดื่ม และไลฟ์สไตล์ มูลค่ารวมกว่า 13 ล้านบาท ภายใต้แคมเปญ ‘11.11 Mega Deals’ มอบประสบการณ์ช้อปปิ้งสุดประทับใจแก่ผู้ใช้ทรูมันนี่ในเทศกาลช้อปปิ้ง 11.11 นี้

แบรนด์ที่เข้าร่วมแคมเปญ 11.11 Mega Deals ได้แก่ iQiyi, Viu, Google Play, Lazada, foodpanda และอื่น ๆ อีกมากมาย พร้อมมอบข้อเสนอสุดพิเศษที่จะเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค และมอบความสะดวกสบายในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ผู้ใช้ทรูมันนี่วอลเล็ทสามารถสะสมหรือซื้อคูปองส่วนลดจากร้านค้าต่าง ๆ ผ่านทาง Alipay+ Rewards

ภายใต้แคมเปญ ‘11.11 Mega Deals’ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-11 พฤศจิกายน 2564 ทรูมันนี่นำเสนอดีลสุดฮอตและของรางวัลผ่านกิจกรรมสนุก ๆ เช่น

    • ‘วงล้อนำโชค’ มอบโชคให้ผู้ใช้ทรูมันนี่ร่วมลุ้นรางวัลใหญ่ เช่น ‘Apple MacBook Air และ Apple iPad Air’ ได้ทุกวัน
    • ‘ดีล 1 บาท’ ผู้ใช้ทรูมันนี่สามารถซื้อคูปองส่วนลดจากร้านค้าต่าง ๆ ในราคาเพียง 1 บาท
    • ‘ดีลพิเศษจากร้านค้าออนไลน์’ ผู้ใช้ทรูมันนี่จะได้รับรางวัลพิเศษมากมายจาก Alipay+ Rewards รวมถึงคูปองพิเศษ และคูปองส่วนลดจากแบรนด์ชั้นนำ

Alipay+ Rewards มอบเครื่องมือทางการตลาดดิจิทัลใหม่ล่าสุดที่ได้รับการพัฒนาโดยแอนท์ กรุ๊ป (Ant Group) ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้บริหารจัดการแพลตฟอร์มการชำระเงินดิจิทัลอาลีเพย์ (Alipay) ให้บริการแก่ผู้ใช้โมบายล์วอลเล็ทหลายร้อยล้านคนในหลายประเทศทั่วโลกสำหรับการซื้อสินค้า และบริการจากแบรนด์ต่าง ๆ ทั้งในระดับโลกและระดับท้องถิ่น ด้วย Alipay+ Rewards ผู้ใช้โมบายล์วอลเล็ทจะสามารถแลกรับ หรือซื้อคูปองส่วนลดจากร้านค้าแบรนด์ดังต่างๆ รวมไปถึงธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

มนสินี นาคปนันท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด และผู้ให้บริการทรูมันนี่ กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นที่จะเพิ่มมูลค่าและสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้แก่ผู้ใช้งาน การเปิดตัว Alipay+ Rewards ในทรูมันนี่ วอลเล็ทครั้งนี้จะช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงแบรนด์ชั้นนำระดับโลกและระดับภูมิภาค และเพลิดเพลินกับประสบการณ์การใช้จ่ายที่สะดวกมากยิ่งขึ้น พร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษในเทศกาลช้อปปิ้ง 11.11 นี้”

หยิน จิง ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายลูกค้าระดับโลกของแอนท์ กรุ๊ป กล่าวว่า “เนื่องจากผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เราเห็นถึงความต้องการในการซื้อสินค้าออนไลน์ และใช้บริการออนไลน์เพื่อความบันเทิงที่เพิ่มขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บริโภคในภูมิภาคนี้มักจะมองหาข้อเสนอหรือโปรโมชั่นที่ดีที่สุด ด้วยเหตุนี้ Alipay+ Rewards จึงร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ด้านอีวอลเล็ทอย่างเช่น ทรูมันนี่ วอลเล็ท เพื่อนำเสนอแบรนด์ชั้นนำระดับโลกและระดับท้องถิ่นให้กับผู้ใช้ในประเทศโดยตรง”

แอนนา พัค เบอร์ดิน หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจและความร่วมมือระหว่างประเทศของ iQiyi กล่าวว่า “อ้ายฉีอี้ (iQiyi) มองเห็นแนวโน้มการเติบโตของคอนเทนต์ในเอเชียเป็นอย่างมากในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอนเทนต์จีน ในหลายเดือนที่ผ่านมา เรารู้สึกยินดีที่ได้ร่วมมือกับ Alipay+ Rewards และทรูมันนี่ ในการนำเสนอบริการที่เหนือกว่าแก่ผู้ใช้ทรูมันนี่เพื่อเข้าถึงแหล่งคอนเทนต์ในเอเชียที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ต้อนรับแคมเปญ 11.11 ในปีนี้”

ผู้สนใจสามารถร่วมจับรางวัล ‘11.11 Mega Deals’ ได้ง่ายๆ ตาม 6 ขั้นตอนต่อไปนี้

    1. ล็อกอินเข้าสู่ทรูมันนี่ วอลเล็ท และคลิกที่ไอคอน ‘Alipay+ Rewards’
    2. เก็บคูปองเพื่อสมัครสมาชิก Alipay+ Rewards (เฉพาะครั้งแรกเท่านั้น)
    3. ไปที่แบนเนอร์ ‘จับรางวัล’ (Lucky Draw) [วงล้อนำโชค]
    4. คลิกที่ ‘Go’ เพื่อรับสิทธิ์ลุ้นรางวัล
    5. คลิกที่ ‘ดูรางวัล’ เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    6. ดูรายละเอียดของรางวัลที่คุณได้รับ

4 ขั้นตอนง่ายๆ ในการเข้าร่วม ‘ดีล 1 บาท’

    1. ล็อกอินเข้าสู่ทรูมันนี่ วอลเล็ท และคลิกที่ไอคอน ‘Alipay+ Rewards’
    2. ตรวจสอบคูปอง 1 บาทที่แบนเนอร์
    3. เลือกคูปอง 1 บาทที่คุณต้องการ
    4. ดำเนินการตามขั้นตอนชำระเงิน
Alipay+ Rewards

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ‘11.11 Mega Deals’ โดยทรูมันนี่ วอลเล็ท ได้จากเว็บไซต์ https://www.truemoney.com/a/category/promotion-page/promo-alipayreward/ หรือติดต่อศูนย์บริการลูกค้าทรูมันนี่ 1240

Red Hat Forum Asia Pacific 2021 เปิดโลกทัศน์การใช้เทคโนโลยีโอเพ่นซอร์ส เร่งสร้างนวัตกรรมในโลกยุคไฮบริด

Red Hat

Red Hat Forum Asia Pacific 2021 เปิดโลกทัศน์การใช้เทคโนโลยีโอเพ่นซอร์ส เร่งสร้างนวัตกรรมในโลกยุคไฮบริด

เปิดโอกาสให้กับผู้เข้าร่วมงานได้เรียนรู้และแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับนวัตกรรมแบบเปิด การเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล และความยืดหยุ่นในการใช้เทคโนโลยีโอเพ่นซอร์ส

เร้ดแฮท อิงค์ ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันโอเพ่นซอร์สประกาศจัดงาน Red Hat Forum Asia Pacific 2021 งานที่เป็นการรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ และเหล่าพันธมิตรของเร้ดแฮท เพื่อร่วมกันนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีโอเพ่นซอร์ส งานดังกล่าวจัดขึ้นใน 6 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เริ่มตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม ถึงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2564

การจัดงาน Red Hat Forum Asia Pacific ในปีที่ 11 นี้ อยู่ภายใต้ธีม “Open Your Perspective” เพื่อต้องการสื่อให้เห็นและมอบโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานและผู้มีส่วนร่วมทุกภาคส่วนได้ร่วมมือกันผ่านการแบ่งปันประสบการณ์ แนวคิดใหม่ ๆ และข้อมูลเชิงลึกต่าง ๆ ความร่วมมือดังกล่าวมุ่งหมายเพื่อเพิ่มมุมมองให้กับผู้เข้าร่วมงานในการนำโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ไปช่วยทำให้องค์กรธุรกิจได้ค้นพบโซลูชันและเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อสร้างนวัตกรรม เพื่อรังสรรค์รูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ และปูทางไปสู่อนาคตการนำดิจิทัลมาใช้

จากรายงาน State Enterprise Open Source ฉบับล่าสุดของเร้ดแฮท ระบุว่า มีการนำซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สสำหรับองค์กรไปใช้มากที่สุดเพื่อทำให้โครงสร้างพื้นฐานไอทีตอบโจทย์องค์กรที่สุดและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ 64% ขององค์กรที่ตอบแบบสำรวจระบุว่ามีการใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สระดับองค์กรในการปรับโครงสร้างพื้นฐานไอทีเป็นอันดับต้น ๆ เพิ่มขึ้นจากตัวเลขผลสำรวจ 53% เมื่อสองปีที่ผ่านมา การที่มีองค์กรโยกย้ายไปใช้ระบบคลาวด์มากขึ้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ธุรกิจจะต้องสร้างความยืดหยุ่น เพื่อให้สามารถนำแอปพลิเคชันต่าง ๆ ไปใช้งานได้กับทุกสภาพแวดล้อมโดยไม่จำเป็นต้องสร้างแอปพลิเคชันใหม่ ไม่ต้องฝึกอบรมพนักงานใหม่ หรือสามารถดูแลสภาพแวดล้อมไอทีที่แตกต่างกันได้ ทั้งนี้โอเพ่นไฮบริดคลาวด์มีคุณสมบัติด้านความรวดเร็วและความคล่องตัวที่สามารถช่วยองค์กรให้จัดการกับเรื่องเหล่านี้ได้ ช่วยให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสประสบการณ์การใช้คลาวด์ที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งเป็นการเร่งให้การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลขององค์กรทำได้เร็วขึ้น 

ในงาน Red Hat Forum Asia Pacific 2021 คุณมาร์เจ็ต แอนดรีสส์ ผู้จัดการทั่วไปและรองประธานของเร้ดแฮทประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในฐานะผู้กล่าวคำปราศรัยหลักได้นำเสนอข้อมูลการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในโลกยุคใหม่ และองค์กรจะสามารถนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ และโอเพ่นซอร์สไปใช้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร 

ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเรื่องราวล่าสุดต่าง ๆ ด้านโอเพ่นซอร์ส รวมถึงการบริหารจัดการการให้บริการระบบคลาวด์ (managed cloud services) ที่ช่วยให้องค์กรสามารถเลือกใช้บริการคลาวด์ที่ต้องการได้อย่างง่าย ๆ ช่วยสร้างโครงสร้างพื้นฐานไฮบริดคลาวด์ที่ตรงกับความต้องการในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงการนำประสิทธิภาพของเทคโนโลยีคลาวด์ไปใช้ทำโครงการที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิ่ง (ML) ต่าง ๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

พร้อมกันนี้ เร้ดแฮทจะประกาศมอบรางวัล Red Hat APAC Innovation Awards 2021 เพื่อยกย่องลูกค้าที่นำโซลูชันของเร้ดแฮทไปใช้งานอย่างสร้างสรรค์ แก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างเฉียบแหลม ตัวอย่างองค์กรที่ได้รับรางวัลในปีที่ผ่านมาซึ่งนำโซลูชันโอเพ่นซอร์สของเร้ดแฮทไปใช้งานได้อย่างประสบความสำเร็จ ได้แก่ Standard Chartered Bank, Chunghwa Telecom และ Bajaj Allianz Life Insurance เป็นต้น

ไฮไลท์กิจกรรมอื่น ๆ ได้แก่

    • ประเด็นสำคัญและการประชุมกลุ่มย่อยที่เน้นไอที 4 ประเภท ได้แก่ โอเพ่นไฮบริดคลาวด์,
      การพัฒนาบนคลาวด์เนทีฟ, ระบบอัตโนมัติที่เน้นบริการทางการเงิน และอุตสาหกรรมโทรคมนาคม
    • หัวข้อสำคัญที่จะกล่าวถึง ได้แก่
      • แนวทางของเร้ดแฮทสู่กลยุทธ์โอเพ่นไฮบริดคลาวด์
      • Telco – On the Edge: การลงทุนด้าน 5G ในธุรกิจโทรคมนาคมจะประสบความสำเร็จหรือไม่
      • โครงการเร่งการใช้งาน AI/ML ด้วยกรอบการทำงานแบบโอเพ่นไฮบริดคลาวด์
      • การใช้โอเพ่นซอร์สเร่งสร้างนวัตกรรมในโลกไฮบริดคลาวด์
      • Better Together: การเชื่อมต่อระบบอัตโนมัติเพื่อการปรับใช้งานไฮบริดคลาวด
      • เส้นทางการใช้ระบบอัตโนมัติให้ประสบความสำเร็จ
      • การพัฒนารูปแบบการคาดการณ์สำหรับการหมุนเวียนของลูกค้าธนาคารดิจิทัล โดยใช้วิศวกรรมข้อมูลและการวิเคราะห์สำหรับ AI/ML
    • เรื่องราวจากลูกค้าที่ประสบความสำเร็จในการใช้โซลูชันโอเพ่นซอร์สขับเคลื่อนนวัตกรรม ระบบอัตโนมัติ และ AI/ML
    • ผู้ชนะรางวัล Red Hat Innovation Award APAC 2021
    • การสาธิตสดของเทคโนโลยีโอเพ่นคลาวด์ของเร้ดแฮท และ OpenShift สำหรับผู้ชมที่สนใจ

คำกล่าวสนับสนุน

มาร์เจ็ต แอนดรีสส์ ผู้จัดการทั่วไปและรองประธาน ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัทเร้ดแฮท
“การแพร่ระบาดครั้งใหญ่นี้ได้กระตุ้นให้เกิดการลงทุนมากขึ้นในด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ และธุรกิจจำนวนมากขึ้นก็หันมาใช้เทคโนโลยีโอเพ่นซอร์สในองค์กรของตน ในงาน Red Hat Forum ปีนี้ เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมแบ่งปันวิธีที่องค์กรต่าง ๆ สามารถท้าทายขีดจำกัด และใช้ประโยชน์จากโอเพ่นซอร์สในการสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลพร้อมทั้งเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับการดำเนินงาน ทั้งนี้ การจัดงานแบบเวอร์ชวลครั้งนี้ช่วยให้เราเข้าถึงผู้ชมได้มากขึ้น การผสมผสานแนวคิด เรื่องราวความสำเร็จ และข้อมูลเชิงลึกเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้เราสามารถผลักดันการนำโอเพ่นซอร์สไปใช้อย่างต่อเนื่องต่อไป”

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

อีริคสันแต่งตั้งอิกอร์ มอเรล ประธานบริษัทอีริคสัน ประเทศไทย

Nunzio Mirtillo

อีริคสันแต่งตั้งอิกอร์ มอเรล ประธานบริษัทอีริคสัน ประเทศไทย

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) ประกาศแต่งตั้ง มร. อิกอร์ มอเรล ขึ้นดำรงตำแหน่งประธาน บริษัท อีริคสัน ประเทศไทย ก่อนหน้าที่จะรับตำแหน่งประธาน บริษัท อีริคสัน ประเทศไทย มร. อิกอร์ เคยเป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการเครือข่ายของอีริคสันประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, โอเชียเนีย และอินเดีย ซึ่งเขารับผิดชอบฝ่ายปฏิบัติการและนำส่งบริการระบบเครือข่าย (Networks Service Delivery & Operations), ซัพพลายเชน (Supply Chain), สนับสนุนการขาย (Sales Support) รวมถึงฝ่ายนวัตกรรมออโตเมชั่นและปัญญาประดิษฐ์ (Automation and Artificial Intelligence)

มร. อิกอร์เข้ารับตำแหน่งต่อจากนาดีน อัลเลน ที่ดำรงตำแหน่งนี้ถึงห้าปีครึ่ง ก่อนจะย้ายไปดำรงตำแหน่งประธานด้านกลยุทธ์และองค์กรธุรกิจ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, โอเชียเนีย และอินเดีย

มร. นันซิโอ เมอร์ทิลโล ประธานบริษัทอีริคสัน ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, โอเชียเนีย และอินเดีย กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นตลาดที่สำคัญมากสำหรับอีริคสันและเรามุ่งมั่นสนับสนุนผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (CSP) ในประเทศไทย โดยมอบประโยชน์ต่าง ๆ จากการเชื่อมต่อไปยังผู้บริโภคและองค์กร โดยการปรับใช้เทคโนโลยีและโซลูชั่นล้ำยุคของเรา อิกอร์ เป็นผู้นำที่มีประสบการณ์ของอีริคสันและด้วยประวัติการทำงานอันยาวนานในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงที่มีความเชี่ยวชาญและชำนาญหลากหลายอุตสหากรรมหรือรู้จักตลาดหลายภูมิภาคเป็นอย่างดี ผมมั่นใจว่าภายใต้การนำของเขา อีริคสันจะดำเนินการตามคำมั่นสัญญาและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจในประเทศไทยต่อไป”

มร. อิกอร์เข้าร่วมงานกับอีรัคสันในปีพ.ศ. 2543 และได้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในด้านเทคโนโลยี การขาย และการดำเนินงานในยุโรป อเมริกาเหนือและละตินอเมริกา เอเชีย และอินเดีย มร. อิกอร์สำเร็จการศึกษาระดับบริหารเอ็มบีเอ (MBA) ในสาขา Innovation & Design Thinking โดยมุ่งเน้นที่ตลาดยุโรปและเอเชียจาก ESADE/AALTO Business School ประเทศสเปน-ฟินแลนด์ นอกจากนั้นยังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์

มร. อิกอร์กล่าวถึงการมารับตำแหน่งใหม่ว่า “ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับตำแหน่งใหม่ในฐานะประธาน บริษัทอีริคสัน ประเทศไทย ตลาดไทยมีความพิเศษและเฉพาะตัวมากด้วยอัตราการใช้เวลาในโลกออนไลน์เฉลี่ยต่อวันสูงในระดับแนวหน้าของโลก และที่นี่ยังแสดงถึงโอกาสทางธุรกิจที่น่าตื่นเต้นสำหรับเรา ผมใจจดจ่อที่จะสนับสนุนผู้ให้บริการด้านการสื่อสารของไทยเพื่อพัฒนาเครือข่ายการสื่อสารที่มีพลวัตและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งช่วยให้ประเทศไทยสร้างระบบนิเวศไร้สายในอุตสาหกรรม 4.0 ด้วยเทคโนโลยีและโซลูชั่น 5G ที่ล้ำสมัยของ Ericsson”

นับเป็นเวลากว่า 115 ปีที่อีริคสันดำเนินธุรกิจในประเทศไทย อีริคสันได้เป็นพันธมิตรกับผู้ให้บริการด้านการสื่อสารของไทยในการจัดหานวัตกรรมการเชื่อมต่อของเทคโนโลยีมือถือในยุคต่าง ๆ แก่ผู้บริโภคในประเทศไทย และอีริคสันกำลังทำงานร่วมกับลูกค้าเพื่อแนะนำ 5G ในประเทศไทยได้อย่างราบรื่น 

Ericsson เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี 5G ทั่วโลก โดยมีเครือข่าย 5G จำนวน 97 เครือข่ายที่เปิดให้บริการแล้วใน 46 ประเทศ

จับตาอสังหาฯ หัวเมืองใหญ่ พร้อมรับกำลังซื้อต่างชาติหลังเปิดประเทศหรือไม่

Pattaya

จับตาอสังหาฯ หัวเมืองใหญ่ พร้อมรับกำลังซื้อต่างชาติหลังเปิดประเทศหรือไม่

แผนเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย. นี้ เป็นความหวังในการฟื้นฟูการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า การเปิดประเทศจะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ประมาณ 64% เมื่อเทียบกับช่วงที่ไม่มีมาตรการ โดยจะสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 1.35 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของภาคธุรกิจต่าง ๆ ในประเทศ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ในขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อชะลอตัวยาวนาน การเปิดประเทศจึงเป็นโอกาสที่จะฟื้นตลาดที่อยู่อาศัยให้กลับมาคึกคักเช่นกัน สอดคล้องกับข้อมูลจากนายอธิป พีชานนท์ รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และประธานคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาสมาคมการค้า เผยว่า นักลงทุนที่เป็นกลุ่มคนจีนคิดเป็นสัดส่วนกว่า 50% ของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้ออสังหาฯ ในไทยที่ยังไม่มีการโอน และบางรายต้องทิ้งการโอนไปเนื่องจากไม่สามารถเดินทางมาทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้ รวมเป็นเม็ดเงินราว 5 หมื่นล้านบาท ดังนั้นนโยบายการเปิดประเทศและการแก้ไขร่างกฎหมายการถือครองอสังหาฯ และที่ดินใหม่สำหรับชาวต่างชาติจึงถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและตลาดอสังหาฯ ไทยอีกครั้ง

ข้อมูลผู้เข้าเยี่ยมชมในเว็บไซต์ DDproperty.com พบว่า ช่วง 8 เดือนแรกของปี 2564 มีการเข้าค้นหาข้อมูลอสังหาฯ ในประเทศไทยจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นความสนใจจากกลุ่มชาวต่างชาติที่มีต่ออสังหาฯ ในไทยไม่น้อย สอดคล้องกับข้อมูลของเว็บไซต์อสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในจีนอย่าง Anjuke ที่เผยว่า ไทยติดอันดับสอง (21%) ของประเทศที่ชาวจีนค้นหาอสังหาฯ มากที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 รองจากญี่ปุ่น (22%) ตามมาด้วยสหรัฐฯ และมาเลเซียในสัดส่วนเท่ากัน (12%) ปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดให้ชาวจีนสนใจมาจากความคุ้มค่าของผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าของอสังหาฯ ในไทยซึ่งอยู่ที่ประมาณ 5-10% สูงกว่าการลงทุนในจีนที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 2% นอกจากนี้ชาวจีนยังถือเป็นกลุ่มนักลงทุนอสังหาฯ ที่มีศักยภาพสำหรับไทย เห็นได้จากสถิติการถือครองกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติในภาพรวมทั้งประเทศของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เผยว่า ผู้ซื้อสัญชาติจีนถือครองกรรมสิทธิ์มาเป็นอันดับ 1 ตามมาด้วยรัสเซีย และสหราชอาณาจักร โดยจังหวัดที่มีพื้นที่การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพฯ 49.4% จังหวัดชลบุรี 30.2% จังหวัดเชียงใหม่ 7.1% และจังหวัดภูเก็ต 4.9% ซึ่งเป็นหัวเมืองใหญ่ที่มีศักยภาพและมีจุดเด่นด้านการท่องเที่ยว

DDproperty
  • จับตาแนวโน้มดัชนีราคาและอุปทานหัวเมืองใหญ่ พร้อมรับกำลังซื้อต่างชาติแค่ไหน
    ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยข้อมูลเชิงลึกอัปเดตตลาดที่อยู่อาศัยไทยใน 5 จังหวัดหัวเมืองใหญ่ที่เป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ กรุงเทพฯ, ภูเก็ต, เชียงใหม่, เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี และอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมเผยความต้องการซื้อ/เช่าล่าสุดจากข้อมูลผู้เข้าเยี่ยมชมในเว็บไซต์ DDproperty.com ทั่วประเทศในเดือนกันยายนที่ผ่านมา สะท้อนทิศทางการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ควบคู่ไปกับแนวโน้มความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคที่ไม่ควรมองข้าม
    • กรุงเทพมหานคร การแพร่ระบาดฯ ที่ยาวนานตั้งแต่ต้นปี ทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (พื้นที่สีแดงเข้ม) ส่งผลให้แนวโน้มดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ในช่วงไตรมาส 3 นี้ ลดลงจากไตรมาสก่อน 2% ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซาต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อออกไป อีกทั้งยังขาดกำลังซื้อจากชาวต่างชาติที่ไม่สามารถเข้าประเทศไทยได้ ด้านดัชนีอุปทานเพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นว่าอัตราการดูดซับยังไม่กลับมาเท่าที่ควร อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาความสนใจซื้อในพื้นที่กรุงเทพฯ ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา พบว่า เพิ่มขึ้นถึง 10% จากเดือนก่อนหน้า สะท้อนความต้องการที่อยู่อาศัยในเมืองหลวงที่เริ่มกลับมาหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ คลี่คลาย ประกอบกับการจัดโปรโมชั่นดึงดูดใจอย่างต่อเนื่องจากผู้พัฒนาอสังหาฯ ขณะที่ความสนใจเช่าก็เพิ่มขึ้น 2% จากเดือนก่อนหน้าเช่นกัน
    • ภูเก็ต ถือเป็นหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญของไทยที่แทบทุกธุรกิจในจังหวัดล้วนได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กันอย่างถ้วนหน้า ส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยในภูเก็ตชะลอตัวตามกำลังซื้อผู้บริโภคไปด้วย โดยแนวโน้มดัชนีราคาในภูเก็ตลดลงถึง 22% จากไตรมาสก่อน ในขณะที่เมื่อเปรียบเทียบกับช่วง 2 ปีก่อนที่จะมีแพร่ระบาดฯ ดัชนีราคาลดลง 6% ส่วนดัชนีอุปทานลดลงถึง 16% จากไตรมาสก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม หลังการเปิดโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” (Phuket Sandbox) ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีและมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่วยเรียกความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภคให้กลับมา ส่งผลให้ความสนใจซื้อที่อยู่อาศัยในเดือนกันยายนนี้เพิ่มขึ้น 14% จากเดือนก่อนหน้า ในขณะที่ความสนใจเช่าเพิ่มขึ้น 29%
    • เชียงใหม่ แม้การแพร่ระบาดฯ ระลอกล่าสุดจะส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของเชียงใหม่ซบเซาลงไปตั้งแต่ต้นปี อย่างไรก็ดี ตลาดอสังหาฯ ในเชียงใหม่ยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากแนวโน้มดัชนีราคาที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้น 1% จากไตรมาสก่อน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดฯ ในช่วง 2 ปีก่อนหน้า พบว่า ดัชนีราคาเพิ่มขึ้นถึง 9% ส่วนดัชนีอุปทานเพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาสก่อนหน้า ด้านความต้องการซื้อของผู้บริโภคเริ่มมีสัญญาณบวกเห็นได้จากความสนใจซื้อที่อยู่อาศัยในเดือนกันยายนที่เพิ่มขึ้น 11% สวนทางกับความสนใจเช่าที่ลดลง 11% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ราคาที่อยู่อาศัยมีความเหมาะสมและคุ้มค่า จึงดึงดูดให้ผู้บริโภคตัดสินซื้อแทนการเช่าอยู่
Chiangmai
    • พัทยา ด้วยจุดเด่นของทำเลที่ตั้งที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง ทำให้พัทยาเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ผู้บริโภคซื้อไว้เป็นบ้านหลังที่สอง หรือนักลงทุนสนใจเลือกซื้ออสังหาฯ ไว้เพื่อปล่อยเช่า แม้ช่วงที่ผ่านมาภาพรวมเศรษฐกิจจะซบเซา ส่งผลให้ตลาดอสังหาฯ ได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน พบว่าแนวโน้มดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในพัทยาลดลง 7% จากไตรมาสที่แล้ว โดยลดลงถึง 47% เมื่อเทียบกับช่วง 2 ปีก่อนหน้าที่ยังไม่มีการแพร่ระบาดฯ ในไทย ในขณะที่อัตราดูดซับยังคงไม่กลับมาเป็นปกติ เห็นได้ชัดจากดัชนีอุปทานในตลาดที่เพิ่มขึ้นถึง 52% จากไตรมาสก่อน อย่างไรก็ดี ตลาดที่อยู่อาศัยเมืองพัทยายังคงมีสัญญาณบวกจากความสนใจซื้อในเดือนกันยายนที่เพิ่มขึ้น 22% จากเดือนก่อนหน้า แม้ว่าความสนใจเช่าจะลดลงถึง 25% ก็ตาม
    • หัวหิน สถานการณ์การแพร่ระบาดฯ ส่งผลให้การเติบโตของภาคธุรกิจในเมืองท่องเที่ยวต้องหยุดชะงักตามไปด้วย โดยเฉพาะในตลาดอสังหาฯ ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้พบว่าแนวโน้มดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในหัวหินลดลงถึง 24% จากไตรมาสก่อน โดยลดลงถึง 64% เมื่อเทียบกับช่วง 2 ปีก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ ในขณะที่ดัชนีอุปทานลดลง 18% จากไตรมาสก่อน สะท้อนให้เห็นการปรับตัวของผู้พัฒนาอสังหาฯ ในพื้นที่ที่ชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ออกไปก่อน เพื่อรอให้กำลังซื้อผู้บริโภคกลับมา อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ตลาดอสังหาฯ ก็ได้รับอานิสงส์ด้วยเช่นกัน พบว่าความสนใจซื้อที่อยู่อาศัยในเดือนกันยายนนี้เพิ่มขึ้น 18% จากเดือนก่อนหน้า ส่วนความสนใจเช่าลดลง 38%

กำลังซื้อจากชาวต่างชาติถือเป็นกุญแจสำคัญที่มีอิทธิพลในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ภาครัฐเองได้พยายามออกมาตรการ/นโยบายเพื่อช่วยดึงดูดกำลังซื้อต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในภาคอสังหาฯ มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัยในไทย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study ฉบับล่าสุด เผยมุมมองผู้บริโภคชาวไทยที่มีต่อร่างกฎหมายการถือครองอสังหาฯ และที่ดินของชาวต่างชาติฉบับใหม่ พบว่า มีผู้บริโภคเห็นด้วย 26% และไม่เห็นด้วยในสัดส่วนไล่เลี่ยกันที่ 24% เมื่อพิจารณาจากเหตุผลหลักของฝ่ายที่เห็นด้วย 79% มองว่าร่างกฎหมายนี้จะช่วยผลักดันการเติบโตของตลาดอสังหาฯ และเศรษฐกิจไทยโดยรวม ในขณะที่ 62% ของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย เนื่องจากเกรงว่าร่างกฎหมายนี้จะทำให้ราคาที่ดินและอสังหาฯ ในไทยแพงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงกับคนไทยที่อยากมีบ้าน ดังนั้น การแก้ไขร่างกฎหมายการถือครองอสังหาฯ และที่ดินของชาวต่างชาติฉบับใหม่จึงถือเป็นเรื่องสำคัญที่ภาครัฐควรศึกษาผลกระทบทั้งข้อดีและข้อเสียอย่างรอบด้าน พร้อมเร่งทำความเข้าใจและสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชน หากต้องการผลักดันนโยบายนี้ให้เกิดประโยชน์กับเศรษฐกิจประเทศและมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการในระยะยาว

อาลีบาบา คลาวด์ เดินหน้าพันธสัญญาต่อประเทศไทย เสริมแกร่งโครงการด้านพันธมิตรและเสริมศักยภาพทักษะดิจิทัล

อาลีบาบา คลาวด์ เดินหน้าพันธสัญญาต่อประเทศไทย เสริมแกร่งโครงการด้านพันธมิตรและเสริมศักยภาพทักษะดิจิทัล

พร้อมแผนเปิดไฮเปอร์สเกลดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกของอาลีบาบา คลาวด์ ในไทยปีหน้า

อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป เดินหน้าสานต่อพันธกิจในประเทศไทย เพิ่มความช่วยเหลือ เสริมความแข็งแกร่งด้านกลยุทธ์ในไทยด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้งาน พร้อมให้การสนับสนุนระบบนิเวศ การฝึกอบรมบุคลากรที่มีทักษะความสามารถ และการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน

อาลีบาบา คลาวด์ ได้รับการจัดอันดับจากการ์ทเนอร์ให้เป็นผู้บริการคลาวด์ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เปิดตัว Thailand Partner Alliance 100 ระบบนิเวศที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนพันธมิตรในท้องถิ่นและส่งเสริมการทำงานร่วมกันในด้านต่าง ๆ อาทิ ด้านการตลาด การขายและสนับสนุนทางด้านเทคนิค องค์กรธุรกิจสามารถเข้าใช้งานเครื่องมือดิจิทัลที่สำคัญต่าง ๆ ในระบบนิเวศนี้ได้ และพันธมิตรด้านโซลูชัน (solution partners) จะได้รับผลกำไรที่แข่งขันได้ในระดับสูงเมื่อเลือกใช้ผลิตภัณฑ์หลักต่าง ๆ เช่น ECS, Database, Content Delivery Networks and Short Message Services รวมถึงการให้การสนับสนุนด้านเทคนิคและเงินทุนด้านการผสานรวมเทคโนโลยีสำหรับพันธมิตรด้านโซลูชันที่ต้องการสร้างสรรค์นวัตกรรมบนอาลีบาบา คลาวด์ สำหรับพันธมิตรด้านบริการ (service partners) จะสามารถเข้าใช้การสนับสนุนด้านการโยกย้ายการทำงานระหว่างระบบต่าง ๆ และได้รับคลาวด์เครดิตฟรี

เซลินา หยวน ผู้จัดการทั่วไปด้านธุรกิจระหว่างประเทศ อาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าการเติบโตของผู้ใช้งานบริการพับลิคคลาวด์ทั่วโลกจะอยู่ที่ 23.1 เปอร์เซ็นต์ในปี พ.ศ. 2564 เมื่อเทียบกับในปี พ.ศ. 2563[1] ด้วยอัตราการใช้คลาวด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก และโอกาสต่าง ๆ ที่ธุรกิจในท้องถิ่นจะได้รับจากระบบคลาวด์ ทำให้หนึ่งในพันธกิจหลักของเราคือการทำงานใกล้ชิดกับพันธมิตรไทย เพื่อเสริมศักยภาพการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลให้กับลูกค้า ข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจที่ทรงคุณค่าของเราในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนั้นสามารถรองรับและสนับสนุนได้หลากหลายภาคอุตสาหกรรม เมื่อใช้ควบคู่กับเทคโนโลยีโซลูชันชั้นนำที่เราให้บริการลูกค้าทั่วโลก จะสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับพันธมิตรของเราในการพัฒนาความสามารถใหม่ ๆ และขยายความสำเร็จทางธุรกิจไปพร้อมกับเรา”

ตัวอย่างผู้ค้าปลีกไทย จะได้ประโยชน์จากโซลูชันของอาลีบาบา คลาวด์ ที่รองรับการใช้งานกับลาซาด้า (Lazada) ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของอาลีบาบา กรุ๊ป และจะสามารถเข้าใช้งานชุดโซลูชันต่าง ๆ ตั้งแต่โซลูชันในการผสานการทำงานระหว่างออนไลน์กับออฟไลน์ และเครื่องมือที่ใช้สนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ บนเส้นทางการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของผู้บริโภค ไปจนถึงบริการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง และการตลาดที่เจาะลูกค้าเป็นรายบุคคล นอกจากนี้อาลีบาบา คลาวด์ ยังให้บริการด้านต่าง ๆ กับบริษัทด้านการเงินของไทย เช่นบริการที่รองรับเทคโนโลยี eKYC ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการยืนยันพิสูจน์ตัวตนและการทำความรู้จักลูกค้าผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ บริการที่รองรับการหาลูกค้าใหม่ผ่านอุปกรณ์โมบาย และโซลูชันการให้สินเชื่อดิจิทัลที่ใช้ AI เป็นต้น

อาลีบาบา คลาวด์ เปิดตัว Academic Empowerment Program ซึ่งเป็นโครงการเสริมศักยภาพทางวิชาการให้กับนักศึกษา นักวิชาการ และนักวิจัย เพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัลของประเทศไทยในอนาคต ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับทรัพยากรด้านคลาวด์คอมพิวติ้งฟรี รวมถึงโอกาสในการฝึกอบรม และความช่วยเหลือทางการเงิน เพื่อเสริมสร้างความรู้ให้สอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 ซึ่งเป็นกลยุทธ์ 20 ปีของรัฐบาลไทยในการส่งเสริมนวัตกรรมด้านดิจิทัลและการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน โครงการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อฝึกอบรมทักษะดิจิทัลให้กับผู้เข้าร่วมโปรแกรมจำนวน 20,000 คนภายในปี พ.ศ. 2566 โดยมีมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกในประเทศไทยที่เข้าร่วมกับอาลีบาบา คลาวด์ ในโครงการด้านนี้

ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดลและอาลีบาบา คลาวด์ เป็นการปูพื้นฐานที่แข็งแกร่งให้นักศึกษาได้มีโอกาสสร้างสรรค์สิ่งใหม่และเรียนรู้ทักษะดิจิทัลที่เป็นเทคโนโลยีล่าสุด เพื่อร่วมกันสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ”

อาลีบาบา คลาวด์ ยังวางแผนจะเปิดดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งในขณะนี้ตั้งเป้าหมายจะเปิดตัวในปี พ.ศ. 2565 เพื่อรองรับการเติบโตด้านคลาวด์ของประเทศไทยที่เพิ่มขึ้น[2]  และความต้องการดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีผลพวงมาจากการระบาดของโควิด-19

นายไทเลอร์ ชิว ผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทย อาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “ขณะนี้อาลีบาบา คลาวด์ มีแผนตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทย เพราะเล็งเห็นถึงความต้องการของธุรกิจไทยในการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลที่เพิ่มมากขึ้น ในฐานะผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำของโลก เราเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลสำคัญต่อประเทศมากเพียงใด และประเทศจะได้ประโยชน์อะไรบ้างในระยะยาวจากการเปลี่ยนแปลงนี้ อาลีบาบา คลาวด์ได้ทุ่มเทเพื่อให้โซลูชันต่าง ๆ ของเราพร้อมใช้สำหรับทุกคน รวมถึงการทำงานร่วมกับพันธมิตรไทย เพื่อสร้างระบบนิเวศที่รองรับอนาคตทางดิจิทัล”

ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ในประทศไทยจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ และโซลูชันที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจไทยและธุรกิจจากต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ใช้สนับสนุนการดำเนินงานในระดับสากลของอาลีบาบา กรุ๊ปเอง ในด้านค้าปลีก โลจิสติกส์ Fintech สื่อและความบันเทิง และการตลาดดิจิทัล

ข้อมูลจากรายงาน BOI’s Data Center and Cloud Service in Thailand[3] ได้คาดการณ์ว่าภายในปี พ.ศ. 2570 เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยจะมีสัดส่วน 25% ของ GDP ของประเทศ ตัวขับเคลื่อนที่สำคัญคืออีคอมเมิร์ซ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและการใช้โทรศัพท์มือถือ รวมถึงระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ ดาต้าเซ็นเตอร์และบริการคลาวด์ต่าง ๆ เป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจดิทัลทั่วโลก และเป็นที่คาดการณ์ว่าตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ของอาเซียนจะมีมูลค่าสูงถึง 5.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี พ.ศ. 2567 ปัจจุบันผู้บริโภคไทยและในอาเซียนได้รับแรงจูงใจให้ใช้บริการดิจิทัลมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกัน ธุรกิจและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็กำลังปรับเปลี่ยนตัวเองอย่างมาก ซึ่งจะเพิ่มความต้องการดาต้าสตอเรจและบริการดิจิทัลต่าง ๆ ที่ทำงานบนคลาวด์ และอาลีบาบา คลาวด์ ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเปิดดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกของบริษัทในประเทศไทยครั้งนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนความสำเร็จตามนโยบาย Thailand 4.0 ของประเทศไทย

[1] https://www.gartner.com/en/newsroom/press-releases/2021-04-21-gartner-forecasts-worldwide-public-cloud-end-user-spending-to-grow-23-percent-in-2021

[2] Source: https://techwireasia.com/2021/05/public-cloud-spending-set-to-spike-in-thailand/

[3] https://www.boi.go.th/upload/content/DataCenterANdCloudService.pdf