ความเสี่ยงเกิดขึ้น เมื่อองค์กรมองไม่เห็นสถานะความเป็นไปของข้อมูล เราจะแก้ปัญหาอย่างไร

ความเสี่ยงเกิดขึ้น เมื่อองค์กรมองไม่เห็นสถานะความเป็นไปของข้อมูล เราจะแก้ปัญหาอย่างไร

ความเสี่ยงเกิดขึ้น เมื่อองค์กรมองไม่เห็นสถานะความเป็นไปของข้อมูล เราจะแก้ปัญหาอย่างไร

ฮัน ชอน

บทความโดยฮัน ชอน กรรมการผู้จัดการประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้-ไต้หวัน-ฮ่องกง-เกาหลีใต้ นูทานิคซ์

ท่าทีของบริษัทและทัศนคติของผู้บริหารที่มีต่อโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ในปี 2561 ผู้นำด้านไอทีส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ว่า ไม่วันใดก็วันหนึ่งพวกเขาจะรันเวิร์กโหลดทางธุรกิจทั้งหมดอย่างเป็นการเฉพาะบนไพรเวทคลาวด์หรือพับลิคคลาวด์

ห้าปีต่อมา รายงาน Enterprise Cloud Index (ECI) ซึ่งเป็นการวิจัยระดับโลกประจำปีฉบับที่ห้าของนูทานิคซ์ ได้เผยให้เห็นถึงความจริงที่เกิดขึ้นซึ่งแตกต่างกันมากกับที่องค์กรส่วนใหญ่เคยคาดการณ์ไว้ ผลวิจัยระบุว่า องค์กรส่วนใหญ่เห็นว่า การรันเวิร์กโหลดบนพับลิคคลาวด์, ศูนย์ข้อมูลที่อยู่ภายในองค์กรและที่ edge พร้อม ๆ กัน เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และมีประโยชน์มาก ผลวิจัยระบุว่า 60 เปอร์เซ็นต์ขององค์กรที่ตอบแบบสำรวจ ใช้สภาพแวดล้อมไอทีหลากหลายประเภทอยู่แล้ว และจำนวนผู้ใช้ลักษณะนี้กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 

รายงานยังระบุว่า เหตุผลหลักจากหลาย ๆ เหตุผล ที่ธุรกิจใช้ตัดสินใจว่าโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮบริดเป็นโซลูชันที่ดีที่สุด คือเหตุผลด้านความปลอดภัยของข้อมูล ความยืดหยุ่น และค่าใช้จ่าย บริษัทไมโครลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งให้บริการสินเชื่อรถบรรทุกมือสองของไทย เป็นตัวอย่างหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยเริ่มจากการใช้คลาวด์แพลตฟอร์มของนูทานิคซ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบภายในองค์กร และกำลังพิจารณานำโซลูชันด้านไฮบริดมัลติคลาวด์ของนูทานิคซ์มาใช้เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัท เพื่อใช้ประโยชน์จากสมรรถนะด้านความยืดหยุ่นของพับลิคคลาวด์ได้เต็มประสิทธิภาพ

ความซับซ้อนของสภาพแวดล้อมไอทีลักษณะใหม่นี้ มาพร้อมกับการสร้างข้อมูลที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด จึงเป็นความท้าทายที่คนทำงานด้านไอทีต้องเผชิญ ความสามารถในการมองเห็นความเป็นไปของข้อมูลกลายเป็นหนึ่งในประเด็นร้อนที่สุดของบริษัทต่าง ๆ และผลวิจัย ECI ปีนี้ เผยให้เห็นว่าผู้บริหารส่วนใหญ่ (60 เปอร์เซ็นต์) ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างครบถ้วนว่าข้อมูลต่าง ๆ ของบริษัทจัดเก็บอยู่ที่ใด

การไม่รู้ว่าข้อมูลทั้งหมดขององค์กรอยู่ที่ใดเป็นความเสี่ยงอย่างมากต่อองค์กร เมื่อใดก็ตามที่บริษัทมองไม่เห็นความเป็นไปของข้อมูลอย่างครบถ้วน บริษัทจะเสี่ยงต่อการละเมิดและการรั่วไหลของข้อมูลมากขึ้น อาจตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ช้าลง และกู้คืนข้อมูลได้ยากขึ้น นอกจากนี้อาจไม่สามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบต่าง ๆ ซึ่งเป็นการเพิ่มประเด็นปัญหาให้ต้องแก้ไขมากขึ้น 

เมื่อไม่รู้ว่าข้อมูลอยู่ที่ใด อาจทำให้ธุรกิจขาดภาพรวมในการนำมาตรการด้านความปลอดภัยที่จำเป็น เช่น การควบคุมการเข้าถึงข้อมูล, การเข้ารหัส, และการติดตามตรวจสอบ มาใช้ได้อย่างครอบคลุม ทำให้ไม่มีการป้องกันอย่างรัดกุมและถูกโจมตีได้ง่าย

การมองไม่เห็นอย่างชัดเจนว่าข้อมูลอยู่ที่ใด อาจกระทบต่อประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ เพราะการขาดข้อมูลจะส่งผลต่อความสามารถของบริษัทในการประสานความร่วมมือเพื่อตอบโต้การโจมตีได้อย่างรอบด้าน ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากและต้องใช้เวลาในการกู้คืนระบบมากขึ้น

ความท้าทายอีกประการหนึ่งคือ เมื่อธุรกิจไม่สามารถมองเห็นข้อมูลของตนแม้เพียงส่วนเล็ก ๆ ก็ตาม จะทำให้การใช้กลยุทธ์ด้านการลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลและการสำรองข้อมูลทำได้ยากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลสูญหายจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น การโจมตีทางไซเบอร์ ระบบล่ม หรือจากภัยธรรมชาติ

KTBST SEC ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านหลักทรัพย์ในประเทศไทย พบว่าการใช้โซลูชันของนูทานิคซ์ ช่วยให้มองเห็นความเคลื่อนไหวของดาต้าและแอปพลิเคชันได้อย่ารวดเร็วบนหน้าจอเดียว นูทานิคซ์ยังช่วยให้สามาถสำรองข้อมูลสำคัญได้ภายในไม่กี่วินาที ทำให้มั่นใจในการบริการลูกค้าที่ราบรื่นต่อเนื่อง

นอกจากนี้ บริษัทต่าง ๆ ยังต้องปฏิบัติตามข้อบังคับด้านการคุ้มครองข้อมูลที่มีอยู่อย่างมากมาย และ/หรือต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยถิ่นที่อยู่ของข้อมูลที่ประเทศต่าง ๆ กำหนดไว้ ดังนั้นหากบริษัทใดบริษัทหนึ่งไม่รู้ว่าข้อมูลของตนถูกเก็บไว้ ณ ที่ใด บริษัทนั้นอาจละเมิดข้อบังคับต่าง ๆ โดยไม่ตั้งใจ ทำให้ต้องจ่ายค่าปรับ รับผลทางกฎหมาย และชื่อเสียงเสียหาย

ในประเทศอินโดนีเซีย กระทรวงมหาดไทยตระหนักว่าจำเป็นต้องมีแพลตฟอร์มที่สามารถการรวบรวมและการจัดการบิ๊กดาต้าในทุกแง่มุม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสนับสนุนนโยบาย One Data Indonesia นอกจากนี้ยังต้องใช้เทคโนโลยีด้านบิ๊กดาต้าที่มีประสิทธิภาพให้เป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์ปริมาณ ความเร็ว และความหลากหลายของข้อมูลที่กำลังเพิ่มขึ้น เพื่อใช้เป็นข้อมูลเชิงลึกให้กับเทศบาลทุกแห่ง

กระทรวงมหาดไทยของอินโดนีเซีย ได้ติดตั้งระบบข้อมูลการกำกับดูและระดับภูมิภาคที่เรียกว่า Sistem Informasi Pemerintahan Daerah (SIPD) ไว้บนนูทานิคซ์ เพื่อให้เทศบาล 542 แห่งทั่วประเทศได้ใช้ ซึ่งช่วยให้กระทรวงฯ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำของข้อมูลได้อย่างน้อย 50 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานได้อย่างน้อย 2 เท่า และประหยัดค่าใช้จ่ายได้อย่างน้อย 40 เปอร์เซ็นต์ และสามารถเข้าถึงจังหวัดเป้าหมายได้ 99 เปอร์เซ็นต์ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี

องค์กรจะมองเห็นสถานะและความเป็นไปของข้อมูลทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์ได้ ด้วยการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ โครงสร้างพื้นฐานที่ควบคุมการทำงานด้วยซอฟต์แวร์ และเครื่องมืออัตโนมัติต่าง ๆ มาผสานใช้งานร่วมกัน และเมื่อมองเห็นข้อมูลทั้งหมดก็จะสามารถปรับกระบวนการตัดสินใจต่าง ๆ และดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้ผลลัพธ์ดีขึ้น ซึ่งปลายทางก็คือเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพิ่มผลิตผล และสามารถทำกำไรได้มากขึ้น แพลตฟอร์มเหล่านี้ เปิดทางให้องค์กรพบโอกาสใหม่ ๆ ที่ใช้ขับเคลื่อนการเติบโตและประสบความสำเร็จในสนามธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน

 

Alibaba Cloud Integrates Tongyi Qianwen into AI Assistant to Enhance Productivity

Alibaba Cloud Tongyi Qianwen AI Assistant

Alibaba Cloud Integrates Tongyi Qianwen into AI Assistant to Enhance Productivity

Alibaba Cloud, the digital technology and intelligence backbone of Alibaba Group, announced that its large language model (LLM), Tongyi Qianwen, has been integrated into its  intelligent assistant named Tingwu. The assistant excels at converting speech and videos to text in real-time, aiming to enhance both personal and workplace productivity.

The recently launched LLM enables Tingwu to comprehend and analyze multimedia content with high levels of accuracy and efficiency, such as generating summary text from video and audio files, capturing key talking points for each speaker, and creating a timeline of multimedia files with a summary of each section.

The LLM-powered Tingwu, called “Tongyi Tingwu”, is now available for public beta testing. Tongyi Tingwu will also be integrated into DingTalk, Alibaba’s digital collaboration workplace and application development platform, supporting users’ AI demands at work. In addition to improving workplace efficiency, Tongyi Tingwu can also be used across various multimedia platforms, responding to the growing needs for faster and easier knowledge sharing in online education, training, interviews, livestreaming, podcasts, and short-form videos.

“We live at a time when a growing amount of video and audio content is being consumed in various formats every day. In line with this, Tongyi Tingwu aims to use the large language model to facilitate faster and better comprehension and easier sharing of multimedia content,” said Jingren Zhou, CTO of Alibaba Cloud Intelligence. “As we gradually integrate the Tongyi Qianwen model into our products and services, we hope users can reap the benefits from these compelling AI innovations for their work, study, play and interaction with each other.” 

By leveraging proprietary audio and video models developed by Alibaba’s research institute DAMO – including the self-developed speech recognition model Paraformer and speaker verification model CAM++, along with the newly-released LLM Tongyi Qianwen – Tingwu can transcribe video and audio files with higher accuracy while enabling numerous AI-powered features. Additional AI features offered by Tongyi Tingwu will be available later this year. These features include automatically compiling text answers to address user queries across audio/video files, generating a summary based on PowerPoint slides extracted from videos, and providing real-time translation between English and Chinese for multimedia content with Tingwu as a Chrome plugin. 

General public can access the upgraded AI-powered assistant online (tingwu.aliyun.com) starting from today to experience its capabilities through their Alibaba Cloud accounts and receive free transcription services as part of an open trial. 

Alibaba Cloud unveiled Tongyi Qianwen on April 11, which is scheduled to be integrated across Alibaba’s various businesses to improve the user experience in the near future. The company’s customers and developers will have access to the model to create customized AI features in a cost-effective manner, too. 

The cloud pioneer also launched the “Tongyi Qianwen Partnership Program,” aiming to co-create large language models tailored for different industries with partners across sectors, including petrochemicals, electricity, transportation, hospitality, enterprise services, telecommunications and finance. 

Alibaba Cloud นำ Tongyi Qianwen ทำงานร่วมกับ AI Assistant เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

Alibaba Cloud Tongyi Qianwen AI Assistant

Alibaba Cloud นำ Tongyi Qianwen ทำงานร่วมกับ AI Assistant เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

อาลีบาบา คลาวด์ (Alibaba Cloud) ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป ประกาศว่าได้ผสานการทำงานของ Tongyi Qianwen (ทงอี้ เชียนเวิ่น) ซึ่งเป็นโมเดลด้านภาษาขนาดใหญ่ (large language model: LLM) ของบริษัท เข้ากับ Tingwu (ทิงวู้) ซึ่งเป็นผู้ช่วยอัจริยะขับเคลื่อนด้วย AI ที่สามารถแปลงเสียง และวิดีโอเป็นข้อความได้แบบเรียลไทม์ซึ่งเป็นโซลูชันของอาลีบาบา คลาวด์เช่นกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการใช้งานส่วนบุคคลและในการทำงาน

โมเดลด้านภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ ช่วยให้ Tingwu เข้าใจและวิเคราะห์มัลติมีเดียคอนเทนต์ได้ด้วยความแม่นยำสูง และมีประสิทธิภาพสูง เช่น การสรุปคอนเทนต์จากไฟล์วิดีโอและไฟล์เสียงให้เป็นข้อความ การจับประเด็นสำคัญของผู้พูดแต่ละราย และการสร้างไทม์ไลน์ของไฟล์มัลติมีเดียด้วยการสรุปแต่ละส่วน

Tingwu ที่ขับเคลื่อนโดย LLM รู้จักกันในชื่อ “Tongyi Tingwu” (ทงอี้ ทิงวู้) เปิดให้ทดสอบสาธารณะแล้ว Tongyi Tingwu ยังผสานเข้ากับ DingTalk ซึ่งเป็นดิจิทัลแพลตฟอร์มสำหรับการทำงานร่วมกัน และเป็นแพลตฟอร์มสำหรับพัฒนาแอปพลิเคชันของอาลีบาบา เพื่อรองรับความต้องการใช้ AI นอกจากนี้ Tongyi Tingwu ยังใช้ได้กับแพลตฟอร์มมัลติมีเดียหลากหลายประเภท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงาน และตอบสนองต่อความต้องการแชร์ความรู้ต่าง ๆ ให้ได้เร็วและง่ายขึ้นซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเรียนออนไลน์ การอบรม การสัมภาษณ์ การสตรีมสด พอดคาสต์ และวิดีโอสั้น 

Jingren Zhou (จิงเหริน โจว) CTO of Alibaba Cloud Intelligence กล่าวว่า “เราอยู่ในช่วงเวลาที่มีการเสพคอนเทนต์ที่เป็นวิดีโอและเสียงในรูปแบบต่าง ๆ ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกวัน Tongyi Tingwu ตั้งเป้าใช้โมเดลด้านภาษาขนาดใหญ่ ช่วยให้สามารถเข้าใจเนื้อหามัลติมีเดียได้เร็วขึ้นและดีขึ้น และสามารถแชร์ต่อได้ง่ายขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการนี้ เราทยอยนำโมเดล Tongyi Qianwen ไปผสานรวมให้ทำงานร่วมกับผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ ของเรา เราหวังว่าผู้ใช้งานจะสามารถใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมด้าน AI ที่มีพลังดึงดูดที่น่าสนใจเหล่านี้กับการทำงาน การเรียน การละเล่น และการสื่อสารระหว่างกัน”

การใช้ประโยชน์จากโมเดลด้านเสียงและวิดีโอที่เป็นกรรมสิทธิ์และพัฒนาโดย DAMO ซึ่งเป็นสถาบันด้านการวิจัยของอาลีบาบา รวมถึง Paraformer โมเดลการรู้จำเสียงพูดที่พัฒนาตนเอง และโมเดลในการตรวจสอบผู้พูด CAM++ ร่วมกับ Tongyi Qianwen ช่วยให้ Tingwu ที่เปิดตัวใหม่นี้ สามารถถอดเสียงไฟล์วิดีโอและไฟล์เสียงได้ด้วยความแม่นยำสูง และพรั่งพร้อมด้วยฟีเจอร์ที่ใช้ AI จำนวนมาก ฟีเจอร์ AI ที่ Tongyi Tingwu นำเสนอเพิ่มเติมซึ่งจะพร้อมใช้งานปลายปีนี้ ประกอบด้วย การรวบรวมข้อความตอบกลับโดยอัตโนมัติ เพื่อจัดการกับคำถามของผู้ใช้ไฟล์เสียง/วิดีโอ, การสร้างบทสรุปตามสไลด์ PowerPoint ที่ดึงมาจากวิดีโอ และการแปลมัลติมีเดียคอนเทนต์ระหว่างภาษาอังกฤษและภาษาจีนแบบเรียลไทม์ผ่าน Tingwu ที่เป็นปลั๊กอินของ Chrome

ปัจจุบันได้เปิดให้สามารถเข้าทดลองใช้ผู้ช่วยที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่อัปเกรดแล้วทางออนไลน์ (tingwu.aliyun.com) ผู้ใช้จะได้สัมผัสประสบการณ์ความสามารถต่าง ๆ ของโมเดลนี้ผ่าน Alibaba Cloud account และใช้บริการถอดเสียงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองแบบเปิด (open trial) โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

Alibaba Cloud เปิดตัว Tongyi Qianwen เมื่อวันที่ 11 เมษายน และมีแผนจะผสานรวมเข้ากับธุรกิจต่าง ๆ ของอาลีบาบา เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าในเร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ลูกค้าและนักพัฒนาของบริษัทต่าง ๆ จะสามารถเข้าใช้โมเดลนี้ในการสร้างฟีเจอร์ AI ตามความต้องการได้อย่างคุ้มค่า

Alibaba Cloud ยังได้เปิดตัว “Tongyi Qianwen Partnership Program” โดยมีเป้าหมายเพื่อร่วมสร้างโมเดลด้านภาษาขนาดใหญ่ที่ปรับให้เหมาะกับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ร่วมกับพันธมิตรในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น ปิโตรเคมี ไฟฟ้า การคมนาคมขนส่ง ธุรกิจบริการ บริการสำหรับองค์กร บริการโทรคมนาคม และภาคการเงิน

Depa & Ericsson Jointly Commence Thailand Digital Valley

ดีป้าและอีริคสันร่วมเดินหน้าขับเคลื่อน Thailand Digital Valley

Depa & Ericsson Jointly Commence Thailand Digital Valley

    • Collaboration will focus on driving digitization in Thailand in support of the country’s 4.0 vision
    • Ericsson’s leading 5G solutions will form a testbed for trials of new wireless and network technologies, spectrum sharing, as well as new applications and services for Thailand.

Thailand Digital Valley, located 50 miles east of Bangkok, is expected to become Southeast Asia’s new digital hub that supports Thailand and the region’s digital transformation. The project  is forecast to create  around 20,000 new jobs and attract more than 5 billion baht worth of foreign direct investment annually.

Ericsson and depa recently signed a Memorandum of Understanding to collaborate towards driving 5G based digital transformation in Thailand. The collaboration entails sharing best practices, advanced understanding and Ericsson’s state-of-the-art technology to accelerate Thailand’s journey towards becoming a digital economy.

As part of the MoU, Ericsson and depa will establish an innovation lab (Innolab) in depa’s Thailand Digital Valley in Chonburi province that will serve as a 5G testbed and service center for trials of new wireless and network technologies, spectrum sharing, as well as new applications and services in Thailand.

“As a 5G leader, who has been in Thailand for 117 years, we are committed to leveraging our leading, trusted solutions and global ecosystem of partners to drive the digital transformation of the country. We look forward to further working with depa, Thai operators, enterprises and start-ups to unlock the potential of 5G, through the co-creation of 5G use cases,” said Dr. Jesada Sivaraks, Head of Government and Industry Relations, Ericsson Thailand.

“Thailand Digital Valley will play a significant role in uplifting the digital ecosystem of Thailand and prompt the country to become Southeast Asia’s digital hub. It will be the key driving forces for the digital industry, investment atmosphere and global trade and collaboration,” said Dr. Nuttapon Nimmanphatcharin, depa’s President & CEO.

According to depa, Thailand Digital Valley will become the key digital ecosystem that lays the foundation for Thailand to be the new center of research and development, It will support co-creation of new hardware and smart devices as well as relevant technologies such as Big Data, IoT, AI, Software Convergence, Cloud Innovation and other digital content and services, including animations, games and e-sports.

Ericsson is a global 5G leader and today powers 147 live 5G networks in 63 countries with 24 live 5G standalone networks across the world.

ดีป้าและอีริคสันร่วมเดินหน้าขับเคลื่อน Thailand Digital Valley

ดีป้าและอีริคสันร่วมเดินหน้าขับเคลื่อน Thailand Digital Valley

ดีป้าและอีริคสันร่วมเดินหน้าขับเคลื่อน Thailand Digital Valley

    • ความร่วมมือกันครั้งนี้จะมุ่งเน้นการขับเคลื่อนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในประเทศไทยสอดรับกับวิสัยทัศน์ Thailand 4.0
    • โซลูชัน 5G ชั้นนำของอีริคสันจะทำหน้าที่เป็นศูนย์ทดสอบสำหรับการทดลองเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายและเครือข่ายใหม่ ๆ อาทิ การจัดสรรทรัพยากรคลื่นความถี่ การพัฒนาแอปพลิเคชันและบริการดิจิทัลใหม่ ๆ ของประเทศไทย

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) และ อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) ประเดิมขับเคลื่อนความร่วมมือในโครงการ Thailand Digital Valley ของดีป้า เพื่อมุ่งพัฒนาซิลิคอนวัลเลย์เวอร์ชั่นประเทศไทย

ภายในงานเปิดตัว มีการนำเสนอข้อมูลจากเหล่าพันธมิตรหลัก ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีและโซลูชันระดับโลก และสตาร์ทอัพ

Thailand Digital Valley ตั้งอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ไปทางทิศตะวันออกระยะทาง 50 ไมล์ ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถรองรับการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันทั้งในประเทศไทยและในระดับภูมิภาค โดยคาดว่าจะเกิดการจ้างงานใหม่ในพื้นที่ประมาณ 20,000 ราย และดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 5 พันล้านบาทต่อปี  

เมื่อไม่นานมานี้ อีริคสันและดีป้ายังได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) เพื่อขับเคลื่อนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันผ่านการใช้เครือข่าย 5G ในประเทศไทย ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวจะประกอบด้วยการแบ่งปันแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด ความรู้ความเข้าใจขั้นสูง และเทคโนโลยีล้ำสมัยของอีริคสันเพื่อเร่งเดินหน้าประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล

ส่วนหนึ่งในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือนี้ยังระบุว่า อีริคสันและดีป้าจะจัดตั้งห้องปฏิบัติการด้านนวัตกรรม (Innolab) ขึ้นใน Thailand Digital Valley ของดีป้าในจังหวัดชลบุรี เพื่อใช้เป็นศูนย์ทดสอบเครือข่าย 5G และศูนย์บริการสำหรับการทดสอบเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายและเครือข่ายใหม่ ๆ อาทิ การแบ่งปันคลื่นความถี่ (Spectrum Sharing) ตลอดจนการพัฒนาแอปพลิเคชันและบริการดิจิทัลใหม่ ๆ ในประเทศไทย

ดร.เจษฎา ศิวารักษ์ หัวหน้างานฝ่ายรัฐกิจและธุรกิจสัมพันธ์ อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำ 5G ที่ดำเนินกิจการอยู่ในประเทศไทยมายาวนาน 117 ปี เราจะดึงศักยภาพและใช้ประโยชน์จากโซลูชันชั้นนำที่ไว้วางใจได้รวมถึงระบบนิเวศของพันธมิตรระดับโลกมาขับเคลื่อนการทำดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชันของประเทศ เราพร้อมทำงานร่วมกับดีป้า ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารของไทย องค์กรธุรกิจ และสตาร์ทอัพเพื่อปลดล็อกศักยภาพของ 5G ผ่านการสร้างยูสเคส 5G ใหม่ ๆ ร่วมกัน”

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า กล่าวว่า “Thailand Digital Valley จะมีบทบาทสำคัญช่วยยกระดับระบบนิเวศดิจิทัลของประเทศไทยและเพิ่มขีดความสามารถให้ประเทศกลายเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมดิจิทัล กระตุ้นบรรยากาศการลงทุน การค้า และความร่วมมือระดับโลก”

จากข้อมูลของดีป้าระบุว่า Thailand Digital Valley จะกลายเป็นระบบนิเวศดิจิทัลสำคัญ และเป็นฐานรากของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางด้านการวิจัยและพัฒนาแห่งใหม่ โดยจะสนับสนุนการร่วมกันคิดค้นและพัฒนาฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์อัจฉริยะใหม่ ๆ (Hardware and Smart Devices) รวมถึงเทคโนโลยีด้านการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (BigData) เทคโนโลยี IoT, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), ซอฟต์แวร์คอนเวอร์เจนซ์ (Software Convergence), นวัตกรรมคลาวด์ (Cloud Innovation) และบริการเนื้อหาดิจิทัล รวมถึงบริการดิจิทัลในด้านอื่น ๆ ครอบคลุมไปถึงอุตสาหกรรมแอนิเมชัน เกม และอีสปอร์ต

อีริคสันเป็นผู้นำเครือข่าย 5G ระดับโลก ปัจจุบัน บริษัทฯ เปิดให้บริการเครือข่าย 5G ไปแล้วจำนวน 147 เครือข่ายใน 63 ประเทศ พร้อมยังเปิดให้บริการเครือข่าย 5G Standalone 24 เครือข่ายทั่วโลก