PropertyGuru Asia Real Estate Summit ครั้งที่ 9 สุดยอดงานสัมมนาแวดวงอสังหาฯ-พร็อพเทคแห่งเอเชีย ปิดฉากลงอย่างสวยงาม ประกาศจุดยืนชัด “มุ่งขับเคลื่อนชุมชนของทุกคนเพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดียิ่งขึ้น”

PropertyGuru Asia Real Estate Summit ครั้งที่ 9 สุดยอดงานสัมมนาแวดวงอสังหาฯ-พร็อพเทคแห่งเอเชีย ปิดฉากลงอย่างสวยงาม ประกาศจุดยืนชัด “มุ่งขับเคลื่อนชุมชนของทุกคนเพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดียิ่งขึ้น”

PropertyGuru Asia Real Estate Summit ครั้งที่ 9 สุดยอดงานสัมมนาแวดวงอสังหาฯ-พร็อพเทคแห่งเอเชีย ปิดฉากลงอย่างสวยงาม ประกาศจุดยืนชัด “มุ่งขับเคลื่อนชุมชนของทุกคนเพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดียิ่งขึ้น”

นักคิดระดับโลกและผู้นำในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ตบเท้าร่วมแสดงวิสัยทัศน์ในการประชุมสุดยอดปีนี้ เพื่อถกถึงแนวทางในการสร้างเมืองแห่งอนาคตสำหรับทุกคน

พร็อพเพอร์ตี้กูรู เอเชีย เรียล เอสเตท ซัมมิต (PropertyGuru Asia Real Estate Summit หรือ ARES) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มชั้นนำระดับโลกที่รวบรวมบทความและไอเดียสำหรับผู้นำและผู้ที่สนใจ (Thought Leadership Platform) ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์ หรือพร็อพเทค ของพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรู๊ป (PropertyGuru Group) ซึ่งมีชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) ว่า PGRU และเป็นบริษัทเทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้จัดงานประชุมสุดยอดประจำปีที่รวมเอาเหล่านักคิดที่มีชื่อเสียง ผู้นำจากองค์กรในแวดวงธุรกิจต่าง ๆ ของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก โดยในปี 2566 นี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 9 ภายใต้ธีม “ขับเคลื่อนชุมชนของทุกคนเพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดียิ่งขึ้น” (Powering Communities) และมีการร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองกันถึงประเด็นการเป็นผู้นำที่มีความรับผิดชอบจะสามารถสร้างและพัฒนาเมืองแห่งอนาคตสำหรับคนทุก ๆ คนได้อย่างไรอีกด้วย 

สำหรับงาน ARES ประจำปี 2566 นี้มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 400 รายจากทั่วโลกที่เข้าร่วมฟังการสัมมนาที่จัดในรูปแบบไฮบริด คือทั้งการจัดงาน ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก, อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล และแบบออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์ม Zoom โดยมีวิทยากรรับเชิญเกือบ 40 ราย ร่วมจุดประกายความคิด ประเด็นการสนทนาที่น่าสนใจในหัวข้อเกี่ยวกับอนาคตของชุมชนที่พวกเราอยู่อาศัย, ธุรกิจ, การบริการ, สันทนาการ และนวัตกรรม 

สำหรับธีมงานในปีนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ใหม่ของพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป ซึ่งก็คือ ขับเคลื่อนชุมชนสำหรับการอยู่อาศัย การทำงาน และการพัฒนาเพื่อเมืองแห่งวันพรุ่งนี้ (To power communities to live, work, and thrive in tomorrow’s cities) ซึ่งวิสัยทัศน์ใหม่ดังกล่าวได้รับการเปิดเผยสู่สาธารณชน โดยนายแฮร์รี่ วี. คริชนัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่แห่งพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป ในพิธีเปิดงาน ARES ประจำปี 2566 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2566 หนึ่งวันก่อนถึงวันครบรอบ 16 ปีของพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป ในวันที่ 8 ธันวาคม

นายแฮร์รี่ กล่าวว่า “ในฐานะที่เป็นผู้นำตลาดที่มีความรับผิดชอบ เรามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ที่มีส่วนในการช่วยสนับสนุน หรือเป็นตัวช่วยที่มีประสิทธิภาพให้กับทุก ๆ คนที่อยู่ในเส้นทางของการซื้อ-ขาย-เช่า-ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ ด้วยการมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจผ่านคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลและคำแนะนำเชิงลึกที่สามารถนำไปใช้ได้จริง และที่ขาดไม่ได้ก็คือการให้บริการมาตรฐานระดับโลกของเรา จากการช่วยให้คนซื้อบ้านสามารถค้นหาบ้านและแหล่งเงินทุนสำหรับการซื้อบ้านในฝัน ไปสู่การช่วยผู้ซื้อต่างชาติหาที่พักที่เหมาะสม การสนับสนุนลูกค้าองค์กรให้สามารถลงทุนให้ได้ผลตอบแทนที่มีประสิทธิภาพและเป็นที่น่าพอใจ การแบ่งปันข้อมูลปฐมภูมิ (First party data) ให้กับธนาคาร-สถาบันการเงิน และนักประเมินค่าสินทรัพย์ รวมไปถึงการแบ่งปันข้อมูลที่มีความหมายและสร้างผลกระทบต่อสังคมในภาพใหญ่ให้กับผู้ที่มีส่วนในการวางนโยบายต่าง ๆ (Policymakers) จะเห็นได้ว่า เราพร้อมทำงานร่วมกับทุก ๆ ภาคส่วนในระบบนิเวศ เพื่อที่จะเป็นส่วนหนึ่งหรือมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนให้เมืองและสังคมที่เราอยู่ก้าวหน้าต่อไปเพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดียิ่ง ๆ ขึ้น” 

สำหรับเซ็กเมนต์แรกของงาน ARES ประจำปี 2566 เป็นหัวข้อเกี่ยวกับ “การใช้ชีวิต: ชุมชนแห่งอนาคต” (Live: Future of Communities) ซึ่งเป็นการพูดคุยโดยมีประเด็นสำคัญที่พูดถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ และแนวโน้มภาพรวมเศรษฐกิจของเอเชียในปี 2567 โดยคุณสุมนา ราจาเรทนัม ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เครือข่ายองค์กรนักเศรษฐศาสตร์ อย่าง Economist Intelligence Corporate Network โดยมีผู้ร่วมพูดคุยเป็นนักสิทธิมนุษยชนประจำเคนยาอย่าง ดร.เอ็ดลัม อะเบอรา เยเมรู หัวหน้าหน่วยความรู้และนวัตกรรมจากฮาบิแทตแห่งสหประชาชาติ ซึ่งพูดถึงประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการเปลี่ยนชุมชนที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาในรูปแบบต่าง ๆ และการสร้างเมืองและถิ่นฐานมนุษย์อย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goal (SGD) Cities 

นอกจากนี้ เดวิด กิซเซ่น นักเขียน, ดีไซน์เนอร์, นักวิชาการ, ที่ปรึกษา, ศาสตราจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์เมืองแห่งโรงเรียนออกแบบพาร์สันส์ (Parsons School of Design) ได้พูดถึงประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการทบทวนการออกแบบอาคารต่าง ๆ รวมไปถึงคอนเซ็ปต์ของเมืองชั้นเดียว (One-storey city)

ในขณะที่เซ็กเมนต์ที่สอง “การทำงาน: อนาคตของธุรกิจ” เริ่มต้นด้วยคุณเชลซี เพอริโน กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการตลาดและสื่อสารไร้พรมแดน (Global Marketing & Communications) จากดิ เอ็กเซ็กคิวทีฟ เซ็นเตอร์ ผู้ให้บริการโซลูชั่นด้านพื้นที่ทำงานระดับโลก มาแชร์ความเห็นในประเด็นเกี่ยวกับวิวัฒนาการของการสร้างสรรค์พื้นที่การทำงาน และการจัดระบบการทำงานแบบไฮบริด 

การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกลุ่มย่อย (Panel discussion)

ในส่วนของการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกลุ่มย่อย (Panel discussion) กลุ่มแรกของวัน นำโดย คุณมานาฟ คัมบอช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี และกรรมการผู้จัดการหน่วยธุรกิจฟินเทค จากพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป รับหน้าที่เป็นพิธีกร โดยมีผู้ร่วมพูดคุยเป็นบุคคลจากแวดวงเทคโนโลยีที่ใช้  A.I. ในการออกแบบ, จัดการข้อมูล, เทคโนโลยี Digital Twins หรือการสร้างโมเดลเสมือนจริงของวัตถุทางกายภาพ, และเทคโนโลยีบล็อกเชน เมตาเวิร์ส ซึ่งประกอบไปด้วย คุณท็อป – จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าที่บริหารกลุ่มบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด, ศาสตราจารย์เจสัน โพเมรอย ผู้ก่อตั้ง โพเมรอย สตูดิโอ แอนด์ โพเมรอย อคาเดมี / Fellow หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณูปการในสาขาวิชาภาวะผู้นำที่ยั่งยืน (Sustainability Leadership) แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และคุณเว็นฮุย ลิม ผู้อำนวยการ สปาร์ค อาร์คิเทคส์  

ช่วงที่สองและงานสัมมนาในช่วงเช้าจบลงด้วยการโชว์ผลงานของพร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนส (PropertyGuru For Business หรือ PG4B) ซึ่งลงทุนในการพัฒนาระบบวิทยาการข้อมูล (Data Science) เพื่อพัฒนาโปรดักส์และบริการสำหรับลูกค้าองค์กรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคุณเจเรมี วิลเลี่ยมส์ กรรมการผู้จัดการหน่วยธุรกิจมาร์เก็ตเพลส และคุณชินยี่ โฮ-สเตรนกราส กรรมการผู้จัดการหน่วยธุรกิจดาต้า แอนด์ ซอฟต์แวร์ โซลูชั่น ได้เริ่มต้นเซสชั่นดังกล่าวด้วยการพูดคุยถึงการปลดล็อกโอกาสทางธุรกิจ 

ตามด้วยการเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจจาก ดร.ไนเจีย ลี หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของทีมดิจิทัล แอนด์ ซอฟต์แวร์ โซลูชั่น ในประเด็นเกี่ยวกับการขยายตัวของเมือง และดัชนีความน่าอยู่อาศัย ปิดท้ายด้วยการแสดงตัวอย่างนวัตกรรมที่น่าสนใจของ PG4B โดยคุณบ็อบ ค็อปเพส ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ อย่างการจ่ายเงินและการทำธุรกรรมต่าง ๆ โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกและตอบโจทย์การใช้งานทั้งทางฝั่งผู้ใช้บริการและผู้ใช้งานมากที่สุด 

สำหรับงาน ARES ประจำปี 2566 ในช่วงบ่ายเริ่มต้นด้วยเซสชั่นที่ 3 กับธีม “การขับเคลื่อน: อนาคตของการสันทนาการ” (Thrive: Future of Leisure) โดยเริ่มจากการพูดคุยแบบ Virtual จากประเทศมาเลเซีย โดยคุณเดวิด ชอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ สถาบันอบรมและวิจัยของสมาคมอสังหาฯ มาเลเซีย REHDA โดยคุณเดวิดยกประเด็นเกี่ยวกับการสร้างเมกะซิตี้ที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้  

จากนั้นเป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกลุ่มย่อย โดยประเด็นที่ยกมาพูดคุยกันเป็นเรื่องเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางของการรับประทานอาหาร, การเพิ่มขึ้นของวัฒนธรรมการเลี้ยงสัตว์ในทำเลเมือง, และการเปลี่ยนแปลงของประชากรซึ่งส่งผลต่อตลาดที่อยู่อาศัย 

สำหรับผู้ที่เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในกลุ่มที่สองนี้ ประกอบด้วย ดร.อัลลาดดิน ดี. ริลโล ที่ปรึกษาเศรษฐศาสตร์อาวุโส สถาบันวิจัยเศรษฐกิจแห่งภูมิภาคอาเซียน และเอเชียตะวันออก (ERIA), คุณเอมี่ สาวิตตา เลเฟอร์พ อดีตสื่อสารมวลชนระดับนานาชาติ (อดีตผู้สื่อข่าวของรอยเตอร์ส), คุณคริสติน ลี หัวหน้าแผนกวิจัยประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของไนท์แฟรงค์, คุณคอลิน ฉี ครีเอเตอร์และครีเอทีฟ ไดเรคเตอร์ จาก บริษัท เนเวอร์ ทู สมอลล์, คุณดิดี้ อัลเมย์ดา นักเขียน, อดีตสื่อสารมวลชน และผู้ฝึกสัตว์ในอินโดนีเซีย, คุณเจสสิก้า ซาฟรา นักเขียนมือรางวัล, สื่อสารมวลชน และผู้พิทักษ์สวัสดิภาพสัตว์, คุณคีแรน กิบบ์ ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการเอเจนซี่ด้านการตลาดจากฮ่องกง โมโนจิก (Monogic), คุณมิเชล มาร์ติน ผู้ดำเนินรายการ มันนี่ เอฟเอ็ม 89.3 จากสิงคโปร์, คุณพิพพา วู้ดเฮด หัวหน้าแผนกพอดแคสต์ ประจำแพลตฟอร์มการเรียนรู้ทางด้านโซเชียลที่มีชื่อว่า ไทเกอร์ฮอลล์ จากประเทศสิงคโปร์, และคู่สามี-ภรรยา คุณเฟย์-ธัญจิรา ตระกูลวงษ์ และเชฟแดน บาร์ก เจ้าของและผู้จัดการร้าน Cadence by Dan Bark (ได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ ภายใน 6 เดือนหลังจากเปิดร้าน) และร้าน Caper by Dan Bark 

นอกจากนี้ คุณแอนเดรีย ซาเวจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมแห่งเอ ไลฟ์ บี ดีไซน์ ซึ่งเป็นนักออกแบบตกแต่งภายในชื่อดัง และอดีตพรีเซ็นเตอร์คนดังจากช่อง HGTV Asia มาพูดคุยถึงประเด็นหลักในหัวข้อของการออกแบบว่าเป็นภาษาสากลของการใช้พื้นที่ และการทำให้เกิดประสบการณ์เพื่อการปรับเปลี่ยนมุมมอง ร่วมกับ คุณแคเมอรอน ริชาร์ดส์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารแห่งดิจิทัลเอเจนซี่จากสิงคโปร์ ซีพีอาร์ วิชั่น แมเนจเมนท์  

ในฐานะประธานการจัดงาน ARES ประจำปี 2566 คุณสตีเฟน โอห์ม ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารคุณค่า และผู้สนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน / กรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอนตัม อะนาไลสิส และควอนตัม ประเทศไทย จำกัด เข้าร่วมการพูดคุยผ่านระบบออนไลน์ (Virtual) ตรงจากงาน COP28 จากดูไบ เพื่อพูดถึงเป้าหมายล่าสุดของการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมไปถึงขั้นตอนในการพัฒนา และการกระจายการพัฒนาไปตามเมืองต่าง ๆ ของโลก 

การจัดงาน ARES ยังคงเป็นการจัดงานที่รวบรวมไว้ซึ่งความแตกต่างและหลากหลาย โดย 50% ของผู้ร่วมบรรยายในงานครั้งนี้เป็นผู้หญิงและ/หรือกลุ่มคนจากชุมชนเพศทางเลือกอย่าง LGBTQ+

และในปีนี้ คุณเชน บาเทีย รองผู้อำนวยการ มูลนิธิความเท่าเทียมแห่งเอเชีย (Equal Asia Foundation) ได้แชร์ความเห็นในประเด็นเกี่ยวกับอสังหาฯ สำหรับชนกลุ่มน้อยและกลุ่มผู้พิการ ด้วยภาษาที่เข้าใจได้ง่าย และเป็นการปิดฉากอีเวนต์ในเซ็กเมนต์ที่สามของวัน 

สำหรับเซ็กเมนต์สุดท้ายของงานสัมมนาในปีนี้อยู่ในธีมของ “การขับเคลื่อน: อนาคตของนวัตกรรม” (Thrive: The Future of Innovation) ซึ่งเปิดด้วยประเด็นสำคัญของการพูดคุยโดย คุณวิณุ แดเนียล ผู้ก่อตั้งวอลล์เมคเกอร์ จากประเทศอินเดีย คุณวิณุเป็นสถาปนิกผู้ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 100 ของ TIME100 Next ซึ่งเป็นลิสต์ที่รวบรวมบุคคลสำคัญและเป็นความหวังแห่งอนาคตในการขับเคลื่อนสังคมของนิตยสารไทม์ นอกจากนี้ คุณวิณุยังได้ร่วมพูดบนเวที TED2023 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาด้วย โดยเขายังได้รับรางวัล PropertyGuru Visionary Award จากงาน ARES ประจำปี 2566 จากผลงานการออกแบบที่ยั่งยืนของเขาที่ใช้ดินและเศษจากสิ่งเหลือใช้  

คุณวิณุกล่าวกับทีมพร็อพเพอร์ตี้ รีพอร์ต บาย พร็อพเพอร์ตี้กูรู (Property Report by PropertyGuru) ซึ่งเป็นนิตยสารอย่างเป็นทางการสำหรับงาน ARES ประจำปี 2566 ว่า “การก่อสร้างเกิดขึ้นตลอดเวลาในทุก ๆ ที่ มันจึงเป็นเรื่องที่ดีมาก หากเราจะสามารถแบ่งปันความรู้ที่เรามีให้กับคนอื่น ๆ ได้”  

ด้านคุณคอลิน ฉี ครีเอเตอร์และผู้ก่อตั้งเว็บชื่อดัง เนเวอร์ ทู สมอลล์ (Never Too Small) และเป็นเจ้าของรางวัล Visionary Award จาก ARES เมื่อปีที่แล้ว กลับมาสู่เวที ARES ในปีนี้อีกครั้งกับกรณีศึกษาเรื่องการออกแบบภายในที่มีการนำของเหลือใช้จากไซต์ก่อสร้างและการรื้อถอนมาใช้ประโยชน์ใหม่ โดยกรณีศึกษาดังกล่าวรวมไปถึงคลิปตัวอย่างบางตอนจากลิมิเต็ดซีรีส์ของเขาที่มีชื่อว่า “Wonderful Waste” ด้วย  

สำหรับเซ็กเมนต์ที่สี่ ประกอบด้วยการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหลายหัวข้อเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์, ความยืดหยุ่นของธุรกิจนี้ รวมไปถึงความท้าทายต่าง ๆ ในการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีผู้ร่วมสนทนา ประกอบด้วย คุณซินดี้ แทน จาราบาทะ กลุ่มบริษัท TAJARA Leisure and Hospitality Group, คุณแฮง ดัง กรรมการผู้จัดการ ซีบีอาร์อี เวียดนาม, คุณริต้า ชอว์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารธุรกิจ ซันชายน์ พีอาร์ (ประเทศจีน), คุณ สตีเฟน พิมบลีย์ ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้อำนวยการ บริษัทสถาปนิก สปาร์ค อาร์คิเทคส์ โดยมีคุณมาร์โค โลเบลกัท บรรณาธิการประจำภูมิภาคเอเชียของนิตยสาร Bridges ซึ่งเป็นนิตยสารเชิงธุรกิจและไลฟ์สไตล์ในรูปแบบดิจิทัลเจาะกลุ่มนักธุรกิจทั่วโลก และผู้อำนวยการต่างประเทศของมีเดียเอเจนซี่ Synergy Media Specialists เป็นผู้ดำเนินรายการ

คุณตอง-อรผกา วุฒิโฆษิต ผู้จัดการอาวุโส (ธุรกิจท่องเที่ยว, อสังหาริมทรัพย์ และอีคอมเมิร์ซ) แห่ง Google ประจำประเทศไทย พูดปิดท้ายในเซ็กเมนต์ที่สี่ด้วยหัวข้อเกี่ยวกับอนาคตของนวัตกรรมดิจิทัล

งานสุดยอดสัมมนา ARES ประจำปี 2566 เป็นหนึ่งในซีรีส์อีเวนต์สำคัญของพร็อพเพอร์ตี้กูรูวีค ซึ่งมีผู้บริหารและผู้นำในแวดวงอสังหาฯ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั่วภูมิภาคเอเชียตบเท้าเข้าร่วมงาน โดยสัปดาห์ของซีรีส์อีเวนต์จะเริ่มต้นด้วยงานสัมมนาและงานเลี้ยงผู้บริหารในแวดวงอสังหาฯ ซึ่งจัดในรูปแบบ Roundtable (Real Estate Leaders’ Roundtable) ในวันที่ 6 ธันวาคม โดยพร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนส (PG4B) ต่อด้วยงานสุดยอดสัมมนา ARES ประจำปี 2566 และ งาน ARES VIP Cocktail Party ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 7 ธันวาคม ในขณะที่วันที่ 8 ธันวาคม มีการจัดงานกาล่า 2 งานด้วยกัน ได้แก่ งานเลี้ยงช่วงกลางวันเพื่อแจกรางวัลสำหรับผู้ชนะจากประเทศจีน, นิเซโกะ ประเทศญี่ปุ่น และอินเดีย และงานประกาศผลรางวัลพร็อพเพอร์ตี้กูรู เอเชีย พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ แกรนด์ ไฟนอล ครั้งที่ 18 ซึ่งมีผู้ชนะจากแต่ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, จีน, ญี่ปุ่น, อินเดีย และออสเตรเลียเข้าร่วม และสัปดาห์แห่งซีรีส์อีเวนต์นี้ปิดท้ายด้วยการเข้าชมสุดเอ็กซ์คลูซีฟแบบไพรเวท สกรีนนิ่ง กับลิมิเต็ดซีรีส์ “Wonderful Waste” โดยเนเวอร์ ทู สมอลล์ 

งานสัมมนาพร็อพเพอร์ตี้กูรู เอเชีย เรียล เอสเตท ซัมมิต (ARES) ประจำปี 2566 มีผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการประกอบด้วย พอร์ทัลพาร์ทเนอร์อย่างพร็อพเพอร์ตี้กูรู, นิตยสารพร็อพเพอร์ตี้ รีพอร์ต บาย พร็อพเพอร์ตี้กูรู, พาร์ทเนอร์ด้านประชาสัมพันธ์ อาร์ทิมิส แอสโซสิเอทส์, พาร์ทเนอร์ด้านสื่อ ได้แก่ นิตยสารดิจิทัล Bridges, นิตยสาร d+a, นิตยสาร Hot, มะนิลา บูลละทิน, นิตยสาร REm และ Techsauce

ในส่วนของสมาคมต่าง ๆ ที่ให้การสนับสนุนการจัดงานในครั้งนี้ประกอบด้วย บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (IFC) กับนวัตกรรม EDGE (Excellence in Design for Greater Efficiencies) ที่เน้นความเป็นเลิศในการออกแบบ และให้ประสิทธิผลที่ดียิ่งขึ้น, และสถาบัน REHDA ในส่วนของงาน ARES VIP Cocktail Party ได้รับการสนับสนุนโดย PG4B และผู้สนับสนุนอย่าง ดาวเอธธิคอลกิ๊ฟส์ (โปรเจกต์ที่สนับสนุนความสามารถของผู้หญิง) และบริษัท ฟ้าใหม่ โฮลดิ้งส์ จำกัด 

Charting the Course: APAC’s Tech Trajectory for 2024

วิถีเทคโนโลยีปี 2567 ช่วยองค์กรสร้างกลยุทธ์ไอทีที่แตกต่าง

Charting the Course: APAC’s Tech Trajectory for 2024

Aaron White, VP and GM of Sales, Nutanix APJ
Aaron White, VP and GM of Sales, Nutanix APJ

The last 12 months brought about an unprecedented surge of technology and innovation. The importance of the cloud and the growing preference for a hybrid infrastructure was reinforced as a business imperative. The digital-first world we live in today is enabled largely by the cloud. To deliver data and insights even faster, the edge also emerged as a key differentiator for organizations. However, the hottest commodity was AI. Overnight, it dominated conversations. Most organizations hopped on the AI train, to different extents, with immediacy and a suitcase of uncertainty.

However, amidst the deluge of new technologies emerging at breakneck speeds, and a sense of urgency to adopt these innovations, business decision-makers are starting to find themselves overwhelmed with new solutions. It increasingly feels like technology is happening to people rather than for them.

While AI will continue to dominate conversations, organisations need to take a quick step back and put in place a strong cloud strategy that will pave the way for their journey. It will be crucial to understand their technology stack, focus efforts on (re)building customer trust and cultivate the skills that will allow workers to keep up with the demands of an ever-evolving digital landscape.

Hybrid multicloud will become the default choice for enterprises

Adoption of cloud services across all industries and regions has accelerated and will continue to. Gartner predicts that, by 2025, 75 percent of enterprise data will be created and processed outside the traditional data centre or cloud, up from a mere 10 per cent in 2018.

Organisations have sought to enable a variety of applications, enhance business agility, and optimise costs. Despite this surge, not every workload seamlessly aligns with the public cloud, and many enterprises grapple with legacy applications and data entrenched in on-premises or private cloud environments. Therefore, hybrid multicloud solutions that offer the best of both worlds will become the default choice for enterprises that want to balance performance, security, compliance, and cost. According to the Nutanix 2023 ECI report, 86 per cent of IT decision-makers in APJ expect hybrid cloud to positively impact their businesses in 2024.

On top of all this with the ever-expanding digital frontier, and as AI takes root in everyday operations, the inevitability of the hybrid multicloud as the default choice becomes a catalyst for transformative change. It not only addresses immediate challenges but positions organizations to thrive amidst the uncertainties of tomorrow. The ongoing journey toward hybrid multicloud adoption represents a strategic paradigm shift—one where adaptability, resilience, and innovation collide to redefine the very fabric of modern enterprise IT.

Trust: Overcoming uncertainty and promoting innovation

The last couple of years have been marked by rapid technological advancements and unprecedented disruptions, and overcoming uncertainty and adopting technology are paramount for sustained success but it comes with the shadow of an increase in cyber threats. According to the National Cyber Security Agency (NCSA) in Thailand, the top attack between October 1, 2022, and August 4, 2023, was a hacked website (phishing, defacement, gambling). The most attacked sectors were education (36%), other government agencies (31%), and the financial and banking sector (8%).

Nutanix

Thailand enacted the Personal Data Protection Act (PDPA) on June 1, 2022. However, since 2021, many organizations in Thailand have faced ransomware attacks that have stolen customer data. These incidents have all had a significant impact on the trust of customers and consumers. As a result, businesses across Thailand are reviewing and accelerating their cybersecurity plans to ensure that they are in full compliance with PDPA and regain the trust of their customers.

Thus, as the technology sector continues to evolve and innovate, trust will be a potent catalyst, allowing organisations to unlock the full potential of their teams to explore new ideas and take calculated risks. With technology providers continuing to invest in AI and ML solutions and services, it will be essential to embed security, privacy, and transparency into their systems as they are being built.

Skilled workforce: Empowering digital innovation

While technology is advancing at lightning speed, the shortage of skilled professionals across Asia-Pacific and Japan (APJ) capable of harnessing new and emerging technologies poses a significant hurdle. For Thailand, the PWC Asia Pacific Workforce Hopes and Fears Survey 2023 found that 77% of respondents believe that digital skills are important for careers. They also believe that both hard skills, such as technical skills, and soft skills are equally important for careers. The most important skills are teamwork skills (84%), analytical/data skills (83%), and leadership skills (83%). 

With the speed of innovation, it might be difficult to predict what skills will be needed over the next few years. However, one thing is certain: we’ll need to start building education into our workflows to upskill and reskill the current workforce to keep pace with evolving business requirements. Academic programs also need to evolve and ensure that students are being equipped with the right knowledge and skill sets for entering the workforce.

While training should be a fundamental tool and requirement, there is also a need for organisations to place more emphasis on skills, in addition to university degrees, to fully unlock the potential of its future technology workforce. The PWC Asia Pacific Workforce Hopes and Fears Survey 2023 also found that 71% of Thai respondents are confident that their employers will provide them with the skills they need to succeed in their careers in the next five years. Additionally, 70% believe that their skills will change significantly in the next five years as well.  

We are standing at the precipice of this transformative year – a journey toward resilience, innovation, and sustainability. As organisations take stock of the last 12 months and the tech odyssey that we’ve been on, it is time now to take full advantage of the innovation. Having the right technology partner, skills, and talent, will be crucial as we take off to new technological heights.

วิถีเทคโนโลยีปี 2567 ช่วยองค์กรสร้างกลยุทธ์ไอทีที่แตกต่าง

วิถีเทคโนโลยีปี 2567 ช่วยองค์กรสร้างกลยุทธ์ไอทีที่แตกต่าง

วิถีเทคโนโลยีปี 2567 ช่วยองค์กรสร้างกลยุทธ์ไอทีที่แตกต่าง

บทความโดย นายแอรอน ไวท์ รองประธานและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขาย ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น นูทานิคซ์
บทความโดย นายแอรอน ไวท์ รองประธานและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขาย ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น นูทานิคซ์

เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เกิดขึ้นในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ความจำเป็นทางธุรกิจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ทำให้คลาวด์มีความสำคัญมากขึ้น และความต้องการโครงสร้างพื้นฐานไอทีแบบผสมผสาน (ไฮบริด) ก็เพิ่มมากขึ้น โลกที่ให้ความสำคัญกับดิจิทัลก่อนสิ่งอื่นใด (digital-first) ที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ส่วนใหญ่ขับเคลื่อนด้วยคลาวด์ นอกจากนี้เอดจ์ยังสร้างความต่างให้กับองค์กรอย่างมีนัยสำคัญโดยช่วยให้ได้รับข้อมูลและข้อมูลเชิงลึกได้เร็วขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีที่ร้อนแรงที่สุดในเวลานี้และเป็นหัวข้อสนทนาของทุกคนอย่างรวดเร็วเพียงชั่วข้ามคืน คือ AI ซึ่งมีองค์กรจำนวนมากรีบเร่งกระโดดขึ้นรถไฟสาย AI ในระดับชั้นการใช้งานที่แตกต่างกัน และท่ามกลางความคลุมเครือ

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางเทคโนโลยีใหม่มากมายที่เกิดขึ้นเร็วมาก และความรู้สึกว่าจะต้องนำนวัตกรรมเหล่านี้ไปใช้อย่างเร่งด่วน ทำให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจทางธุรกิจเริ่มพบว่าพวกเขาถูกรุมล้อมด้วยโซลูชันใหม่ ๆ มากเกินไป 

แม้ว่า AI ยังคงเป็นที่สนใจของทุกภาคส่วน แต่องค์กรจำเป็นต้องหยุดคิดและถอยออกมาอย่างรวดเร็วเพื่อวางกลยุทธ์คลาวด์ที่จะช่วยเปิดทางสู่ดิจิทัลให้ชัดเจน ทั้งนี้องค์กรจำเป็นต้องเข้าใจเทคโนโลยีสแต็กที่องค์กรใช้อยู่ ให้ความสำคัญกับความพยายามในการสร้างหรือฟื้นฟูความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีให้องค์กร และพัฒนาทักษะต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานตามทันความต้องการด้านต่าง ๆ ของลักษณะแวดล้อมทางดิจิทัลที่พัฒนาไม่หยุดนิ่งได้

ไฮบริดมัลติคลาวด์จะกลายเป็นตัวเลือกเริ่มต้นขององค์กร

อุตสาหกรรมทุกประเภทและทุกภูมิภาคใช้บริการคลาวด์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า 75 เปอร์เซ็นต์ของข้อมูลองค์กรจะถูกสร้างและประมวลผลนอกดาต้าเซ็นเตอร์แบบเดิมหรือคลาวด์ภายในปี 2568 ซึ่งเพิ่มขึ้นมากจากปี 2561 ที่มีเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

องค์กรต่าง ๆ พยายามนำแอปพลิเคชันหลากหลายมาใช้ พยายามเพิ่มความคล่องตัวทางธุรกิจและปรับค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม แม้กระแสนี้จะมาแรง แต่ไม่ใช่เวิร์กโหลดทุกรายการจะเหมาะกับการใช้บนพับลิคคลาวด์ได้อย่างราบรื่น และองค์กรจำนวนมากยังยึดติดอยู่กับแอปพลิเคชันแบบเก่าและข้อมูลที่ใช้และจัดเก็บอยู่ในระบบที่ติดตั้งอยู่ภายในองค์กรหรือไพรเวทคลาวด์ ดังนั้นโซลูชันไฮบริดมัลติคลาวด์ซึ่งเป็นโซลูชันที่นำเสนอสมรรถนะที่ดีที่สุดของไพรเวทคลาวด์และพับลิคคลาวด์จะกลายเป็นทางเลือกเริ่มต้นขององค์กรที่ต้องการสร้างสมดุลระหว่างประสิทธิภาพ ความปลอดภัย การทำตามกฎระเบียบ และค่าใช้จ่ายได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ข้อมูลจากรายงาน Nutanix 2023 ECI ระบุว่า 86 เปอร์เซ็นต์ของผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอทีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น คาดว่าไฮบริดคลาวด์จะให้ผลกระทบเชิงบวกต่อธุรกิจตนในปี 2567

เหนือสิ่งอื่นใดในบริบทของดิจิทัลที่ขยายตัวตลอดเวลา และการที่ AI หยั่งรากลงไปในการดำเนินธุรกิจแต่ละวัน ทำให้ไฮบริดมัลติคลาวด์เป็นทางเลือกเริ่มต้นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และกลายเป็นเทคโนโลยีที่เร่งการเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่ได้ช่วยเพียงจัดการกับความท้าทายต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังช่วยให้องค์กรเติบโตท่ามกลางความไม่แน่นอนในอนาคต 

ความเชื่อมั่น: ก้าวข้ามความไม่แน่นอนและส่งเสริมนวัตกรรม

ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานับเป็นช่วงที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีสถานการณ์ยุ่งยากและการหยุดชะงักของการดำเนินธุรกิจแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การเอาชนะความไม่แน่นอน และการนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นสิ่งสำคัญมากต่อความสำเร็จที่ยั่งยืน แต่จะนำมาซึ่งการเพิ่มขึ้นของภัยไซเบอร์เป็นเงาตามตัว ข้อมูลสถิติการรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึงวันที่ 4 สิงหาคม 2566 ของสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ในประเทศไทยพบว่าการโจมตีอันดับหนึ่งเป็นการ Hacked Website (Phishing, Defacement, Gambling) โดยหน่วยงานที่ถูกโจมตีมากที่สุดคือภาคการศึกษา (36%) หน่วยงานภาครัฐอื่น (31%) และภาคการเงินธนาคาร (8%)

Nutanix

ประเทศไทยบังคับใช้ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) 2562 เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2565 อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ปี 2564 องค์กรหลายแห่งในไทยต้องเผชิญกับการถูกแรนซัมแวร์ขโมยข้อมูลลูกค้า ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและผู้บริโภคจำนวนมาก ธุรกิจไทยทุกแห่งจึงทบทวนและเร่งแผนงานด้านความปลอดภัยไซเบอร์ เพื่อให้แน่ใจว่าได้ปฏิบัติตาม PDPA อย่างเคร่งครัด และเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา

อาจกล่าวได้ว่าความเชื่อมั่นจะเป็นตัวกระตุ้นที่ทรงประสิทธิภาพในขณะที่ภาคเทคโนโลยียังคงพัฒนาและสร้างสิ่งใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้องค์กรปลดล็อกศักยภาพของทีมอย่างเต็มที่เพื่อมองหาแนวคิดใหม่ ๆ และรับมือกับความเสี่ยงที่คาดไว้แล้วว่าจะเกิดขึ้น เนื่องจากผู้ให้บริการเทคโนโลยียังคงลงทุนด้าน AI, ML และบริการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการฝังความสามารถด้านความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และความโปร่งใส ไว้ในระบบต่าง ๆ ที่ผู้ให้บริการเทคโนโลยีกำลังสร้างขึ้นมาจึงเป็นเรื่องจำเป็นมาก 

บุคลากรที่มีทักษะ: เสริมแกร่งนวัตกรรมดิจิทัล

ในขณะที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นมีอุปสรรคสำคัญคือการขาดแคลนบุคลากรที่เชี่ยวชาญและมีทักษะในการใช้เทคโนโลยีที่เกิดใหม่ สำหรับประเทศไทยรายงาน Asia Pacific Workforce Hopes and Fears Survey 2023 ของ PWC ระบุว่า 77% ของผู้ตอบแบบสำรวจเห็นว่าทักษะด้านดิจิทัลมีความสำคัญต่ออาชีพการงาน และพวกเขาเชื่อว่าทักษะด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เป็นฮาร์ดสกิล และทักษะที่เป็นซอฟต์สกิลมีความสำคัญเท่าเทียมกันในอาชีพการงาน โดยทักษะที่สำคัญที่สุดคือทักษะการทำงานร่วมกัน (84%) ทักษะการวิเคราะห์/ข้อมูล (83%) และทักษะความเป็นผู้นำ (83%) 

ความเร็วของนวัตกรรมทำให้ยากที่จะคาดการณ์ว่าทักษะด้านใดจะเป็นที่ต้องการและจำเป็นมากในอีกสองสามปีข้างหน้า แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ องค์กรจำเป็นต้องเริ่มสร้างการเรียนรู้เกี่ยวกับเวิร์กโฟลว์หรือขั้นตอนการทำงานขององค์กร เพื่อยกระดับทักษะและเพิ่มทักษะให้กับบุคลากรในปัจจุบัน เพื่อเสริมความรู้ให้ทันต่อความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา 

องค์กรยังจำเป็นต้องให้ความสำคัญด้านทักษะต่าง ๆ มากขึ้น นอกเหนือจากวุฒิการศึกษาจากมหาวิทยาลัย เพื่อปลดล็อกศักยภาพของบุคลากรด้านเทคโนโลยีในอนาคตได้อย่างเต็มที่ รายงาน Asia Pacific Workforce Hopes and Fears Survey 2023 ของ PWC ยังพบว่า 71% ของผู้ตอบแบบสำรวจไทยมั่นใจว่านายจ้างจะเสริมทักษะต่าง ๆ ที่สำคัญต่ออาชีพการงานของพวกเขาในอีกห้าปีข้างหน้า และ 70% เชื่อว่าทักษะในการทำงานของตนจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในอีกห้าปีข้างหน้าเช่นกัน

เรากำลังยืนอยู่ ณ จุดเปลี่ยนสำคัญของปีแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่เป็นเส้นทางสู่ความยืดหยุ่น นวัตกรรม และความยั่งยืน องค์กรต่างผ่านเรื่องราวต่าง ๆ และการผจญภัยทางเทคโนโลยีมาแล้วตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา ดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่จะใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมเหล่านี้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การมีพันธมิตรทางเทคโนโลยีที่ใช่ มีทักษะและความสามารถที่เหมาะสม เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ที่จะพาองค์กรพุ่งสู่จุดสูงสุดในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี

Alipay+ จับมือพาร์ทเนอร์อีวอลเล็ท ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในแคมเปญระดับโลกส่งท้ายปี

Alipay+ จับมือพาร์ทเนอร์อีวอลเล็ท ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในแคมเปญระดับโลกส่งท้ายปี

Alipay+ จับมือพาร์ทเนอร์อีวอลเล็ท ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในแคมเปญระดับโลกส่งท้ายปี

  • แบรนด์ระดับโลกและดิจิทัลวอลเล็ทชั้นนำในเอเชียเข้าร่วมแคมเปญของ Alipay+ เพื่อขับเคลื่อนการเดินทางระหว่างประเทศอย่างมีความรับผิดชอบ สนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอี และรักษาสิ่งแวดล้อม
  • มอบสิทธิประโยชน์และสิ่งจูงใจมากมายสำหรับนักท่องเที่ยวจากจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่อุตสาหกรรมเตรียมพร้อมรองรับการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยวทั่วโลกในปี 2567
  • เตรียมเปิดตัวโครงการวิจัยเพื่อติดตามผลกระทบด้าน ESG ของแคมเปญต่อสิ่งแวดล้อมและธุรกิจท้องถิ่น
  • Alipay+ เทคโนโลยีการชำระเงินและโซลูชั่นการตลาดที่เชื่อมโยงมากกว่า 25 อีวอลเล็ทและแอปชำระเงินชั้นนำเข้ากับผู้ค้าทั่วโลก มียอดธุรกรรมโดยรวมและธุรกรรมรายวันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 2566

Alipay+ แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการชำระเงินระหว่างประเทศผ่านมือถือในเครือบริษัทแอนท์ อินเตอร์เนชันแนล (Ant International) เปิดตัวแคมเปญส่งท้ายปีเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างประเทศอย่างยั่งยืน โดยร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ทั่วโลก พร้อมมอบสิทธิประโยชน์มากมายให้แก่ผู้ใช้อีวอลเล็ทชั้นนำ 5 รายในเอเชีย ซึ่งได้แก่ TrueMoney (ไทย), Alipay (จีนแผ่นดินใหญ่), AlipayHK (เขตปกครองพิเศษฮ่องกงของจีน), Touch ‘n Go eWallet โดย TNG Digital (มาเลเซีย) และ GCash (ฟิลิปปินส์) 

แคมเปญนี้จะจัดถึงวันที่ 31 ธันวาคม โดยจะเปิดตัวครั้งแรกสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในไทย เขตบริหารพิเศษฮ่องกง เขตบริหารพิเศษมาเก๊า ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และมาเลเซีย โดยนักท่องเที่ยวจะได้รับสิทธิประโยชน์จากข้อเสนอพิเศษมากมายภายใต้ความร่วมมือกับธุรกิจชั้นนำระดับโลก เช่น ComfortDelGro Taxi, Daimaru Matsuzakaya, Galaxy Macau, King Power และ Lotte Duty Free รวมถึงธุรกิจเอสเอ็มอีในท้องถิ่น เช่น Durian BB ในมาเลเซีย และ IJOOZ ในสิงคโปร์ ซึ่งมอบทางเลือกที่หลากหลายและครอบคลุมสำหรับนักท่องเที่ยว

สนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบ

แอนท์ อินเตอร์เนชันแนล มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบในตลาดต่าง ๆ ที่ให้บริการ Alipay+ ด้วยการดำเนินโครงการ ESG ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs)

แคมเปญนี้มอบข้อเสนอสุดพิเศษจาก Alipay+ และพาร์ทเนอร์ เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน เช่น แพ็คเกจอินเทอร์เน็ตมือถือฟรีในต่างประเทศ ส่วนลดในแอปสำหรับเครือข่ายร้านค้ามากมายของ Alipay+ และโอกาสที่จะได้รับส่วนลด 100% จากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ  นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังได้รับรางวัลจากการใช้บริการชำระเงินดิจิทัลแทนการใช้เงินสด การเลือกใช้บริการขนส่งสาธารณะแทนการใช้รถยนต์ การพกพาแปรงสีฟันของตัวเองเพื่อใช้ระหว่างท่องเที่ยวแทนการใช้แปรงสีฟันแบบใช้แล้วทิ้ง รวมถึงการไปเยือนสถานที่ท่องเที่ยวท้องถิ่นที่หลากหลายมากขึ้นเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชนและการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น

ดร. เชอร์รี่ หวง ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายบริการผู้ค้าออฟไลน์ Alipay+ ของ แอนท์ อินเตอร์เนชันแนล กล่าวว่า “แคมเปญส่งท้ายปีของเรานอกจากจะเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวแล้ว ยังมุ่งสร้างผลกระทบเชิงบวกด้วยการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ที่มีความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนเช่นเดียวกับเรา โดยนับเป็นการเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สำรวจโลกอย่างมีความรับผิดชอบ”

บริการชำระเงินดิจิทัลช่วยเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวระหว่างประเทศให้กับเอสเอ็มอีในท้องถิ่น โดยในปี 2566 ขณะที่อาลีเพย์ขยายความร่วมมือกับองค์กรบัตรระหว่างประเทศรายใหญ่เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ถือบัตรที่เป็นชาวต่างชาติที่มาเยือนประเทศจีน Alipay+ ได้นำอีวอลเล็ท 10 รายของเอเชีย และแอปธนาคารมาสู่จีนแผ่นดินใหญ่เพื่อรองรับผู้ใช้ระหว่างการเดินทาง ซึ่งนับเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในการขยายช่องทางการชำระเงินชั้นนำระหว่างประเทศ ส่งผลให้ในปี 2566 ผู้ค้ามากกว่าสามล้านรายในจีน รวมถึงร้านค้าขนาดเล็ก สามารถทำธุรกรรมระหว่างประเทศครั้งแรกบน Alipay+

เนื่องจากการท่องเที่ยวบริเวณทางตอนใต้ของจีนแผ่นดินใหญ่ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง และเขตบริหารพิเศษมาเก๊า เติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้ค้าชั้นนำกว่า 220 รายในเมืองเซินเจิ้น มณฑลกวางตุ้งทางตอนใต้ของจีน จึงได้เข้าร่วมแคมเปญส่งเสริมการขายส่งท้ายปีเพื่อดึงดูดผู้ใช้ AlipayHK และ mPay ด้วยแพ็คเกจส่วนลดมูลค่าสูงถึง 14,000 ดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 1,793 ดอลลาร์สหรัฐฯ)

เพื่อติดตามผลกระทบด้าน ESG ของแคมเปญนี้ Alipay+ จะร่วมมือกับมหาวิทยาลัยจีนแห่งฮ่องกง (CUHK) และคณะที่ปรึกษาที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยซิงหัว มหาวิทยาลัยฮ่องกง มหาวิทยาลัยเจนีวา และมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น เพื่อตรวจวัดการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนของนักท่องเที่ยว ผลกระทบต่อธุรกิจท้องถิ่น วัฒนธรรม และชุมชน รวมไปถึงผลกระทบต่อธุรกิจในอีโคซิสเต็มส์

บรูซ จาง ซีอีโอของ IJOOZ ผู้ให้บริการตู้จำหน่ายน้ำผลไม้ในสิงคโปร์ กล่าวว่า “ในแต่ละปี IJOOZ มีเนื้อและเปลือกส้มจำนวนมากจากกระบวนการผลิต เรารีไซเคิลของเสียจากส้ม เปลี่ยนให้เป็นทรัพยากรที่มีมูลค่าเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เรารู้สึกยินดีที่ได้ร่วมมือกับ Alipay+ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนในหมู่นักท่องเที่ยวทั่วโลกที่มาเยือนสิงคโปร์”

Alipay+ ในปี 2566: ปีแห่งการเติบโตและการขยายความร่วมมือ

นับตั้งแต่ที่เปิดตัวในปี 2563 Alipay+ ชุดโซลูชั่นการชำระเงินและการตลาดระหว่างประเทศ ได้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อมโยงผู้ค้ากว่า 88 ล้านรายใน 57 ตลาด ไปยังบัญชีชำระเงิน 1,500 ล้านบัญชีผ่านอีวอลเล็ทมากกว่า 25 ราย รวมถึงแอปธนาคาร และแอปผ่อนชำระค่าสินค้า/บริการ (Buy Now Pay Later – BNPL)

ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 Alipay+ มียอดชำระเงินทั้งหมด (TPV) เพิ่มขึ้นประมาณ 30% เมื่อเทียบกับช่วงหกเดือนแรก และธุรกรรมเฉลี่ยรายวัน (DAT) เพิ่มขึ้นกว่า 70%  และหากไม่รวม Alipay ยอด TPV และ DAT สำหรับการชำระเงินระหว่างประเทศของอีวอลเล็ทที่เป็นพาร์ทเนอร์ Alipay+ เพิ่มขึ้นประมาณ 280% และ 230% ตามลำดับ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566

 ในแง่ของปริมาณธุรกรรมในปี 2566 AlipayHK , Kakao Pay, Touch ‘n Go eWallet และ GCash เป็นท็อป 4 อีวอลเล็ทที่เป็นพาร์ทเนอร์ Alipay+ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับนักเดินทางระหว่างประเทศ นอกเหนือไปจาก Alipay โดย TrueMoney, Touch ‘n Go eWallet และ mPay เป็นท็อป 3 เมื่อพิจารณาจากปริมาณธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นแบบเดือนต่อเดือน (MoM) ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566 ส่งผลให้ผู้ค้าในจีนแผ่นดินใหญ่ เขตบริหารพิเศษมาเก๊า ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการชำระเงินผ่านมือถือระหว่างประเทศที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

อลัน หนี่ ซีอีโอของ TNG Digital ผู้ให้บริการ Touch ‘n Go eWallet กล่าวว่า “การท่องเที่ยวมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น และ TNG Digital มุ่งมั่นที่จะสร้างความแตกต่างเชิงสร้างสรรค์ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ในปี 2566 บริการชำระเงินระหว่างประเทศ Touch ‘n Go eWallet ในจีนแผ่นดินใหญ่เติบโตแบบเดือนต่อเดือนมากกว่า 100% และด้วยเหตุนี้ เราจึงหวังว่าการดำเนินงานของเราจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับธุรกิจอื่น ๆ ได้ปฏิบัติตาม”

Alibaba DAMO Academy Introduces SeaLLMs, Inclusive AI Language Models for Southeast Asia

IaaS+PaaS ของ Alibaba Cloud ได้รับคะแนนสูงสุดเป็นอันดับ 3

Alibaba DAMO Academy Introduces SeaLLMs, Inclusive AI Language Models for Southeast Asia

Alibaba DAMO Academy announces the launch of SeaLLMs, pioneering large language models (LLM) that come with 13-billion-parameter and 7-billion-parameter versions. The LLMs are specially designed to cater to the linguistic diversity of Southeast Asia. 

The models represent a technological leap forward in terms of inclusivity, offering optimized support for local languages in the region including Vietnamese, Indonesian, Thai, Malay, Khmer, Lao, Tagalog, and Burmese. The conversational models, SeaLLM-chat, exhibit great adaptability to the unique cultural fabric of each market, aligning with local customs, styles, and legal frameworks, and emerging as an invaluable chatbot assistant for businesses engaging with SEA markets.

SeaLLMs are now open-sourced on Hugging Face, with released check point and available for research and commercial use. 

“In our ongoing effort to bridge the technological divide, we are thrilled to introduce SeaLLMs, a series of AI models that not only understand local languages but also embrace the cultural richness of Southeast Asia,” said Lidong Bing, Director of the Language Technology Lab at Alibaba DAMO Academy. “This innovation is set to hasten the democratization of AI, empowering communities historically underrepresented in the digital realm.”

Echoing this sentiment, Luu Anh Tuan, Assistant Professor in the School of Computer Science and Engineering (SCSE) at Nanyang Technological University, a long-term partner of Alibaba in multi-language AI study, said, “Alibaba’s strides in creating a multi-lingual LLM are impressive. This initiative has the potential to unlock new opportunities for millions who speak languages beyond English and Chinese. Alibaba’s efforts in championing inclusive technology have now reached a milestone with SeaLLMs’ launch.”

SeaLLM-base models, underwent pre-training on a diverse, high-quality dataset inclusive of the SEA languages, ensuring a nuanced understanding of local contexts and native communication. This foundational work lays the groundwork for chat models, SeaLLM-chat models, which benefit from advanced fine-tuning techniques and a custom-built multilingual dataset. As a result, chatbot assistants based on these models can not only comprehend but respect and accurately reflect the cultural context of these languages in the region, such as social norms and customs, stylistic preferences, and legal considerations.

A notable technical advantage of SeaLLMs are their efficiency, particularly with non-Latin languages. They can interpret and process up to 9 times longer text (or fewer tokens for the same length of text) than other models like ChatGPT for non-Latin languages such as Burmese, Khmer, Lao, and Thai. That translates into more complex task execution capabilities, reduced operational and computational costs, and a lower environmental footprint.

Furthermore, SeaLLM-13B, with 13 billion parameters, outshines comparable open-source models in a broad range of linguistic, knowledge-related, and safety tasks, setting a new standard for performance. When evaluated through the M3Exam benchmark (a benchmark consisting of exam papers from primary school to university entrance examination), SeaLLMs display a profound understanding of a spectrum of subjects, from science, chemistry, physics to economics, in SEA languages, outperforming its contemporaries.

In the FLORES benchmark, which assesses machine translation capabilities between English and low-resource languages—those with limited data for training conversational AI systems, such as Lao and Khmer—SeaLLMs excel. They surpass existing models in these low-resource languages and deliver performances on par with state-of-the-art (SOTA) models in most high-resource languages, such as Vietnamese and Indonesian.

Alibaba DAMO Academy’s SeaLLMs series is not just an advancement in AI but a step towards a more inclusive digital future. For an in-depth look at SeaLLMs’ capabilities and impact, visit the project page on Hugging Face: SeaLLMs – Language Models for Southeast Asian Languages and the technical report: https://arxiv.org/abs/2312.00738