อีริคสันประเทศไทย เปิดตัว 5G Innovation & Experience Studio ภายในโครงการ Thailand Digital Valley อย่างเป็นทางการ

อีริคสันประเทศไทย เปิดตัว 5G Innovation & Experience Studio ภายในโครงการ Thailand Digital Valley อย่างเป็นทางการ

อีริคสันประเทศไทย เปิดตัว 5G Innovation & Experience Studio ภายในโครงการ Thailand Digital Valley อย่างเป็นทางการ

  • 5G Innovation and Experience Studio ของอีริคสัน ในโครงการ Thailand Digital Valley ที่เปิดตัวล่าสุดนี้จะช่วยวางรากฐานสำคัญให้กับการพัฒนายูสเคส 5G ใหม่ ๆ ที่ร่วมพัฒนาขึ้นกับพันธมิตรและทุกภาคส่วนในระบบนิเวศ
  • สตูดิโอแห่งนี้เป็นความร่วมมือกับรัฐบาลไทย ผ่านสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) จัดสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นศูนย์กลางความร่วมมือเพื่อการพัฒนานวัตกรรมและเป็นส่วนหนึ่งในพันธกิจของอีริคสันเพื่อร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยขุมพลัง 5G  
  • บริษัทฯ ยังเปิดกว้างด้านความร่วมมือกับผู้มีส่วนร่วมสำคัญในระบบนิเวศ ประกอบด้วย พันธมิตร ผู้ใช้งานและสถาบันการศึกษา เพื่อพัฒนายูสเคส 5G ใหม่ ๆ สำหรับภาคอุตสาหกรรม และเร่งการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจดิจิทั

บริษัท อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) ประเทศไทย ประกาศเปิดตัว 5G Innovation & Experience Studio อย่างเป็นทางการ ที่ตั้งอยู่ในโครงการ Thailand Digital Valley อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยสตูดิโอแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งในพันธกิจของบริษัทฯ ที่มุ่งมั่นขับเคลื่อนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของประเทศไทย ภายใต้โครงสร้างพื้นฐาน 5G ที่มีความแข็งแกร่งและกำลังพัฒนายิ่งขึ้นในประเทศไทย

ด้วยการใช้ประสิทธิภาพจากโซลูชันเครือข่าย 5G ที่ทันสมัย ผนวกเข้ากับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการสร้างเครือข่าย 5G ที่มีประสิทธิภาพ เชื่อถือได้และยั่งยืนทั่วโลก ทำให้อีริคสันพร้อมมีบทบาทสำคัญเพื่อเร่งเดินหน้าประเทศไทยไปสู่การเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล

การจัดตั้ง 5G Innovation and Experience Studio ที่เพิ่งสร้างเสร็จนี้ คือ หมุดหมายสำคัญในแผนงานของอีริคสันเพื่อประเทศไทย โดยเป็นความร่วมมือกับรัฐบาลไทยผ่านทางสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa)

ห้องปฏิบัติการแห่งนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่เป็นพื้นที่สร้างสรรค์นวัตกรรม 5G ร่วมกัน โดยใช้เครือข่ายแซนด์บ็อกซ์ 5G ที่ทันสมัยของอีริคสัน มอบประโยชน์ทั้งในด้านการพัฒนา ทดสอบ ตรวจสอบ และรับรองยูสเคส 5G ใหม่ ๆ ร่วมกับพันธมิตรทั้งในประเทศไทยและจากทั่วโลก

ห้องปฏิบัติการนวัตกรรมแห่งนี้ยังจัดแสดงยูสเคส 5G ที่ล้ำสมัยไว้ในหลากหลายรูปแบบได้แก่หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติ (AMR) เครื่องจักรการผลิตอัตโนมัติที่พัฒนาร่วมกับ Mitsubishi และกล้อง CCTV 360 องศา แบบสวมใส่ได้ ซึ่งนวัตกรรมเหล่านี้เผยให้เห็นถึงศักยภาพเทคโนโลยี 5G ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันบนเวทีโลก

มร.แอนเดอร์ส เรียน ประธานบริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “5G เป็นแพลตฟอร์มเพื่อนวัตกรรม ช่วยสร้างสรรค์บริการใหม่ ๆ สำหรับผู้บริโภค องค์กรธุรกิจ และอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยที่ต้องการนำดิจิทัลมาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ อีริคสันประเทศไทยมุ่งมั่นส่งเสริมความร่วมมือและนวัตกรรมเพื่อให้มั่นใจว่าประเทศไทยจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากเครือข่าย 5G ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ด้วยการทำงานร่วมกันกับผู้ให้บริการด้านการสื่อสารและหน่วยงานอื่น ๆ ในระบบนิเวศ เราจะสามารถขับเคลื่อนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งคนไทย เศรษฐกิจและประเทศชาติ”

อีริคสันประเทศไทยยังเปิดกว้างด้านความร่วมมือในอนาคตกับผู้มีส่วนร่วมสำคัญในระบบนิเวศ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงพันธมิตร ผู้ใช้ปลายทาง สถาบันการศึกษา และหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อพัฒนายูสเคส 5G ใหม่ ๆ สำหรับอุตสาหกรรม

จากรายงาน Ericsson Mobility ฉบับล่าสุด คาดการณ์ภายในปี 2572 จะมีจำนวนผู้ใช้ 5G ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย ประมาณ 560 ล้านราย และเมื่อสิ้นปี 2566 มียอดผู้ใช้ 5G ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ที่ 61 ล้านราย ซึ่งผู้ใช้บริการ 5G ในภูมิภาคยังคงเติบโตต่อเนื่อง เป็นผลมาจากที่ผู้ใช้ย้ายมาใช้เครือข่าย 5G โดยได้รับแรงหนุนจากอุปกรณ์ 5G ที่ราคาย่อมเยาลง รวมถึงโปรโมชั่นการขายที่ดึงดูดใจ ส่วนลดและแพ็กเกจที่รวมการใช้ปริมาณดาต้าขนาดใหญ่จากผู้ให้บริการ คาดว่าในปี 2572 ผู้สมัครใช้บริการมือถือ 5G จะมีสัดส่วน 43% ของยอดผู้สมัครใช้บริการมือถือทั้งหมดในภูมิภาค และคาดว่ายอดการใช้ดาต้าต่อสมาร์ทโฟนของผู้ใช้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเพิ่มขึ้นจาก 17 กิกะไบต์ต่อเดือน ในปี 2566 เป็น 42 กิกะไบต์ต่อเดือน ในปี 2572

ก่อนสิ้นปี 2572 คาดว่า 5G จะกลายเป็นเครือข่ายมือถือที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากยอดการสมัครใช้ แม้ว่าการครอบคลุมพื้นที่ให้บริการ 5G จะเติบโตขึ้น แต่ย่านความถี่ 5G Mid-Band กลับถูกนำไปใช้งานเพียง 25% ของไซต์ทั้งหมดทั่วโลกนอกจีนแผ่นดินใหญ่ โดย 5G Mid-Band มอบความลงตัวระหว่างการครอบคลุมพื้นที่และความจุ ขณะเดียวกันก็ปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้

รายงาน Ericsson Mobility เดือนมิถุนายน ปี 2567 เผยให้เห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่งของการสมัครใช้บริการ 5G โดยมีผู้ให้บริการด้านการสื่อสารประมาณ 300 รายทั่วโลก เปิดให้บริการ 5G และมี 50 ราย เปิดให้บริการ 5G Standalone (หรือ 5G SA) ซึ่ง 5G ยังคงเติบโตต่อเนื่องในทุกภูมิภาค และคาดว่าในปี 2572 จะมีผู้ใช้ 5G คิดเป็นสัดส่วน 60% ของยอดผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือทั้งหมด อีริคสันคือผู้นำ 5G ระดับโลก ปัจจุบันเปิดบริการเครือข่าย 5G ไปแล้วถึง 166 เครือข่าย ใน 69 ประเทศทั่วโลก

รายงานล่าสุดจาก Frost & Sullivan ยังตอกย้ำความเป็นผู้นำของอีริคสันในตลาดโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย 5G ซึ่งครอบคลุมถึง Radio Access Networks (RAN), Transport Networks และ Core Networks โดยอีริคสันได้รับการจัดอันดับเป็นผู้นำอันดับ 1 ในรายงานการวิเคราะห์ตลาดโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย 5G ของ Frost Radar™ ประจำปี 2567 เป็นปีที่สี่ติดต่อกัน ซึ่งเน้นย้ำถึงผลจากกลยุทธ์ของบริษัทในการตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้ให้บริการการสื่อสาร (CSPs)

อีริคสันประเทศไทย เปิดตัว 5G Innovation & Experience Studio ภายในโครงการ Thailand Digital Valley อย่างเป็นทางการ

Red Hat OpenStack Services on OpenShift is Now Generally Available

Red Hat วางตลาด OpenStack Service on OpenShift

Red Hat OpenStack Services on OpenShift is Now Generally Available

Open source leader brings modern approach to OpenStack deployments, helping organizations build future-ready networks at massive scale

Red Hat, Inc., the world’s leading provider of open source solutions, today announced the general availability of Red Hat OpenStack Services on OpenShift, the next major release of Red Hat OpenStack Platform. This is a significant step forward in how enterprises, particularly telecommunication service providers, can better unify traditional and cloud-native networks into a singular, modernized network fabric. Red Hat OpenStack Services on OpenShift opens up a new pathway for how organizations can rethink their virtualization strategies, making it easier for them to scale, upgrade and add resources to their cloud environments.

Typically operating at a massive scale, enterprises are consistently tasked with managing new levels of complexity as the industries that they serve transform. To do this more effectively, they need to build modern network infrastructures that can scale towards the edge with automated resource scaling providing a high performance architecture that has the ability to optimize resource usage wherever applications are located. To achieve these goals, the underlying infrastructures need to be able to meld traditional virtualized applications with more modern cloud-native applications.

With Red Hat OpenStack Services on OpenShift, organizations will be able to manage complexity for faster, simplified deployments of both virtualized and cloud-native applications from the core to the edge all in one place. Red Hat OpenStack Services on OpenShift can deploy compute nodes 4x faster than before when compared to Red Hat OpenStack Platform 17.1. Additional benefits include:

  • Accelerated time-to-market with Ansible integration;
  • A scalable OpenStack control plane that can manage Kubernetes-native pods running on Red Hat OpenShift;
  • Easier day 2 operations for control plane and lifecycle management;
  • Greater cost management and freedom to choose third party plug-ins and virtualize resources;
  • Improved security and compliance scanning of the control plane and Role-based Access Control encrypts communications and memory cache;
  • A deeper understanding about the health of your hybrid cloud with observability user interface, cluster observability operator and an OpenShift cluster logging operator;
  • AI-optimized infrastructure supports hardware acceleration technologies to help ensure seamless integration and efficient utilization of specialized hardware for AI tasks.

Red Hat’s commitment to and investment in OpenStack remains strong and remains the leading contributor at both the project and product levels. OpenStack continues to be a vital component for large IT infrastructures, especially in the telecommunication space, and this evolution can improve how these organizations deploy, manage, and maintain OpenStack footprints.

Trusted, reliable support for telecommunication service providers

To help telecommunication service providers accelerate their goals, Red Hat offers expertise at every stage of the deployment process. Whether customers are new to OpenStack or migrating from a legacy estate, Red Hat provides tailored training for customer teams to quickly build in-house technical expertise. Our consulting services help plan and deploy projects within the unique environments of telecommunication companies, focusing on minimizing operational risks. Additionally, Red Hat Technical Account Managers provide ongoing guidance and advice throughout the lifecycle of Red Hat OpenStack Services on OpenShift, helping ensure a smooth and secure implementation.

This landscape will only become more dynamic and complex over the next few years. By further blending Red Hat OpenStack Platform with Red Hat OpenShift, Red Hat will continue to help telecommunication service providers solve today’s problems while also preparing their environments to best capitalize on opportunities provided by intelligent networks that can leverage AI, flourish at the edge and scale on-demand. 94% of telecommunication companies in the Fortune 500 rely on Red Hat[3], underscoring our proven ability to support and modernize their networks. With Red Hat OpenStack Services on OpenShift, telecommunication service providers can expand new services, applications and revenue streams – propelling their business forward for 5G and beyond.

Supporting Quotes

Chris Wright, senior vice president of global engineering and chief technology officer, Red Hat

“Red Hat’s dedication to OpenStack is demonstrated through our extensive contributions to the project, our leadership in the OpenStack community and our focus on delivering enterprise-grade OpenStack solutions to our customers. This dedication must evolve as our customers’ needs change, and Red Hat OpenStack Services on OpenShift will help provide our OpenStack customers with a more unified, flexible application platform.”

Takeshi Maehara, deputy general manager, network and cloud platforms, KDDI

“KDDI has been a longstanding user of both Red Hat OpenStack Platform and Red Hat OpenShift and we’re excited about this next evolution. These solutions have enabled us to quickly and flexibly develop and deploy new services and applications. This integration will allow organizations like KDDI to modernize and manage complexity from the core to the edge.”

Nilay Rathod, technology automation and services lead, Spark New Zealand

“Spark is pleased Red Hat is continuing to evolve Red Hat OpenStack Platform. Red Hat OpenStack Services on OpenShift will help to further enhance our telecommunications infrastructure, providing even greater flexibility, scalability and resilience. Our collaboration with Red Hat continues to drive innovation, allowing us to deliver superior performance and reliability to our customers. Together, we are building the future of New Zealand’s wireless mobile networks.”

Red Hat วางตลาด OpenStack Service on OpenShift

Red Hat วางตลาด OpenStack Service on OpenShift

Red Hat วางตลาด OpenStack Service on OpenShift

เพิ่มความล้ำสมัยให้ OpenStack พร้อมช่วยองค์กรสร้างเครือข่ายขนาดใหญ่ที่รองรับอนาคต

เร้ดแฮท ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันโอเพ่นซอร์ส ประกาศวางตลาด (general availability) Red Hat OpenStack Services on OpenShift ผลิตภัณฑ์ที่เป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของแพลตฟอร์ม OpenStack ของเร้ดแฮท และเป็นการเดินหน้าครั้งสำคัญขององค์กรต่าง ๆ โดยเฉพาะผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมที่จะใช้วิธีการใหม่นี้ในการควบรวมเครือข่ายแบบดั้งเดิมและเครือข่ายที่เป็นคลาวด์-เนทีฟเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน บนโครงสร้างเครือข่ายที่ทันสมัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ Red Hat OpenStack Services on OpenShift เปิดเส้นทางสายใหม่ให้องค์กรต่าง ๆ สามารถทบทวนกลยุทธ์ด้านเวอร์ชวลไลเซชันของตน สามารถสเกล อัปเกรด และเพิ่มทรัพยากรให้กับสภาพแวดล้อมคลาวด์ของตนได้อย่างไม่ยุ่งยาก

องค์กรที่มีการทำงานสเกลใหญ่ต้องบริหารจัดการความซับซ้อนที่มีรูปแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมที่องค์กรนั้น ๆ ให้บริการอยู่ องค์กรเหล่านี้ต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายที่ทันสมัยที่สามารถสเกลการทำงานไปที่ปลายทางของงาน (edge) ได้ จึงต้องการความสามารถในการปรับขนาดทรัพยากรได้โดยอัตโนมัติ เพื่อให้สามารถปรับการใช้ทรัพยากรให้เหมาะกับแอปพลิเคชันที่ทำงานอยู่บนสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันได้ ดังนั้นโครงสร้างพื้นฐานหลักที่รองรับการทำงานจะต้องสามารถผสานแอปพลิเคชันที่เป็นเวอร์ชวลไลซ์แบบเดิม เข้ากับแอปพลิเคชันแบบคลาวด์-เนทีฟที่ทันสมัยได้เป็นเนื้อเดียวกัน  

Red Hat OpenStack Services on OpenShift ช่วยให้องค์กรจัดการความซับซ้อนนี้ได้จากจุดเดียว ให้สามารถใช้งานแอปพลิเคชันทั้งสองรูปแบบนี้ได้อย่างรวดเร็ว ง่ายดาย ตั้งแต่การใช้งานที่ส่วนกลาง (core) ไปจนถึง edge ทั้งนี้ Red Hat OpenStack Services on OpenShift สามารถใช้โหนดการประมวลผลได้เร็วกว่าเดิมถึง 4 เท่า เมื่อเทียบกับ Red Hat OpenStack Platform 17.1 และมีคุณประโยชน์เพิ่มเติมดังนี้

  • โซลูชันนี้มี Ansible ซึ่งเป็นโซลูชันด้านระบบอัตโนมัติอยู่ด้วย จึงสามารถเร่งกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นจนวางตลาด (time-to-market) ให้เร็วขึ้น
  • ส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุม (control plane) ของ OpenStack ที่สเกลได้ สามารถบริหารจัดการ Kubernetes-native pods ที่ทำงานอยู่บน Red Hat OpenShift
  • ดูแลจัดการส่วนควบคุมและบริหารจัดการไลฟ์ไซเคิล หลังจากผ่านช่วงการติดตั้งแล้ว (day 2 operations) ได้ง่ายขึ้น
  • จัดการค่าใช้จ่ายได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีอิสระในการเลือกว่าจะเชื่อมต่อใช้งานกับบุคคลที่สามรายใด รวมถึงมีอิสระในการเลือกใช้ทรัพยากรแบบเวอร์ชวลไลซ์ต่าง ๆ
  • ประสิทธิภาพในการตรวจตราความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎระเบียบของส่วนควบคุมที่มากขึ้นบวกกับระบบควบคุมการเข้าใช้งานตามสิทธิ์ของแต่ละบุคคล (Role-based Access Control) จะทำการเข้ารหัสการสื่อสารต่าง ๆ และหน่วยความจำแคช (memory cache)
  • โซลูชันนี้เข้าใจสถานะและความสมบูรณ์ของไฮบริดคลาวด์ขององค์กรได้ลึกมากขึ้น ด้วยการวัดประสิทธิภาพของส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ (user interface), การใช้ส่วนเสริมที่ช่วยให้ผู้ดูแลระบบ สามารถสร้างสแต็กการตรวจสอบแบบสแตนด์อโลนที่กำหนดค่าได้อย่างอิสระ (cluster observability operator) และ cluster logging operator ของ OpenShift
  • โครงสร้างพื้นฐานได้รับการปรับให้เหมาะกับการใช้ AI รองรับเทคโนโลยีที่ใช้ฮาร์ดแวร์เร่งการทำงาน เพื่อช่วยให้มั่นใจได้ว่าการผสานรวมเป็นไปอย่างราบรื่นและใช้ฮาร์ดแวร์เฉพาะทางสำหรับงานด้าน AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความมุ่งมั่นและการลงทุนด้าน OpenStack ของเร้ดแฮทยังคงเข้มข้นต่อเนื่อง และเร้ดแฮทยังคงเป็นผู้นำในการมีส่วนร่วมส่งกลับความรู้ความก้าวหน้าให้กับคอมมิวนิตี้ทั้งระดับโปรเจกต์และระดับผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้ OpenStack ยังคงเป็นส่วนประกอบสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานไอทีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในแวดวงโทรคมนาคม การวางตลาด OpenStack Services on OpenShift ครั้งนี้จะช่วยให้วิธีการที่องค์กรใช้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถบริหารจัดการฟุตพริ้นท์ของการใช้ OpenStack ได้อย่างต่อเนื่อง

การสนับสนุนที่เชื่อถือได้ พึ่งพาได้ แก่ผู้ให้บริการโทรคมนาคม

เร้ดแฮทนำเสนอบริการที่เชี่ยวชาญกระบวนการใช้งานทุกขั้นตอน เพื่อช่วยผู้ให้บริการโทรคมนาคมบรรลุเป้าหมายอย่างรวดเร็ว ให้การอบรมที่เจาะจงกับทีมงานของแต่ละลูกค้า เพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญทางเทคนิคในองค์กรอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าที่เพิ่งเริ่มใช้ OpenStack หรือลูกค้าที่กำลังย้ายจากระบบเดิม ทั้งยังมีบริการให้คำปรึกษาเพื่อช่วยลูกค้าวางแผนและใช้โปรเจกต์ต่าง ๆ บนสภาพแวดล้อมของบริษัทด้านโทรคมนาคม โดยเน้นไปที่การลดความเสี่ยงในการปฏิบัติงานให้เหลือน้อยที่สุด นอกจากนี้ Red Hat Technical Account Managers ยังให้แนวทางและคำแนะนำอย่างต่อเนื่องตลอดไลฟ์ไซเคิลของ Red Hat OpenStack Services on OpenShift ช่วยให้การใช้งานราบรื่นและปลอดภัย

อย่างไรก็ตามลักษณะการดำเนินงานเหล่านี้จะมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลาและซับซ้อนมากขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เร้ดแฮทจะเดินหน้าผสาน Red Hat OpenStack Platform กับ Red Hat OpenShift เพิ่มเติมเพื่อช่วยให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมแก้ปัญหาที่พบในปัจจุบัน และเตรียมพร้อมใช้ประโยชน์จากโอกาสต่าง ๆ ที่เครือข่ายอัจฉริยะที่ใช้ AI จะมีให้ พร้อมกับการใช้งานที่ edge อย่างมีประสิทธิภาพ และขยายขนาดการใช้งานได้ตามต้องการ ทั้งนี้ 94% ของบริษัทโทรคมนาคมที่อยู่ใน Fortune 500 ใช้เร้ดแฮท[3]ซึ่งเป็นการย้ำถึงความสามารถที่ได้รับการพิสูจน์แล้วของเร้ดแฮทในการสนับสนุนและเพิ่มความทันสมัยให้กับเครือข่ายของผู้ให้บริการด้านนี้ Red Hat OpenStack Services on OpenShift ช่วยให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมสามารถขยายบริการใหม่ แอปพลิเคชันใหม่ และมีแหล่งรายได้ใหม่ ๆ เป็นการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ 5G และอื่น ๆ ที่ก้าวไกลกว่าที่กำลังจะตามมา

คำกล่าวสนับสนุน

Chris Wright, senior vice president of global engineering and chief technology officer, Red Hat

ความทุ่มเทของเร้ดแฮทที่มีต่อ OpenStack เห็นได้จากการมีส่วนร่วมคืนความรู้สู่คอมมิวนิตี้อย่างกว้างขวางของเราต่อโปรเจกต์นี้ เราเป็นผู้นำในคอมมิวนิตี้ OpenStack และเราเน้นไปที่การมอบโซลูชัน OpenStack ที่ใช้ในระดับองค์กรให้กับลูกค้าของเรา แน่นอนว่าความทุ่มเทนี้ต้องพัฒนาต่อไปตามความต้องการของลูกค้าของเราที่เปลี่ยนแปลงไป และ Red Hat OpenStack Services on OpenShift จะช่วยมอบแพลตฟอร์มแอปพลิเคชันที่ยืดหยุ่นและเป็นหนึ่งเดียวให้กับลูกค้า OpenStack ของเรา”

Takeshi Maehara, deputy general manager, network and cloud platforms, KDDI

“KDDI ใช้ Red Hat OpenStack Platform และ Red Hat OpenShift มาอย่างยาวนาน และเรารู้สึกตื่นเต้นกับการวางตลาดของ Red Hat OpenStack Services on OpenShift ครั้งนี้ โซลูชันเหล่านี้ช่วยให้เราพัฒนาบริการใหม่ ๆ และใช้แอปพลิเคชันใหม่ ๆ ได้อย่างยืดหยุ่นและรวดเร็ว การบูรณาการนี้จะช่วยให้องค์กรต่าง ๆ รวมถึง KDDI สามารถบริหารจัดการ ปรับปรุงระบบและการให้บริการให้ทันสมัยได้จากส่วนกลาง (core) ไปจนถึง edge”

Nilay Rathod, technology automation and services lead, Spark New Zealand

“Spark ยินดีที่เร้ดแฮทพัฒนา Red Hat OpenStack Platform อย่างต่อเนื่อง Red Hat OpenStack Services on OpenShift จะช่วยให้โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของเราให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีความยืดหยุ่น มีความสามารถในการสเกลและความคล่องตัว ความร่วมมือกับเร้ดแฮทในการขับเคลื่อนนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ทำให้เรามอบประสิทธิภาพและความเชื่อถือได้ให้กับลูกค้าของเรา และเรากำลังสร้างอนาคตของเครือข่ายไวเรสโมบายของนิวซีแลนด์ไปด้วยกัน”

PropertyGuru Reports Second Quarter 2024 Results

“พร็อพเพอร์ตี้กูรู" บริษัทแม่ 2 เว็บอสังหาฯ ชื่อดังในไทยเผยผลประกอบการไตรมาส 2

PropertyGuru Reports Second Quarter 2024 Results

Revenue of S$41 Million and Adjusted EBITDA of S$7 Million

  • Total revenue grew 10% to S$41 million in the second quarter of 2024, with growth from Vietnam as market conditions continue to improve
  • Adjusted EBITDA grew to S$7 million in the second quarter of 2024, up 48% from S$5 million in the second quarter of 2023
  • Adjusted EBITDA margin of 17% in the second quarter of 2024, up from 13% in the second quarter of 2023

PropertyGuru Group Limited (NYSE: PGRU) (“PropertyGuru” or the “Company”), Southeast Asia’s leading, property technology (“PropTech”) company, today announced financial results for the quarter ended June 30, 2024. Revenue of S$41 million in the second quarter of 2024 increased 10% year over year. Net loss was S$16 million in the second quarter and Adjusted EBITDA was positive S$7 million. This compares to net loss of S$6 million and Adjusted EBITDA of positive S$5 million in the second quarter of 2023.

Financial Highlights – Second Quarter 2024

  • Total revenue increased 10% year over year to S$41 million in the second quarter.
  • Marketplaces revenues increased 11% year over year to S$39 million in the second quarter driven by improving conditions in Malaysia and Vietnam combined with ongoing strength in Singapore.
  • Revenue by segment:
  • Singapore Marketplaces revenue increased 16% year over year to S$25 million, as the number of agents and the Average Revenue Per Agent (“ARPA”) grew in the quarter. Quarterly ARPA was up 17% in the second quarter to S$1,464 as compared to the prior year quarter and the number of agents in Singapore was up almost 500 to 16,577 from the second quarter of 2023. The renewal rate was 81% in the second quarter of 2024.
  • Malaysia Marketplaces revenue increased 12% year over year to S$7 million, as the Company continues to benefit from iProperty and PropertyGuru Malaysia’s combined market strength.
  • Vietnam Marketplaces revenue increased 4% year over year to S$5 million, as an increase in the number of listings was partially offset by a decrease in average revenue per listing (“ARPL”). The number of listings was up 17% to 1.5 million in the second quarter compared to the prior year quarter. ARPL was S$3.46, down 10% from the second quarter of 2023.
  • Fintech & Data services revenue increased 3% year over year to S$1.6 million.
  • At quarter-end, cash and cash equivalents were S$309 million.

“พร็อพเพอร์ตี้กูรู” บริษัทแม่ 2 เว็บอสังหาฯ ชื่อดังในไทยเผยผลประกอบการไตรมาส 2

“พร็อพเพอร์ตี้กูรู" บริษัทแม่ 2 เว็บอสังหาฯ ชื่อดังในไทยเผยผลประกอบการไตรมาส 2

“พร็อพเพอร์ตี้กูรู" บริษัทแม่ 2 เว็บอสังหาฯ ชื่อดังในไทยเผยผลประกอบการไตรมาส 2

สร้างรายได้ 41 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ และกำไรส่วนที่เป็นเงินสด 7 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์

  • รายได้โดยรวมในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 นี้ โตขึ้น 10% อยู่ที่ 41 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 1.07 พันล้านบาท ณ อัตราแลกเปลี่ยนวันที่ 3 ก.ย. 2567) โดยได้รับอานิสงส์การฟื้นตัวและกลับมาเติบโตของตลาดในประเทศเวียดนามอย่างต่อเนื่อง
  • กำไรส่วนที่เป็นเงินสด (Adjusted EBITDA) ในช่วงไตรมาสที่ 2 เติบโตมาอยู่ที่ 7 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 183.4 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ 5 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 131 ล้านบาท) หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตราว 48% YoY  
  • ทั้งนี้ สัดส่วนอัตรากำไรขั้นต้นที่ได้ (Adjusted EBITDA margin) ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2567 นี้อยู่ที่ 17% เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ 13%

บริษัท พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป จำกัด (ชื่อในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก NYSE: PGRU) (จากนี้จะเรียกแทนว่า “พร็อพเพอร์ตี้กูรู” หรือ “บริษัท” ) ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (“PropTech”) และเป็นบริษัทแม่ของ 2 แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของเมืองไทย ประกอบด้วย ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งของไทย และ thinkofliving.com เว็บไซต์รีวิวโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย วันนี้ได้แถลงผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 โดยรายได้ ณ สิ้นสุดไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 อยู่ที่ 41 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (คิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ราว 1.07 พันล้านบาท ณ อัตราแลกเปลี่ยนวันที่ 3 ก.ย. 2567) เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมาราว 10% (+10% YoY)  ในขณะที่อัตราขาดทุนสุทธิ (Net Loss) ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้อยู่ที่ 16 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 419.2 ล้านบาท)  และอัตรากำไรขั้นต้นที่ได้ ยังคงเป็นบวกอยู่ที่ 7 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 183.4 ล้านบาท) ตัวเลขดังกล่าวนี้ถือว่าเป็นบวกเมื่อเทียบกับผลประกอบการในช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา ซึ่งในขณะนั้นอัตราขาดทุนสุทธิ (Net Loss) อยู่ที่ 6 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 157.12 ล้านบาท) ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นที่ได้ อยู่ที่ 5 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 130.9 ล้านบาท) 

ไฮไลต์ผลประกอบการ – ไตรมาสที่ 2 ปี 2567  

  • รายได้โดยรวมเพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า (+10%YoY) มาอยู่ที่41 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 1.07 พันล้านบาท   
  • รายได้จากหน่วยธุรกิจมาร์เก็ตเพลสโตขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า 11% มาอยู่ที่ 39 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว02 พันล้านบาท) ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากการฟื้นตัวของตลาดในประเทศมาเลเซียและเวียดนาม รวมไปถึงตลาดที่มีความแข็งแกร่งอย่างสิงคโปร์ 
  • รายได้ตามเซ็กเมนต์: 
    • หน่วยธุรกิจมาร์เก็ตเพลสในสิงคโปร์มีรายได้เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา 16% อยู่ที่ 25 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 655 ล้านบาท) เนื่องจากจำนวนเอเจนต์และรายได้เฉลี่ยต่อเอเจนต์ (“ARPA”) เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ ในไตรมาสที่ 2 รายได้เฉลี่ยต่อเอเจนต์เพิ่มขึ้นราว 17% อยู่ที่1,464 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 38,000 บาท) เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนจำนวนเอเจนต์ในสิงคโปร์เพิ่มขึ้นเกือบ 500 รายมาอยู่ที่ 16,577 รายจากไตรมาสที่ 2 ของปีก่อนหน้า อัตราการต่ออายุสมาชิกในช่วงไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 84%  
    • รายได้ของหน่วยธุรกิจมาร์เก็ตเพลสในมาเลเซียเติบโตขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า 12% อยู่ที่ 7 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 183.4 ล้านบาท) โดยบริษัทยังคงเดินหน้ากลยุทธ์ในการใช้ความแข็งแกร่งของ 2 แบรนด์หลัก ที่เป็นเจ้าตลาดด้านแพลตฟอร์มอสังหาฯ ในมาเลเซียเป็นจุดแข็งในการเดินเกมรุก และมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภคในมาเลเซียอย่างต่อเนื่อง
    • รายได้ของหน่วยธุรกิจมาร์เก็ตเพลสในเวียดนามเติบโตขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า 4% อยู่ที่ 5 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 131ล้านบาท) โดยรายได้มาจากการที่จำนวนรายการประกาศที่เพิ่มขึ้นสามารถทดแทนรายได้ต่อประกาศ (“ARPL”) ที่ลดลงไปบางส่วนได้บ้าง  ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ เวียดนามมีจำนวนประกาศเพิ่มขึ้นราว 17% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2 ของปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันอยู่ที่ราว 1.5 ล้านรายการ รายได้เฉลี่ยต่อประกาศอยู่ที่ 3.46 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 90 บาท) ลดลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2 ของปีที่แล้ว   
    • ในขณะที่รายได้จากหน่วยธุรกิจ Fintech & Data services เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า 3% (+3% YoY) อยู่ที่ 6 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 42 ล้านบาท)
  • ณ สิ้นสุดไตรมาส 2 ปี 2567 เงินสด และรายการเทียบเท่าเงินสด (Cash & Cash equivalents) มีทั้งสิ้น 309 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 8.09 พันล้านบาท)