IaaS+PaaS ของ Alibaba Cloud ได้รับคะแนนสูงสุดเป็นอันดับ 3 จาก Gartner Solution Scorecard ประจำปี 2021

IaaS+PaaS ของ Alibaba Cloud ได้รับคะแนนสูงสุดเป็นอันดับ 3

IaaS+PaaS ของ Alibaba Cloud ได้รับคะแนนสูงสุดเป็นอันดับ 3 จาก Gartner® Solution Scorecard ประจำปี 2021

อาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป ได้รับการยอมรับจากรายงานล่าสุดประจำปี 2021 Gartner® Solution Scorecard ให้เป็นผู้นำของกลุ่มผู้ให้บริการคลาวด์ทั่วโลก ของ Alibaba Cloud International IaaS&PaaS ในด้านความสามารถที่สำคัญของระบบคลาวด์ในด้านการประมวลผลการจัดเก็บข้อมูล ระบบเครือข่าย และการรักษาความปลอดภัยบนระบบคลาวด์

บริการโครงสร้างพื้นฐานไอที (Infrastructure as a service: IaaS) และ บริการแพลตฟอร์มไอที (Platform as a service: PaaS) ของอาลีบาบา คลาวด์ ได้รับการจัดอันดับเป็นลำดับที่ 3 โดยได้คะแนนสูงสุดรวม 81% ในกลุ่มผู้ให้บริการนานาชาติที่ได้รับการประเมินในตลาดนี้

อาลีบาบา คลาวด์ ได้คะแนน 86% ของเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ในดัชนีชี้วัดปี 2021 นอกจากนี้ยังได้คะแนนผ่านเกณฑ์ที่ 74% ของข้อกำหนดความสามารถ และผ่านเกณฑ์ที่ 58% ของเกณฑ์ข้อกำหนดทางเลือกตามลำดับ การจัดลำดับนี้เป็นการประเมินค่าในอุตสาหกรรมที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างมาก และเป็นการประเมินผู้ให้บริการที่ผ่านการประเมินตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ทั้งหมด 9 หมวดหมู่สำหรับโซลูชันล่าสุดด้าน IaaS และ PaaS ซึ่งรวมถึง การประมวลผล การจัดเก็บข้อมูล ระบบเครือข่าย และการรักษาความปลอดภัยตามข้อกำหนดทั้งหมด 270 ข้อ

ปีนี้เป็นปีที่สามติดต่อกันที่อาลีบาบา คลาวด์ ติดอยู่ในการจัดอันดับ Solution Scorecard ของ Gartner อาลีบาบา คลาวด์ เชื่อมั่นว่าคะแนนที่ได้รับการประเมินในปีนี้จะสะท้อนให้เห็นถึงจำนวนที่เพิ่มขึ้นของการปรับใช้งานระบบโครงสร้างพื้นฐานไอที รวมถึงการส่งผลิตภัณฑ์และบริการออกสู่ตลาดนอกประเทศจีนมากขึ้น และยังแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของผลิตภัณฑ์อื่นในระดับโลก

นายเจฟ ชาง ประธาน อาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “เราได้รับการยอมรับจาก Gartner® Solution Scorecard อย่างต่อเนื่องใน 2 ปีที่ผ่านมา ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และทางเลือกด้านโครงสร้างพื้นฐานไอทีให้ขยายออกไปยังนานาชาติ เรามีความเห็นว่าความพยายามเหล่านี้ได้สะท้อนออกมาให้เห็นจากคะแนนที่เราได้รับ และช่วยให้เรามีความได้เปรียบทางการแข่งขันมากกว่าผู้ให้บริการในระดับโลกรายอื่น ๆ สำหรับก้าวต่อไป เราจะเสริมความแกร่งให้กับคุณสมบัติหลักด้าน IaaS+PaaS ของเรา และก้าวสู่การเปิดตัวบริการและคุณสมบัติใหม่ ๆ ในทุกภูมิภาคให้ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายคือ การส่งมอบประสบการณ์การใช้งานบนระบบคลาวด์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทั่วโลก”

ปัจจุบันอาลีบาบา คลาวด์ มีการดำเนินธุรกิจอยู่ทั้งหมด 80 โซน 25 ภูมิภาคสำหรับการให้บริการกับลูกค้าหลายล้านรายทั่วโลก และได้เสริมความแกร่งให้กับความสามารถด้านการประมวลผลพื้นที่จัดเก็บข้อมูล ระบบเครือข่าย และการรักษาความปลอดภัยให้กับผลิตภัณฑ์ของบริษัท สำหรับ ApsaraCompute Shenlong Architecture รุ่นที่ 4 ที่ได้เปิดตัวไปเมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2564 มีความสามารถในระดับผู้นำด้านความยืดหยุ่นของคอนเทนเนอร์ พื้นที่จัดเก็บข้อมูล ประสิทธิภาพของ input/output (IO) ระยะเวลาในการตอบสนอง และคุณสมบัติด้านความปลอดภัยในระดับ chip-level และยังเป็นสถาปัตยกรรมเดียวในอุตสาหกรรมที่มีการติดตั้ง Remote Direct Memory Access (RDMA) ขนาดใหญ่ที่สามารถลดความหน่วงในการตอบสนองของเครือข่ายได้ต่ำถึง 5 ไมโครวินาที

สำหรับโซลูชันพื้นที่จัดเก็บข้อมูล อาลีบาบา คลาวด์ นำเสนอ Pangu ซึ่งเป็นระบบการจัดเก็บข้อมูลรูปแบบการกระจายที่เป็นเอกสิทธิ์ของอาลีบาบา คลาวด์ มอบความสามารถในการปรับขนาดการทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม ปรับใช้งานโหลดบาลานซ์ได้โดยอัตโนมัติ และยังมีความพร้อมใช้งานของข้อมูลที่สูง ทั้งยังได้สร้าง Luoshen ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมเครือข่ายระบบคลาวด์ที่เป็นนวัตกรรมที่นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเครือข่ายระบบคลาวด์ได้อย่างหลากหลาย เพื่อรองรับการใช้งานให้กับลูกค้าหลายล้านคน

อาลีบาบา คลาวด์ เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ด้านการรักษาความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎระเบียบกว่า 80 รายการ รวมถึง การปกป้อง DDoS, เว็บแอปพลิเคชันไฟร์วอลล์, ความปลอดภัยในการใช้งานระบบคลาวด์ และการบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจให้กับธุรกิจทั่วโลก

เข้าดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายงานของ Gartner คลิกที่นี่

“ความต้องการที่อยู่อาศัยกับวิถีชีวิตดิจิทัล” มีความท้าทายมากน้อยแค่ไหน เมื่อ COVID-19 เข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค

“ความต้องการที่อยู่อาศัยกับวิถีชีวิตดิจิทัล” มีความท้าทายมากน้อยแค่ไหน

“ความต้องการที่อยู่อาศัยกับวิถีชีวิตดิจิทัล” มีความท้าทายมากน้อยแค่ไหน เมื่อ COVID-19 เข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค

วิถีชีวิตดิจิทัลกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตปัจจุบัน โดยมีตัวแปรสำคัญอย่างการแพร่ระบาดของโควิด-19 นวัตกรรมเข้ามามีบทบาทและเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิต รวมถึงรูปแบบธุรกิจไปสู่บริบทใหม่ที่ทุกคนต้องปรับตัวเข้าหา ซึ่งทำให้ผู้คนปรับตัวให้คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตแบบรักษาระยะห่างและดูแลสุขอนามัยมากขึ้น และยังทำให้ทัศนคติบางอย่างเปลี่ยนไปเช่นกัน เห็นได้จากแบบสอบถาม DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด ที่เผยให้เห็นทัศนคติและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากผลกระทบของโควิด-19 โดย 2 ใน 3 ของผู้บริโภค (66%) หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่แออัดมากขึ้น ตามมาด้วยเกือบครึ่ง (42%) เลือกที่จะหลีกเลี่ยงการไปรับประทานอาหารนอกบ้านบ่อย ๆ โดยเกือบ 1 ใน 3 ของผู้บริโภค (31%) ยังคงกังวลใจเกี่ยวกับการแพร่ระบาดฯ เนื่องจากผู้ใกล้ชิดได้รับผลกระทบ ในขณะที่มีผู้บริโภคเพียง 1% เท่านั้นที่มองว่าโควิด-19 ไม่ได้มีผลต่อการดำเนินชีวิตเลย

โควิด-19 ปัจจัยเร่งคนหาบ้านก้าวเข้าสู่วิถีชีวิตดิจิทัล?

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด สะท้อนผลกระทบของโควิด-19 ที่กลายมาเป็นปัจจัยเร่งให้ผู้บริโภคเปลี่ยนมุมมองและพฤติกรรมการเลือกที่อยู่อาศัยไปจากก่อนยุค New Normal โดยมองหาบ้านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่ด้วยเช่นกัน  

    • Work from Home ทำให้เกิดการลาออกระลอกใหญ่ (The Great Resignation) มาตรการล็อกดาวน์ส่งผลให้การ Work from Home เป็นภารกิจประจำวันและแม้สถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายและมีการกลับมาทำงานที่ออฟฟิศตามปกติแล้วก็ตาม ผู้บริโภคจำนวนมากได้ทบทวนรูปแบบการทำงานและวิถีชีวิตที่ต้องการมากขึ้น จนเกิดกระแสการลาออกระลอกใหญ่ของมนุษย์เงินเดือน (The Great Resignation) ในสหรัฐฯ ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ในประเทศไทย เห็นได้จากผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง (59%) เผยว่าตั้งใจหางานที่อนุญาตให้ Work from Home ได้มากขึ้น เนื่องจากเห็นความสำคัญของการได้ใช้ชีวิตกับครอบครัวและต้องการรักษาระยะห่างในสังคม นอกจากนี้ในช่วง Work from Home ที่ผ่านมา ผู้บริโภคต่างได้ปรับปรุงพื้นที่ใช้สอยเพื่อสร้างบรรยากาศที่บ้านให้รองรับการทำงานออนไลน์ไปแล้ว จึงอาจยังไม่เห็นความจำเป็นในการกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ
    • โลกออนไลน์มีบทบาทในการซื้อขายอสังหาฯ มากขึ้น จากเดิมที่ช่องทางออนไลน์เคยเป็นเพียงแหล่งค้นหาข้อมูลโครงการที่อยู่อาศัย แต่การแพร่ระบาดฯ เป็นอุปสรรคสำคัญในการออกไปเยี่ยมชมโครงการฯ ทำให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ ต้องปรับกลยุทธ์ในการเชื่อมต่อโลกออนไลน์เพื่ออำนวยความสะดวกและกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อมากขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคและนักลงทุนต้องเรียนรู้และปรับตัวตามไปด้วย โดยมากกว่าครึ่งของผู้บริโภคเลือกใช้ช่องทางออนไลน์ในการคัดเลือกโครงการที่อยู่อาศัยที่สนใจ (54%) และเยี่ยมชมโครงการเสมือนจริง (52%) นอกจากนี้ยังพบว่า 1 ใน 5 ของผู้บริโภค (20%) มีการเซ็นสัญญาซื้อขายผ่านออนไลน์ สะท้อนให้เห็นการปรับตัวและใช้ประโยชน์จากโลกออนไลน์ทั้งในฝั่งผู้ซื้อและผู้ขายได้เป็นอย่างดี
Thailand Consumer Sentiment Study1
    • Cryptocurrency เพิ่มโอกาสให้คนรุ่นใหม่ซื้อบ้าน การเข้ามามีบทบาทของสกุลเงินดิจิทัล หรือ Cryptocurrency ที่นอกจากจะเป็นการลงทุนที่เห็นผลตอบแทนเร็วแล้ว ผลตอบแทนจากการลงทุนในสกุลเงินนี้ยังถือเป็นช่องทางที่สร้างโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยที่มีราคาสูงได้ง่ายขึ้นอีกด้วย จากแบบสอบถามฯ พบว่า มากกว่าครึ่งของผู้บริโภค (57%) สนใจที่จะใช้สกุลเงินดิจิทัลในการซื้อบ้าน/คอนโดฯ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งเปิดรับเทคโนโลยีและเรียนรู้สิ่งใหม่ได้เร็วนั้น มีแนวโน้มสนใจซื้อบ้านด้วยสกุลเงินดิจิทัลสูงตามไปด้วย โดยกลุ่มช่วงอายุ 22-29 ปี ให้ความสนใจถึง 71% ในขณะที่ช่วงอายุ 30-39 ปี สนใจถึง 61% 

ดีมานด์อสังหาฯ ยังโต ปัจจัยสนับสนุนเพียบ

ข้อมูลจากแบบสอบถาม DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด เผยให้เห็นว่า ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคยังคงมีแนวโน้มเติบโตถึงแม้จะมีผลกระทบจากโควิด-19 ผู้บริโภคที่มีความพร้อมด้านการเงินเริ่มมีการวางแผนซื้อที่อยู่อาศัยโดยคำนึงถึงแผนการใช้ชีวิตในระยะยาวมากขึ้น

    • “มาตรการภาครัฐ” ปัจจัยบวกดันความต้องการซื้อบ้าน จากสภาพเศรษฐกิจยังคงไม่ฟื้นตัว ผู้บริโภคจึงเลือกที่จะวางแผนการเงินอย่างรัดกุมและชะลอการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปก่อน เนื่องจากต้องการรักษากระแสเงินสดเอาไว้ อย่างไรก็ดี มาตรการจากภาครัฐที่ออกมาสนับสนุนการซื้อขายในตลาดอสังหาฯ อาทิ การลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสอง การผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ชั่วคราวของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้กลายเป็นปัจจัยบวกที่มีแนวโน้มจะส่งผลให้ความต้องการซื้อของผู้บริโภคเติบโต โดย 7 ใน 10 ของผู้บริโภคเผยว่าตั้งใจจะซื้อที่อยู่อาศัยในอนาคต หลังจากที่ผู้บริโภคได้มีการปรับตัวและเรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิด-19 ได้ดีขึ้น ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างที่อยู่อาศัยเริ่มปรับตัวสูงขึ้น และผู้พัฒนาอสังหาฯ มีแนวโน้มปรับราคาขายเพิ่มขึ้นเช่นกัน รวมไปถึงผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งนอกประเทศที่อาจส่งผลให้แนวโน้มราคาสินค้าและภาวะเงินเฟ้อในไทยปรับตัวสูงขึ้น ได้กลายเป็นอีกปัจจัยเร่งให้เกิดการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย เห็นได้จากการที่ผู้บริโภควางแผนซื้อที่อยู่อาศัยภายใน 2 ปีมีถึง 45% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากผลสำรวจรอบที่แล้ว (39%) สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการซื้อบ้านที่มีแนวโน้มสูงขึ้น 
    • คนวางแผนซื้อบ้านเพิ่ม รองรับแผนเกษียณ พบผู้บริโภคมากกว่า 3 ใน 4 (78%) ที่เป็นเจ้าของบ้านอยู่แล้วยังคงต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่ม โดยมองว่าการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพิ่มนั้นไม่ได้ตอบโจทย์การอยู่อาศัยเท่านั้น แต่วางแผนต่อยอดการใช้ชีวิตเพื่อความมั่นคงในอนาคตด้วย โดยเป้าหมายยอดนิยมของการซื้อบ้านเพิ่มอันดับต้น ๆ ของผู้บริโภค คือ ซื้อไว้รองรับแผนเกษียณอายุในอนาคต (31%) ตามมาด้วยการซื้อให้ญาติหรือพี่น้อง (28%) และซื้อปล่อยเช่าสร้างรายได้ระยะยาว (26%) นอกจากนี้ ยังพบว่า 46% ของผู้บริโภคที่เป็นเจ้าของบ้านปัจจุบันนั้นยังมีแผนที่จะซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มภายในช่วง 1 ปีข้างหน้านี้ สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อและมีความพร้อมทางการเงินกลับมามีความมั่นใจที่จะจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
Thailand Consumer Sentiment Study
    • “สุขภาพ” ยังคงมีบทบาทสำคัญเมื่อมองหาที่อยู่อาศัย การแพร่ระบาดฯ ที่ยาวนานส่งผลให้เกือบ 2 ใน 3 ของผู้บริโภคปัจจุบัน (63%) หันมาให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์ที่ส่งเสริมการสร้างสุขภาพที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในกลุ่มผู้สูงอายุ เนื่องจากมองว่าการมีร่างกายที่แข็งแรงและพฤติกรรมสุขภาพที่ดีจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย และช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส นอกจากการดูแลสุขภาพแล้ว ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังตระหนักถึงความสำคัญของการมีสถานบริการสุขภาพอยู่ใกล้ที่อยู่อาศัยแม้ว่าการแพร่ระบาดฯ จะหมดไปก็ตาม โดยแผนการดูแลสุขภาพในอนาคตของผู้บริโภคถึง 88% เผยว่าต้องการเช่าหรือซื้อที่อยู่อาศัยที่อยู่ใกล้โรงพยาบาลมากที่สุด ตามมาด้วย 45% มองหาที่อยู่อาศัยใกล้ร้านขายยา และ 37% มองหาที่อยู่อาศัยใกล้ศูนย์บริการด้านสุขภาพเฉพาะทาง เพื่อวางแผนรองรับการใช้ชีวิตระยะยาวที่ต้องการความสะดวกสบายในการเดินทางไปพบแพทย์หรือตรวจเช็กสุขภาพ   
    • รถยนต์ไฟฟ้ายังมาแรง ตัวแปรสำคัญเมื่อคิดซื้อบ้าน เมื่อภาครัฐมีการกำหนดทิศทางการพัฒนาและขับเคลื่อนมาตรการสนับสนุนฯ รถยนต์ไฟฟ้าที่ชัดเจนมากขึ้น ส่งผลให้กระแสความสนใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในไทยกลับมาอีกครั้ง โดย 2 ใน 3 ของคนหาบ้าน (67%) เผยว่ายินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อซื้อบ้าน/คอนโดฯ ที่มีจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ารองรับ เนื่องจากผู้บริโภคคำนึงถึงความยั่งยืนของการใช้ชีวิตในอนาคต การซื้อที่อยู่อาศัยแต่ละครั้งถือเป็นเรื่องใหญ่ จึงต้องคิดอย่างรอบคอบ มองไปถึงฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในระยะยาวให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้ายังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกทางหนึ่ง

ผู้รับผิดชอบด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลขององค์กร ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ไฮบริดคลาวด์มากขึ้น

เร้ดแฮททำการสำรวจความคิดเห็นของผู้นำองค์กรและผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอทีทุกปี โดยถามความเห็นเกี่ยวกับเป้าหมายด้านไอที และเทคโนโลยีที่องค์กรต่าง ๆ ให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก ๆ ในปีที่จะมาถึง รวมถึงความคืบหน้าในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลขององค์กรนั้น ๆ รายงาน Red Hat 2022 Global Tech Outlook ประจำปีนี้ มีข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจหลายประการ เช่น AI/ML, เอดจ์ (Edge) และการประมวลผลโดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่องค์กรที่ตอบแบบสำรวจจัดให้มีความสำคัญเป็นลำดับแรก ๆ ในปีนี้ และผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่า ช่องว่างด้านทักษะเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล ผลสำรวจยังเผยให้เห็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ องค์กรที่เป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลกำลังวางแผนใช้กลยุทธ์ไฮบริดคลาวด์ แทนที่จะต้องพึ่งพาไพรเวท หรือพับลิคคลาวด์เพียงอย่างเดียว ผลสำรวจสำคัญจาก Red Hat 2022 Global Tech Outlook

ผู้รับผิดชอบด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลขององค์กร ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ไฮบริดคลาวด์มากขึ้น

อาร์วิน สวามี

บทความโดย อาร์วิน สวามี, ผู้อำนวยการฝ่ายอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค เร้ดแฮท

เร้ดแฮททำการสำรวจความคิดเห็นของผู้นำองค์กรและผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอทีทุกปี โดยถามความเห็นเกี่ยวกับเป้าหมายด้านไอที และเทคโนโลยีที่องค์กรต่าง ๆ ให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก ๆ ในปีที่จะมาถึง รวมถึงความคืบหน้าในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลขององค์กรนั้น ๆ

รายงาน Red Hat 2022 Global Tech Outlook ประจำปีนี้ มีข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจหลายประการ เช่น AI/ML, เอดจ์ (Edge) และการประมวลผลโดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่องค์กรที่ตอบแบบสำรวจจัดให้มีความสำคัญเป็นลำดับแรก ๆ ในปีนี้ และผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่า ช่องว่างด้านทักษะเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล

ผลสำรวจยังเผยให้เห็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ องค์กรที่เป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลกำลังวางแผนใช้กลยุทธ์ไฮบริดคลาวด์ แทนที่จะต้องพึ่งพาไพรเวท หรือพับลิคคลาวด์เพียงอย่างเดียว

ผลสำรวจสำคัญจาก Red Hat 2022 Global Tech Outlook

ผู้รับผิดชอบด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลขององค์กร

 

ช่วงต่าง ๆ ของการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล

การสำรวจครั้งนี้ได้มีการถามคำถามที่เจาะจงว่าบริษัทที่ตอบแบบสำรวจอยู่ในช่วงใดของเส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ซึ่งผลสำรวจพบว่าส่วนใหญ่อยู่ในระดับที่ดี เช่น อยู่ในช่วงที่กำลังทำการเปลี่ยนแปลง ช่วงเร่งการเปลี่ยนแปลง หรือช่วงที่เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง โดยตัวเลขผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า องค์กรที่อยู่ในช่วง “เร่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” และ “กำลังเปลี่ยนแปลง” เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา

สิ่งที่น่าสนใจประการหนึ่งจากผลสำรวจคือ มีบริษัทเพียงไม่กี่แห่งที่อยู่ในช่วง “หยุดกลางคัน” หรือ “ไม่มีแผน” ในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ผลสำรวจจากผู้ตอบแบบสำรวจที่เป็นลูกค้าและที่ไม่ใช่ลูกค้าของเร้ดแฮท

การสำรวจครั้งนี้ยังได้จำแนกคำตอบเหล่านี้เป็นคำตอบจากผู้ตอบแบบสำรวจที่เป็นลูกค้าของเร้ดแฮท และจากผู้ที่ไม่ใช่ลูกค้าของเร้ดแฮท เพื่อเปรียบเทียบผลที่ได้ และผลสำรวจที่โดดเด่นที่สุดคือ เกือบสองเท่าของเปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสำรวจที่เป็นลูกค้าเร้ดแฮทพิจารณาว่าตนเองอยู่ในช่วง “เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง” ในกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล

สิ่งที่น่าสนใจประการหนึ่งจากผลสำรวจคือ มีบริษัทเพียงไม่กี่แห่งที่อยู่ในช่วง “หยุดกลางคัน” หรือ “ไม่มีแผน” ในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ผลสำรวจจากผู้ตอบแบบสำรวจที่เป็นลูกค้าและที่ไม่ใช่ลูกค้าของเร้ดแฮท การสำรวจครั้งนี้ยังได้จำแนกคำตอบเหล่านี้เป็นคำตอบจากผู้ตอบแบบสำรวจที่เป็นลูกค้าของเร้ดแฮท และจากผู้ที่ไม่ใช่ลูกค้าของเร้ดแฮท เพื่อเปรียบเทียบผลที่ได้ และผลสำรวจที่โดดเด่นที่สุดคือ เกือบสองเท่าของเปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสำรวจที่เป็นลูกค้าเร้ดแฮทพิจารณาว่าตนเองอยู่ในช่วง “เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง" ในกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล

ผลสำรวจที่ได้นี้ สืบเนื่องจากผู้ตอบแบบสำรวจที่เป็นลูกค้าของเร้ดแฮท (53%) ระบุว่าเหตุผลหลักคือการมีช่องว่างด้านทักษะน้อยกว่าองค์กรที่ไม่ใช่ลูกค้าของเร้ดแฮท รวมถึงมีอุปสรรคที่แตกต่างกัน (เช่น หนี้ทางเทคนิค) และวิธีการวัดความสำเร็จ (เช่นให้บริการด้านไอทีได้เร็วขึ้น) 

กลยุทธ์ด้านไฮบริดคลาวด์ กับ ไพรเวทคลาวด์

ผลสำรวจพบว่ามีองค์กรที่ตอบแบบสำรวจเพียง 5% เท่านั้นที่ยังไม่มีการวางแผนกลยุทธ์ในการใช้คลาวด์  และแม้ว่ามีองค์กรส่วนหนึ่ง (18%) ยังคงอยู่ในช่วงการสร้างกลยุทธ์ แต่ส่วนใหญ่มีแผนกลยุทธ์ในการใช้คลาวด์อยู่แล้ว รวมถึง 30% ที่ตัดสินใจใช้กลยุทธ์ไฮบริดคลาวด์

กลยุทธ์ด้านไฮบริดคลาวด์ กับ ไพรเวทคลาวด์

หากเรารวมองค์กรที่เลือกใช้มัลติคลาวด์ ซึ่งเป็นคำที่หลายคนใช้สลับกันกับไฮบริดคลาวด์แล้ว จำนวนโดยรวมขององค์กรที่เลือกกลยุทธ์คลาวด์ที่ต้องใช้คลาวด์มากกว่าหนึ่งประเภทจะเพิ่มขึ้นเป็น 43%
ซึ่งสูงขึ้นห้าเปอร์เซ็นต์จากปีที่แล้ว

องค์กรที่เป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและกลยุทธ์คลาวด์

เมื่อพูดถึงกลยุทธ์คลาวด์ องค์กรที่ประเมินตนเองว่าอยู่ในช่วงที่เป็น “ผู้นำในการเปลี่ยนแปลง” หรือ กำลัง “เร่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” ในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลให้ความสำคัญกับไฮบริดคลาวด์อย่างมาก

ในทางกลับกัน องค์กรที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลมีแนวโน้มใช้ไพรเวทคลาวด์เป็นอันดับแรก สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าองค์กรที่เป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลมีความเข้าใจ และสามารถใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่น และได้สัมผัสประสบการณ์การทำงานที่เข้ากันได้ของแพลตฟอร์มโอเพ่นไฮบริดคลาวด์

ลำดับความสำคัญระหว่าง นวัตกรรม ความเรียบง่าย และ ค่าใช้จ่าย

องค์กรที่ประเมินตัวเองว่าอยู่ในช่วงเป็น “ผู้นำในการเปลี่ยนแปลง” ในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลจำนวน 33% พิจารณาว่า “นวัตกรรม” เป็นสิ่งสำคัญลำดับสูงสุด มีเพียง 6% เท่านั้นที่เลือก “ความเรียบง่าย” และมีเพียง 2% ที่เลือก “ค่าใช้จ่าย” ซึ่งตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงกับกับองค์กรที่อยู่ในช่วง “หยุดกลางคัน” บนเส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ซึ่ง 13% ให้ความสำคัญสูงสุดกับ “นวัตกรรม” ในขณะที่ 11% ให้ความสำคัญกับ “ความเรียบง่าย” และ 13% ให้ความสำคัญกับ “ค่าใช้จ่าย”

ข้อมูลดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าโครงการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลต่าง ๆ เริ่มต้นจากความพยายามให้การทำงาน
มีประสิทธิภาพ แต่หลังจากนั้นจึงรับรู้ได้ว่าเป็นองค์ประกอบหลักในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การเติบโตของรายได้ และการมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า

เพราะเหตุใดจึงเลือกใช้กลยุทธ์โอเพ่นไฮบริดคลาวด์

ประโยชน์สูงสุดของกลยุทธ์ไฮบริดคลาวด์ คือ สามารถเลือกใช้โซลูชันที่ดีที่สุดสำหรับแต่ละงานหรือแต่ละเวิร์กโหลดได้ เช่น องค์กรหนึ่ง ๆ อาจใช้โครงสร้างพื้นฐานที่อยู่ภายในองค์กรเพื่อจัดเก็บข้อมูลสำคัญ แต่ใช้บริการพับลิคคลาวด์เพื่อพัฒนาหรือโฮสต์แอปพลิเคชัน เป็นต้น

องค์กรยังสามารถใช้บริการจากผู้ให้บริการพับลิคคลาวด์หลายรายพร้อมกัน เพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับในท้องถิ่นที่แตกต่างกัน หรือสามารถย้ายเวิร์กโหลดจากระบบหนึ่งไปยังอีกระบบหนึ่ง เพื่อให้ได้ราคาและใช้งานได้เหมาะสมตามความต้องการ  องค์กรบางแห่งอาจสนใจการประมวลผลที่เอดจ์ เพื่อกระจายการประมวลผลและการจัดเก็บข้อมูลไปทำงานให้ใกล้กับแหล่งข้อมูลและผู้ใช้งานมากขึ้น เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า และทำการตัดสินใจทางธุรกิจได้แบบเรียลไทม์

กลยุทธ์โอเพ่นไฮบริดคลาวด์ช่วยให้องค์กรสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ทั้งหมด ด้วยแพลตฟอร์มที่มีความเสถียรในการรันเวิร์กโหลดที่สามารถโยกย้ายไปใช้งานในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างได้ ทำให้มีความยืดยุ่น มีความสามารถในการปรับขนาดการทำงาน และมีประสิทธิภาพมากขึ้นตามความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นและที่เปลี่ยนแปลงไปขององค์กร

กล่าวได้ว่า ไม่มีผู้ให้บริการคลาวด์หรือสภาพแวดล้อมภายในองค์กรใดที่จะตอบสนองความต้องการทั้งหมดขององค์กรได้ และโซลูชันที่มีกรรมสิทธิ์ก็เป็นตัวจำกัดทางเลือกและความสามารถในการปรับตัวในอนาคต ดังนั้นเพื่อให้องค์กรปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องปรับปรุงสิ่งที่จะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายสูง องค์กรควรเลือกใช้ไฮบริดคลาวด์ที่สร้างบนโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้หลักเกณฑ์ของโอเพ่นซอร์ส ซึ่งช่วยให้ทีมที่ดูแลด้านการดำเนินงาน การพัฒนา และระบบความปลอดภัย สามารถสร้างและบริหารจัดการกลุ่มงานด้านไอทีทั้งหมดบนแพลตฟอร์มมาตรฐานหนึ่งเดียว ที่สามารถทำงานได้ทั้งกับระบบที่อยู่ภายในองค์กร เวอร์ชวลแมชชีน ไพรเวทคลาวด์ พับลิคคลาวด์ และเอดจ์

ครั้งแรกของการนำเทคโนโลยีระบบหลัก ที่ใช้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว มาทำงานบนอาลีบาบา คลาวด์

ครั้งแรกของการนำเทคโนโลยีระบบหลัก ที่ใช้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว

ครั้งแรกของการนำเทคโนโลยีระบบหลัก ที่ใช้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว มาทำงานบนอาลีบาบา คลาวด์

อาลีบาบา สนับสนุนระบบดิจิทัลให้กับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว เพิ่มประสิทธิภาพ ความยั่งยืน และความทั่วถึง

ด้วยความมุ่งมั่นของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ในการนำระบบดิจิทัลมาใช้ ทำให้การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่ปักกิ่ง ประจำปี 2022 (ปักกิ่งเกมส์ 2022) ประสบความสำเร็จในการนำบริการทางเทคโนโลยีที่ใช้ในการแข่งขันไปทำงานบนอาลีบาบา คลาวด์ ซึ่งเป็นธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป  การโยกย้ายเทคโนโลยีหลักของปักกิ่งเกมส์ไปทำงานบนอาลีบาบา คลาวด์ ครั้งนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางการระบาดใหญ่ของโควิด-19 เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานและผู้รับชมทั่วโลกได้รับความปลอดภัย ด้วยประสิทธิภาพที่มากขึ้น ยั่งยืน และครบถ้วนทั่วถึง

Jeff Zhang ประธานอาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “ปักกิ่งเกมส์ 2022 ไม่เพียงแต่จะได้รับการจดจำถึงเรื่องความตื่นเต้นและความสำเร็จอันน่าทึ่งของเหล่านักกีฬาจากทั่วโลก แต่ยังรวมไปถึงการจัดการรูปแบบใหม่ในการแข่งขัน เพื่อทำให้การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกดำเนินไปได้อย่างราบรื่น มีประสิทธิภาพ ยั่งยืน และครอบคลุม เราภูมิใจที่ได้มีส่วนสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และเราหวังว่าประสบการณ์ของเราในการเป็นผู้ให้บริการระบบปฏิบัติการหลักของปักกิ่งเกมส์ 2022 ด้วยอาลีบาบาคลาวด์ จะเป็นประโยชน์ต่อการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ ในอนาคต”

ช้สมรรถนะที่ล้ำหน้าของคลาวด์เพิ่มประสิทธิภาพให้กับผู้จัดงาน

IOC และ คณะกรรมการผู้จัดงานการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิกฤดูหนาวปี 2022 ปักกิ่งเกมส์ (BOCOG) ได้ดำเนินงานตามแผนแม่บทการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว รวมถึงการใช้งานระบบปฏิบัติการหลักที่ให้บริการโดย Atos ผู้เป็นพันธมิตรด้านไอทีระดับโลกของ IOC เช่น ระบบการจัดการเกม (Game Management System -GMS) ระบบการจัดการโอลิมปิก (Olympics Management System – OMS) และระบบกระจายข้อมูลโอลิมปิก (Olympics Distribution System – ODS) ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนทำงานบนโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ของอาลีบาบา

ปักกิ่งเกมส์ 2020 ได้รับประโยชน์จากความสำเร็จในการใช้บริการต่าง ๆ ที่ทำงานบนคลาวด์ สามารถลดเวลาและลดการลงทุนด้านค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานไอที ฮาร์ดแวร์ และการบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องกัน  ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างชาญฉลาดแบบเรียลไทม์ที่ล้ำหน้าของคลาวด์ ช่วยให้สามารถวางแผนงานและบริหารจัดการปักกิ่งเกมส์ 2022 ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและทันสมัย เพื่อเพิ่มประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่นให้กับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย

ผู้จัดงานต่าง ๆ เช่น IOC สามารถใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติของโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ เช่น ความสามารถในการปรับขนาดการทำงาน ความเชื่อถือได้ และความปลอดภัย เพื่อลดความซับซ้อนของการวางแผนการแข่งขัน โดยทำการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ จากข้อมูลที่วิเคราะห์มาแล้วอย่างชาญฉลาด ช่วยให้เกิดความสมดุลระหว่างการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับทรัพยากรที่มีอยู่ และการสร้างทรัพยากรใหม่ และนั่นทำให้เมืองที่เป็นเจ้าภาพสามารถลดเวลาและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพแบบเดิมได้ตั้งแต่เริ่มต้น

เทคโนโลยีคลาวด์ช่วยให้ผู้คนทั่วโลกใกล้ชิดกันมากขึ้น

ปักกิ่งเกมส์ 2022 ยังได้แสดงให้เห็นถึงการพัฒนากลุ่มนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่นำมาซึ่งการมอบประสบการณ์ที่ครอบคลุมมากขึ้นให้กับแฟนกีฬาที่อยู่ในสถานที่ต่าง ๆ  โดยอาลีบาบา ได้เปิดตัว Cloud ME ซึ่งเป็นเทคโนโลยีในการฉายภาพเสมือนจริงที่ใช้คลาวด์เป็นพลังขับเคลื่อน และช่วยให้การปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันจากระยะไกลทำได้อย่างสะดวกและง่ายดาย เทคโนโลยีนี้ท้าทายข้อจำกัดด้านระยะทาง ด้วยการทำให้ผู้คนพบและสนทนากันได้เสมือนจริง ทั้งจากการฉายภาพขนาดเท่าตัวจริง และเสมือนอยู่ในสถานที่เดียวกัน

อาลีบาบายังได้เปิดตัว ตง ตง (Dong Dong) เวอร์ชวล อินฟลูเอนเซอร์วัย 22 ปี ตง ตง เป็นหญิงสาวชาวปักกิ่ง ที่สร้างขึ้นเพื่อให้สามารถโต้ตอบกับแฟน ๆ กีฬาทั่วโลก ร่วมแบ่งปันความสนุกสนานและข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับกีฬาโอลิมปิก ด้วยน้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติ ทั้งยังสามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้หลากหลาย ช่วยเพิ่มปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมวัยรุ่นได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 4 ถึง 20 กุมภาพันธ์ มีผู้รับชมการถ่ายทอดสดของ ตง ตง กว่า 2 ล้านคน และ ตง ตง มีแฟนคลับมากกว่า 100,000 คน

เพื่อนำเสนอเนื้อหาในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ดีที่สุดแก่ผู้ชมทั่วโลก เทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้งของอาลีบาบายังสนับสนุน Olympic Channel Services ที่จะนำโปรแกรมการถ่ายทอดการแข่งขันกีฬาคุณภาพสูงมาสู่แฟน ๆ กีฬาทั่วโลก เพื่อให้มีส่วนร่วมในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกได้จากทุกที่ ทุกเวลา และจากทุกอุปกรณ์

นวัตกรรมที่ยั่งยืนสำหรับโอลิมปิกในอนาคต

นับเป็นครั้งแรกที่มีการกระจายสัญญาณสดของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกผ่านระบบคลาวด์ ทำให้ผู้ออกอากาศที่ซื้อสิทธิ์ทางโทรทัศน์และวิทยุในการแข่งขัน (Rights Holding Broadcasters: RHBs)  มีตัวเลือกที่มีความคล่องตัวและคุ้มค่า ตลอดช่วงการแข่งขันปักกิ่งเกมส์ OBS ได้ทำการผลิตฟุตเทจที่มีความยาวรวมกว่า 6,000 ชั่วโมง และแพร่ภาพและเสียงไปยังพื้นที่และประเทศต่าง ๆ มากกว่า 220 แห่ง

OBS Video Server ซึ่งติดตั้งทำงานอยู่บนคลาวด์อย่างเต็มรูปแบบ ช่วยให้ RHBs สามารถปรับขนาดการทำงานของระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังลดการลงทุนด้านฮาร์ดแวร์ที่ต้องติดตั้งไว้ ณ หน้างาน นอกจากนี้ Content+ ยังช่วยให้ RHBs สามารถเข้าถึงเนื้อหาทั้งหมดที่ผลิตระหว่างการแข่งขันได้จากระยะไกล และการรายงานข่าวจากระยะไกลได้อย่างไม่ยุ่งยาก  การใช้ OBS Live Cloud ยังช่วยให้ RHBs และเมืองที่เป็นเจ้าภาพจัดงานมีทางเลือกอื่นนอกจากการต้องลงทุนจำนวนมาก การที่สามารถส่งข้อมูลและเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันโอลิมปิกผ่านพับลิคคลาวด์ได้นั้น เป็นการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการทำงานที่เกี่ยวกับการแพร่ภาพกระจายเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ OBS ยังใช้ประสิทธิภาพจากการเล่นภาพซ้ำจากมุมกล้องหลาย ๆ ตัวของอาลีบาบา ในการฉายภาพซ้ำของไฮไลท์ในการแข่งขันกีฬา เช่น มุมเลี้ยวและความเร็วในการแข่งขันสเก็ตที่เกิดขึ้นในไม่กีวินาทีนำประสบการณ์การรับชมที่สมจริง และมีชีวิตชีวามาสู่ผู้ชมทั่วโลกผ่าน RHBs บนคลาวด์

Ilario Corna ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศของ IOC กล่าวว่า “นวัตกรรมในปักกิ่งเกมส์ 2022 เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกับความสำเร็จด้านกีฬา ผมตื่นเต้นที่ได้เห็นการนำเทคโนโลยีคลาวด์มาใช้ในปักกิ่งเกมส์ ที่ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์กับนักกีฬา แฟนกีฬา และเจ้าหน้าที่ที่ทำงานเท่านั้น แต่ยังเป็นการให้เกียรติกับความปรารถนาอันแรงกล้าของเราที่จะทำให้การแข่งขันโอลิมปิกเป็นการจัดการแข่งขันกีฬาที่อยู่ในระดับแนวหน้าที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน”

นูทานิคซ์เปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ช่วยให้เส้นทางสู่ไฮบริดมัลติคลาวด์ง่ายขึ้น

นูทานิคซ์เปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ช่วยให้เส้นทางสู่ไฮบริดมัลติคลาวด์ง่ายขึ้น

นูทานิคซ์เปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ช่วยให้เส้นทางสู่ไฮบริดมัลติคลาวด์ง่ายขึ้น

Nutanix Cloud Platform โซลูชันที่ครอบคลุม เพื่อการใช้งานทุกแอปพลิเคชันบนคลาวด์ทุกระบบ

นูทานิคซ์ (NASDAQ: NTNX) ผู้นำด้านไฮบริด-มัลติคลาวด์คอมพิวติ้ง ประกาศเปิดตัวทั่วโลกในการปรับเปลี่ยน และจัดกลุ่มโซลูชันต่าง ๆ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว Nutanix Cloud Platform นำเสนอรูปแบบการดำเนินงานที่สอดคล้องกับคลาวด์ทุกประเภท ทั้งพับลิค ไพรเวท และไฮบริดคลาวด์ ซึ่งการจัดทัพโซลูชันใหม่ในครั้งนี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถนำโซลูชันต่าง ๆ มาปรับใช้ให้สอดคล้องกับความต้องการ และตอบสนองต่อการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัลของลูกค้าได้ง่ายขึ้น

กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่นี้นอกจากจะทำให้ลูกค้าสามารถตอบสนองต่อการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของไอทีสู่ยุคมัลติคลาวด์ได้ง่ายขึ้นแล้ว ยังช่วยขจัดความซับซ้อนที่มักเกี่ยวกับการเปิดใช้งานบริการไฮบริดคลาวด์ครบวงจรในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย โดยลดความซับซ้อนของการเลือกใช้โซลูชัน และวิธีการคิดราคา เพื่อช่วยให้ลูกค้าเตรียมพร้อมรับมือกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปได้ง่ายขึ้นซึ่งรวมถึงการขยายเวิร์กโหลด การกำหนดลักษณะคลาวด์ การอัปเกรดเทคโนโลยี และอื่น ๆ ลูกค้าสามารถเร่งเปลี่ยนแปลงองค์กรของตนสู่เส้นทางคลาวด์ได้รวดเร็วขึ้น ด้วยการใช้ประโยชน์จากการออกแบบที่ได้รับการตรวจสอบโดยนูทานิคซ์ และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการปรับใช้สำหรับกรณีใช้งานทั่วไป

นายอาชีช นาดคาร์นี รองประธานกลุ่มระบบโครงสร้างพื้นฐาน แพลตฟอร์ม และเทคโนโลยีของ IDC กล่าวว่า “การเติบโตของนูทานิคซ์เริ่มต้นจากเป็นทางเลือกที่ยืดหยุ่นและการจัดการที่ง่ายขึ้นกว่าการจัดเก็บข้อมูลแบบเป็นระบบ SAN และได้พัฒนาเป็นแพลตฟอร์มคลาวด์เต็มรูปแบบทั้งหมดตั้งแต่เวอร์ชวลไลเซชัน เน็ตเวิร์กกิ้ง จนถึงการรักษาความปลอดภัย รวมถึงการรองรับเวิร์กโหลดทั้งหมดทั่วทั้งในองค์กรและในพับลิคคลาวด์  กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่นี้มอบความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น เพื่อช่วยให้ลูกค้าปรับใช้ให้เข้ากับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของธุรกิจ”

บริษัทฯ ได้สร้างแพลตฟอร์มคลาวด์แบบครบวงจรที่พร้อมใช้งานสำหรับองค์กร โดยมีโซลูชัน HCI (โครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จ – hyperconverged infrastructure) ชั้นนำของตลาดเป็นรากฐานสำคัญ กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เรียบง่ายประกอบด้วย 

    • Nutanix Cloud Infrastructure (NCI) ซอฟต์แวร์โซลูชันสำหรับโครงสร้างพื้นฐานแบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งรวมการทำเวอร์ชวลไลซ์กับระบบประมวลผล ระบบจัดเก็บข้อมูล และเน็ตเวิร์กกิ้ง สำหรับเวอร์ชวลแมชชีนและคอนเทนเนอร์ที่สามารถปรับใช้งานได้ในดาต้าเซ็นเตอร์บนฮาร์ดแวร์ใด ๆ ที่องค์กรเลือก หรือในพับลิคคลาวด์ที่มีคุณสมบัติด้านความยืดหยุ่น ซ่อมแซมตัวเองได้ มีประสิทธิภาพ กู้คืนระบบได้ และมีการรักษาความปลอดภัยติดตั้งไว้เบ็ดเสร็จ นอกจากนั้นยังสามารถใช้งาน NCI บนพับลิคคลาวด์ด้วย

    • Nutanix Cloud Clusters (NC2) ช่วยให้ลูกค้าสามารถสร้างสภาพแวดล้อมแบบไฮบริดคลาวด์ได้อย่างแท้จริง เพื่อความคล่องตัว ความยืดหยุ่น และรองรับแอปพลิเคชันสมัยใหม่ได้ ในขณะเดียวกันการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานยังคงทำได้ในแบบรวมศูนย์ไม่ว่าจะเป็นการใช้โครงสร้างพื้นฐานบนพับลิคคลาวด์ หรือในศูนย์คอมพิวเตอร์ ซึ่งทำให้องค์กรสามารถกระจายงานสู่คลาวด์ได้อย่างรวดเร็ว (cloud bursting) การสร้างระบบสำรองบนคลาวด์ รวมถึงการโยกย้ายแอปพลิเคชันบางส่วนไปใช้งานพับลิคคลาวด์ได้โดยไม่ต้องลงทุนแก้ไขแอปพลิเคชัน

    • Nutanix Cloud Manager (NCM) ทำให้การสร้างและการจัดการการปรับใช้ระบบคลาวด์เป็นเรื่องง่ายและสะดวก โดยขับเคลื่อนการกำกับดูแลที่สม่ำเสมอทั่วทั้งไพรเวทและพับลิค คลาวด์ ทำให้การใช้คลาวด์ของลูกค้าเกิดได้เร็วขึ้นNCM มีระบบการบริหารจัดการคลาวด์ต่าง ๆ ที่ชาญฉลาด รวมถึงการมอนิเตอร์ การให้ข้อมูลเชิงลึก และการแก้ไขอัตโนมัติ ช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถปรับใช้ ดำเนินงาน และจัดการแอปพลิเคชันของตนได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบค่าใช้จ่าย และกำกับดูแลต้นทุนของการใช้งานโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์แต่ละประเภท ท้ายที่สุดยังได้รวมการดำเนินการด้านความปลอดภัยสำหรับเวิร์กโหลดและข้อมูลทั่วทั้งระบบคลาวด์ ทำให้การตอบสนองต่อเหตุการณ์เป็นอัตโนมัติด้วยการวิเคราะห์และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ

    • Nutanix Unified Storage (NUS) จัดเตรียมสตอเรจแบบดิสทริบิวเต็ด และควบคุมการทำงานด้วยซอฟต์แวร์สำหรับโปรโตคอลแบบต่าง ๆ (volumes, files, objects) เพื่อรองรับเวิร์กโหลดที่ต้องการข้อมูลที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นไพรเวท พับลิคหรือไฮบริดคลาวด์ พร้อมความสามารถในการนำไลเซนส์ที่มีอยู่เคลื่อนย้ายไปใช้งานบนระบบที่ต้องการได้ การจัดการแบบจุดเดียวสำหรับทรัพยากรการจัดเก็บข้อมูลทั้งหมดจะช่วยขจัดความซับซ้อนของอินเทอร์เฟซหลายแบบ และช่วยให้ผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญในการจัดเก็บข้อมูลสามารถดำเนินการจัดเก็บและจัดการข้อมูลส่วนใหญ่ในแต่ละวันได้  การวิเคราะห์อัจฉริยะที่รวมเข้ากับโซลูชันนี้ช่วยให้มองเห็นข้อมูล และให้ข้อมูลเชิงลึกสำหรับการกำกับดูแลและการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล

    • Nutanix Database Service (NDB) ช่วยลดความยุ่งยากในการจัดการดาต้าเบสในไฮบริดคลาวด์สำหรับดาต้าเบสเอ็นจิ้นต่าง ๆ เช่น PostgreSQL®, MySQL®, Microsoft® SQL Server, Mongo DB, Maria DB และ Oracle® Database ด้วยระบบอัตโนมัติอันทรงพลังในการจัดเตรียม การปรับขนาด การแพตช์ การป้องกัน และการโคลนของดาต้าเบสอินสแตนซ์ NDB ช่วยให้ลูกค้าสามารถส่งมอบ Database-as-a-Service (DBaaS) และประสบการณ์ด้านตาต้าเบสแบบบริการตนเองที่ใช้งานง่ายให้แก่นักพัฒนา ทั้งข้อมูลใหม่ และข้อมูลปัจจุบันที่อยู่ภายในองค์กรและในพับลิคคลาวด์
    • Nutanix End User Computing Solutions นำเสนอแอปพลิเคชันและเดสก์ท็อปแบบเวอร์ชวลแก่ผู้ใช้ทั่วโลกจากโครงสร้างพื้นฐานพับลิค ไพรเวท และไฮบริดคลาวด์ โดยให้ตัวเลือกไลเซนส์การใช้งานสำหรับผู้ใช้ NCI ที่ลดความซับซ้อน นอกจากนี้ ยังรวมแพลตฟอร์ม Desktop-as-a-Service ที่ใช้งานง่าย รวดเร็ว และยืดหยุ่น ซึ่งสามารถเรียกใช้เวิร์กโหลดของผู้ใช้ปลายทางบน NCI พับลิคหรือไฮบริดคลาาวด์ไว้ให้อีกด้วย

 

์Nutanix

นายโธมัส คอร์เนลี รองประธานอาวุโสฝ่ายจัดการของนูทานิคซ์ กล่าวว่า “Nutanix Cloud Platform สร้างขึ้นจากซอฟต์แวร์โครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จชั้นนำในตลาดของบริษัทฯ เพื่อให้ธุรกิจมีรูปแบบการดำเนินงานบนคลาวด์ที่สอดคล้องกัน  กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ใช้งานง่ายของเราได้รวมเอาความสามารถด้านผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายไว้ทั้งแบบใช้ภายในองค์กรและพับลิคคลาวด์ เพื่อเปิดใช้งานโครงสร้างพื้นฐาน บริการข้อมูล การจัดการ และการดำเนินงานที่สอดคล้องกันสำหรับแอปพลิเคชันในเวอร์ชวลแมชชีนและคอนเทนเนอร์”

ความเห็นจากลูกค้านูทานิคซ์ 

    • “เราเลือกนูทานิคซ์ เพราะเรากำลังมองหาแพลตฟอร์มที่สามารถรองรับเวิร์กโหลดหลัก ๆ ได้
      ในขณะเดียวกันก็ต้องให้มีความเรียบง่ายและมีความน่าเชื่อถือด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญในการสนับสนุนภารกิจปกป้องลูกค้า 39 ล้านรายทั่วโลกที่ใช้ผลิตภัณฑ์ และบริการต่าง ๆ ของเรา  ในช่วงเวลาที่เราทำงานร่วมกัน นูทานิคซ์ไม่เพียงแต่ส่งมอบให้เท่านั้น แต่ยังขยายจากโซลูชัน HCI ไปเป็นแพลตฟอร์มคลาวด์ที่สมบูรณ์พร้อม เพื่อช่วยเราตลอดเส้นทางการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัล  เราตั้งตารอที่จะได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมที่ต่อเนื่องของพวกเขา”

      – เดวิด ฟิทซ์เจอรัลด์ ผู้ช่วยรองประธานฝ่ายบริการระดับโลกด้านไอที,
      UNUM บริษัทประกันภัยที่ดูแลด้านสวัสดิการพนักงาน

    • “นูทานิคซ์เป็นพันธมิตรหลักที่ช่วยให้เราพัฒนาระบบการผลิตขั้นสูง โดยใช้เทคโนโลยี HCI และเอดจ์คอมพิวติ้งสำหรับโครงสร้างพื้นฐานการผลิตในอนาคต เราตั้งตารอกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Nutanix Cloud Platform ที่จะช่วยเราในการปรับใช้ระบบการผลิตแบบไดนามิกทั่วโลก เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน รักษาความปลอดภัยโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล รวมถึงรองรับความต่อเนื่องทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง และทำให้ขั้นตอนส่วนขยายการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของเราเป็นมาตรฐาน”

      – มาซาโอะ ซัมเบะ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายดิจิทัล
      แผนกดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน
      มิตซุย เคมิคัล อิงค์

บริการด้านคลาวด์เป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดของเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยในแง่ธุรกิจ เห็นว่าคลาวด์คอมพิวติ้งเป็นเครื่องมือที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล 

ความเห็นจากลูกค้าไทย

    • “นูทานิคซ์สามารถขึ้นระบบให้พร้อมใช้งานได้ภายในหนึ่งชั่วโมง ผู้บริหารของบริษัทฯ พึงพอใจเป็นอย่างมากที่สามารถทำงานได้สะดวกจากทุกที่ ทุกเวลา บนทุกอุปกรณ์ เพื่อเข้าถึงเดสก์ท็อปไฟล์ข้อมูล และเน็ตเวิร์กต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัยและสมบูรณ์แบบ”

      – นายรุจิโรจน์ พีเจริญทรัพย์ ผู้จัดการฝ่ายไอที
      บริษัท โตโย ไซกัน (ประเทศไทย) จำกัด 

    • “เมื่อเรามีระบบสำรองข้อมูลที่ทรงประสิทธิภาพและปลอดภัย เพื่อสนับสนุนการสร้างสรรค์นวัตกรรมของเรา ระบบนี้จะช่วยให้เราสามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ และบริการออกสู่ตลาดได้อย่างทันท่วงที และช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของเรา นูทานิคซ์ทำให้งานแมนนวลต่าง ๆ ที่ต้องใช้เวลานานลดลงถึง 80% และลดเวลาในการจัดเตรียมระบบลงได้ถึงครึ่งหนึ่ง จากหนึ่งวันเหลือเพียงครึ่งวัน”

      – นายพิเชฐ ศรีวงษ์ญาติดี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ
      บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน)

ผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งหมดขณะนี้มีวางจำหน่ายแล้ว  กรุณาดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ที่นี่