ตื่นตัวไม่ตื่นตูม “เงินเฟ้อไม่แผ่ว-โรคระบาด-ผลกระทบความไม่สงบ” อยากมีบ้านช่วงนี้ดีหรือไม่?

ตื่นตัวไม่ตื่นตูม “เงินเฟ้อไม่แผ่ว-โรคระบาด-ผลกระทบความไม่สงบ”

ตื่นตัวไม่ตื่นตูม “เงินเฟ้อไม่แผ่ว-โรคระบาด-ผลกระทบความไม่สงบ” อยากมีบ้านช่วงนี้ดีหรือไม่?

ปี 2565 เป็นอีกปีที่หลายภาคส่วนต้องเผชิญความท้าทายหลายรูปแบบทั้งภายในและภายนอกประเทศ ที่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ยังคงเปราะบางต่อเนื่องนับจากวิกฤติโควิด-19 มาอย่างยาวนาน ไม่เพียงแต่ภาคธุรกิจเท่านั้น แต่ผู้บริโภคต่างได้รับผลกระทบถ้วนหน้าทั้งทางตรงและทางอ้อม แล้วยังมีผลกระทบจากสงครามในยูเครนที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นจนกระทบต่อต้นทุนการผลิตและขนส่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคก็ปรับตัวตามต้นทุนที่สูงขึ้น ผนวกกับสถานการณ์เงินเฟ้อโลกที่จะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ภาวะเงินเฟ้อในไทยสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือนกุมภาพันธ์ 2565 เท่ากับ 104.10 สูงขึ้น 5.28% เทียบเดือนกุมภาพันธ์ 2564 และสูงขึ้น 1.06% จากเดือนมกราคม 2565 โดยถือเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 13 ปี นับจากปี 2551 เลยทีเดียว

ภาวะเงินเฟ้อกระทบต่อตลาดที่อยู่อาศัยอย่างไร

ภาวะเงินเฟ้อกระทบต่อตลาดที่อยู่อาศัยอย่างไร 

ด้านตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่แปรผันตามสภาพเศรษฐกิจนั้น แม้จะมีการรุกตลาดอย่างต่อเนื่องของผู้พัฒนาอสังหาฯ ตั้งแต่ต้นปีเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ แต่ภาวะเงินเฟ้อเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ต่อการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ปีนี้ เนื่องจากมีผลกระทบเกี่ยวพันทั้งระบบนิเวศทางธุรกิจในทุกมิติตั้งแต่ผู้บริโภค ผู้ประกอบการ ผู้ผลิต ไปจนถึงระดับประเทศ 

    • สินค้าทยอยปรับราคา ค่าครองชีพพุ่ง เมื่อมีภาวะเงินเฟ้อผนวกกับต้นทุนค่าขนส่งที่เพิ่มต่อเนื่อง ราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนตามความเป็นจริง หลังผู้ประกอบการและผู้ผลิตต้องแบกรับภาระต้นทุนมาอย่างยาวนานในช่วงที่มีสถานการณ์แพร่ระบาดฯ แม้กำลังซื้อผู้บริโภคจะยังชะลอตัวอยู่ แต่ผู้ผลิตก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องปรับราคาสินค้าเพิ่ม นอกจากนี้อัตราค่าแรงที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับการดำรงชีพในปัจจุบันเป็นอีกต้นทุนสำคัญเช่นกัน ที่ผู้บริโภคต้องใช้เงินมากขึ้นเพื่อซื้อสินค้าเดิม นั่นคืออำนาจซื้อของผู้บริโภคก็น้อยลงตามไปด้วย 

ในขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจ ค่าครองชีพเติบโตสวนทางกัน ทว่าความสามารถในการชำระหนี้ลดลง เมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อเป็นระยะเวลายาวนาน ผู้บริโภคต้องรัดเข็มขัด หรือชะลอการใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป และเมื่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้นขณะที่รายได้เท่าเดิม ย่อมทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลง ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจยังคงซบเซาเนื่องจากไม่มีเงินหมุนเวียนในระบบเพียงพอต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโต 

    • ต้นทุนการก่อสร้างแปรผันตามสถานการณ์โลก ผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนจากการปรับราคาเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่มีการแพร่ระบาดฯ ในจีนที่เป็นประเทศส่งออกเหล็กอันดับ 1 ของโลก นอกจากนี้ผลกระทบที่เห็นได้ชัดจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนคือการปรับตัวของราคาน้ำมันที่กระทบต่อต้นทุนการผลิตและการขนส่งโดยตรง โดยเฉพาะวัสดุที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งทั้งรัสเซียและยูเครนถือเป็นประเทศที่มีความสำคัญกับภาคอสังหาฯ ไม่น้อย เนื่องจากเป็นประเทศผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลก ข้อมูลจากสมาคมเหล็กโลก (World Steel Association) เผยว่า รัสเซียเป็นประเทศที่ส่งออกเหล็กรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก ในขณะที่ยูเครนติดอันดับ 8 ดังนั้น ภาพรวมการก่อสร้างที่อยู่อาศัยปีนี้จึงมีทิศทางปรับราคาขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ 

คนซื้อบ้านต้องรู้ อยากมีบ้านท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อควรทำอย่างไร?

จากปัจจัยต่าง ๆ ที่รุมเร้าตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่เป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่มีความจำเป็นในการดำรงชีวิตของผู้บริโภค ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย แนะแนวทางให้คนอยากมีบ้านตรวจสอบความพร้อมก่อนตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในนาทีนี้ หากซื้อบ้านช่วงนี้ควรเตรียมตัวอย่างไร 

    • ค่าเงินลดลง คนซื้อบ้านต้องเตรียมเงินเพิ่ม ก่อนตัดสินใจซื้อบ้านควรพิจารณาถึงความพร้อมของการซื้ออสังหาฯ ไม่ว่าจะเป็นช่องทางรายได้ทั้งหมดที่มี รวมไปถึงเงินสำรองฉุกเฉินไว้ใช้ในอนาคตด้วย นอกจากนี้การเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมโปรโมชั่นส่วนลด ของแถม หรือเฟอร์นิเจอร์ครบชุด จะเป็นอีกวิธีที่ช่วยเพิ่มความคุ้มค่ามากขึ้นหากต้องซื้อบ้าน/คอนโดฯ ในเวลานี้ ช่วยลดรายจ่ายบางส่วนของคนซื้อบ้านลงไปได้ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อทำให้มูลค่าของเงินลดลง ผู้บริโภคจำเป็นต้องซื้อสินค้าแบบเดิมในราคาที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่รายได้หรือรายรับยังคงเท่าเดิมหรือลดลง ดังนั้น แม้จะมีจำนวนเงินเท่าเดิมแต่จะซื้อสินค้าได้น้อยลง การวางแผนการเงินที่รอบคอบเพื่อรักษาสภาพคล่องในครอบครัวจึงถือเป็นเรื่องสำคัญ
    • ที่อยู่อาศัยในตลาดยังมีราคาเหมาะสม ต้นทุนการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับตัวต่อเนื่องทั้งจากแรงงานที่ขาดแคลนและต้นทุนวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง ทำให้ปีนี้ผู้พัฒนาอสังหาฯ ได้ประกาศถึงทิศทางการปรับขึ้นราคาโครงการใหม่ให้สอดคล้องต้นทุนจริงมากขึ้น ด้านบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่อยู่อาศัยต่างมีแผนปรับขึ้นราคาก่อสร้างอ้างอิงตามราคาวัสดุต่าง ๆ ที่ขึ้นราคาเช่นกัน อย่างไรก็ดี ข้อมูลล่าสุดจากรายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q1 2565 – Powered by PropertyGuru DataSense พบว่า ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ไตรมาสล่าสุดอยู่ที่ 84 จุด หรือลดลงประมาณ 1% จากไตรมาสก่อน เป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ซื้อหรือนักลงทุนที่มีความพร้อมทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการซื้ออยู่เองหรือลงทุนระยะยาว เนื่องจากยังมีสินค้าคงค้างที่คำนวณราคาจากต้นทุนเดิมในตลาดให้เลือกพอสมควร 
    • ลงทุนอสังหาฯ มีมูลค่าเพิ่มในอนาคต เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่หักเงินเฟ้อออกหรือ “อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง” มีค่าลดลงไป ทำให้ดอกเบี้ยที่จะได้รับและเอาไปใช้ซื้อของได้น้อยลงตามไปด้วย การฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์จึงอาจไม่ใช่วิธีที่จะทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีในยุคที่เงินเฟ้อสูง การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์นั้นแม้จะเป็นทรัพย์สินที่มีราคาสูง แต่น่าสนใจตรงที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต นอกจากผู้ซื้อจะใช้เพื่ออยู่อาศัยเองแล้วยังสามารถนำไปปล่อยเช่าสร้างรายได้ในระยะยาว ก่อนประกาศขายในช่วงที่สามารถทำกำไรในตลาดได้ อย่างไรก็ดี การลงทุนในอสังหาฯ ช่วงเงินเฟ้อนั้น ผู้ซื้อควรซื้อด้วยการยื่นกู้ธนาคารมากกว่าใช้เงินสด และควรใช้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยคงที่ระยะยาว เพราะในช่วงที่เกิดภาวะเงินเฟ้อนั้นจะเป็นช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นเช่นกัน
    • ทำเลที่มีศักยภาพสร้างโอกาสเติบโต การเลือกซื้ออสังหาฯ ในทำเลที่มีศักยภาพสามารถเติบโตได้ในอนาคตถือเป็นการวางแผนที่ดีเช่นกัน เพราะหากมีความจำเป็นต้องขาย อสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในทำเลที่มีศักยภาพจะเพิ่มโอกาสให้ได้รับมูลค่าเพิ่มที่คุ้มค่าหรือทำกำไรได้ดีกว่า โดยพิจารณาจากทำเลที่ตั้งโครงการที่มีสิ่งอำนวยความสะดวก อยู่ใกล้แหล่งงาน/ห้างสรรพสินค้า เป็นทำเลที่มีรถไฟฟ้าผ่านหรือมีแผนการก่อสร้างรถไฟฟ้าในอนาคต ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่าเกือบครึ่งของคนหาบ้าน (46%) สนใจซื้อที่อยู่อาศัยในทำเลชานเมืองมาเป็นอันดับหนึ่ง เนื่องจากปัจจุบันรถไฟฟ้ามีการขยายเส้นทางไปยังแถบชานเมืองมากขึ้น จึงทำให้การเดินทางสะดวกกว่าที่เคย นอกจากนี้ โครงการที่อยู่อาศัยในแถบชานเมืองยังมีราคาย่อมเยากว่า จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและคุ้มค่าสำหรับคนหาบ้าน

การวางแผนซื้อที่อยู่อาศัยไม่ใช่เรื่องไกลตัวของทุกคน ยิ่งมีการเตรียมความพร้อมมากเท่าไรก็เป็นผลดีเมื่อต้องตัดสินใจซื้อมากเท่านั้น แม้กำลังซื้อจะชะลอตัวตามสภาพเศรษฐกิจ แต่การวางแผนทางการเงินที่ดีจะช่วยให้สามารถเป็นเจ้าของบ้านได้อย่างมั่นใจตามแผนที่กำหนดไว้ง่ายขึ้น นอกจากนี้การศึกษาข้อมูลความเคลื่อนไหวด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง ถือเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทยอย่างดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (https://www.ddproperty.com) อัปเดตข้อมูลข่าวสารในแวดวงอสังหาฯ และความรู้ที่เป็นประโยชน์ในการซื้อ/ขาย/เช่า รวมทั้งเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลประกาศซื้อ/ขาย/เช่าในหลากหลายทำเลทั่วประเทศ หรือหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับแวดวงอสังหาฯ ก็สามารถเข้าไปฝากคำถามได้ที่หน้าถามกูรู (AskGuru) ที่มีเหล่ากูรูผู้เชี่ยวชาญตัวจริงพร้อมไขข้อสงสัยที่คุณอยากรู้ให้กระจ่าง เพื่อช่วยให้ผู้ที่อยากมีบ้านเป็นของตัวเองสามารถวางแผนเลือกซื้อที่อยู่อาศัยได้อย่างมั่นใจ ไร้กังวลมากขึ้น

คลาวด์ สร้างความต่าง ให้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ได้อย่างไร

คลาวด์ สร้างความต่าง ให้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ได้อย่างไร

คลาวด์ สร้างความต่าง ให้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ได้อย่างไร

ไทเลอร์ ชิว ผู้จัดการประจำประเทศไทย อาลีบาบา คลาวด์

บทความโดย ไทเลอร์ ชิว ผู้จัดการประจำประเทศไทย อาลีบาบา คลาวด์

ประเด็นเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน (sustainability) มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อการกำหนดคุณค่าของแบรนด์ของแต่ละบริษัท องค์กรต่าง ๆ กำลังพบกับความท้าทายอย่างมากในการออกแบบแผนงานเพื่อกำหนดกลยุทธ์ด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมทางเทคโนโลยีนับเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญมากขึ้นต่อความสำเร็จของกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของบริษัทต่าง ๆ

การเปลี่ยนจากโครงสร้างพื้นฐานไอทีแบบดั้งเดิมไปใช้คลาวด์ ได้รับการยอมรับว่าเป็นมากกว่าเทรนด์การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และเป็นก้าวสำคัญในการปรับเปลี่ยนการทำงานด้านไอทีขององค์กรให้ “เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการดำเนินงานโดยรวม และส่งผลให้ค่าใช้จ่ายลดลง ข้อมูลจากการวิเคราะห์ของแอคเซนเจอร์* ชี้ให้เห็นว่าองค์กรที่ย้ายการทำงานจากโครงสร้างพื้นฐานไอทีภายในองค์กรไปใช้การประมวลผลบนคลาวด์ สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้โดยเฉลี่ย 84% กล่าวโดยรวมคือ การย้ายไปใช้คลาวด์เป็นเทรนด์ที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน โดยการ์ทเนอร์** ได้คาดการณ์ว่า ภายในปี 2568 องค์กรมากกว่า 85% จะมีหลักเกณฑ์ในการใช้คลาวด์เป็นอันดับต้น ๆ และมากกว่า 95% ของเวิร์กโหลดดิจิทัลใหม่ ๆ จะทำงานอยู่บนแพลตฟอร์มคลาวด์-เนทีฟ

การคาดการณ์ดังกล่าวเป็นการกระตุ้นที่ดี และเป็นการบ่งชี้ถึงทิศทางที่จำเป็นสำหรับองค์กร การส่งเสริมให้เปลี่ยนไปใช้คลาวด์จึงเป็นมาตรการสำคัญมากมาตรการหนึ่งที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เพิ่มผลประกอบการของบริษัท ยกระดับคุณค่าของแบรนด์ และช่วยให้บริษัทสามารถดำเนินการตามคำมั่นสัญญาในเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนไปใช้คลาวด์ยังไม่เพียงพอ เพราะยังมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์มีความยั่งยืนมากขึ้น ช่วยให้องค์กรสามารถจัดการการใช้พลังงานได้ดีกว่าเดิม และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ครอบคลุมทุกส่วนของซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจได้มากขึ้น ทั้งนี้จุดเริ่มต้นที่ดีก็คือ การสร้างรายการตรวจสอบปัญหาสำคัญ ๆ ที่จะต้องแก้ไขในขั้นตอนของการวางแผนเกี่ยวกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องมาใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

การปรับโครงสร้างพื้นฐานไอทีให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ถ้าวลีที่ว่า “Data is the new oil” เป็นเรื่องจริง ศูนย์ข้อมูลก็จัดว่าเป็น “คลังเก็บทรัพยากร” เพราะศูนย์ข้อมูลเป็นส่วนรากฐานที่ใช้เก็บและรับส่งข้อมูลอย่างปลอดภัย และเป็นส่วนสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานของข้อมูลที่ช่วยเสริมความแกร่งให้กับเศรษฐกิจดิจิทัล ดังนั้นเป็นสิ่งจำเป็นมากที่องค์กรต้องย้ายไปใช้ศูนย์ข้อมูลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยถือเป็นหัวใจหลักของกลยุทธ์การดำเนินงานอย่างยั่งยืน รวมถึงการย้ายไปสู่สภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อระบบนิเวศอย่างมาก จะช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายของแผนลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้

นอกจากรากฐานที่แข็งแกร่งแล้ว เทคโนโลยีล่าสุดด้านการประมวลผลบนคลาวด์ ทั้งที่เป็นฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ จะช่วยให้ศูนย์ข้อมูลมีประสิทธิภาพโดดเด่น ตัวอย่างเช่น ปัจจุบันชิปที่ใช้ในเซิร์ฟเวอร์ที่ทรง ประสิทธิภาพแต่ละชิปสามารถรองรับทรานซิสเตอร์ได้ถึง 60,000 ล้านตัว แม้ประสิทธิภาพของชิปเหล่านั้นสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานอุตสาหกรรมราว 20% แต่สามารถทำให้อัตราการประหยัดพลังงานที่สำคัญเพิ่มขึ้น 50% นอกจากนี้เซิร์ฟเวอร์ยังได้รับการออกแบบให้รองรับโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์-เนทีฟได้มีประสิทธิภาพกว่า เช่น ซอฟต์แวร์ที่ทำงานอยู่เบื้องหลังแอปพลิเคชันบนคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้ใช้เครื่องเซิร์ฟเวอร์แบบที่จับต้องได้ ช่วยให้สามารถปรับเซิร์ฟเวอร์ให้รองรับการประมวลผลโดยปัญญาประดิษฐ์ (AI) และช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ได้คุ้มค่าใช้จ่ายมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ระบบปฏิบัติการคลาวด์ในปัจจุบันได้รับการเสริมสร้างขีดความสามารถด้วยอัลกอริธึมอัจฉริยะ จึงเป็นการยกระดับให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อีกทั้งยังสามารถบูรณาการเซิร์ฟเวอร์หลายหมื่นเครื่องทั่วโลกให้ทำงานร่วมกันอย่างราบรื่นในรูปแบบของซูเปอร์คอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่อง ซึ่งมีความสามารถในการประมวลผลแบบเรียลไทม์สูงสุด 3.63 TB ต่อวินาที จึงช่วยปรับปรุงการใช้ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์ได้ราว 10% ถึง 40% และลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก ด้วยเหตุนี้ ศูนย์ข้อมูลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงไม่จำเป็นต้องลดทอนประสิทธิภาพ เสถียรภาพ หรือความปลอดภัย เพื่อที่ จะบรรลุเป้าหมายการดำเนินงานที่ยั่งยืนมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงาน เราสามารถนำหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ในการบริหารการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล โดยหนึ่งในมาตรการที่สำคัญก็คือ การนำความร้อนจำนวนมากที่ระบายออกจากเครื่องเซิร์ฟเวอร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์  นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมบางแห่งยังใช้เทคโนโลยีการระบายความร้อนด้วยน้ำ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่ำมาก โดยครอบคลุม 90% ของเวลาดำเนินงานทั้งหมดของศูนย์ข้อมูล วิธีนี้ช่วยลดการใช้พลังงานได้มากกว่า 80% เมื่อเทียบกับการระบายความร้อนโดยใช้อุปกรณ์ที่ตองใช้พลังงานไฟฟ้า เช่น พัดลมและเครื่องปรับอากาศ อีกหนึ่งนวัตกรรมที่มีประโยชน์ก็คือ เทคโนโลยีการระบายความร้อนแบบ ‘Soaking Server’ ซึ่งเป็นการวางเครื่องเซิร์ฟเวอร์ไว้ในสารหล่อเย็นที่มีคุณสมบัติเป็นฉนวน และความร้อนที่ปล่อยออกมาจะถูกดูดซับโดยตรงด้วยสารหล่อเย็นที่หมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา  ระบบระบายความร้อนดังกล่าวจะช่วยประหยัดพลังงานได้มากกว่า 70% เมื่อเทียบกับระบบระบายความร้อนแบบเก่าที่พึ่งพาอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ศูนย์ข้อมูลอาจใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีฮีทปั๊ม (Heat Pump) ที่ทันสมัย เพื่อจัดส่งความร้อนเข้าสู่เครือข่ายท่อความร้อนที่เชื่อมต่อเข้ากับระบบทำความร้อนภายในอาคารที่พักอาศัยและองค์กรต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีและเครื่องมือด้าน AI และการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบ บริหารจัดการ และคาดการณ์เกี่ยวกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจต่าง ๆ ช่วยให้องค์กรสามารถปรับปรุงการใช้พลังงานในอาคารสถานที่และการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ การลงทุนในเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เราไม่ควรมองข้ามเทคโนโลยีก้าวล้ำที่จะช่วยแก้ไขความท้าทายในวงกว้าง หรือช่วยสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในด้านต่าง ๆ  โดยประการแรก เราควรพิจารณาถึงจุดร่วมระหว่างการทำการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลกับการปรับปรุงด้านพลังงาน โดยอาจมีการนำเทคโนโลยีเสริมที่ช่วยในการจัดการพลังงานหมุนเวียนมาใช้ การตรวจสอบการปล่อยก๊าซคาร์บอน ระบบบันทึกข้อมูลและการตรวจสอบรับรอง เทคโนโลยีสำหรับอาคารอัจฉริยะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ประการที่สอง เราจะต้องพยายามลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในจุดสำคัญ ๆ ในระบบซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางธุรกิจ เช่น การใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีการบินที่มีความยั่งยืน ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญต่อเทคโนโลยีการกำจัดคาร์บอน ซึ่งอาจได้แก่โซลูชันที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ เช่น เทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับการเกษตรที่ยั่งยืนเพื่อส่งเสริมการกักเก็บคาร์บอนในดิน และเทคโนโลยีบลูคาร์บอน (Blue Carbon) รวมถึงเทคโนโลยีคาร์บอนติดลบ (Negative Carbon) เช่น การดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศโดยตรง องค์กรบางแห่งกำลังเป็นผู้นำในการดำเนินการดังกล่าว และตั้งเป้าที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนใน Scope 3 ภายในปี 2573 องค์กรบางแห่งก็มุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนระบบการประมวลผลบนคลาวด์ด้วยพลังงานสะอาด 100% ภายในปี 2573 การกำหนดเป้าหมายเพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอนเหล่านี้นับเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมและควรได้รับการส่งเสริม แต่ขณะเดียวกันเราก็ไม่ควรมองข้ามบทบาทของนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

นอกจากรากฐานที่แข็งแกร่งแล้ว เทคโนโลยีล่าสุดด้านการประมวลผลบนคลาวด์ ทั้งที่เป็นฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ จะช่วยให้ศูนย์ข้อมูลมีประสิทธิภาพโดดเด่น ตัวอย่างเช่น ปัจจุบันชิปที่ใช้ในเซิร์ฟเวอร์ที่ทรงประสิทธิภาพแต่ละชิปสามารถรองรับทรานซิสเตอร์ได้ถึง 60,000 ล้านตัว แม้ประสิทธิภาพของชิปเหล่านั้นสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานอุตสาหกรรมราว 20% แต่สามารถทำให้อัตราการประหยัดพลังงานที่สำคัญเพิ่มขึ้น 50% นอกจากนี้เซิร์ฟเวอร์ยังได้รับการออกแบบให้รองรับโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์-เนทีฟได้มีประสิทธิภาพกว่า เช่น ซอฟต์แวร์ที่ทำงานอยู่เบื้องหลังแอปพลิเคชันบนคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้ใช้เครื่องเซิร์ฟเวอร์แบบที่จับต้องได้ ช่วยให้สามารถปรับเซิร์ฟเวอร์ให้รองรับการประมวลผลโดยปัญญาประดิษฐ์ (AI) และช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ได้คุ้มค่าใช้จ่ายมากขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น ระบบปฏิบัติการคลาวด์ในปัจจุบันได้รับการเสริมสร้างขีดความสามารถด้วยอัลกอริธึมอัจฉริยะ จึงเป็นการยกระดับให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อีกทั้งยังสามารถบูรณาการเซิร์ฟเวอร์หลายหมื่นเครื่องทั่วโลกให้ทำงานร่วมกันอย่างราบรื่นในรูปแบบของซูเปอร์คอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่อง ซึ่งมีความสามารถในการประมวลผลแบบเรียลไทม์สูงสุด 3.63 TB ต่อวินาที จึงช่วยปรับปรุงการใช้ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์ได้ราว 10% ถึง 40% และลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก ด้วยเหตุนี้ ศูนย์ข้อมูลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงไม่จำเป็นต้องลดทอนประสิทธิภาพ เสถียรภาพ หรือความปลอดภัย เพื่อที่
จะบรรลุเป้าหมายการดำเนินงานที่ยั่งยืนมากขึ้น

เพิ่มประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงาน

เราสามารถนำหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ในการบริหารการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล โดยหนึ่งในมาตรการที่สำคัญก็คือ การนำความร้อนจำนวนมากที่ระบายออกจากเครื่องเซิร์ฟเวอร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์  นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมบางแห่งยังใช้เทคโนโลยีการระบายความร้อนด้วยน้ำ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่ำมาก โดยครอบคลุม 90% ของเวลาดำเนินงานทั้งหมดของศูนย์ข้อมูล วิธีนี้ช่วยลดการใช้พลังงานได้มากกว่า 80% เมื่อเทียบกับการระบายความร้อนโดยใช้อุปกรณ์ที่ตองใช้พลังงานไฟฟ้า เช่น พัดลมและเครื่องปรับอากาศ

อีกหนึ่งนวัตกรรมที่มีประโยชน์ก็คือ เทคโนโลยีการระบายความร้อนแบบ ‘Soaking Server’ ซึ่งเป็นการวางเครื่องเซิร์ฟเวอร์ไว้ในสารหล่อเย็นที่มีคุณสมบัติเป็นฉนวน และความร้อนที่ปล่อยออกมาจะถูกดูดซับโดยตรงด้วยสารหล่อเย็นที่หมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา  ระบบระบายความร้อนดังกล่าวจะช่วยประหยัดพลังงานได้มากกว่า 70% เมื่อเทียบกับระบบระบายความร้อนแบบเก่าที่พึ่งพาอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า

ศูนย์ข้อมูลอาจใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีฮีทปั๊ม (Heat Pump) ที่ทันสมัย เพื่อจัดส่งความร้อนเข้าสู่เครือข่ายท่อความร้อนที่เชื่อมต่อเข้ากับระบบทำความร้อนภายในอาคารที่พักอาศัยและองค์กรต่าง ๆ

นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีและเครื่องมือด้าน AI และการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบ บริหารจัดการ และคาดการณ์เกี่ยวกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจต่าง ๆ ช่วยให้องค์กรสามารถปรับปรุงการใช้พลังงานในอาคารสถานที่และการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ

การลงทุนในเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เราไม่ควรมองข้ามเทคโนโลยีก้าวล้ำที่จะช่วยแก้ไขความท้าทายในวงกว้าง หรือช่วยสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในด้านต่าง ๆ  โดยประการแรก เราควรพิจารณาถึงจุดร่วมระหว่างการทำการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลกับการปรับปรุงด้านพลังงาน โดยอาจมีการนำเทคโนโลยีเสริมที่ช่วยในการจัดการพลังงานหมุนเวียนมาใช้ การตรวจสอบการปล่อยก๊าซคาร์บอน ระบบบันทึกข้อมูลและการตรวจสอบรับรอง เทคโนโลยีสำหรับอาคารอัจฉริยะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

ประการที่สอง เราจะต้องพยายามลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในจุดสำคัญ ๆ ในระบบซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางธุรกิจ เช่น การใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีการบินที่มีความยั่งยืน ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญต่อเทคโนโลยีการกำจัดคาร์บอน ซึ่งอาจได้แก่โซลูชันที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ เช่น เทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับการเกษตรที่ยั่งยืนเพื่อส่งเสริมการกักเก็บคาร์บอนในดิน และเทคโนโลยีบลูคาร์บอน (Blue Carbon) รวมถึงเทคโนโลยีคาร์บอนติดลบ (Negative Carbon) เช่น การดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศโดยตรง

องค์กรบางแห่งกำลังเป็นผู้นำในการดำเนินการดังกล่าว และตั้งเป้าที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนใน Scope 3 ภายในปี 2573 องค์กรบางแห่งก็มุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนระบบการประมวลผลบนคลาวด์ด้วยพลังงานสะอาด 100% ภายในปี 2573 การกำหนดเป้าหมายเพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอนเหล่านี้นับเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมและควรได้รับการส่งเสริม แต่ขณะเดียวกันเราก็ไม่ควรมองข้ามบทบาทของนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

แอนท์กรุ๊ป แต่งตั้งผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คนใหม่

Jia Hang AntGroup

แอนท์กรุ๊ป แต่งตั้งผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คนใหม่

เสริมศักยภาพบุคลากร พร้อมขยายขีดความสามารถ เพื่อสนับสนุนเอสเอ็มอีอย่างเต็มที่ในภูมิภาคนี้

แอนท์กรุ๊ป (Ant Group) ประกาศแต่งตั้ง มร. เจีย ฮาง ให้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อขยายการดำเนินงานของแอนท์กรุ๊ป เสริมสร้างศักยภาพและขีดความสามารถให้แก่บุคลากรในภูมิภาคนี้ พร้อมทั้งตอกย้ำความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการให้บริการแก่ลูกค้า และสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย ธุรกิจระดับท้องถิ่นและระดับภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ธุรกิจเอสเอ็มอี’ เพื่อให้ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันในระบบเศรษฐกิจดิจิทัล

มร. เจีย ฮาง กล่าวถึงการแต่งตั้งในครั้งนี้ว่า “ขณะที่องค์กรต่างๆ พยายามที่จะฟื้นฟูธุรกิจให้กลับมาเติบโตอีกครั้งโดยอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัลในการสร้างสรรค์นวัตกรรมแห่งอนาคต เราพร้อมเสมอที่จะอยู่เคียงข้างลูกค้าไม่ว่าลูกค้าจะอยู่ที่ใด รวมถึงเราได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องกับทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในภูมิภาคนี้ เพื่อช่วยให้ธุรกิจท้องถิ่นประสบความสำเร็จ โดยอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญของทีมงานที่มีประสบการณ์ ความสามารถทางดิจิทัล และ know-how”

“ด้วยการใช้ประโยชน์จาก Alipay+ รวมถึงเครือข่ายพาร์ทเนอร์ภาคอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง เรามุ่งมั่นที่จะให้การสนับสนุนแก่ผู้ประกอบการทั่วโลก รวมถึงผู้ประกอบการในระดับภูมิภาคเพื่อให้บริการที่ดีกว่าแก่ผู้บริโภคมากกว่าหนึ่งพันล้านคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยการเชื่อมโยงเข้ากับบริการอีวอลเล็ท และบริการชำระเงินผ่านมือถือต่าง ๆ ที่ผู้บริโภคนิยมใช้ นอกจากนี้เรายังมีแผนที่จะบ่มเพาะบุคลากรด้านเทคโนโลยีในระดับท้องถิ่นภายใต้โครงการต่าง ๆ เช่น 10×1000 Tech for Inclusion[i] เป็นต้น” มร. เจีย ฮาง กล่าว

มร. เจีย ฮาง จะประจำอยู่ที่สำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของแอนท์กรุ๊ป ในประเทศสิงคโปร์  ทั้งนี้ มร. เจีย ฮาง มีประสบการณ์ที่ยาวนานกว่า 20 ปีในด้านเทคโนโลยีการเงิน โดยเคยดำรงตำแหน่งที่สำคัญมากมายด้านการดำเนินงานระหว่างประเทศของแอนท์กรุ๊ปตั้งแต่ปี 2558 และล่าสุดได้รับมอบหมายให้ดูแลรับผิดชอบการดำเนินงานทั่วโลกของ WorldFirst ผู้นำด้านระบบชำระเงินในธุรกิจระหว่างประเทศ รวมทั้งกำกับดูแลทีมงานฝ่ายโซลูชั่นด้านการชำระเงินเพื่อรองรับตลาดอีคอมเมิร์ซระดับโลกและระดับภูมิภาค

อนาคตของความยั่งยืนด้านอาหาร

อนาคตของความยั่งยืนด้านอาหาร

อนาคตของความยั่งยืนด้านอาหาร

บทความโดย นายฟาบิโอ ทิวิติ รองประธานและผู้จัดการทั่วไป บริษัท อินฟอร์ อาเชียน-อินเดีย

ในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมที่ผันผวนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บริษัทต่าง ๆ จะต้องดำเนินการเชิงรุกในส่วนของตนเพื่อนำไปสู่ความยั่งยืน ไม่ว่าจะผ่านการร่วมมือกับภาครัฐ การใช้เครื่องมืออัจฉริยะ และการแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ เพื่อการเติบโตและการปรับตัว

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประชากรที่เพิ่มขึ้น และการระบาดของโควิด-19 เป็นเพียงปัจจัยส่วนหนึ่งที่กำลังมีอิทธิพลและกำลังมาเปลี่ยนแปลงรูปแบบของระบบอาหารของโลก  การที่บริษัททั้งขนาดเล็กและใหญ่ต้องเผชิญกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป และการพัฒนาของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นตลอดเวลานั้น บริษัทด้านอาหารและเครื่องดื่มจำเป็นต้องถอยหนึ่งก้าวเพื่อประเมินเสียใหม่ว่าบริษัทของตนอยู่ ณ สถานะใดในเรื่องของความยั่งยืน

สำหรับเรื่องการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน ไม่มีโซลูชันใดโซลูชันหนึ่งที่เหมาะสมไปกับทุกธุรกิจ  ในความเป็นจริง การเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องให้องค์กรทบทวนเรื่องผลิตภัณฑ์ การจัดหาวัสดุและกระบวนการต่าง ๆ ตลอดจนวิเคราะห์ถึงวิธีที่จะสามารถเสริมสร้างความยั่งยืนให้กับการดำเนินงานทุกด้านของตน

แนวทางแรกที่ควรทำคือการให้คำจำกัดความว่า ความยั่งยืนในการดำเนินงานของบริษัทคืออะไร และจะเริ่มใช้แนวทางต่าง ๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุกสายงานของบริษัทอย่างไร จากนั้นทำการเชื่อมโยงเส้นทางการเปลี่ยนสู่การดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืนของบริษัทเข้าด้วยกัน เช่น เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่บริษัทตั้งไว้ และกรอบการดำเนินธุรกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาวที่วางแผนไว้ในปัจจุบัน  แนวทางสุดท้ายคือการกำหนดและประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากเป้าหมายต่าง ๆ และวิธีการนำเทคโนโลยีมาใช้เร่งกระบวนการต่าง ๆ

ความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน

ความร่วมมือเป็นสิ่งสำคัญมากในสถานการณ์ที่ไม่ปกตินี้ โดยเฉพาะความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน วิธีการทำงานแบบสองประสานร่วมกันเพื่อบรรลุจุดหมายด้านความยั่งยืนนี้ เป็นแนวทางสำคัญที่จะมั่นใจได้ว่าสามารถแก้ปัญหาที่ยืดเยื้อได้จริง

ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ปัญหาด้านความยั่งยืนเสียตั้งแต่ต้นทางของการเกิดปัญหา เป็นการสร้างความมั่นใจว่าจะมีนโยบายและโครงการที่สนับสนุนการทำงานด้านความยั่งยืนให้กับธุรกิจต่าง ๆ และลดความสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ ธุรกิจยังต้องตระหนักว่าตนมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและต่อลูกค้า ซึ่งพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าล้วนต้องการความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ การศึกษาจึงเป็นหัวใจหลักทั้งกับภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาความเข้าใจปัญหาต่าง ๆ ที่มีอยู่แบบองค์รวม การสนับสนุนจากภาครัฐจะช่วยให้ผู้ประกอบการด้านอาหารและเครื่องดื่มระดับแนวหน้าในอุตสาหกรรรมนี้ สามารถรวมตัวกันเพื่อจำแนกความท้าทายต่าง ๆ และหารือเกี่ยวกับโอกาสต่าง ๆ ในหลายแง่มุม เช่น การผลิตผลิตผลด้านอาหาร การผลิตในโรงงาน และบรรจุภัณฑ์ รวมถึงสามารถรวบรวมนวัตกรรมการวิจัย และความพยายามต่าง ๆ ในเรื่องของการพัฒนาอย่างยั่งยืนไว้ด้วยกัน

ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นกรณีศึกษาด้านความพยายามด้านความยั่งยืนที่เน้นความร่วมมือแบบองค์รวมซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ  เอเชียแปซิฟิกมีความก้าวหน้าในการแก้ไขปัญหาด้านความยั่งยืน ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายขององค์กรทุกขนาดต่างตระหนักถึงหน้าที่ของตนที่มีต่อส่วนรวม เช่น มาตรการด้านความยั่งยืนในภูมิภาคนี้ ซึ่งเป็นการห้ามใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้งในบางรัฐของอินโดนีเซียและมาเลเซีย ตลอดจนการนำการผลิตอาหารท้องถิ่นมาใช้ในสิงคโปร์

ถึงแม้ว่าผู้บริโภคต่างพยายามเต็มที่เพื่อลดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นำกลับมาใช้ใหม่ และรีไซเคิล แต่ไม่มีอะไรดีไปกว่าการยับยั้งไม่ให้พลาสติกและความสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์หลุดลอดเข้ามาใน value chain เสียตั้งแต่เริ่มต้น และนี่เองที่นวัตกรรมและความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนเข้ามามีบทบาทสำคัญ ด้วยการใช้นโยบายและผลิตภัณฑ์ทำการแทรกแซงเสียตั้งแต่ต้นทางเพื่อสร้างความยั่งยืน

เป็นอีกครั้งที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงกระบวนการต่าง ๆ เช่น การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ที่ได้พิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งในการช่วยบริษัทต่าง ๆ คำนวณต้นทุนการดำเนินการของทางเลือกในการนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ใช้ซ้ำได้หรือย่อยสลายได้  ข้อมูลที่รวบรวมจากการวิเคราะห์เหล่านี้ขับเคลื่อนโดยปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิง (ML) จะสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์ เกี่ยวกับผลกระทบของการใช้ทรัพยากรทางเลือกและกระบวนการผลิต หรือกระบวนการผลิตใด ๆ ที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขปรับปรุง

ขนาดธุรกิจไม่ใช่ปัญหา

กรณีเรื่องขนาดของผู้ประกอบการนี้ แม้แต่เกษตรกรรายย่อยก็อาจพบว่าตนอยู่บนทางแยกระหว่างความยั่งยืนและความอยู่รอด เครื่องมือที่ชาญฉลาด เช่น การใช้เซ็นเซอร์ที่ใช้ความสามารถของอินเทอร์เน็ตออฟธิงค์ (IoT) ทำการติดตามสภาพการเจริญเติบโตของผลผลิต ลดการใช้น้ำอย่างสิ้นเปลือง และเพิ่มผลผลิต ควบคู่กับการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ของผลผลิตที่คาดหวังไว้ และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการของผู้บริโภค จะช่วยให้เกษตรกรมีความคล่องตัวและตอบสนองต่อเงื่อนไขต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ ความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบนิเวศกับองค์กรขนาดใหญ่ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก เกษตรกรรายย่อยสามารถใช้ทรัพยากรจากองค์กรใหญ่ ๆ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกระบวนการทำงาน และความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายนี้จะสามารถเร่งให้เกิดนวัตกรรมที่คล่องตัวในองค์กรขนาดใหญ่ได้เช่นกัน ความร่วมมือต่าง ๆ จะช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนและแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับแนวทางการทำงานที่มีประสิทธิภาพที่สุดได้อย่างสะดวก และได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

สำหรับผู้ที่กังวลเกี่ยวกับ “greenwashing” ซึ่งหมายถึงการที่บริษัทใช้ประโยชน์เรื่องความยั่งยืนมาเป็นเทรนด์ในการสร้างกำไรนั้น  มีความเป็นไปได้ว่าสถานการณ์ดังกล่าวอาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้  ดังนั้น รัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแลต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า ได้วางแนวทางและข้อจำกัดในการยับยั้งการกระทำดังกล่าว ไม่ว่าจะผ่านรูปแบบการจัดการฉลากและการปฏิบัติตามข้อกำหนด หรือการตรวจสอบย้อนกลับที่มากขึ้นตลอดห่วงโซ่คุณค่าของบริษัท ซึ่งทั้งระดับความรับผิดชอบและความโปร่งใสที่สูงขึ้นล้วนเป็นผลลัพธ์และวิธีป้องกันที่ต้องการให้เกิดขึ้น

โลกที่กำลังเปลี่ยนไป

หากถามว่าโควิด-19 เผยให้เห็นความไม่มีประสิทธิภาพของระบบอาหารของโลกอย่างไรทั้งในเรื่องของการจัดหาอาหาร ความขาดแคลน และความสูญเปล่า ผลกระทบทั้งเชิงบวกและลบที่ธุรกิจได้รับ คือ ธุรกิจที่มีการพัฒนาและปรับกระบวนการดำเนินงานจะก้าวหน้าและประสบความสำเร็จกว่าธุรกิจอื่นทั้งในปัจจุบันและอนาคต

บริษัทที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ต่างแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ เพื่อสร้างความเติบโต ด้วยการบูรณาการความยั่งยืนของธุรกิจหลักทั้งหมดเข้ากับกลยุทธ์ขององค์กร ไม่ว่าจะผ่านการลดบรรจุภัณฑ์ ลดการสูญเปล่าในระบบซัพพลายเชน หรือการฟื้นฟูส่วนประกอบต่าง ๆ ในระบบนิเวศ

สิ่งสำคัญกว่านั้น คือบริษัทเหล่านี้นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อช่วยให้เปลี่ยนแปลงได้เร็วขึ้น อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มกำลังมองไปข้างหน้าหลังการระบาดของโควิด-19 ซึ่งเทคโนโลยีจะยังคงมีความสำคัญต่อการสร้างความร่วมมือและนวัตกรรมที่ทันสมัย ยั่งยืน และยืดหยุ่นให้กับทุกภาคส่วน และนำพาบริษัทต่าง ๆสู่อนาคตของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม

PropertyGuru Successfully Completes Business Combination with Bridgetown 2 Holdings

PropertyGuru

PropertyGuru Successfully Completes Business Combination with Bridgetown 2 Holdings

    • Proceeds of ~US$254 million will be used to further accelerate organic growth and pursue M&A opportunities to capture the growth momentum of a recovering Southeast Asia property market driven by long-term macro tailwinds of increasing affluence, digitalization and urbanization
    • Transaction values PropertyGuru at an enterprise value of ~US$1.36 billion and an equity value of ~US$1.61 billion
    • PropertyGuru will ring the NYSE’s opening bell on March 18 and begin trading under the ticker “PGRU”
PropertyGuru

PropertyGuru Pte. Ltd. (“PropertyGuru” or “the Company”), Southeast Asia’s leading1 property technology (“PropTech”) company, today completed its previously announced business combination with Bridgetown 2 Holdings Limited (“Bridgetown 2”) (NASDAQ: BTNB), a special purpose acquisition company formed by Pacific Century Group (“Pacific Century”) and Thiel Capital LLC (“Thiel Capital”). The business combination was approved by Bridgetown 2 stockholders in an Extraordinary General Meeting of Company Shareholders held on March 15, 2022.

PropertyGuru Group Limited’s (“PubCo”) ordinary shares are expected to begin trading on the New York Stock Exchange (“NYSE”) on March 18, 2022 under the ticker symbol “PGRU”.

“We are thrilled to have successfully completed our business combination with Bridgetown 2, which provides additional capital to pursue organic and strategic growth, and will accelerate our ability to access capital markets in pursuit of delivering world-class solutions for our customers,” said Hari V. Krishnan, Chief Executive Officer and Managing Director, PropertyGuru Group. “Over the past 15 years PropertyGuru has helped shape the PropTech industry in Southeast Asia and introduced many first solutions for property seekers, agents, and developers that enabled digitalization of the property industry. As evidenced by the 23% increase in our 2021 revenue – we are entering our next post-Covid phase of growth with significant momentum.

Hari V. Krishnan

“As we look ahead, we will continue to invest in technology and expand our services and offerings to build on our leading positions in Singapore, Vietnam, Malaysia and Thailand.[1] Southeast Asia’s real estate market is beginning to recover from the pandemic and as the region’s increasingly affluent and digitally enabled population moves to urban centers, PropertyGuru is well-positioned to benefit from these long-term trends.” 

Southeast Asia is estimated to be the world’s fourth largest economy by 2030[2], driven by favourable long-term macroeconomic dynamics, creating significant opportunities for PropertyGuru – which has an addressable market of US$8.1 billion according to Frost & Sullivan. Through its continued investments, the Company is positioned to stay ahead of the evolving market demand and extend its leadership position as the region’s property markets recover from the pandemic.

“PropertyGuru is digitally transforming a traditional real estate market in Southeast Asia to create a trusted and transparent online property marketplace,” said Matt Danzeisen, Chairman, Bridgetown 2. “We believe PropertyGuru is just scratching the surface in the world’s most dynamic and fastest growing region, and we are excited to partner with Hari and his talented team to create lasting value for our shareholders, employees, customers and partners.” 

Transaction Details

The completion of the business combination values PropertyGuru at an enterprise value of ~US$1.36 billion and an equity value of ~US$1.61 billion.

PropertyGuru received ~US$254 million in gross proceeds through the contribution of US$122 million of cash held in Bridgetown 2’s trust account, a concurrent US$100 million private placement (“PIPE”) of common stock anchored by Baillie Gifford, Naya, REA Group, Akaris Global Partners, and one of Malaysia’s largest asset managers, priced at US$10.00 per share. REA Group also invested an additional US$32 million. In addition, KKR, TPG Group and REA Group rolled 100% of their equity into PropertyGuru, demonstrating their continued commitment to the Company’s growth strategy. 

Advisors

Merrill Lynch (Singapore) Pte. Ltd. served as exclusive financial advisor to PropertyGuru. Latham & Watkins LLP and Allen & Gledhill LLP served as legal advisors to PropertyGuru.

Merrill Lynch (Singapore) Pte. Ltd., Citigroup Global Markets Inc., KKR Capital Markets Asia Limited and TPG Capital BD, LLC served as placement agents to Bridgetown 2. Skadden, Arps, Slate, Meagher & Flom LLP and Rajah & Tann Singapore LLP served as legal advisors to Bridgetown 2.

Ringing the Bell at the NYSE

On March 18, PropertyGuru’s Chief Executive Officer and Managing Director Hari V. Krishnan will ring the NYSE opening bell at 9:30 a.m. Eastern Time (9:30 p.m. Singapore Time). He will be joined on stage by PropertyGuru’s Leadership team, Founders, Board and Bridgetown 2’s Chairman and CEO. The bell-ringing ceremony will be livestreamed to its gala listing event in Singapore and available on NYSE’s website here: https://www.nyse.com/bell.

PropertyGuru will commemorate its listing by opening the doors to the Company’s five Southeast Asian markets through live-stream door installations between New York and its home markets, that will be set up at the NYSE’s Experience Square. The event will take place at 10:15a.m. Eastern Time.